Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

พิธีกรท็อปนิวส์โล่ง!! ไม่ต้องทำงานจ่ายคดีแพ่ง 3 ล้านบาท หลัง 'ธนาธร' ฟ้องปิดปาก ประเด็นอยากเป็นมากกว่านายกฯ

(6 ต.ค.66) เฟซบุ๊ก ‘ต๊อบ วุฒินันท์ นาฮิม’ ของนายวุฒินันท์ นาฮิม ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวท็อปนิวส์ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ระบุว่า…

"วันนี้ผมและท่านอาจารย์เสรีไปศาลอาญา เพื่อรับฟังคำพิพากษาของศาล ก่อนไปก็มีคนถามพวกเราว่าเป็นกังวลอะไรไหม ผมได้แต่ยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ ส่วนท่านอาจารย์ตอบว่า ไม่ได้กังวลอะไร เพราะว่าตอนมีการสืบพยาน เราก็ตั้งข้อสังเกตว่าทางฝ่ายเขาพูดอะไร ทางฝ่ายเราพูดอะไร เราคิดว่าหลักฐานของเราแน่นกว่า

พอไปถึงที่ศาล สิ่งแรกที่ทำเพื่อความสบายใจก็คือ ไปกินอาหารร้านโปรดที่โรงอาหาร บังเอิญไปเจอคุณสิระ เจนจาคะ ซึ่งโดน พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส ฟ้อง

สงสารท่านอาจารย์ขึ้นบันไดศาล หัวใจเต้นเป็นจังหวะแดนซ์ขึ้นไปถึง 100 กว่า ให้ อ.เสรี ยืนพักแล้วไปต่อถึงห้องพิจารณาคดี

พอเข้าไปนั่งรอได้สักพักท่านผู้พิพากษาจึงขึ้นนั่งบัลลังก์พร้อมกัน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 7 นาที ผลการตัดสินแบ่งเป็นสองส่วน

1. ศาลท่านพรรณนาว่าโจทก์ฟ้องเราว่ากระไร ข้อความส่วนใหญ่หาว่าเราหมิ่นประมาทเขาทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังเสียชื่อเสียง

2. ท่านผู้พิพากษาพิจารณาลงความเห็นว่า ผมและอาจารย์เสรีนำข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์และออฟไลน์มาวิเคราะห์วิพากษ์กันด้วยใจสุจริต ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ ซึ่งตรงนี้ศาลพินิจพิเคราะห์แล้วก็บอกว่าสิ่งที่เราทำนั้น ประชาชนทั้งหลายที่จงรักภักดีจะมีความห่วงใย เคลือบแคลงพฤติกรรมของเขาที่ผ่านมา

ดังนั้นจึงถือว่าเราเป็นสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์คนซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นหัวหน้าพรรค แล้วตอนนี้ก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าคณะ เป็นการกระทำโดยสุจริต ศาลจึงยกฟ้อง

ผมและอาจารย์มองตรงกันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยเรายังเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ตลอดไป เพราะว่าเป็นการพินิจพิเคราะห์กันด้วยข้อเท็จจริงมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ครับ ขอใช้พื้นที่นี้สื่อสารไปยังทุกท่าน ขอบพระคุณ อ.บอย ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และน้องวาเลนไทน์ อดีตโปรดิวเซอร์รายการเปิดเนตร และเรื่องลับมาก มาเป็นพยานให้เรา กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจ

หวังว่าคงไม่ต้องทำงานใช้หนี้หาเงิน 3 ล้านไปจ่ายคดีแพ่งแล้ว"

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ในกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และนายวุฒินันท์ นาฮิม ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นฯ จากกรณีที่ทั้งสองได้ร่วมพูดคุยกัน ในรายการ ‘เปิดเนตร’ หัวข้อ เป้าประสงค์ชัด ‘ธนาธร อยากเป็นมากกว่านายกฯ’ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันยูทูบ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2564

