Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

‘พิมรี่พาย’ สติหลุดกลางไลฟ์ ‘ทุ่มสินค้า-วีนพนง.-หยิบน้ำมันราดหน้า’ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเป็นห่วง-ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรม

(3 ต.ค. 66) กลายเป็นกระแสดรามาสนั่น แม่ค้าออนไลน์เบอร์ต้น ‘พิมรี่พาย’ หลังจากเมื่อคืนไลฟ์ขายแป้ง แล้วเหมือนหลุดฟิวส์ขาดสติแตกวีนกลางไลฟ์ ขว้างปาข้าวของพังกระจาย ตะโกนดังลั่นตำหนิการทำงานพลาดของลูกน้องใส่รหัสสินค้าผิด อาทิ มึงพลาดได้ไง ไอ้…… มึงแก้ยัง แก้หรือยัง มึงเอารุ่นดีๆ ขึ้นมา เอาออกไป ทำไมมมมมมม…….. ก่อนจะลบไลฟ์ดังกล่าวทิ้ง

จากนั้นไลฟ์ใหม่แต่ยังมีพฤติกรรมที่หลายคนมองว่าแปลกไปอีก ทั้งเอาลิปสติกมาเขียนที่ฟัน เอาแป้งมาทาที่ฟันด้วยแบบไม่สนความสวยกันแล้ว หรือเอาน้ำมันราดที่หน้าทดสอบแป้งกันไปเลย

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเป็นห่วงทั้งไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรม อาทิ เข้าใจเลยค่ะ เงินหายไปเท่าไหร่ เขาเหนื่อยนะ จากคนขายออนไลน์เหมือนกันค่ะ, เสียดายของแตกหมดล่ะมั้งบ่ได้ขายพอดี, อะไรจะขนาดนั้น, เขาจริงจังกับการขายวันนี้มากๆ จริงๆ ค่ะ ต้องไปดูไลฟ์เต็มเลยอาจจะทำโมโหมาก 1 นาที คนกดหลายออเดอร์มากๆ วันนี้, แล้วเอาของที่หล่นส่งให้ลูกค้าไหมคะ มันจะแตกไหม แค่สงสัย, ช่วงขาลง/ก็จะเรียกเรตติ้ง เป็นธรรมดา เป็นต้น

‘สส.ก้าวไกล อยุธยา’ โพสต์โปรโมตเบียร์ซ้ำรอย ‘หมออ๋อง’ ด้าน ‘ไอซ์ รักชนก’ ไม่ปราม กลับคอมเมนต์แซว ‘แบ้วเกิ๊น’

เมื่อวานนี้ (2 ต.ค. 66) นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.เขต 1 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ภาพตัวเองถือกระป๋องเบียร์และโปรโมตร้านขายเบียร์ โดยระบุข้อความว่า…

ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีคนทำ ‘เบียร์ยี่ห้อตัวเอง’ มาให้เรา ไม่คิดว่าจะได้มีเรื่องประทับใจแบบนี้เก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป คนทำเบียร์ยุดยา นี่มันน่าร้ากกกกทุกคนเลยครับ มีหลายยี่ห้อด้วย Dark House Bar ของที่ระลึกชิ้นนี้ เราจะเก็บรักษาเพื่อเตือนใจ พวกเราให้ทำงานเต็มที่ เดินหน้าความฝันที่ทุกท่านส่งต่อมาให้ครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #กรุงเก่าก้าวไกล #เต้ทวิวงศ์

โพสต์ดังกล่าวได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กบางส่วนเข้ามาเตือนนายทวิวงศ์ให้รีบลบโพสต์ เพราะเป็นกรณีเดียวกับนายแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ สส.พรรคก้าวไกล ที่โพสต์ภาพเบียร์พิษณุโลก

อย่างไรก็ตามนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็ได้มาคอมเมนต์ด้วย ทว่ากลับไม่มีการทักท้วงเพื่อน สส.ว่าเป็นการกระทำที่อาจผิดกฎหมาย แต่กลับคอมเมนต์ว่า ‘แบ้วเกิ๊น’

สำหรับการโพสต์ของนายทวิวงศ์ ส่อเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม

‘หมอธีระวัฒน์’ เปิดผลวิจัยของเคมบริดจ์ ปี 2022 พบ ‘อบร้อนซาวน่า’ ช่วยลดความเสี่ยง ‘สมองเสื่อม’

(3 ต.ค. 66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha’ ดังนี้...

