Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

'รศ.ดร.นงนุช' ชี้!! สิทธิมนุษยชนต้องมีขอบเขต แนะ!! ให้เจตนาเป็นตัวตัดสินโทษ ไม่ใช่อายุ

(4 ต.ค. 66) รศ.ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลังและภาษี มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ และ Visiting Academic, School of Electronics & Computer Science, University of Southampton โพสต์เฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สยามพารากอนว่า คำถาม 1 ผู้ก่อเหตุอายุเท่านี้เอาสิ่งที่มีกลไกเดียวกันกับปืนและกระสุนมาจากไหน

คำถาม 2 ทำไมถึงเลือกกราดยิงที่ห้างอย่างพารากอน ในเมื่อถ้าคนจะหยิบปืนไปฆ่าใครซักคน ถ้าไม่เพื่อปล้นทรัพย์ ก็ต้องมีปมกับคนหรืออะไรซักอย่างที่อยู่ในสถานที่ และเป็นที่ ๆ คุ้นเคย

คำถาม 3 ต่อไปนี้ คนเดินห้าง นอกจากต้องพกร่ม ชุดกันฝนในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ยังต้องใส่ชุดกันกระสุนด้วยมั้ย

คำถาม 4 เหตุการณ์แบบนี้ ทำไมเอาอายุมาเป็นประเด็น ในเมื่อคนอายุต่ำกว่านี้ ก็ทำผิดกฎหมายกันเยอะแยะ สิ่งที่ควรคิด ไม่ใช่ว่าเค้าอายุน้อย เลยรู้สึกว่าโลกมันโหดร้ายขึ้น หรือเค้ามีเหตุกดดันอะไรจึงก่อเหตุ แต่มันกำลังบอกว่า

1.คนรู้จักควบคุมความรู้สึกของตัวเองน้อยลง มี EQ ที่ต่ำ

2.ในช่วง 10 กว่าปีมานี้ วัฒนธรรมการสอนในครอบครัว ในสถานศึกษา มีรูปแบบที่มีการผ่อนปรน ลดความรุนแรงและความเครียด มีการเอาพ่อแม่มามีส่วนร่วมในการเรียน มีการสอนด้วยเหตุผลมากขึ้น แต่ก็ยังมีเหตุการณ์แบบวันนี้ เพราะการผ่อนปรนจนละเลยการสอนให้รู้จักกฏระเบียบ รู้จักวินัย รู้จักขอบเขตของสิ่งที่แต่ละคนพึงกระทำได้ และอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่ควร

3.เด็กประถมปีที่ 1-4 สมัยนี้ จัดกระเป๋าไปเรียนเองโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องคอยเตือน มีกี่คน เด็กส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าที่จะสอบน่ะ สอบวิชาอะไร หัวข้ออะไร เนื้อหาเป็นยังไง ข้อสอบเป็นปรนัยหรืออัตนัย ต้องอ่านตรงไหนเป็นพิเศษ คนที่ตอบได้คือพ่อแม่ของเด็ก การประคบประหงมลูกแบบนี้ ไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ การเอาตัวรอด และการรับผิดชอบในหน้าที่

4.ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเด็กประถมกี่คนที่ทำการบ้านเอง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเองทุกวัน…เมื่อพ่อแม่จัดตารางเรียนพิเศษให้ ต้องคอยมีครูประกบตลอด หรือจะต้องมีพ่อแม่คอยเตือนให้ทำการบ้าน อ่านหนังสือ…สภาพแบบนี้ เค้าจะพัฒนาทักษะการมีวินัย การรู้จักกาลเทศะ ได้ยังไง

5.การเล่นเกมไม่ได้ผิดเสมอไปค่ะ เพราะบางเกมมันช่วยพัฒนาสมองพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็ก ถ้าจะโทษต้องย้อนกลับไปถามว่าทำไมเด็กถึงต้องใช้อุปกรณ์อย่าง tablet, smartphone ในวัยเรียน ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่โรงเรียน การที่เด็กมีอุปกรณ์ที่เข้าถึงเกมได้ตลอด มันเป็นช่องทางให้เด็กเข้าถึงเกมที่ไม่เหมาะสมในระหว่างที่ไม่มีผู้ใหญ่ควบคุมการใช้

‘นายกฯ’ โทรสายตรงคุยทูตจีน รายงานสถานการณ์กราดยิงที่พารากอน เชื่อ ไม่กระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ลั่น!! “ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า”

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 66 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ภายหลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกราดยิงที่สยามพารากอน กว่า 40 นาที โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน 3 ราย อาการหนัก 1 ราย

ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอาการปลอดภัย โดยนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวด้วยกัน 4 คน เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย อีก 2 คน ยังไม่เจอตัว แต่ไม่เป็นอะไร ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและตำรวจกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อค้นหาตัวนักท่องเที่ยวทั้ง 2 คน และพามาเจอผู้บาดเจ็บที่เป็นเพื่อนร่วมทริป ซึ่งสภาพร่างกายโอเคแล้ว แต่สภาพจิตใจอยากเจอเพื่อน ซึ่งทาง ททท.ได้ให้ล่ามอยู่ด้วยที่โรงพยาบาลอีก 1 คน เพื่อช่วยเหลือในการติดต่อสื่อสาร และทำให้เกิดความสบายใจขึ้น

“ผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับท่านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อรายงานสถานการณ์ทั้งหมด ซึ่งทูตจีนได้ขอบคุณในความใส่ใจของรัฐบาลไทย และซาบซึ้งใจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินี ทรงรับผู้บาดเจ็บทั้งหมด ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ อีกทั้งทางท่านทูตจีนก็ซึ้งใจและขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้ Take Action ทันที ขั้นตอนต่อไป คือการหาตัวนักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนให้ได้” นายกรัฐมนตรึ กล่าว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรึ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนนั้น ได้ถูกนำตัวแยกกักไว้ ดูแลตามสิทธิ์ของเยาวชน มีทั้งแพทย์และจิตแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ห่วงว่าจะกระทบกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เราจะให้ความระมัดระวังสูงสุด ขณะที่สถานที่เกิดเหตุ ก็ได้ทำงานประสานพูดคุยกับทางตำรวจ ซึ่งทาง ผบ.ตร.รายงานว่าทั้งหมดเป็นไปตามมาตรการ ทั้งการอพยพ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทั้งหมด หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก ส่วนการสร้างความเชื่อมั่นหลังจากนี้ก็ทำอยู่ตลอด เพราะเราให้ความสำคัญสูงสุด

เมื่อถามว่า ได้มีการกำชับทาง ผบ.ตร. และโรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากทุกคนทราบหน้าที่อยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของโรงพยาบาลก็ดูแลคนไข้อย่างเต็มที่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเองก็อยู่ที่นี่ คณะแพทย์และพยาบาลต่างก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเจ้าหน้าที่ติดตามค้นหาค้นหานักท่องเที่ยว เพื่อนร่วมทริปของผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ล่าสุดได้มีการพบตัวทั้ง 2 คนแล้ว ซึ่งปลอดภัยดี โดยมีผู้ช่วยกงสุลจีนประจำประเทศไทย เข้ามารายงานสถานการณ์ให้นายกรัฐมนตรีที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยด้วยว่า ทางการมาเลเซียได้ต่อสายพูดคุย สอบถามถึงสถานการณ์ เนื่องจากมีบุคคลในราชวงศ์ของมาเลเซียเดินทางมาที่ประเทศไทย ซึ่งได้ยืนยันว่า สถานการณ์คลี่คลายและปลอดภัยแล้ว

ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า กำหนดการในวันพรุ่งนี้ (4 ต.ค.) เวลา 10.30 น. ในการเป็นประธานในพิธีเปิด ‘SCBX NEXT TECH’ เทคคอมมูนิตี้แห่งโลกอนาคต ณ ชั้น 4  ศูนย์การค้าสยามพารากอน ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ยังคงมีเหมือนเดิม พร้อมกล่าวว่า “ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในการแก้ปัญหา”

'ไทยเบฟฯ' สานต่อ!! 'ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน' ปีที่ 7  ชูแนวคิด เกาะติดเทรนด์แฟชัน ใส่ได้ทุกเพศและทุกวัย

(4 ต.ค. 66) บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เครือข่ายบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม ทั่วประเทศ ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา และ ภาคเอกชน ดำเนินโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากจุดเริ่มต้นของโครงการในปี พ.ศ. 2559 ภายใต้การทำงานของคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการร่วมกันพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ของชุมชนในชนบท โดยมี บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับ กรกิจเพื่อสังคม ทั่วประเทศ ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา ผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าขาวม้าทอมือ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้และพัฒนาทักษะอาชีพให้กับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทั่วประเทศ ที่ริเริ่มโครงการโดย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมี คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะกรรมการ โครงการ ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ที่เป็นผู้ริเริ่มและหัวเรือหลักในการดำเนินงานมาตั้งแต่ต้น และเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง สร้างความภาคภูมิใจในการสืบสาน และต่อยอดหัตถกรรมพื้นบ้านให้เกิดความยั่งยืน

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย กล่าวว่า งาน ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ ครั้งนี้นับเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และในปีนี้มีความพิเศษกว่าปีก่อน ๆ โดยกิจกรรมของเราได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงาน Sustainability Expo 2023 (SX 2023) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 8 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นมหกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด ‘พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก’

โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย และ ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ คือการสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของผ้าขาวม้าในเชิงศิลปวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เฟ้นหาอัตลักษณ์ของผ้าขาวม้าจากชุมชนต่าง ๆ และเสริมสร้างผ้าขาวม้าทอมือให้มีความโดดเด่นพร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าให้มีความหลากหลายและตรงต่อความต้องการของตลาดเพื่อสร้างอาชีพและเสริมสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน

อีกทั้ง ยังเป็นการอนุรักษ์ มรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) ที่มีคุณค่าจากฝีมือของมนุษย์ อาทิ การนำเส้นใยและสีธรรมชาติมาใช้กับการย้อมผ้าขาวม้า และการรวมพลังคนรุ่นใหม่ของ Creative Young Designer ให้มาร่วมสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือกับกลุ่มนักศึกษา ซึ่งนอกจากต่อยอดความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า ของใช้ ของที่ระลึก ของชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือให้มีความทันสมัยแล้ว ยังมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาด้านการตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมผ้าขาวม้าทอมือ เพิ่มศักยภาพ การผลิตและต่อยอดทางธุรกิจให้แก่ชุมชนผ้าขาวม้า ด้วยแนวคิดในการออกแมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เครือข่ายบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหบบใหม่ ๆ ผ่านการดูแลและให้คำปรึกษา (Coaching) และทำงานร่วมกับชุมชนก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม

ทั้งนี้ชุมชนจะได้รับผลิตภัณฑ์ต้นแบบนำไปต่อยอดด้านการตลาด รวมไปถึงสโมรสรฟุตบอลหลายแห่งที่ได้ร่วมสนับสนุนนำผ้าขาวม้าทอมือมาประกอบเป็นสินค้าที่ระลึกของสโมสร ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจในชุมชนมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ โครงการ ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทยมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผ้าขาวม้าทอมือ จนสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง โดยประสบความสำเร็จ ใน 5 มิติหลัก คือ

1) การสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ้าขาวม้าทอมือ 
2) การสร้างเครือข่ายภาควิชาการและภาคเอกชนที่พร้อมสนับสนุนชุมชนในการสั่งซื้อ ให้ความรู้เชิงธุรกิจ และการออกแบบ
3) การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน 
4) การสานต่องานผลิตและแปรรูปผ้าขาวม้าสู่คนรุ่นใหม่ 
5) การสร้างห่วงโซ่การผลิตผ้าขาวม้าทอมือที่เข้มแข็งมีความเกื้อกูลกันระหว่างชุมชน

นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายความร่วมมือ จากจุดเริ่มต้นเพียง 2 ชุมชน 2 มหาวิทยาลัย ในปี 2562 ไปสู่ 18 ชุมชน 16 สถาบันการศึกษา โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เครือข่ายทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจร่วมงานกันมาในโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จะยังคงร่วมกันถักทอแรงบันดาลใจในการพัฒนาผ้าขาวไทยต่อไปในอนาคต ซึ่งจะไม่เป็นเพียงการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น แต่จะยังช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง และที่สำคัญที่สุดคือ คนในชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทุกแห่งมีความรักสามัคคีและภูมิใจในคุณค่าภูมิปัญญาของตนเอง

คุณต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้จัดการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย กล่าวว่า ‘โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย’ เป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2559 ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้รับความร่วมมืออันดียิ่งจากชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในการร่วมกันพัฒนาคุณภาพและการออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือให้มีความทันสมัย ตรงกับความต้องการของตลาด และยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป

การจัดงาน ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ ในปี 2566 ภายใต้แนวคิด Nature's Diversity สื่อให้เห็นว่า ผ้าขาวม้าสามารถใสได้ทุกเพศและทุกวัย มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนให้ได้มีพื้นที่จัดแสดงโชว์ผลงาน แลกเปลี่ยนแนวความคิด และสร้างเครือข่ายการดำเนินงานร่วมกันของชุมชน/การแสดงแฟชั่นโชว์ชุดผ้าขาวม้าจากโครงการ Creative Young designers Season3 ออกสู่สายตาประชาชน/การจัดแสดงนิทรรศการโซน cultural heritage/โซนจัดแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้าของ 16 มหาวิทยาลัย 18 ชุมชน/กิจกรรมTalk หัวข้อ ผ้าขาวม้า มรดกภูมิปัญญาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน/โซน Market Place ของ 12 ชุมชน และโซนกิจกรรม online บอกต่อความประทับใจ ถ่ายภาพและแชร์พร้อมบรรยายเชิญชวนเพื่อนมาเที่ยวงาน ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ ภายใน Sustainability Expo 2023 (SX 2023)

ในฐานะตัวแทนของคณะทำงานโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ดิฉันขอขอบพระคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการฯ ทั้ง บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย สถาบันการศึกษาในเครือข่าย eisa และ ภาคีทุกภาคส่วน ที่ได้ให้ความสนับสนุนโครงการนี้มาตลอดระยะเวลา 7 ปี ส่งผลให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานมาได้อย่างต่อเนื่อง ดิฉันขอให้คำมั่นว่า โครงการของเราจะยังคงทำงานร่วมกับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการของเราจะยังได้รับการสนับสนุนจากทุกท่านต่อไปในอนาคต เพื่อให้เราสามารถบรรลุถึงเป้าประสงค์หลัก คือ การพัฒนาผ้าขาวม้าทอมือของไทยเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชุมชนผู้ผลิตของเราทั่วประเทศ”

ขอเชิญเลือกช้อปผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าส่งตรงจาก ร้อยเอ็ด ลำปาง อุบลราชธานี สุโขทัย เชียงใหม่ ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี หนองบัวลำภู บึงกาฬ ในโซน Sustainable Marketplace ชั้น LG โซน B - Sufficient Living ชมการจัดแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าจากสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ในชั้น G โซน Foyer A ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน - 8 ตุลาคม 2566 ในงาน Sustainability Expo 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/PakaomaThailand 

‘อดีตเจ้าหน้าที่ FBI’ เผย หัวใจหลักในการเอาชีวิตรอดจากเหตุกราดยิง ยกเคสการถอดบทเรียนจากเหตุกราดยิงในโรงเรียน Sandy Hook ที่สหรัฐฯ

จากกรณีเหตุสะเทือนขวัญที่มีคนร้ายเป็น ด.ช.วัย 14 ปี ลักลอบนำอาวุธปืน บุกเข้าก่อเหตุกราดยิงกลางห้างสยามพารากอน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด ทางเฟซบุ๊กเพจ ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความแนะนำวิธีการเอาชีวิตรอดจากเหตุกราดยิง โดยระบุว่า…

หนี-ซ่อน-สู้ : วิธีเอาชีวิตรอดจากเหตุกราดยิง โดยอดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตการเหตุกราดยิงที่สยามพารากอนด้วยครับ เหตุกราดยิงในบ้านเราเริ่มจะมีมากขึ้น เพราะคนบ้าสามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่ายขึ้น ในภาพยนตร์ต่างประเทศเจ้าหน้าที่ตำรวจ/ผู้บังคับใช้กฎหมายที่ถูกพักงานหรือถูกปลดหรือถูกไล่ออก สิ่งแรกที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้จะต้องทำคือ ส่งมอบตรา บัตรประจำตัว และอาวุธปืนประจำตัว

ในปี ค.ศ. 2023 จนถึงขณะนี้ (11 พฤษภาคม ค.ศ. 2023) มีเหตุกราดยิงมากกว่า 200 ครั้ง ในสหรัฐอเมริกา

ตามรายงานของ ‘Gun Violence Archive’ องค์กรไม่แสวงผลกำไร ได้ให้นิยามเหตุการณ์กราดยิงครั้งใหญ่ว่า เป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างน้อย 4 คนขึ้นไป

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุกราดยิงเหล่านี้เกิดขึ้นในโบสถ์ คลีนิกหรือโรงพยาบาล โรงเรียนประถมศึกษา และสถานที่จัดกิจกรรมกลางแจ้ง

ศ. Alex del Carmen รองคณบดี และศาสตราจารย์ด้านอาชญวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ Tarleton มลรัฐ Texas กล่าวว่า การรู้วิธีโต้ตอบในการกราดยิงเป็นสิ่งจำเป็นในขณะนี้

“ชาวอเมริกันจำนวนมากกำลังประสบกับสิ่งนี้ในชีวิตของพวกเขา” ศ. Alex del Carmen บอกกับ NPR (National Public Radio) ในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ “ตอนนี้เราเกือบจะมีหน้าที่ต้องสอนเด็ก ๆ และสมาชิกในครอบครัวว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์เหล่านี้”

ศ. Alex del Carmen บอกกับลูก ๆ ของเขาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ว่า : มีแผนฉุกเฉินเสมอ คำแนะนำทั่วไปได้แก่ : 
- การหลบหนี
- การหลบซ่อน
- การสู้กลับ

จากบทความรำลึกถึงเหยื่อเหตุกราดยิงในโรงเรียน Sandy Hook ครบ 10 ปี Katherine Schweit อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI ผู้เขียนเรื่อง ‘Stop the Killing : How to End the Mass Shooting Crisis’ (หยุดการฆ่า : จะยุติวิกฤตการณ์กราดยิงได้อย่างไร) ได้ออกแบบโครงการเผชิญเหตุกราดยิงของหน่วยงานนี้ หลังเหตุกราดยิงที่เหตุกราดยิงในโรงเรียน Sandy Hook ในปี ค.ศ. 2012