โดยศาลเห็นว่า นายธนาธร โจทก์ได้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมให้ปรากฏต่อสาธารณะ โดยเคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่าง ๆ ร่วมเสวนา และยังโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในทำนองว่า การให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อให้อยู่เหนือการเมือง อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อำนาจบทบาทของสถาบันฯ ต้องสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย ปฏิรูปเพื่อให้สถาบันดำรงอยู่คู่สังคมประชาธิปไตย และโจทก์เคยเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้ เมื่อโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎร โจทก์เคยอภิปรายเกี่ยวกับงบประมาณในหน่วยงานส่วนพระองค์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ที่แสดงออกผ่านทางตัวโจทก์สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย และทำให้ประชาชนคิดไปได้ว่า เหตุใดโจทก์ ซึ่งเคยเป็น สส.และเป็นบุคคลสาธารณะถึงต้องการปฏิรูปสถาบันฯ อันเป็นสถาบันสูงสุดของประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการพูดคุยในรายการของจำเลยทั้งสอง เป็นเพียงการนำข้อมูลของโจทก์ที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ การอภิปรายของโจทก์ในที่ต่าง ๆ และหนังสือของโจทก์ มาวิเคราะห์การกระทำ ซึ่งมีลักษณะส่อไปในทางที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันทราบถึงข้อมูลและพฤติกรรมของโจทก์

จึงนับว่าการกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงการจัดรายการในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนคนหนึ่งวิเคราะห์ข้อมูลไปตามเนื้อข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ เป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อสื่อสารถึงการกระทำของโจทก์ไปยังประชาชนที่เคารพสถาบันฯ เท่านั้น ถ้อยคำและข้อความที่จำเลยทั้งสองหมิ่นประมาทโจทก์ จึงเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยซึ่งบุคคลหรือ ประชาชนย่อมกระทำได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) พิพากษายกฟ้อง

‘รัฐบาล’ ตั้งเป้า ปี 67 เป็นปีแห่งการขับเคลื่อน ‘งานประกันสังคม’ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกันตน

(6 ต.ค. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานภายใต้แนวคิด ‘ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ’ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนงานประกันสังคมให้เข้มแข็ง ให้เป็นที่ยอมรับ เชื่อมั่น และไว้วางใจจากลูกจ้าง ผู้ประกันตนและสังคมโดยรวม

นายคารม กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน เดินหน้าปฏิบัติภารกิจของสำนักงานประกันสังคม เพื่อความคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของลูกจ้าง ผู้ประกันตน ดังนี้

1.) ‘Micro Finance’ ลดหนี้ เติมทุน สร้างสุข เพื่อพัฒนาและยกระดับให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

2.) กองทุนมั่นคง แรงงานมั่งคั่ง ประกันสังคมยั่งยืน โดยต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีความยั่งยืน

3.) ‘Best e-Service’ ประกันสังคมยุคใหม่ สร้างความมั่นคง เพิ่มความมั่นใจ ยกระดับการให้บริการของสำนักงานประกันสังคม ผ่าน e-Service โดยการนำระบบ e-Claim มาใช้ในการให้บริการเบิก-จ่ายเงิน และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน

4.) สร้างรากฐานเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงาน ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้มีความเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

5.) การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการทางการแพทย์ ยกระดับการให้บริการทางการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค แก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนโดยผู้ประกันตนต้องได้รับการบริการทางด้านสุขภาพอนามัย การรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นกว่าเดิม

6.) จัดทำสิทธิประโยชน์ Package Premium สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 เช่น เพิ่มสิทธิกรณีเจ็บป่วย ชดเชยรายได้ตามค่าแรงขั้นต่ำ ค่าตอบแทนกรณีนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยอาจยกระดับให้เท่ากับผู้ประกันตนมาตรา 39 รวมทั้งการจูงใจให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง

“รัฐบาลมุ่งยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมเดินหน้าผลักดันนโยบายให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ผ่านการทำงานอย่างบูรณาการเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ เพื่อผลักดันนโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงแรงงานให้เป็นเกิดผลสำเร็จ โดยยึดประโยชน์สูงสุดของลูกจ้างผู้ประกันตนเป็นหลัก” นายคารม กล่าว