อบร้อนซาวน่า..สมองใส

ออกตัวไว้ก่อนนะครับ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องซาวน่า อบร้อน ออนเซ็น

แต่ทั้งนี้ เป็นรายงานจากคณะผู้วิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (รายงานในวารสารเนเจอร์ ปี 2022) ที่ได้ทำการศึกษา ผลของความร้อนที่สูงกว่าปกติที่มนุษย์มีกัน คือ สูงกว่า 37 องศาเซลเซียส กลับมีประโยชน์ช่วยคลี่โปรตีนที่ทำท่าจะบิดเกลียวและรวมถึงที่บิดผิดปกติไปแล้ว จนกลายเป็นขยุ้มและจะเกิดผลร้ายต่อเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยยังได้กล่าวโยงไปถึงการศึกษาหลายชิ้นที่มีมาก่อนของผู้คนในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยมีการสังเกตว่า คนที่ใช้ซาวน่าเป็นประจำ ซาวน่าช่วยทำให้ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมลดลง

ปกติแล้วในเซลล์ของมนุษย์ที่จะคงอยู่ได้ ไม่ตาย หรือ ตายช้าและยังทำงานได้อย่างสดใสสมบูรณ์ เนื่องจากมีกลไกในการปรับสภาพ เมื่อเผชิญกับความเครียดหรืออันตราย และแม้แต่การที่มีการบุกรุกล้ำ โดยเชื้อโรค ทั้งนี้ในเซลล์จะมีห้องฉุกเฉิน (กล่าวอุปมา) หรือ ER ซึ่งห้องฉุกเฉินนี้ คือส่วนที่เป็น Endoplasmic reticulum และเมื่อรับสัญญาณอันตราย ก็จะส่งต่อไปยังโรงพลังงาน ไมโตคอนเดรีย (Mitochon dria) ซึ่งอยู่ในเซลล์เช่นกัน โดยต่อมา ทำให้มีการปรับสภาพให้พอเหมาะ รวมทั้งในการทำให้มีขนาดที่เหมาะสม (fission และ fusion) ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมไปจนกระทั่งถึงการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะจำศีลเมื่อคับขัน ใช้พลังงานประหยัดมัธยัสถ์ และรีไซเคิลขยะ ตลอดจนส่งสัญญาณในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่รุกล้ำ (autophagy และ immune signaling) และส่งสัญญาณในการปรับสภาพอินซูลินในสมอง ที่ป้องกันความเสื่อมของสมอง และที่ขาดไม่ได้คือระบบ UPR sig naling หรือกลไก unfolded protein response ที่ตอบสนองต่อโปรตีนที่สร้างขึ้นมาและผิดปกติ

ในสภาวะปกติ และเมื่อเผชิญอันตรายและความเครียดทั้งหลาย โปรตีนที่สร้างในเซลล์นั้นจะมีการพับ ซึ่งก็เป็นกลไกตามธรรมชาติ โดยต้องมีการดูแล ไม่ให้มีโปรตีนที่บิดเกลียวผิดปกติ (mis folded protein) และขัดขวางการทำงานของเซลล์ โดยมีการจับกลุ่มก้อน (aggregates) ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ ดังนั้นจะต้องถูกขจัดทำลายไปให้หมดจนถึงศูนย์ได้ยิ่งดีใหญ่ (Zero aggregation)

หรือพยายามที่จะแก้เกลียวให้กลับคืนเป็นโปรตีนที่ดี โดยขณะนั้น มีการปรับลดการสร้างโปรตีนไปชั่วคราว พร้อมกับมีการกระตุ้นตัวช่วย เช่น โปรตีนพี่เลี้ยง (chaperones) และโดยที่ในที่สุดต้องมีการควบคุมคุณภาพของโปรตีนที่สร้างขึ้น

การค้นพบ พี่เลี้ยงที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ cyto solic Hsp 70 หรือ heat shock protein 70 โดยมีหน้าที่ช่วยแก้ไข เสริมเติม กลไกควบคุมคุณภาพของโปรตีน แต่ทั้งนี้ในเวลาที่ผ่านมานั้นยังไม่ชัดเจนว่าตัวพี่เลี้ยงนี้ หรือมีตัวอื่นใด เข้าไปทำงานประกบกันที่ ER ด้วยหรือไม่ และผลของการศึกษาต่อมา พบว่ามี Hsp ที่เรียกว่า BiP ใน ER ที่ทำหน้าที่นี้ด้วย

ความสำคัญของรายงานนี้ อยู่ที่การเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าเมื่อเผชิญกับความเครียด ซึ่งในที่นี้ก็คือ การให้เซลล์ถูกความร้อน แต่ผลที่ได้นั้น แทนที่จะเกิดโปรตีนบิดเกลียวจนกลับเป็นกลุ่มก้อน โดยกลไกต่อสู้ตามธรรมชาติสู้ไม่ไหว เอาไม่อยู่ กลับพบว่าสู้ได้สบายมาก

ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการทำลายโปรตีนผิดรูปดังกล่าว อย่างตรงไปตรงมา หรือขจัดทิ้งออกไปจากเซลล์ แต่กลับคลี่ เกลียว ของขยุ้มโปรตีน (disaggre gation) และกลับทำให้เกิดมีการม้วนแบบปกติขึ้น และทำให้กระบวนการสมดุลของระบบโปรตีน (prote ostasis) มีความเสถียรขึ้นไปอีก โดยโปรตีน BiP

การศึกษานี้ออกแบบโดยสามารถมองเห็นภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเซลล์ที่มีชีวิตได้จริงๆ ในแต่ละเสี้ยวเวลาในสเกลเป็นนาโนของวินาที

ดังนั้น พอจะเห็นหรือนึกภาพออกได้แล้วว่าการอบร้อนซาวน่าที่ทำให้รู้สึกสบายตัว สมองโล่งแท้จริงแล้ว เริ่มสามารถพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์ทางสมอง

ทั้งนี้ ซาวน่า คือ การอบตัวด้วยอุณหภูมิประมาณ 65 ถึง 90 หรือสูงถึง 100 องศาเซลเซียส โดยแหล่งกำเนิดความร้อนมีได้หลายรูปแบบ ทั้งการเผาท่อนไม้ ใช้เครื่องทำความร้อนด้วยวิธีต่างๆ

แต่คนที่ไปทำซาวน่าไม่ได้ตัวสุก ผิวหนังลวก เป็นตุ่มพุพองนั้น เกิดจากการที่ในห้องซาวน่าจะมีความชื้นเต็มเปี่ยม จนกระทั่งถึง 100% ดังนั้น อุณหภูมิที่สัมผัสจะกลายเป็นระดับอยู่ที่มนุษย์เรารับได้ประมาณ 50 องศา

การอบซาวน่าเข้าใจว่ามีที่มาแถบสแกนดิเนเวีย เช่น ประเทศฟินแลนด์ สวีเดน แต่เป็นที่แพร่หลายทั่วโลกไม่ใช่แต่ในยุโรป แต่ทั้งในเอเชีย ในประเทศจีน ญี่ปุ่น

นัยว่า ประเทศไทยเองนั้น ในสมัยก่อน สำหรับสตรีที่คลอดลูกใหม่ๆ มีการเข้ากระโจมร้อน อบสมุนไพร ถือเป็นประเพณีที่ต้องทำติดต่อกันมา แต่ดูว่า ไม่ค่อยมีใครทำแล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ จากหลักฐานที่พบ คงเป็นเครื่องแสดงว่าที่คนสมัย ปู่ ย่า ตา ทวด ทำมานั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะขณะที่สตรีคลอดไปแล้ว จะเผชิญกับความเครียดมหาศาล และร่างกายต้องการซ่อมแซม ดังนั้น อาจจะเป็นวิธีอีกทางหนึ่ง ที่ทำให้ฟื้นกลับตัวเร็วขึ้น

ถึงตรงนี้แล้ว คงต้องศึกษาการอบซาวน่าให้ดีก่อนปฏิบัติด้วย เพราะจะเป็นการเสียเหงื่อ น้ำ และเกลือแร่ ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นควรต้องมีการประเมินสภาวะทางหัวใจและหลอดเลือด ยาที่รับประทานเป็นประจำ เพื่อหาซาวน่าที่เหมาะสม ทั้งในด้านอุณหภูมิระยะเวลาที่เข้า และจะทำถี่ บ่อยเพียงใด เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุด แต่ในขณะเดียวกันได้ความสดชื่นและสมองสดใสด้วยครับ

‘กรุงศรีฯ’ ซื้อกิจการ ‘Home Credit’ พร้อมถือหุ้น 75% ในอินโดนีเซีย เพื่อขยายธุรกิจ-เชื่อมโยงความต้องการลูกค้าอาเซียน ตั้งเป้าโตปีละ 5%

(3 ต.ค. 66) นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงศรีฯ ประกาศความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการและถือหุ้นในสัดส่วน 75% ของ ‘PT. Home Credit Indonesia’ (Home Credit Indonesia) ซึ่งเป็นผู้เล่นรายสำคัญในธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคในอินโดนีเซีย มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน PT Adira Dinamika Multi Finance, Tbk (Adira Finance) บริษัทในเครือ Bank Danamon หนึ่งในสมาชิกของ MUFG ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 9.83% ของ Home Credit Indonesia ด้วย

ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้กรุงศรีฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งในฐานะธนาคารแห่งภูมิภาค (Regional Bank) และมีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุม 5 ประเทศในอาเซียน สอดคล้องกับกลยุทธ์ตามแผนธุรกิจระยะกลางของกรุงศรีฯ ที่ต้องการขยายและสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน

“กรุงศรีฯ ยังคงขยายธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าในอาเซียน ซึ่งจากความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ Home Credit Indonesia ครั้งนี้ ทำให้มีธุรกิจครอบคลุม 5 ประเทศในอาเซียน ประกอบด้วย สปป.ลาว, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และอินโดนีเซียเป็นประเทศล่าสุด และยังมีสำนักงานตัวแทนซึ่งตั้งอยู่ในเมียนมาด้วย นอกจากนี้ ความสำเร็จในครั้งนี้ยังช่วยสร้างความแข็งแกร่งของกรุงศรีฯ ในฐานะธนาคารแห่งภูมิภาคอาเซียนให้ชัดเจนขึ้น”

นายเคนอิจิกล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 5.0% ต่อปีในช่วง 5 ปีนับจากนี้ อีกทั้งยังมีอัตราการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง ขณะที่ Home Credit Indonesia นับเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในตลาดและประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียมาเป็นเวลาราว 10 ปี ปัจจุบันนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ด้วยจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 17 ล้านรายและฐานลูกค้ากว่า 6 ล้านราย

โดยหลังจากนี้ เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและกรุงศรีฯ จะใช้ความเชี่ยวชาญในด้านสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคและการบริหารจัดการความเสี่ยงในการขยายเครือข่ายพันธมิตรใหม่ ๆ สร้างความเติบโตให้กับฐานลูกค้า รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในอินโดนีเซียมากยิ่งขึ้น

“เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ Home Credit Indonesia ในครั้งนี้ สำหรับ Adira Finance นี่คือก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ ความสำเร็จในครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการผสานความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่าง Adira Finance และบริษัทในเครือ MUFG ในการนำเสนอบริการที่เหมาะสมให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ” Dewa Made Susila, President Director, Adira Finance กล่าว

“สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จและความแข็งแกร่งของ Home Credit Indonesia นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 Home Credit ได้นำเสนอบริการทางการเงินที่เข้าถึงง่ายและหลากหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและยกระดับความเป็นอยู่ของผู้คนกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ และความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ให้บริการรายหลัก และลูกค้านั้นได้ส่งผลให้เกิดอิโคซิสเต็มส์ที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีความรับผิดชอบ น่าเชื่อถือ และมีราคาที่เหมาะสม” Animesh Narang, Chief Executive Officer, Home Credit Indonesia กล่าว

‘ฟิลิปปินส์’ เผชิญเงินเฟ้อหนัก ทำค่าครองชีพประชาชนพุ่งสูง ฉุดฐานความนิยมของประธานาธิบดี ‘บองบอง มาร์กอส’ ร่วง 15%

(3 ต.ค. 66) ‘นายเฟอร์ดินานด์ บองบอง โรมูอัลเดซ มาร์กอส จูเนียร์’ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เผชิญกับการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของคะแนนนิยมในตัวเขา เนื่องจากราคาผู้บริโภคที่พุ่งสูงขึ้นในประเทศที่บ่อนทำลายการสนับสนุนจากประชาชน

‘Pulse Asia’ องค์กรสำรวจความนิยมได้เผยแพร่ผลสำรวจครั้งล่าสุดในวันที่ 2 ตุลาคม โดยเป็นผลจากการสำรวจที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน ซึ่งชี้ว่า 65% ของผู้ตอบแบบสำรวจ 1,200 คน ให้ความเห็นชอบกับผลงานของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์

แม้ดูเหมือนว่าจะยังเป็นตัวเลขให้การรับรองที่ค่อนข้างสูง แต่ถือว่าลดลงอย่างมากถึง 15% จากผลสำรวจในเดือนมิถุนายน ที่ประชาชนพอใจกับการทำงานของเขาสูงถึง 80% และยังเป็นการลดลงครั้งแรกในการสำรวจผลการทำงานของบุตรชายอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส พ่อผู้โด่งดังอีกด้วย

‘โรนัลด์ โฮล์มส์’ ประธาน Pulse Asia กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และบริการขั้นพื้นฐาน รวมถึงคำมั่นสัญญาว่าจะลดราคาสินค้าเหล่านี้ลง ดูเหมือนจะเป็นต้นเหตุให้การให้การเห็นชอบในการทำงานของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

‘มาร์กอส จูเนียร์’ ซึ่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรด้วย พยายามที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศ แต่การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าต่างๆ ยังเกินเป้าหมายของรัฐบาลที่ 2-4% แม้ว่ารัฐจะมีมาตรการแทรกแซง เช่นการลดภาษีอาหารแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อต่อปีของฟิลิปปินส์อยู่ที่ 6.6% ณ สิ้นเดือนสิงหาคม

