Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

‘ไทย’ ครองแชมป์!! ‘พลเรือน’ ครอบครอง ‘ปืน’  มากสุดในอาเซียน

ชวนย้อนดูสถิติ ไทยครองแชมป์ ‘พลเรือนครอบครองปืน’ มากที่สุดในอาเซียน

การครอบครอบครองปืนในไทยกว่า 10.3 ล้านกระบอก มากเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และอยู่อันดับที่ 13 ของโลก และพบว่า ปืนที่ครอบครองอยู่ เป็นปืนที่มีทะเบียน 7 ล้านกระบอก และปืนไม่มีทะเบียน 6 ล้านกระบอก และสัดส่วนการครอบครองปืน คือ ประชาชน 100 คน มีปืน 15 คน

‘NRPT’ จับมือ ‘ION’ เดินเครื่องโรงงาน Plant & Bean (Thailand) ปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตโปรตีนจากพืชด้วยพลังงานโซลาร์ 

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท เอ็นอาร์พีที จำกัด ร่วมกับ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด เดินเครื่องกำลังการผลิตโปรตีนจากพืชด้วยพลังงานโซลาร์ ขนาดติดตั้ง 389.61 kWp โดยผ่านการทดสอบระบบแล้ว 3 เดือน ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 800 kWh ต่อวัน สร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งความยั่งยืน ตั้งแต่การผลิตด้วยพลังงานสะอาด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเดือนละ 27 ตัน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ถึง 30% สร้างความได้เปรียบในการควบคุมต้นทุนการผลิต พร้อมช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืช ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผยว่า โรงงาน Plant & Bean (Thailand) ของ NRPT เป็นโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 25,000 ตันต่อปี โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการระยะแรก ไตรมาส 4 ปี 2566 ที่กำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี สายการผลิตของโรงงานถูกออกแบบเป็นกึ่งอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งเน้นในเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ดังนั้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในกระบวนการผลิต นอกจากจะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโรงงาน ยังช่วยลดภาระค่าไฟได้มากถึง 30% ต่อเดือน เป็นการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานที่จะทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ และได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่ต้องการการดูแลทางด้านโภชนาการได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้นตามเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. ที่ต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายเกียรติ์กมล ตั้งงามจิตต์ กรรมการผู้จัดการ โรงงานแพลนท์ แอนด์ บีน (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การผลิตด้วยพลังงานสะอาดนี้ช่วยให้โรงงานของ NRPT สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้เดือนละ 27 ตัน ซึ่งคาดว่าภายใน 1 ปีจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 324 ตัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการผลิตมาสู่พลังงานสะอาดในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดของ NRPT ในฐานะผู้ผลิตอาหารเพื่อความยั่งยืน ถือเป็นจุดเริ่มต้นการกำหนดรูปแบบธุรกิจที่มุ่งสู่การลดคาร์บอนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทั้งจากการผลิตด้วยพลังงานจากโซลาร์เป็นการลดคาร์บอนโดยตรงแล้ว การส่งเสริมให้ผู้คนหันมาบริโภคโปรตีนจากพืช ก็เป็นอีกวิธีลดคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกระบวนการผลิตอาหารปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 30% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากการผลิตเนื้อสัตว์ ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานอำนวยการ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด หรือ ION ผู้จัดหาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาแผงโซลาร์ การออกแบบและติดตั้ง รวมถึงการลงทุนติดตั้งโซลาร์ฟรี ผ่านการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟภาคเอกชน หรือ Private PPA เปิดเผยว่า ION ได้ส่งมอบโครงการติดตั้งระบบพลังงานโซลาร์ครบวงจรขนาดติดตั้ง 389.61 Kilowatt Peak (kWp) ให้กับโรงงาน Plant & Bean (Thailand) โดยก่อนทำการส่งมอบงานในครั้งนี้ได้ผ่านช่วงทดสอบระบบมาแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย. - กลางเดือน ก.ย. 2566 พบว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ให้กับโรงงานได้สูงสุดวันละ 800 kWh หรือคิดเป็น 60% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่โรงงานต้องใช้ในแต่ละวัน สามารถครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันได้เกือบ 100% โดยการให้บริการของ ION จะมีระบบเชื่อมต่อระหว่างการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์และการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าในช่วงกลางคืนอย่างไม่มีสะดุด เพื่อให้โรงงานสามารถเดินหน้าระบบสายการผลิตได้อย่างต่อเนื่องทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน รวมถึงมีแอปพลิเคชัน ION Energy ที่สามารถตรวจสอบระบบการทำงาน ควบคุมการทำงาน รวมถึงสามารถตรวจสอบค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