'การบินไทย' จัดงาน Thai Networking 'The Rising of Northern' ส่งเสริมการขายตัวแทนจำหน่ายบัตรจาก 'ประเทศญี่ปุ่น-เกาหลีใต้'

(6 ต.ค.66) นายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดกิจกรรม 'THAI Networking' 'The Rising of Northern' เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทฯ กับตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ณ โรงแรม สลิล ริเวอร์ไซด์

โดยกิจกรรมครั้งนี้ บริษัท การบินไทยฯ ได้สื่อสารทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ต่อตัวแทนจำหน่ายจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมทั้ง ชี้แจงความคืบหน้าการปรับโครงสร้างธุรกิจ และเส้นทางบินของสายการบินไทยสมายล์ และแนะนำเส้นทางบินใหม่สู่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 นี้

อีกทั้ง นำเสนอผลิตภัณฑ์และการให้บริการบนเครื่องบินรูปแบบใหม่ อาทิ Amenity Kits จาก Jim Thompson ช็อกโกแลตจากกานเวลา และกาดโกโก้ บริการสื่อสาระบันเทิงบนเครื่องบิน และเมนูอาหารไทยแบบ All day dine สำหรับให้บริการผู้โดยสารในชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ที่รังสรรค์โดยเชฟโบ ดวงพร ทรงวิศวะ เจ้าของรางวัลเชฟหญิงที่ดีที่สุดของเอเชีย ปี 2013 (Asia’s 50 Best Restaurants 2013) จากการจัดอันดับของนิตยสาร Restaurant 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและการตลาดที่รองรับการขยายเครือข่ายจุดบิน รวมทั้ง วางแผนการขายรองรับเที่ยวบินในตารางบินฤดูหนาว ปี 2566 และเตรียมความพร้อมสำหรับช่วง Low Season ปี 2024

'เพจดัง' จวก!! 'โจรเด็ก 9 ปี' บุกปีนบ้าน แต่ตำรวจทำอะไรไม่ได้ อ้าง!! เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก สุดท้ายปล่อยลอยนวล

(6 ต.ค.66) จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict เปิดเผยเรื่องร้องเรียนจากลูกเพจ กรณีโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปืนบ้านขโมยเงินไป 33,400 บาท แต่ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก โจรไม่ต้องรับโทษอะไร

สวัสดีครับจ่า มีเคสโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปีนบ้านผม

ขโมยเงินไป 33,400 บาท ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก โจรไม่ต้องรับโทษอะไรเลยวันที่ 12 มีนาคม ปีนี้ผมโดนโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปีนบ้านตอนกลางคืน ขโมยเงินสดไป 33,400 บาท ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก 

-ตำรวจบอกว่าเคสนี้ทำอะไรเด็กไม่ได้เพราะมีข้อคุ้มครองเด็กอยู่
-ส่วนผู้ใหญ่ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะตำรวจไม่มีหลักฐานสาวถึงตัวผู้ใหญ่ (มีแค่คำสารภาพจากเด็กว่ามีผู้ใหญ่ที่สนิทพาไปปีน ซึ่งแค่คำให้การอย่างเดียวตำรวจดำเนินคดีไม่ได้)
-พ่อแม่เด็กเสนอชดใช้ให้ตามจริยธรรมเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท คุณพ่อแม่เด็กจ่ายได้2000 หลังจากนั้นก็ติดต่อพ่อแม่เด็กไม่ได้อีกเลย
-มีใบแจ้งความและใบข้อมูลคนร้ายครบ 
-มีคลิปขณะโจรบุก
-โจรคนนี้เคยก่อคดีแล้วหลายครั้ง มากๆ กับบ้านในชุมชน แต่ทุกคดีก็รอดหมดเพราะตำรวจดำเนินคดีไม่ได้เพราะเป็นเด็ก
พ่อแม่เด็กน่าจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
-พ่อ เพิ่งออกจากคุกได้ไม่นานคดีพยายามฆ่า
-เด็ก ขาดการศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียน
ปัจจุบันเด็กยังลอยนวล เดินไปมาในชุมชนอยู่ตามปกติ กลัวว่าในอนาคตจะเกิดอันตรายกับคนในชุมชนอีกครับ เพราะที่ผ่านมาก็หลายคดีแล้ว แต่รอดหมดทุกคดีครับ 
เขาเลยขอความช่วยเหลือมาครับ มีคลิปกล้องวงจรปิดและเอกสารแจ้งความครบถ้วน สื่อเจ้าไหนสนใจ ติดต่อหลังไมค์