‘ซารา ดูแตร์เต’ รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ก็ประสบปัญหาคะแนนนิยมลดลงเช่นกัน โดยลดลง 11% มาอยู่ที่ 73%

‘ทีน สราวุฒิ’ แวะบุรีรัมย์เยี่ยมสุสาน ‘ปอ ทฤษฎี’ บอกเล่าภาพรวมประเทศไทย ‘เละเทะทุกวงการ’

เพื่อนรักเพื่อนกันตลอดกาลจริง ๆ สำหรับ ‘ทีน สราวุฒิ พุ่มทอง’ กับพระเอกดังที่จากโลกนี้ไปนานแล้วอย่าง ‘ปอ ทฤษฎี’ ซึ่งหลายครั้งที่หนุ่ม ‘ทีน’ เดินทางไปบุรีรัมย์ก็จะต้องแวะเวียนไปเยี่ยมเพื่อนที่สุสานเสมอมา ล่าสุดเจ้าตัวได้ไปหา ‘ปอ’ พร้อมบอกกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองไทยในขณะนี้ว่า…

“ตามสัญญา ถ้ามาบุรีรัมย์ กูต้องแวะมาหามึง : Wrap up สั้น ๆ ของปี 66 ทุกวงการ ทุกสายงานอาชีพอย่างกับหนังสงครามเลยนะมึง ตีกันไปตีกันมา ละคงละครแทบไม่ต้องดูแล้ว แค่ตามข่าวในแต่ละวันแต่ละเรื่องก็เหนื่อยแย่แล้วววว เละเทะบอกเลย คิดถึงเหมือนเดิมเพิ่มคือกูแก่ขึ้น #ว่าแล้วก็ไป”

‘ชัยวุฒิ' ปัดข่าวนั่งเก้าอี้ สส.แทน 'บิ๊กป้อม' ยัน พปชร.ไม่ระส่ำ หลังมีข่าวเลขาธิการย้ายพรรค

ที่พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ตนเองจะมาเป็นสส.แทน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หาก พลเอกประวิตร ลาออก ว่า ยังไม่มีการทาบทามจากพลเอกประวิตร และพลเอกประวิตรเองก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคและเป็นสส. อยู่ ทำงานการเมืองต่อ 

เมื่อถามว่า ถ้ามีโอกาสเข้าไปในสภาก็จะทำงานสภาต่อใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่าอย่าไปพูดเลยยังไม่ถึงเวลา

เมื่อถามว่าตัวตึงจะกลับมาหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่าไม่มีตัวตึง  หมดยุคไปแล้ว วันนี้ไม่มีใครเป็นตัวตึงสบาย ๆ การเมืองยุคใหม่ เท่าที่ดูก็สร้างสรรค์

ส่วนความเป็นไปได้ที่พลเอกประวิตร จะลาออกสส.นั้น ตนไม่ทราบ ต้องถามหัวหน้าพรรคดีกว่า อย่าถามเรื่องนี้เลย ไม่มีผลทางการเมือง ถามเรื่องสำคัญ ๆ ดีกว่า 

เมื่อถามว่าอาจจะอยากให้นายชัยวุฒิ เข้าไปขับเคลื่อนในสภา นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนก็ช่วยอยู่แล้ว เป็นรองหัวหน้าพรรคมาประชุม สส.และประสานงานต่างๆในสภาอยู่แล้ว พรุ่งนี้ตนก็เข้าสภาไปประชุมกรรมาธิการวิสามัญ

ทั้งนี้ ตนก็ยังทำหน้าที่ในสภาอยู่แม้จะไม่ได้เป็นสส. ก็ต้องช่วยทำงานเพราะเราเป็นรองหัวหน้าพรรค โดยวันนี้มีสัมมนาประชุมพรรคเตรียมความพร้อมสส. ในการทำงานทุกๆด้านทางการเมือง

ส่วนกระแสข่าวพรรคพลังประชารัฐอาจจะอยู่ได้แบบระส่ำ หลังมีข่าวลือว่าเลขาธิการพรรคอาจจะย้ายพรรคนั้น นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "เขาย้ายพรรคแล้วหรอ ตนยังไม่รู้ ยังไม่ถึงเวลาหรอก พรรคเพิ่งเลือกตั้งเสร็จ เพิ่งจะตั้งรัฐบาลคงทำงานร่วมกันไปในนามพรรคพลังประชารัฐยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้"

เมื่อถามว่ายังมั่นคงหรือไม่กับ 40 เก้าอี้สส. นายชัยวุฒิกล่าวว่าก็ยังดีอยู่ ส่วนบรรยากาศก็ยังราบรื่นดี

สำหรับกรณีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ลาออกจากสมาชิกพรรคนั้น ตนไม่ทราบน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว มีเหตุผลน่าจะไปทำงานอะไรบางอย่างที่ต้องลาออกจากพรรคการเมือง ต้องถามนางนฤมล

พร้อมกันนี้ นายชัยวุฒิ ยังกล่าวถึง คณะกรรมการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ที่แต่ละพรรคการเมืองจะส่งตัวแทนเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการนั้น ว่า  เท่าที่ทราบคือจะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกพรรคคุยกันอยู่ว่าเป็นแนวทางนี้แต่ข้อสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอให้คณะกรรมการหรือกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นคุยกันอีกที

ทั้งนี้ ในนามพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ เป็นเรื่องของทุกพรรคการเมือง และมองว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ขับเคลื่อนเรื่องนี้พรรคการเมืองเดียวไม่ได้ เป็นเรื่องของทุกฝ่าย ทุกพรรคและ สมาชิกวุฒิสภา (สว.)เพราะการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ต้องคุยกันทุกกลุ่มทุกฝ่าย และคงจะใช้เวลา ไม่ได้ข้อสรุปเร็วๆนี้  นายชัยวุฒิกล่าว

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 25 - 29 ก.ย. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้แนวโน้ม 2 - 6 ต.ค. 66

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุด 29 ก.ย. 66 เพิ่มขึ้น จากความกังวลด้านอุปทาน หลัง EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ ที่คลัง Cushing ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันดิบ NYMEX WTI สัปดาห์สิ้นสุด 22 ก.ย. 66 ลดลง 0.94 MMB WoW อยู่ที่ 22 MMB ต่ำสุดตั้งแต่ ก.ค. 65 และใกล้ระดับต่ำสุดที่สามารถดำเนินการ (Minimum Operating Level) ที่ 20 MMB ขณะที่ตลาดน้ำมันโลกยังคงมีแนวโน้มตึงตัวจากมาตรการควบคุมอุปทานของกลุ่ม OPEC+

รัฐบาลสหรัฐฯ รอดจากสภาวะหยุดดำเนินงาน (Government Shutdown) หลังวุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายชั่วคราวสำหรับงบประมาณปี 2023 (1 ต.ค. 2566 - 30 ก.ย. 2567) ด้วยคะแนน 88 ต่อ 9 เสียง และสภาผู้แทนราษฎรผ่านด้วยคะแนน 335 ต่อ 91 เสียง สามารถให้ประธานาธิบดี นาย Joe Biden ลงนามเป็นกฎหมาย ก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 1 ต.ค. 66 (เวลาท้องถิ่น) อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวยังไม่จบ เพราะกฎหมายนี้ใช้สำหรับงบประมาณชั่วคราวจนถึงวันที่ 17 พ.ย. 66 เท่านั้น

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 90 - 98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จับตาสหภาพแรงงานปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติแห่งไนจีเรีย (Nigeria Union of Petroleum and Natural Gas Workers: NUPENG) ประกาศนัดหยุดงานทั่วประเทศเพื่อประท้วงรัฐบาล ร่วมกับสหภาพแรงงานใหญ่อีก 2 แห่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 66 และติดตามการประชุมกลุ่ม OPEC+ (Joint Ministerial Monitoring Committee: JMMC) วันที่ 4 ต.ค. 66

‘นายกฯ’ ลั่น!! ปัญหา ‘บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ’ แค่ลิ้นกับฟัน ย้ำ เห็นต่างได้แต่งานอย่าเสีย เตือนอย่ามีข่าวลบ

‘เศรษฐา’ เผยสไตล์ทำงานแบบมิติใหม่ เน้นคุยวงเล็กต้องพร้อมทุกเมื่อ ไม่ต้องซีเรียส หวังให้กระตือรือร้น ลั่นปัญหา ‘โจ๊ก-ต่อ’ แค่ลิ้นกับฟัน เห็นต่างได้แต่งานอย่าเสีย เตือนอย่ามีข่าวลบ จ่อตั้งอดีตตำรวจช่วยงานปราบยาเสพติด

(3 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเชิญ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มาหารือภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องการพบปะกับข้าราชการระดับสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินการคลัง ฝ่ายความมั่นคง จากนี้ต่อไปจะเป็นการทำงานในลักษณะแบบนี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปประชุมใหญ่ที่มีองคาพยพขนาดใหญ่ ในลักษณะการประชุมหลาย 10 คน แต่อย่างการมาประชุมวันนี้ก็ประชุม 3-4 คน หรือ 6 คนเต็มที่ จากนั้นเป็นเรื่องการสั่งการและรับฟังความคิดเห็น จากเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเรื่องการให้วีซ่าฟรีของชาวจีนว่าจากการดำเนินการที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้าง มีการบริหารจัดการกันอย่างไร และมีข้อเรียกร้องกันอย่างไร เพราะบางข้อเรียกร้องก็เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ภาษีต่างๆ ซึ่งเราก็ได้รับฟังและจะมีการหารือในกลุ่มอื่นต่อไป