‘ตำรวจ’ บุกรวบ ‘2 พ่อค้า’ ขายปืน-กระสุน ให้เด็กวัย 14 ปี ก่อนไปก่อเหตุที่พารากอน เตรียมนำตัวสอบปากคำที่กรุงเทพฯ

(5 ต.ค. 66) จากกรณีโศกนาฏกรรม เยาวชนวัย 14 ปี ได้ก่อเหตุกราดยิงในศูนย์การค้าสยามพารากอน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก ตามที่ได้เสนอไปแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เตรียมออกหมายจับ 3 บุคคล ที่จำหน่ายปืน และกระสุนให้กับผู้ก่อเหตุวัย 14 ปี โดยเป็นการขายให้ผ่านโซเชียลมีเดีย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจจับตัวผู้ขายอาวุธปืนและอาวุธได้แล้ว 2 ราย ที่จังหวัดยะลา กำลังนำตัวเข้าสอบปากคำที่กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ พบว่าผู้ก่อเหตุยิงวัย 14 ได้ซื้อปืนกล็อก 19 จาก นายสุวรรณหงษ์ (สงวนนามสกุล) หลังจากโอนเงินนั้น บัญชีดังกล่าวมีการถอนเงินที่ตู้ ATM ปั๊ม ปตท.บจก.ยะลาออยล์ พบว่านายสุวรรณหงษ์ ทำธุรกรรมด้วยตนเอง จึงได้ออกหมายและประสานชุดสืบสวน ภ. 9 จับกุมดำเนินการ หลังหมายจับออกเมื่อคืนนี้ ขณะที่ผู้ต้องหาอีกราย ชื่อ นายอัครวิชญ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี เป็นชาวจ.ยะลา เช่นกัน

‘Apple’ เปิดให้อัปเดต iOS 17.0.3 แก้ปัญหาเครื่องร้อน พร้อมปรับปรุงระบบหวังเสริมความปลอดภัยในการใช้งาน

(5 ต.ค. 66) ‘แอปเปิล’ (Apple) เปิดให้ผู้ใช้ไอโฟน (iPhone) อัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 17.0.3 แล้ว ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาอุปกรณ์เกิดความร้อนระหว่างใช้งานมากเกินไป

ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ iPhone 15 Pro และ Pro Max บางส่วนได้ออกมาแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับการที่ด้านข้างหรือด้านหลังของอุปกรณ์จะร้อนมากขณะเล่นเกม พูดคุยโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลผ่าน FaceTime ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายผิดหวัง

ทั้งนี้ Apple ได้ออกมาชี้แจงว่า สาเหตุที่ทำให้อุปกรณ์ร้อนมาจากข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์และการทำงานของแอปพลิเคชันในเครื่องที่มากเกินไป โดยอุปกรณ์อาจร้อนขึ้นในช่วง 2-3 วันแรก เนื่องจากต้องทำงานเพื่อตั้งค่าและกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวกับการใช้วัสดุไทเทเนียมในการออกแบบอีกด้วย

นอกจากนี้ iOS 17.0.3 ยังได้รับการปรับปรุงด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาช่องโหว่จากเคอร์เนลและ WebRTC ด้วย บริษัทจึงแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันนี้

อย่างไรก็ตาม Apple ยืนยันว่าการอัปเดต iOS 17.0.3 จะไม่ทำให้การทำงานของชิป A17 Pro ขุมพลังสำคัญของ iPhone 15 ซีรีส์ Pro ช้าลง

ธปท. สำนักงานภาคเหนือ จับมือ บสย. จัดโครงการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs และเปิดโครงการหลักสูตรความรู้ทางการเงินออนไลน์

นางพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร โดยมีผู้แทนร่วมงานได้แก่ นางดุสิดา ทัพวงษ์ รองผู้จัดการทั่วไปอาวุโส บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายอาคม ศุภางค์เผ่า ประธานสมาพันธ์ SMEs ส่วนภูมิภาค และ ดร.กอบกิจ อิสรชีววัฒน์ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดโครงการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs ภายใต้ความร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โดย บสย. F.A. Center และ โครงการหลักสูตรความรู้ทางการเงินออนไลน์เพื่อผู้ประกอบการ SME ภายใต้ความร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย และหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ โดยหลักสูตรดังกล่าวประกอบด้วย หัวข้อการตรวจสุขภาพธุรกิจด้วยงบการเงิน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน หลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ และภัยทางการเงิน ซึ่งเหมาะกับผู้ประกอบการและประชาชน ผู้สนใจสามารถเข้าเรียนผ่านแพลตฟอร์ม FinDi Platform (findi.tbac.or.th) และ CCA Academy