WARRIX ปลื้มโต 30% เล็ง 4 ปีทะลุ 2,700 ล้าน ปูธุรกิจเสริม ‘คลินิกกายภาพ’ ช่วยเสริมแกร่งถึงเป้า

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 ได้พูดคุยกับ นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงทิศทางภาพรวมชุดกีฬาในประเทศไทย พร้อมแนวทางการเติบโตของ วอริกซ์ ไว้ว่า…

จากการประมาณมูลค่าตลาดชุดกีฬาในปัจจุบัน มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 20,000 -30,000 ล้านบาท (รวมทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ) โดยวอริกซ์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10% ในกลุ่มเสื้อผ้ากีฬา ไม่รวมรองเท้ากีฬา ซึ่งปัจจุบันมีแข่งขันกันสูงมากในทุกมิติ แต่สินค้าของวอริกซ์ เติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา มียอดขายประมาณ 1,070 ล้านบาท เติบโต 20-30%  

นายวิศัลย์ กล่าวด้วยว่า ในปีนี้มีกลยุทธ์ในการขยายทุกมิติทั้งเสื้อกีฬาผู้หญิง เสื้อไลฟ์สไตล์ โดยมีการขยายสาขาไปเปิดร้านที่สยามสแควร์เพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่น โดยภายใน 4 ปี ทางบริษัทฯ มีเป้าหมายเติบโต 2,700 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันทางวอริกซ์ ได้เปิดให้บริการคลินิกกายภาพ ในรูปแบบสหคลินิก โดยมีการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาใช้ โดยมองกลุ่มลูกค้า ได้แก่ นักกีฬามืออาชีพ ผู้สูงอายุ พนักงานบริษัททั่วไปที่มีปัญหาออฟฟิศซินโดรม มีอาการนอนไม่หลับ ฯลฯ โดยตัวคลินิกจะเน้นให้ความรู้ด้านกายภาพ ออกกำลังกาย และมีทั้งด้านโภชนาการ วิตามิน อาหารเสริม รวมถึงมีเสื้อนอนเพื่อสุขภาพ ซึ่งถือเป็นการขยายจากธุรกิจสปอร์ตแวร์ ต่อยอดไปเป็น ‘เฮลท์ แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์’ ได้อย่างน่าจับตา

สำหรับผู้ที่สนใจมาใช้บริการคลินิกกายภาพดังกล่าว สามารถดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊ก warrixhealth

ข้อควรรู้!! ก่อนเก็บ 20 บาทตลอดสาย ‘รถไฟฟ้าสายสีแดง - สีม่วง’ อ่วม!! ขาดทุนหนัก 7 ล้าน / วัน

รัฐบาลมีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยจะเปิดให้บริการ 2 สายก่อน คือสายสีแดงและสายสีม่วง มาดูกันว่าในปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้งสองสายนี้ขนผู้โดยสารวันละเท่าไหร่ มีรายได้มากน้อยเพียงใด สายสีแดงหรือสายสีม่วงขาดทุนมากกว่า?