“การเตรียมตัวเป็นสิ่งที่ดี” อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ Schweit บอกกับ NPR “แต่อย่ากลัวจนคิดมากไปว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ดิฉันคิดว่า ถ้าคุณย้อนกลับไปดูว่าอาจจะเป็นการซ้อมดับเพลิงในโรงเรียน เราก็ได้ทำให้การฝึกซ้อมหนีไฟเป็นมาตรฐานแล้ว และเราไม่คิดว่าทุกครั้งที่มีการซ้อมดับเพลิงหรือคำเตือนพายุทอร์นาโดว่า เรากำลังจะถูกไฟครอกตายหรือเสียชีวิตในพายุทอร์นาโด”

อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ Schweit กล่าวว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกเมื่อเกิดเหตุกราดยิง สำหรับพลเรือนที่ต้องทำคือ ‘การหลบหนีเสมอ’

แน่นอนว่า การตอบสนองต่อเหตุกราดยิงของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน เช่นเดียวกับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นใน Uvalde มลรัฐ Texas ที่นั่น มือปืนใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในโรงเรียนประถม Robb ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรออยู่ด้านนอก วิธีตอบสนองของเจ้าหน้าที่จะแตกต่างกันเสมอ ตราบเท่าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วสหรัฐอเมริกา ปฏิบัติตามวิธีการฝึกอบรมที่แตกต่างกันไป (มาตรฐานแห่งชาติที่แนะนำนั้นมีอยู่จริง แต่ก็ยังเป็นเพียงข้อเสนอแนะ)

อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ Schweit เสริมว่า สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า เหตุกราดยิงในที่สาธารณะประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของการบาดเจ็บจากอาวุธปืนทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ในทุกปีผู้คนถูกฆ่าในบ้านและในละแวกใกล้เคียงมากกว่าในสถานที่สาธารณะ

“ดังนั้น แม้ว่าจะมีข่าวเหตุกราดยิงมากมาย แต่เหตุกราดยิงก็ยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก” อดีตเจ้าหนัาที่พิเศษ Schweit

ถึงกระนั้น กริยาสามคำก็มีคุณค่ามากมาย : หนี ซ่อน สู้ การหนีคือ ทางเลือกที่หนึ่ง ถ้าหนีไม่ได้ก็ต้องซ่อน และถ้าซ่อนไม่ได้ก็ต้องสู้

- หนี ไม่ว่ามือปืนจะใช้อาวุธปืนชนิดใดก็ตาม ยิ่งเราอยู่ห่างจากมือปืนได้มากเท่าไร โอกาสรอดชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น “นั่นฟังดูเหมือน ‘เราอยู่ในเขตสงคราม’ มาก แต่ในขณะที่เสียงยิงดังขึ้น เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในเขตสงคราม และการหนีไปจะดีกว่า ถ้าสามารถทำได้” อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ Schweit กล่าว

เมื่อไปที่ไหนก็ตามให้มองหาทางออกปกติหรือฉุกเฉินไว้เสมอ การอพยพออกไปโดยไม่ลังเลหรือรอรวบรวมข้าวของ และหนีต่อไปจนกว่าจะถึงพื้นที่ที่ปลอดภัย

- ซ่อน “นั่นไม่ได้หมายความว่า จะต้องวิ่งหนีเมื่อมีคนยิงใส่เรา” อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ Schweit อธิบาย หากไม่มีเส้นทางหลบหนีที่ปลอดภัย FBI แนะนำให้หาที่ซ่อนดี ๆ ล็อกประตูและกั้นประตู รวมทั้งปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ

- สู้ เมื่อต้นปีนี้ Brandon Tsay บรรยายใน Morning Edition ของ NPR ถึงสิ่งที่เขาคิดเมื่อตัดสินใจต่อสู้ และปลดอาวุธมือปืนใน Monterey Park มลรัฐ  California

“มันจะต้องจบลงที่นี่ นี่คือจุดสิ้นสุดของชีวิตของผม มันจบลงแล้ว ผมจะตายที่นี่” Tsay กล่าว “แต่ที่สุดผมก็รวบรวมความกล้าที่ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร ซึ่งก็สรุปได้ว่า ต้องแย่งปืนออกไปจากเขา ไม่งั้นจะมีคนเจ็บอีกเยอะมาก”

การใช้สิ่งของที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ร่วมกับการจู่โจมนั้น ประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งมือปืนในสถานที่ต่าง ๆ เช่นที่ Colorado Springs มลรัฐ Colorado และ Noblesville มลรัฐ Indiana

การวิจัยของ FBI แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่มีอาวุธมักจะช่วยชีวิต และยุติเหตุกราดยิงได้มากกว่าผู้ที่มีอาวุธ “ดังนั้น อย่าเชื่อว่า เราไม่สามารถหยุดมือปืนได้ เราทำได้” อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ Schweit กล่าว “และก็มีคนทำมาตลอด”