สำหรับหลักสูตรความรู้ทางการเงินออนไลน์เพื่อผู้ประกอบการ SME เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากความร่วมมือกันจัดอบรมหลักสูตรออนไลน์ “Fin Lit : SMEs Power up” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2564 โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมหลักสูตรจำนวนหลายร้อยราย ได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและการเงิน เช่น การดูงบการเงิน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเกณฑ์การพิจารณาให้สินเชื่อ 

ซึ่งนอกจากการจัดอบรมออนไลน์แล้ว ในวันนี้ ได้มีการเสริมความรู้ด้านการเตรียมพร้อมก่อนกู้เงิน การจัดทำบัญชี CEO  และ PrompBiz: Game Changer ของภาคธุรกิจไทย เป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ได้รับความรู้และคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ เปิดให้บริการ ‘ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปอีสาน’ ช่วยลดต้นทุน - เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง - มุ่งเป้า Net Zero

เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ประกาศเปิดให้บริการ ‘ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ’ อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ซึ่งเอ็กโก กรุ๊ป ถือหุ้นในสัดส่วน 44.6% โดยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสนับสนุนการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมเสริมทัพธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคของเอ็กโก กรุ๊ป

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมาช่วยเสริมทัพธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคของเอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

โดยคาร์บอนเครดิตจะเป็นของผู้มาใช้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อและคลังน้ำมันของ TPN และยังสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของเอ็กโก กรุ๊ป ในการบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (ปี ค.ศ.2050)

นอกจากนี้ โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งลดปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุบนถนน

TPN ดำเนินธุรกิจให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและให้บริการคลังน้ำมัน โดยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีระยะทางรวม 342 กิโลเมตร และมีกำลัง การขนส่งสูงสุดต่อปีอยู่ที่ 5,443 ล้านลิตร ซึ่งจะเชื่อมต่อคลังน้ำมันของ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) ในจังหวัดสระบุรี ไปยังคลังน้ำมันขนาด 157 ล้านลิตร ของ TPN ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นคลังที่มีความทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีรถน้ำมันของกลุ่มลูกค้าบริษัทค้าปลีกน้ำมันชั้นนำของประเทศใช้บริการและมารับน้ำมันออกแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 

รมว.แรงงาน “พิพัฒน์” ต้อนรับ ภาคเอกชน หารือพัฒนาทักษะแรงงาน ป้อนตลาดดิจิทัล

วันที่ 5 ตุลาคม 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ ดร.ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส Sea (ประเทศไทย) คุณดนุภณ ศรีเมฆ Head of Government Affairs Garena (ประเทศไทย) และคณะ ในโอกาสเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อเยี่ยมคารวะและปรึกษาหารือถึงความร่วมมือในการพัฒนาผลักดันทักษะด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ โดยมี นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นาย พร้อมด้วย นายนิธิภัทร ศรีธัญญา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน     

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า จากการหารือร่วมกับผู้บริหารบริษัท Sea ถึงความร่วมมือในการพัฒนาผลักดันทักษะด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ในวันนี้ ซึ่งในเรื่องนี้ท่านเศรษฐา ทีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการ Up Skill กำลังแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ และในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมได้ให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานไปเทรนน้องๆ นักเรียน นักศึกษาที่จบการศึกษาแล้วต้องการ Up Skill/Re Skill เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่อาชีพและให้ได้ค่าจ้างที่สูงขึ้น เพราะขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวมีความต้องการแรงงานอีกมาก จึงเป็นโอกาสดีในการหารือในวันนี้ เพื่อจะให้มีแนวทางทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่เป้าหมายในการผลิตกำลังคนดิจิทัลโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไปสู่ตลาดแรงงานต่อไป
    