1. รถไฟฟ้าสายสีแดง
รถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นการลงทุนทั้งหมดโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีเส้นทางจากบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กิโลเมตร และจากบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งหมด 41 กิโลเมตร ค่าโดยสารในปัจจุบัน 12-42 บาท 

จากข้อมูลการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 พบว่า

(1) ผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน 19,611 คน
(2) รายได้เฉลี่ยต่อวัน 0.59 ล้านบาท
(3) ค่าจ้างบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) ให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาต่อวัน 1.31 ล้านบาท
(4) ขาดทุนเฉลี่ยต่อวัน 0.72 ล้านบาท

2. รถไฟฟ้าสายสีม่วง
รถไฟฟ้าสายสีม่วงเป็นการลงทุนทั้งหมดโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีเส้นทางจากเตาปูน-บางใหญ่ ระยะทาง 23 กิโลเมตร ค่าโดยสารในปัจจุบัน 17-42 บาท 

จากข้อมูลการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 พบว่า

(1) ผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน 56,255 คน
(2) รายได้เฉลี่ยต่อวัน 1.41 ล้านบาท
(3) ค่าจ้างบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาต่อวัน 7.39 ล้านบาท
(4) ขาดทุนเฉลี่ยต่อวัน 5.98 ล้านบาท

3. ในปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงขาดทุนรวมกันวันละเกือบ 7 ล้านบาท! รถไฟฟ้าสายสีแดงขาดทุนวันละ 0.72 ล้านบาท ในขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงขาดทุนมากกว่า โดยขาดทุนถึงวันละ 5.98 ล้านบาท รวมทั้งสองสายขาดทุนวันละ 6.7 ล้านบาท

4. ถ้าเก็บ 20 บาท ตลอดสาย จะขาดทุนหนักขึ้น!!
รมว.คมนาคม บอกว่าจะเร่งผลักดันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เฉพาะสายสีแดงและสายสีม่วงเป็นสายนำร่องให้ได้ภายใน 3 เดือน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้ผู้โดยสาร กรณีนี้หากผู้โดยสารจ่าย 20 บาท เพื่อใช้สายสีแดง (หรือสายสีม่วง) เมื่อเปลี่ยนไปใช้สายสีอื่นจะต้องจ่ายค่าโดยสารเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าโดยสารของสายนั้น ๆ 

การเก็บ 20 บาท ตลอดสาย แต่ไม่สามารถใช้ข้ามสายได้ จะไม่ทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาก และจะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้โดยสารที่ในปัจจุบันจ่ายค่าโดยสารต่ำกว่า 20 บาท โดยเฉพาะผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งจ่ายเริ่มต้นเพียง 12 บาท เท่านั้น

เมื่อมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นไม่มาก รายได้จากค่าโดยสารก็จะต่ำกว่าเดิม เป็นผลให้รถไฟฟ้าทั้งสองสายขาดทุนหนักขึ้น

5. สรุป
เห็นด้วยกับการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง แต่ก่อนเริ่มใช้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย รมว.คมนาคม จะต้องรู้ว่ารัฐจะต้องสูญเสียรายได้ไปเท่าไหร่? คุ้มหรือไม่กับประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีผู้ใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น? และที่สำคัญจะมีผู้ใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกี่คน?

‘ยูเครน’ เละ!! หลังเปิดฉากทำสงครามกับ ‘รัสเซีย’ โครงสร้างพื้นฐานเสียหายกว่า 1.51 แสนล้านดอลลาร์ฯ

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 66 สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์-ยูเครน อ้างอิงผลการศึกษาล่าสุดจากสถาบันเคียฟ สคูล ออฟ อีโคนิมิกส์ (Kyiv School of Economics) เผยว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งกำลังดำเนินอยู่ได้สร้างความเสียหายทางตรงต่อโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน คิดเป็นมูลค่า 1.51 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.59 ล้านล้านบาท) เมื่อนับถึงสิ้นเดือนกันยายน 2023

การศึกษาพบว่าภาคส่วนที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบมากที่สุดจากความขัดแย้งครั้งนี้ โดยมีบ้านส่วนบุคคล อาคารอะพาร์ตเมนต์ และหอพักประมาณ 167,200 หลังถูกทำลายหรือเสียหายจากสงคราม