Credit : https://www.npr.org/

ส่วนตัว ในฐานะอดีตนักกีฬายิงปืนหลายมหาวิทยาลัย เคยได้เหรียญรางวัลกีฬามหาวิทยาลัยครบทุกเหรียญ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝึกฝนการใช้อาวุธปืนให้ชำนาญและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจและจราจร ซึ่งมีโอกาสเผชิญเหตุก่อน ในสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ตำรวจจะซ้อมยิงปืนพกแทบจะทุกเดือน มีการบันทึกคะแนนที่ซ้อมยิงไว้ด้วย

รถยนต์สายตรวจทุกคันควรมีปืนยิงเร็วและปืนลูกซองอย่างละกระบอก เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีอำนาจการยิงในการเผชิญเหตุมากกว่าผู้ก่อเหตุ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับห้างร้านทางเข้าห้างใหญ่ ๆ มักจะมีซุ้มตรวจจับอาวุธอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ รปภ.ต้องทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องเกรงใจลูกค้า ตรวจสอบ ตรวจค้น สิ่งของที่อาจจะเป็นอันตราย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าส่วนใหญ่ นอกจากการซ้อมรับเหตุไฟไหม้แล้ว ต่อไปห้างร้านอาคารต่าง ๆ จะต้องมีการฝึกซ้อมการเผชิญเหตุกราดยิงอีกด้วย

นายจ้างเหยื่อกราดยิง ยัน!! เอาผิดผู้ก่อเหตุ ไม่สนว่าจะเป็นเด็กหรือไม่ เผย ลูกจ้างเป็นเด็กดี-ดูแลพ่อแม่ที่ป่วย พร้อมเยียวยาให้ครอบครัวเต็มที่

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าหลังเกิดเหตุยิงในห้างสยามพารากอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้แล้ว เป็นเยาวชนชาย อายุ 14 ปี พร้อมอาวุธปืนขนาด 9 มม.ที่ใช้ก่อเหตุ

ต่อมาที่ สน.ปทุมวัน นายจ้างของผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวเมียนมา ได้เดินทางเข้ามาแจ้งความต่อตำรวจเพื่อเอาผิดผู้ก่อเหตุยิงที่พารากอน และติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบตำรวจว่า ตนเพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด เมื่อตอนเย็นน้องบอกจะไปฝากเงินที่ห้าง พอตนได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุ ก็พยายามติดต่อผู้เสียชีวิต แต่ก็ติดต่อไม่ได้ ตอนนั้นยอมรับว่าใจไม่ดี

จากนั้น มีผู้ชายคนหนึ่ง โทร.มาแจ้งว่า เจ้าของเบอร์นี้ถูกยิง ตนจึงได้ถามกลับว่าอาการเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้รับคำตอบ โดยแจ้งเพียงว่าให้รีบเดินทางมาพร้อมญาติ ซึ่งก็ทำให้พอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตนจึงรีบเดินทางมาที่ สน.ปทุมวัน ส่วนมองว่าทางห้างหละหลวมเรื่องของความปลอดภัยหรือไม่ นายจ้างบอกว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องของความหละหลวม น่าจะเป็นเด็กลักลอบเข้ามามากกว่า ตนยังไม่รู้ความจริงอะไรเลย

สำหรับการช่วยเหลือ นายจ้างตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะแจ้งความบุคคลที่ยิง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต แต่ส่วนตัวก็จะจ่ายให้พ่อแม่ของน้องเดือนละ 10,000 บาท ตามพี่น้องเคยทำมา ให้เสมือนน้องเขามีชีวิตอยู่

นายจ้างยังกล่าวต่อด้วยว่า ที่ผ่านมาน้องผู้เสียชีวิตเป็นคนดี ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เป็นเด็กน่ารัก มีความสามารถพูดได้หลายภาษา ดังนั้น ผู้ที่ทำให้เขาเสียชีวิตต้องรับผิดชอบ แต่ยังไม่ได้คิดว่าเขาจะต้องรับผิดชอบอย่างไร ตอนนี้อยากทราบว่ายิงเพราะอะไร แต่มั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องของการโกรธแค้นแน่นอน เขาเป็นเด็กไม่มีเรื่องกับใคร ช่วยเหลือคนมาตลอด

ตอนนี้ตนยังไม่กล้าบอกแม่เขาเลย ตอนเห็นคลิปผู้ก่อเหตุบอกปลอดภัยแล้ว อยากย้อนถามว่าใครปลอดภัย น้องคนยิงปลอดภัย อาจจะปลอดภัย เพราะน้องของพี่ยังไม่ได้ปลอดภัยเลย ถ้าไม่ได้เงินจากตรงนี้ จะมาแจ้งให้สื่อมวลชนทราบ ตนไม่สนใจว่าจะเป็นเด็กหรือไม่ใช่เด็ก เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากให้คนไปฝากเงินที่ห้างอีก นายจ้างกล่าวว่า กังวลอยู่แล้ว เพราะเป็นชีวิตคน ไม่ว่าต่างชาติหรือคนไทย หากหาแนวทางที่รัดกุมได้ก็เป็นเรื่องดี