ด้าน ดร.ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัท Sea Limited เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์ม สำหรับผู้บริโภค ผู้ดำเนินธุรกิจหลัก 3 ด้าน คือ การีนา ช้อปปี้ และ ซีมันนี่ โดยบริษัทมี Sea Academy ซึ่งเป็นหน่วยงานที่พัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ 3 ด้าน คือ เกมและอีสปอร์ต อีคอมเมิร์ซ และการเงินดิจิทัล ซึ่งจากการหารือในวันนี้บริษัทขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานอย่างยิ่งและยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานโดยเฉพาะแรงงานคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเกม ธุรกิจอีสปอร์ต รวมถึงการจัดการการเงินและตลาดออนไลน์ ซึ่งภายหลังจากการหารือในวันนี้จะได้ประสานความร่วมมือในการพัฒนาทักษะแรงงานด้านดิจิทัลให้ตรงกับความต้องการแรงงานต่อไป 

‘3 นักวิทย์’ ผู้ค้นพบ ‘ควอนตัมดอท’ วัสดุแห่งอนาคต ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี 2023

เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 66) Royal Swedish Academy of Sciences ได้ตัดสินให้รางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี 2023 ตกเป็นของ Moungi G. Bawendi, Louis E. Brus และ Alexei I. Ekimov จากผลงาน ‘การค้นพบและการสังเคราะห์ควอนตัมดอท’

ควอนตัมดอท (Quantum dots) เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากในระดับนาโนเมตร (10^-9 m) ซึ่งมีคุณสมบัติที่น่าทึ่งและน่าสนใจมากมาย โดยขนาดที่แตกต่างกันจะเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของพวกมัน ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือ ควอนตัมดอทจะมีสีที่แตกต่างกันขึ้นกับขนาดของตัวมันเอง

ควอนตัมดอทมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาทางด้านนาโนเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันมีการนำไปประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย เช่น เทคโนโลยีการแสดงผล (display technology) ทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ การพิมพ์ภาพทางชีวภาพ (bioimaging) เพื่อระบุตำแหน่งและติดตามเซลล์รวมถึงสารชีวโมเลกุลภายในร่างกาย เซ็นเซอร์ทางชีวภาพ (biological sensors) ตัวนำสารเคมีเพื่อไปรักษาเฉพาะจุด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ควอนตัมดอทเป็นแหล่งกำเนิดโฟตอนเดี่ยวสำหรับการทดลองทางควอนตัม ฯลฯ

ความสำเร็จของผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีทั้ง 3 ท่านในครั้งนี้ นับเป็นแรงกระเพื่อมที่สำคัญให้เกิดการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมดอท โดยนักวิจัยต่างเชื่อว่าวัสดุแห่งอนาคตชนิดนี้จะนำประโยชน์มหาศาลมาสู่มวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน

BRICS มหาอำนาจน้ำมันใหม่ กดดัน 'ดอลลาร์' สูญค่า!!

‘BRICS’ ได้กลายเป็นมหาอํานาจด้านน้ำมันอย่างเป็นทางการของโลกแล้ว ทำให้ตอนนี้ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ต้องสะดุ้งสะเทือน เพราะว่าตําแหน่งของความเป็น reserve currency (สกุลเงินสำรอง) กําลังสั่นคลอน

ปัจจุบันประเทศที่ผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลกก็คือ สหรัฐอเมริกา ผลิตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ของโลก ส่วนในกลุ่มประเทศ G7 ก็มีแคนาดาผลิตได้ 6 เปอร์เซ็นต์ของโลก ทำให้ 2 ประเทศนี้รวมกัน 26 เปอร์เซ็นต์

ทางด้าน BRICS สมาชิกดั้งเดิม ได้แก่ รัสเซีย จีน บราซิล โดย 3 ประเทศนี้ผลิตรวมกันได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และตอนนี้ได้รับสมาชิกเข้ามาใหม่ นําโดยซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน แค่เฉพาะซาอุดีอาระเบีย ก็คือผลิตได้ 12 เปอร์เซ็นต์ อาหรับเอมิเรตส์ 4% อิหร่าน 4% รวมกันผลิตได้ 20 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้นถ้า BRICS ดั้งเดิมรวมกับสมาชิกใหม่ จะผลิตน้ำมันได้ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของโลก เกือบครึ่งหนึ่งของโลก ทำให้ BRICS มีอํานาจในการตั้งราคา กําหนดปริมาณการผลิตน้ำมันทั้งหมด

ซึ่งสิ่งนี้สะเทือน reserve currency ของดอลลาร์สหรัฐ ยังไง?