นับตั้งแต่เริ่มมีการเผชิญหน้า สนามบินและสนามบินพลเรือน 18 แห่ง รวมถึงสะพานและสะพานลอย 344 แห่งในยูเครนได้รับความเสียหาย ขณะกลุ่มสถานประกอบการขนาดใหญ่และขนาดกลางอย่างน้อย 426 แห่งได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

‘BDMS’ ทุ่ม 300 ล้าน สร้าง ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ ให้บริการรังสีรักษาแห่งแรกในภูเก็ต-อันดามัน

(6 ต.ค. 66) นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ (Phuket Cancer Center) ศูนย์รังสีรักษาแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่อันดามัน โดยมี สื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ จ.ภูเก็ต

นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นและที่มาของศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) ว่า ปัจจุบันแม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ประชาชนมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น แต่ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ปี 2564 พบว่า โรคมะเร็งและเนื้องอก คือ สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับสูงสุดตลอด 23 ปีที่ผ่านมา

โดยในแต่ละปีอัตราดังกล่าวยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่ BDMS Phuket ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ และโรงพยาบาลดีบุก เป็นเครือข่ายสถานพยาบาลที่ดูแลสุขภาพชาวภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน จึงได้มีการติดตามตัวเลขสถิติผู้ป่วยมะเร็งอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด พบว่า สถิติผู้ป่วยมะเร็งภาคใต้ ที่มีภูมิลำเนาในเขตสุขภาพ 11 ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ระนอง และภูเก็ต ในเพศชายจะเป็น (Top 3) เพศหญิง (Top 3) ซึ่งโรคมะเร็งดังกล่าวจำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยการฉายรังสีร่วมด้วยทั้งสิ้น แต่เนื่องจากศูนย์ให้บริการรังสีรักษาตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกเป็นหลัก จึงทำให้คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจดำเนินโครงการ ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ (Phuket Cancer Center) ขึ้น เพื่อให้คนภูเก็ตและในพื้นที่อันดามันได้เข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสนับสนุนยุทธศาสตร์ Medical and Wellness Destination ของจังหวัดภูเก็ตในฐานะที่เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อีกด้วย”

ศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2566 ณ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ ภายใต้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ในพื้นที่ 1,030 ตารางเมตร ออกแบบภายใต้แนวคิดสิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา (Healing Environment) เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึกผ่อนคลาย ประกอบด้วยห้องให้คำปรึกษา โดยแพทย์รังสีรักษาเฉพาะทางใช้เทคโนโลยีการวางแผนการรักษาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography Simulator) และให้บริการรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีด้วยการเร่งอานุภาพ (LINAC Accelerator) เครื่องให้รังสีระยะสั้น (High Dose Rate Brachytherapy) และห้องประชุมออนไลน์ ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Teleconference) สำหรับวางแผนการรักษาร่วมกับโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2567