‘นายกฯ เศรษฐา’ ตั้ง ‘เทวัญ’ หนึ่งใน คกก. แก้รัฐธรรมนูญ หวังสร้างประชาธิปไตยทันสมัย เป็นที่ยอมรับร่วมกันในสังคม

(4 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการจำนวน 35 คน เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยนายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้รับแต่งตั้งเป็น 1 ในคณะกรรมการฯ ดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ คำสั่งระบุว่า การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นนโยบายเร่งด่วนสุดท้ายที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่แก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์

โดยรัฐบาลจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎ กติกาที่เป็นประชาธิปไตย ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภาเพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

‘จีน’ เปิดประสบการณ์ดูหนังแบบใหม่ เปลี่ยนป๊อปคอร์นเป็น ‘ชาบู’ กินไป ดูไป อร่อยแบบฟินๆ สะเทือนวงการโรงหนัง คนสนใจเพียบ!!

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 66 เกิดกระแสไวรัลที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ในประเทศจีน หลังเว็บ Weibo ได้เผยภาพโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในจีน ซึ่งสิ่งที่พีค คือ บริเวณโซนที่นั่งที่โซฟาแต่ละจุด จะมีโต๊ะและเซตหม้อไฟชาบู รวมไปถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ตั้งอยู่ตรงหน้า โดยมีการระบุข้อความว่า “คุณสามารถกินชาบูในโรงหนังที่ประเทศจีนได้แล้ว”

อย่างไรก็ดี โดยปกติในโรงหนัง เราจะกินป๊อปคอร์นกับน้ำดื่มเวลาดูหนัง แต่ครั้งนี้เล่นเสิร์ฟชาบูให้ได้อิ่มท้องระหว่างดูหนัง ส่งให้งานนี้คอหนัง – สายกินทั้งหลายถูกใจ พากันแชร์ภาพโรงหนัง ที่เปิดให้ลูกค้า ‘ดูหนังไป กินชาบูไป’ ได้ด้วย พร้อมอยากเปิดประสบการณ์ใหม่นี้กันล้นหลาม

'นายกฯ' ร่วมยืนไว้อาลัย เหตุสลดยิงกลางห้างดัง ลั่น!! ขอให้เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นแค่เพียงครั้งเดียว

(4 ต.ค. 66) ที่ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด ‘SCBX NEXT TECH’ เทคคอมมูนิตี้แห่งโลกอนาคต โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ น.ส.ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน และผู้เกี่ยวข้องร่วมงานจำนวนมาก

โดยก่อนเริ่มงาน น.ส.ชฎาทิพได้แถลงการณ์พร้อมกล่าวไว้อาลัยต่อเหตุการณ์ยิงในพื้นที่สยามพารากอนเมื่อเย็นวันที่ 3 ตุลาคมว่า กราบเรียนนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB ท่านผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ในโอกาสนี้สยามพารากอนขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม โดยผู้บริหารและพนักงานของเราได้ดำเนินการระงับเหตุทันที อย่างสุดความสามารถ รวมถึงการอพยพลูกค้าออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุดและรักษาความปลอดภัยแก่บรรดาร้านค้าและพนักงานที่มีอยู่ในอาคารนี้ไม่ต่ำกว่า 20,000 คนจนสามารถระงับเหตุได้ภายในเวลาอันสั้น

น.ส.ชฎาทิพกล่าวว่า อย่างไรก็ดีความสูญเสียที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้างนั้น ไม่สามารถประเมินค่าได้ สยามพารากอนขอขอบพระคุณทุกกำลังใจที่มอบให้แก่บริษัทและพนักงานของเรา ท่ามกลางวิกฤตการณ์นี้ และขอน้อมรับคำแนะนำทั้งปวงเพื่อนำมาพัฒนาและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเราในฐานะคนไทยที่จะต้องช่วยกันปรับปรุงและดูแลสังคมและเยาวชนของเราให้กลับสู่วัฒนธรรมแห่งความรักความเอื้ออาทรเช่นที่เคยเป็นมา ในโอกาสนี้สยามพารากอนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกท่าน จึงขอเรียนเชิญทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ร่วมยืนและตั้งใจสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตร่วมกัน

จากนั้นนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร และผู้ร่วมงานยืนไว้อาลัยต่อเหตุการณ์เป็นเวลา 1 นาที