เดิมทีสหรัฐฯ เคยมีข้อตกลงกับซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 1971 ว่าจะต้องขายน้ำมันให้สหรัฐอเมริกา และทั่วโลก โดยใช้เงิน ‘ดอลลาร์’ เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกันว่า สหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือด้านการทหาร อาวุธ แปลว่าถ้าใครอยากจะได้น้ำมันก็จะต้องมีเงินดอลลาร์ไว้ในมือ

ซึ่งความต้องการที่แท้จริงของคน คือต้องการน้ำมัน ไม่ใช่ดอลลาร์ จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนจําเป็นจะต้องมีดอลลาร์เป็นสกุลเงินสํารองระหว่างประเทศ เหมือนดูจากแนวโน้มในช่วงนี้แล้ว เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังหมดความสำคัญลงเรื่อย ๆ

เหตุผลที่สนับสนุนเรื่องนี้คือ ปัจจุบันซาอุดีอาระเบีย ไม่ได้อยากจะพึ่งพาดอลลาร์แล้ว โดยเลือกทิ้งบอนด์ของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ และเริ่มทำมาแล้วตั้งแต่ปี 2020 หรือ 3 ปีมาแล้ว และที่สําคัญประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย ซื้อน้ำมันจาก UAE ด้วยเงินรูปี โดยซื้อมากถึง 1 ล้านบาร์เรล ส่วนจีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียเป็นเงินหยวนอยู่แล้ว

และรายงานจากบลูมเบิร์กได้ระบุว่ายังมีอีก 24 ประเทศทั่วโลกที่อยากจะเข้าเป็นสมาชิกของ BRICS ซึ่งหนึ่งในนั้นมี ‘ประเทศไทย’ ด้วย

ชาวเน็ตชำแหละพฤิตกรรม ‘พิมรี่พาย’ ชี้ ติดในบ่วงของ ‘อีโก้’ ขั้นวิกฤต เผย จุดที่น่ากลัวที่สุดของ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ คือจุดที่ใครก็เตือนไม่ได้

เมื่อไม่นานนี้ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเป็นอย่างมากจากกรณีที่ ‘พิมรี่พาย’ แม่ค้าขายของออนไลน์ชื่อดัง เกิดอาการคล้ายคนสติหลุด และโวยวายใส่พนักงานกลางไลฟ์สดขณะที่กำลังทำการขายสินค้าอยู่

ล่าสุด ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่งชื่อ ‘gikgok999’ ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น รวมถึงได้วิเคราะห์พฤติกรรมของพิมรี่พายเบื้องต้น โดยระบุว่า…

‘พิมรี่พาย’ หลงเข้าไปอยู่ในจุดที่น่ากลัวที่สุด สําหรับการเป็น ‘อินฟลูเอนเซอร์’ นั่นคือ ‘การมีอีโก้’

จากกรณีที่พิมรี่พายเกิดอาการคล้ายคนสติหลุดกลางไลฟ์สด และโวยวายใส่พนักงาน ทุ่มสินค้าเพื่อระบายอารมณ์ นำลิปสติกมาเขียนฟัน หรือใช้น้ำมันมาราดที่ใบหน้า เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสินค้าที่กำลังจะขาย โดยต้นเหตุคาดว่า อาจมาจากการที่ลูกน้องขึ้นรหัสสินค้าผิดตามที่ปรากฏในข่าว

จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นดูผิดปกติจากมนุษย์ทั่วไป หากลองวิเคราะห์เชิงมนุษยศาสตร์ดูแล้ว คุณพิมรี่พายกำลังหลงใหลในอีโก้ ตัวตน และชื่อเสียงที่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมา ในช่วงก่อนหน้านี้ ผู้คนอาจจะนิยมชมชอบในตัวของเขา และสังคมต้องการคนแบบพิมรี่พายที่คอยมอบความบันเทิงให้ อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าขายจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ทำรายได้ให้ตัวเองได้มากกว่าร้อยล้านพันล้านบาท นอกจากนี้ยังนำไปแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้ สร้างกิจกรรมดีๆ คืนกำไรให้สังคมอย่างมากมาย นี่คือ ‘พิมรี่พาย’ คนเดิมที่เรารู้จัก