"โรคมะเร็งเป็นภาวะเจ็บป่วยที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว เพื่อควบคุมระยะและการแพร่กระจายของโรค แต่ด้วยขั้นตอนการส่งตัวตามระบบเครือข่าย และความหนาแน่นของปริมาณผู้ป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาลทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาได้โดยเร็ว ซึ่งศูนย์มะเร็งภูเก็ต มีนโยบายดูแลผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษา ประกอบด้วย ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม ตลอดจนจะเข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่อันดามัน ให้สามารถเข้ารับการรักษาตัว ณ ศูนย์มะเร็งภูเก็ต ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปรักษาไกลบ้านอีกต่อไป สำหรับประชาชนคนไทยที่ไม่ถูกคุ้มครองภายใต้สิทธิการรักษาข้างต้น สามารถอุ่นใจได้ เนื่องจากค่าบริการของศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) จะอยู่ในอัตราเทียบเท่าหรือใกล้เคียงโรงพยาบาลภาครัฐ" นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในการจัดตั้งศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) ว่า ด้วยประสบการณ์การเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มีแผนในการขยายการบริการของศูนย์มะเร็งไปจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์มะเร็งภูเก็ตเป็นหนึ่งในโครงการดังกล่าว โดยโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ได้ให้การสนับสนุน ตั้งแต่การฝึกประสบการณ์ด้านการรักษาให้แก่ทีมแพทย์รังสีรักษา พยาบาลรังสีรักษา นักฟิสิกส์ และนักรังสีเทคนิค ไปจนถึงการร่วมออกแบบตัวอาคาร กระบวนการบริการที่คำนึงถึงประสบการณ์ที่ดีของผู้รับบริการ การเลือกเครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์มะเร็งภูเก็ต จะเป็นศูนย์รังสีรักษาที่ทำให้คนภูเก็ต และพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้ารับบริการได้อย่างทันท่วงที อันจะช่วยส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘ทบ.’ รับ มือกราดยิงพารากอน ใช้สนามยิงปืนของ นรด.ซ้อมยิงจริง ยัน!! ผู้ก่อเหตุไม่ใช่สมาชิก คาดมีคนพาเข้า พร้อมสั่งสอบ จนท.สนามแล้ว

(6 ต.ค. 66) ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ทบ.) ได้เผยแพร่เอกสารข่าวกรณีเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงที่สยามพารากอน เมื่อ 3 ต.ค. 66 โดยได้ปรากฏคลิปวิดีโอในสังคมออนไลน์ เป็นภาพของผู้ต้องหา ขณะทำการซ้อมยิงปืนในสนามยิงปืน ที่คาดว่าเป็นสนามยิงปืนในหน่วยทหาร จากการตรวจสอบพบว่า เป็นสนามยิงปืนของหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.)

ซึ่งสนามยิงปืนแห่งนี้ได้เปิดบริการให้แก่สมาชิกของสนามยิงปืนได้เข้ามาฝึกซ้อม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม กีฬายิงปืน รวมถึงเพื่อฝึกฝนการใช้อาวุธปืนให้กับกำลังพลและบุคคลทั่วไปที่สนใจ โดยระเบียบของสนามยิงปืนแห่งนี้ อนุญาตให้สมาชิกสามารถนำบุคคลอื่นที่สมาชิกรับรองมาใช้บริการที่สนามยิงปืนได้ และต้องปฏิบัติตามกฎของสนามยิงปืนอย่างเคร่งครัด

จากการตรวจสอบรายชื่อสมาชิกพบว่า ผู้ต้องหาไม่ได้เป็นสมาชิกของสนามยิงปืน จึงสันนิษฐานว่า มีสมาชิกคนอื่นพาเข้ามา รวมถึงเมื่อตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดย้อนหลัง จนถึงวันที่มีข้อมูลบันทึกไว้เป็นเวลา 10 วัน ไม่พบภาพของผู้ต้องหาดังกล่าว

“ปัจจุบันทางหน่วยกำลังตรวจสอบไปยังเจ้าหน้าที่ในสนามยิงปืนทั้งหมด เพื่อรวบรวมข้อมูลการเข้าใช้สนามยิงปืนของผู้ต้องหาดังกล่าว ทั้งนี้ กองทัพบกได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

‘คามิกาวะ โยโกะ’ รมว.กต.ญี่ปุ่นคนใหม่ เตรียมเยือนไทย 12-13 ต.ค.นี้ จ่อหารือด้านความร่วมมือ-แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างประเทศทุกมิติ

(6 ต.ค. 66) ‘กระทรวงการต่างประเทศ’ ประกาศการเยือนไทยของ ‘นางคามิกาวะ โยโกะ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นว่า นางโยโกะมีกำหนดเดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 12-13 ตุลาคมนี้

โดยในโอกาสนี้ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและกรอบพหุภาคี และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน

การเยือนครั้งนี้ นับเป็นการเดินทางเยือนประเทศไทยครั้งแรกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top