ต่อมาเวลา 10.48 น. นายกฯ ขึ้นเวทีกล่าวแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ และขอส่งกำลังใจให้กับญาติพี่น้องทางผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์สุดวิสัย ไม่สามารถควบคุมได้ ตนเชื่อว่าทางศูนย์การค้าสยามพารากอนและเจ้าหน้าที่รัฐและได้พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะดูแลความปลอดภัยตรงนี้ ก็ขอให้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ส่วนการป้องกันต่างๆ ทางรัฐบาลยืนยันเต็มที่กับการดำเนินการในเรื่องนี้

‘พีระพันธุ์’ ถกแก้ กม. คุมราคาน้ำมันเบนซิน ลั่น!! ค่าการตลาดไม่ควรเกิน 2 บาทต่อลิตร

เมื่อวานนี้ (3 ต.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ผลการหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัด เกี่ยวกับการควบคุมค่าการตลาดน้ำมันที่กำหนดไว้ที่ 2 บาทนั้น โดยได้เชิญผู้แทนสำนักงานกฤษฎีกา ปลัดกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานกระทรวงพลังงานในการหารือกรณีการดูแลราคาน้ำมันเบนซิน เพราะส่วนที่มีปัญหาและทำให้ราคาสูงขึ้น มาจากค่าการตลาด 

ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานของกระทรวงพลังงานได้คิดคำนวณจากข้อมูลพื้นฐาน พบว่าควรอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร แต่ความจริงตอนนี้ผู้ประกอบการกำหนดค่าไว้ในระดับที่สูงมาก โดยกระทรวงพลังงานได้เคยหารือกับกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อน้ำมันอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม ก็ขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยดำเนินการในส่วนของค่าการตลาดนี้ เพื่อให้อยู่ในกรอบที่กระทรวงพลังงานกำหนด 

แต่กระทรวงพาณิชย์แย้งว่ากระทรวงพลังงานมีกฎหมายเฉพาะอยู่แล้ว และมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดว่า กระทรวงพลังงานมีกฎหมายเฉพาะอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดำเนินการให้ โดยกฎหมายเฉพาะนี้ได้เข้าไปพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกฎหมายเฉพาะที่อ้างอิง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 ที่เกิดวิกฤตน้ำมัน คำพิพากษาศาลจึงออกมาในตอนนั้นกระทรวงพาณิชย์จึงคิดว่ายังเป็นกฎหมายเฉพาะอยู่ ทำให้ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ

โดยหากกระทรวงพลังงานมองว่ากฎหมายแท้ ๆ ของกระทรวงไม่มีอำนาจ แต่กระทรวงพาณิชย์มองว่ามีและยืนยันว่ามี ทำให้ต้องหาทางดำเนินการต่อไป อาทิ การแก้ไขกฎหมาย ในการกำหนดค่าตลาดว่าให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้กำหนด ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานเห็นว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตรในทุกผลิตภัณฑ์

“ที่ผ่านมาเคยขอความร่วมมือผู้ประกอบการในการกำหนดค่าตลาดที่ไม่เกิน 2 บาท แต่ผู้ประกอบการบางรายยังคิดค่าตลาดในบางสินค้าเกิน 4 บาทด้วย ทำให้เวลานี้คงมาดูในเรื่องการแก้ไขกฎหมายหากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามจะมีบทลงโทษอย่างไร เพราะที่ผ่านมาเป็นการขอความร่วมมือผ่านการกำหนดราคาจากกระทรวงพลังงาน แต่หากผู้ประกอบการไม่ทำตามจะทำอย่างไร เพราะไม่มีกฎหมายกำกับควบคุมให้ดำเนินการตามในส่วนนี้” นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อวางแนวทางในการปรับแก้กฎหมายแล้ว โดยจะพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อดูแลราคาน้ำมันในประเทศ เพราะช่วงที่ผ่านมาได้พยายามหารือกับผู้ประกอบการไปแล้วว่าต้นทุนควรเป็นเท่าไหร่ แต่ไม่ได้รับการชี้แจงในรายละเอียด เพราะอ้างเป็นความลับทางการค้าซึ่งในส่วนนี้ยืนยันด้วยว่า ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเปิดเผยได้ และไม่ควรอ้างการค้าเสรีเพื่อเป็นอุปสรรคต่อการกำกับดูแลค่าการตลาดที่เหมาะสมในทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันในประเทศไทย

ธปท. วิเคราะห์ 'ดอลลาร์-ทองคำ-น้ำมัน' สารพัดปัจจัยต่างประเทศ ทำบาทอ่อน

ไม่นานมานี้ นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และอ่อนค่าผ่านระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปรับอ่อนค่าลงร้อยละ 6.75 จากต้นปี

สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค โดยการอ่อนค่าในช่วงหลังได้รับผลจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ 

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ประกอบกับนักลงทุนยังรอความชัดเจนของนโยบายการคลังและการระดมทุนของภาครัฐ 

ทั้งนี้ ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเข้าดูแลหากเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากผิดปกติเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ และในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง ภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top