แต่ตอนนี้เธอกําลังทําให้ตัวเองถูกด้อยค่า ไม่มีใครสามารถมาลดทอนคุณค่าในตัวเธอได้ นอกจากตัวเธอเอง ไม่ว่าจะเป็นการเอาลิปสติกมาทาฟัน เอาน้ำมันพืชมาเทราดหน้า หรือการกรีดร้อง ด่าทอลูกค้าเสียๆ หายๆ การตัดพ้อและทําลายข้าวของผ่านไลฟ์สด ซึ่งในจุดนี้ หากเธอมั่นใจว่าตัวเองมีดีจริงๆ เธอจะไม่ล้ม แต่เธอล้ม และเธอเองก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่ทําลงไปนั้น ส่งผลให้เสียฐานแฟนคลับไปเป็นจำนวนมากในช่วงทึ่ผ่านมา จนในหลายๆ ครั้ง ก็อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกข้องใจ หรืออึดอัดใจแก่ผู้ชมไลฟ์ ทำให้เกิดคำถามมากมายตามมาว่า พิมรี่พายยังไหวไหม? เขามีปัญหาอะไรในชีวิตหรือไม่? หรือเงินทุนกำลังจะหมด? หรือเสียความนิยมเหรอ ถึงต้องลงทุนทำขนาดนี้เพื่อให้เป็นกระแส

สิ่งที่พิมรี่พายควรทํา คือต้องปรับตัวตามยุคสมัย ต้องลดความแรงลง ทั้งในแง่ของการกระทำ อากัปกิริยา และคำพูดที่ใช้ ต้องปรับปรุงใหม่ทั้งหมด และควรปรับเปลี่ยนรูปแบบคอนเทนต์ให้มุ่งเน้นไปในทางให้บริการชุมชน ทำคุณประโยชน์แก่สังคม แบ่งปันสิ่งที่มีให้ผู้คนเมื่อคุณมีมากพอจนเหลือกินเหลือใช้

ที่คุณกลายเป็นคนมีชื่อเสียงได้ดั่งเช่นทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะมวลชนให้การสนับสนุนคุณมาตลอด คุณควรตระหนักถึงสิทธิพิเศษที่มวลชนมอบให้ ฐานเสียงแฟนคลับ ยอดผู้ชมไลฟ์ ยอดผู้ติดตามคอนเทนต์ ผู้คนให้ความนับถือคุณ คุณไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรู้จัก มีชื่อเสียง นั่นคือสิ่งที่มวลชนให้สิทธิพิเศษแก่คุณมา มันจึงเป็นสิทธิที่มวลชนจะวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเห็นว่าคุณทำตัวไม่เหมาะสม ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมเช่นกัน ในเมื่อคุณไม่สามารถสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว คุณก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมมากขึ้น รับผิดชอบด้วยการนําเสนอในสิ่งที่เกิดประโยชน์กับมวลชนและสังคม

ความบันเทิงแบบหยาบคายในช่วงก่อนหน้านี้ที่ผู้คนชื่นชอบ ณ ขณะนี้อาจเปลี่ยนไปแล้ว ผู้คนอาจตระหนักได้ว่า พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากการนั่งดูพิมรี่พายขายของผ่านไลฟ์สด โดยพูดจาหยาบคาย และแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่พิมรี่พายที่ได้ผลประโยชน์ เพราะเขารวยขึ้นๆ อย่างเดียว

ยังไม่นับเรื่องดรามา หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนเป็นกระแสในโลกโซเชียล เช่น ดรามาน้ำปลาร้า ที่ไปรังแกคนทำธุรกิจที่ตัวเล็กกว่า โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นก็เคยตัวเล็กมาก่อน

ยกตัวอย่างเช่นอินฟลูเอนเซอร์บางคน เมื่อได้ดีแล้วก็ไม่เคยลืมจุดเริ่มต้นที่เคยยืน ไม่ลืมสิทธิพิเศษอันมีค่าที่มวลชนมอบให้ และเติบโตได้อย่างมั่นคง จนสามารถกลับมาช่วยเหลือคนตัวเล็กได้ และส่งต่อน้ำใจในการแบ่งปันนี้ต่อไปเรื่อยๆ

สิ่งนี้ถือเป็น ‘การจัดการภาวะวิกฤต’ (Crisis management) เป็นการแก้วิกฤต Branding ซึ่งภาพลักษณ์ของพิมรี่พายทั้งในด้านธุรกิจและการวางตัวนั้น ในขณะนี้ต้องขอบอกว่า ‘ป่นปี้’ หมดแล้ว ด้วยการกระทำของตัวเธอเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top