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการพบปะกันธรรมดา ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ในการทำงาน ไม่มีอะไรผิดปกติ เรื่องแบบนี้เราทำกันมาอยู่แล้วและภาคส่วนอื่นก็ทำเช่นนี้ เพราะถ้าไม่มีการพูดคุยส่วนตัวคิดว่าน่าเป็นห่วงมากกว่า การประชุมต่อไปนี้ไม่ต้องเป็นทางการมาก ไม่ต้องมีการเตรียมงาน แต่จะเป็นการกระตุ้นให้กับทุกคนและตัวตนเองว่าข้อมูลต้องพร้อม ต้องเตรียมตัวให้ดีตลอดเวลา ไม่ต้องไปเตรียมตัว 2-3 วัน บอกเช้ามาบ่ายก็ได้ จึงอยากให้ผู้ร่วมงานทุกคนและหน่วยงานมีความกระตือรือร้น แต่ไม่ต้องซีเรียสมากที่จะมาพูดคุยกัน ถ้าหากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ก็กลับไปหาข้อมูลกันมาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากการพบกันครั้งนี้ ได้มีการเคลียร์ปัญหาในวงการตำรวจหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รอง ผบ.ตร. กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าตั้งแต่ช่วงที่มีการแต่งตั้งออกไป ทั้ง ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร.สุรเชษฐ์ ก็มีภาพข่าวออกไปแล้วว่ามีการพูดคุยกันในเชิงบวก

“คนเราอยู่ด้วยกันก็มีลิ้นกับฟันเป็นธรรมดา แต่ผมเชื่อว่าความตั้งใจจริงของทั้งสองท่าน และอาจจะยังมีอีกหลายๆคู่ที่อาจเป็นคู่กรณีกัน ซึ่งผมไม่ทราบ แต่เรามีนโยบายชัดเจนว่าเรามีภารกิจใหญ่ คือความมั่นคงของประเทศ การดูแลทุกข์สุขของประชาชน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เรื่องส่วนตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องทำงานให้ได้ ต้องไม่มีข่าวเชิงลบ ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชนได้ตลอดเวลา” นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีความขัดแย้งกันเองจริงๆ และยังมีอีกหลายคู่ที่มีความขัดแย้งกันใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาในทุกวงการ แม้แต่วงการสื่อมวลชน อยู่ที่นี่ก็อาจจะมีการทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา บางคนไม่พูดคุยกันก็มี ถือเป็นธรรมดา

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีพร้อมจะห้ามศึกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ ผมคิดว่าเราไม่ต้องห้าม เรามีการพูดคุยกันอย่างเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นที่ว่าการพูดคุยแล้วจะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่จำเป็น เราผิดใจกันได้ แล้วก็กลับมาสมานใจกันได้ใหม่ สังคมอยู่ด้วยกันมาจากหลายที่หลายทาง จะให้เห็นตรงกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องมีการพูดคุยกันในภาษาที่น่าฟัง ไม่ใช่ไปด้อยค่าซึ่งกันและกัน ต้องไม่มีการดูถูกดูแคลนกัน ที่ผ่านมาสังคมแตกแยกกันเยอะแล้ว ก็ขอให้มีมิติใหม่ ในการพูดคุยกันดีกว่า” นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพลบที่ออกไปประชาชนมีความคาดหวังอยากให้มีการปฏิรูปตำรวจ นายกรัฐมนตรีมองอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าทุกองค์การทุกสถาบัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หรือการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การดูแลทุกข์สุขของประชาชน การพัฒนาความสัมพันธ์ มีการแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เชื่อว่าทุกคนตระหนักดี และรู้ว่าอะไรไม่ดีก็ต้องมีการแก้ไข

เมื่อถามว่าได้มีการสั่งการอะไรพิเศษกับ ผบ.ตร. คนใหม่บ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่พูดคุยกันวันนี้ได้ขอให้มีการติดตามในเรื่องวีซ่าฟรีคนจีนเข้ามาต้องไม่มีปัญหา เรื่องของการตรวจคนเข้าเมืองต้องอำนวยความสะดวกให้ดี แต่อย่าให้สะดวกเกินไปจนกระทั่งลืมเรื่องของความมั่นคง นอกจากนี้ยังได้สั่งการในเรื่องยาเสพติด ต้องดูให้ดี เพราะปัจจุบันเหมือนจะมีเข้ามาเยอะ ตนลงพื้นที่ไปเพราะมีประชาชนมาพูดคุยและแสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก ก็ได้กำชับกับ ผบ.ตร.คนใหม่ไป และอีก 2-3 วัน ตนจะมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่จะไปช่วยดูแลตรงนี้ ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไป

4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนา ‘กรุงธนบุรี’ เป็นราชธานี

วันนี้ เมื่อ 253 ปีก่อน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ มีนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร 

หลังการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อปี  2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงรวบรวมกำลังพลและกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรี ล่องมาตามชายฝั่งจนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงต่อสู้โจมตีค่ายโพธิ์สามต้นจนสามารถขับไล่ทหารพม่าออกจากอาณาจักรได้และสามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากการยึดครองได้ ในเวลาเพียง 7 เดือน จากนั้นโปรดให้อัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศมาประกอบพิธีโดยสังเขปและพระราชเพลิงพระบรมศพเรียบร้อย

จากนั้นพระองค์ได้เสด็จสำรวจความเสียหายของบ้านเมือง และประทับแรมในพระนคร ณ พระที่นั่งทรงปืน ทรงพระสุบินนิมิตว่า พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา “มาขับไล่ไม่ให้อยู่” พระเจ้าตากสินมหาราชทรงเล่าให้ขุนนางทั้งหลายฟัง แล้วดำรัสว่า

“เราคิดสังเวชเห็นว่าบ้านเมืองจะร้างรกเป็นป่า จะ มาช่วยปฏิสังขรณ์ทํานุบํารุงขึ้นให้บริบูรณ์ดีดังเก่า เมื่อเจ้าของเดิม ท่านยังหวงแหนอยู่แล้ว เราชวนกันไปสร้างเมืองธนบุรีอยู่เถิด แล้วตรัสสั่งให้เลิกกองทัพกวาดต้อนราษฎร แลสมณพราหมณาจารย์ ทั้งปวงกับทั้งโบราณขัติยวงษ์ซึ่งยังเหลืออยู่นั้น ก็เสด็จกลับลงมาตั้งอยู่ ณ เมืองธนบุรี”

เรื่องเมืองธนบุรีนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแสดงความคิดเห็นไว้ว่า
“…ที่เจ้าตากลงมาตั้งเมืองธนบุรีเป็นราชธานี ครั้งนั้นเหมาะแก่ประโยชน์ทุกอย่าง ถ้าหากว่าสมเด็จพระอดีตมหาราชได้มาขับไล่เจ้าตากมิให้ตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ก็ขับไล่ด้วยไมตรีจิต ตักเตือนมิให้พลาดพลั้งไปด้วยเห็นแก่เกียรติยศ

เพราะกรุงศรีอยุธยาถึงเป็นที่มีชัยภูมิด้วยลําน้ำล้อมรอบ และเป็นเมืองมีป้อมปราการมั่นคงก็จริง แต่รี้พลของเจ้าตากที่มีอยู่ไม่พอจะรักษากรุงศรีอยุธยาต่อสู้ข้าศึก และขณะนั้นศัตรูก็ยังมีมาก ทั้งพม่าและไทยก๊กอื่นอาจจะยกมาย่ำยีในเมื่อหนึ่งเมื่อใด กรุงศรีอยุธยาอยู่ในทางที่ ข้าศึกจะมาถึงได้สะดวกทั้งทางบกและทางน้ำ ถ้ามีกําลังไม่พอรักษา ขืนตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาก็คงเป็นอันตราย

การที่ลงมาตั้งอยู่เมืองธนบุรีก็ไม่ห่างไกลกับกรุงศรีอยุธยา มีอํานาจอยู่ที่เมืองธนบุรีก็เหมือนมีอํานาจอยู่ในกรุงศรีอยุธยา แต่ได้เปรียบที่เมืองธนบุรีตั้งอยู่ที่ลําน้ำลึกใกล้ทะเล แม้ข้าศึกมาทางบกไม่มีทัพเรือเป็นกําลังด้วยแล้วก็ยากที่จะมาตีเมืองธนบุรี”

ภายหลังเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบชุมนุมต่างๆ แล้ว พระองค์ได้ทรงสถาปนาเมืองธนบุรี ขึ้นราชธานีแห่งใหม่ ทรงสร้างพระราชวังขึ้นทางทิศใต้ของกรุงธนบุรี ขนาบข้างด้วยวัดแจ้ง หรือวัดมะกอก (ปัจจุบันคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร) และวัดท้ายตลาด (ปัจจุบันคือวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 พระราชทานนามว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top