Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

‘ขันเงิน’ เปิดตัว ‘ซาเล็คต้า’ หลังเปลี่ยนชื่อจาก MPIC เตรียมลุยธุรกิจบันเทิง-มุ่งสร้างไลฟ์สไตล์แนวใหม่ในเมืองไทย

(3 ต.ค.66) หลังจากที่ ‘นายขันเงิน เนื้อนวล’ หรือ ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม แรปเปอร์ชื่อดังได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC จากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (MAJOR) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) หรือ ZALEKTA Public Company Limited

ล่าสุด ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม ได้เปิดตัว ‘ซาเล็คต้า’ อย่างเป็นทางการแล้ว มุ่งสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์และไลฟ์สไตล์แนวใหม่ในคอนเซ็ปต์ ‘Vibes Setter’ ของเมืองไทย

ขันเงิน ในฐานะกรรมการบริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ชื่อบริษัท ซาเล็คต้า มาจากคำว่า ‘ซีเล็คเตอร์’ ที่แปลว่า เราจะเป็นผู้คัดสรรสิ่งต่าง ๆ ตามเทรนด์โลกที่น่าตื่นเต้น และนำบรรยากาศด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์รวมทั้งไลฟ์สไตล์ที่อาจจะยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมาให้คนไทยได้เสพ ตามคอนเซ็ปต์ Vibes Setter

โดยร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์และไลฟ์สไตล์ของประเทศไทยเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์งานให้สนุกและตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเฟสติวัลต่าง ๆ ทั้งมิวสิคเฟสติวัล อาร์ตเฟสติวัล ทอยเฟสติวัล ภาพยนตร์ ตลอดจนการจับไลฟ์สไตล์และเรื่องที่คนไทยและทั่วโลกกำลังสนใจ

อีกสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำให้สำเร็จ คือการกรุยทางเปิดโอกาสให้ศิลปินและเอ็นเตอร์เทนเนอร์ไทยได้ไปโชว์ความสามารถในเวทีระดับสากลมากขึ้น เพราะคนไทยเป็นคนที่มีความสามารถ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เหล่านี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของผม ขันเงินกล่าว

‘ตำรวจ’ คุมตัว ‘มือปืนอายุ 14’ ไล่ยิงคนในพารากอนแล้ว พบผู้เสียชีวิต 3 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บกำลังตรวจสอบ

(3 ต.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุระทึกกลางห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ทำให้ประชาชนที่อยู่ภายในห้าง ต่างวิ่งแตกตื่นหนีตายกันออกมา เจ้าหน้าที่ของห้างได้รีบอพยพคนออกมาภายนอกห้างอย่างเร่งด่วน

ขณะที่คนร้ายแต่งกายมิดชิด สวมหมวกแก๊บเดินถือปืนอยู่ในห้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างเข้าพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์

สำหรับผู้บาดเจ็บล่าสุด พบว่ามี 4 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ รปภ.ของห้าง ถูกนำตัวส่ง รพ.หัวเฉียว ส่วนอีก 2 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวคนร้ายได้แล้ว เป็นเด็กชาย อายุ 14 ปี โดยคนร้ายยอมมอบตัวภายในโรงแรมชื่อดัง ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างนำตัวไปสอบปากคำ พร้อมอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเข้าตรวจสอบหาตัวผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า สำหรับผู้เสียชีวิตล่าสุดมีรายงานว่า ขณะนี้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บอยู่ระหว่างตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ และกำลังตรวจสอบหาผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมภายในห้างพารากอน

‘ญี่ปุ่น’ ทุบสถิติ!! เผชิญอากาศร้อนที่สุดในรอบ 125 ปี คาด เป็นผลพ่วงจากสภาพอากาศที่แปรปรวนฉับพลัน

(3 ต.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ญี่ปุ่นเผชิญอากาศร้อนที่สุดของเดือน ก.ย. นับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติเมื่อ 125 ปีที่แล้ว ทั้งยังเกิดขึ้นในปีที่คาดว่าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เนื่องจากเกิดการเร่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเผยว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือน ก.ย.ของปีนี้สูงกว่าปกติ 2.66 องศาเซลเซียส นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติในปี ค.ศ. 1898 หรือปี พ.ศ. 2441 ซึ่งวัดอุณหภูมิจากสถานที่ 385 แห่งจาก 914 แห่งทั่วประเทศมีอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่า

และอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ย 1.6 องศาเซลเซียส นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติในปี ค.ศ. 1982 หรือ ปี พ.ศ. 2525

“เรารู้สึกเหลือเชื่อที่อุณหภูมิสูงถึงขนาดนี้” เจ้าหน้าที่จากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นกล่าวและว่า กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำลายสถิติ หลังจากหลายปัจจัยทับซ้อนกันนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

นอกจากนี้ หลายประเทศต่างเผชิญอากาศร้อนที่สุดของเดือน ก.ย. รวมถึงออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมนี โปแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์

ในฝรั่งเศส อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือน ก.ย. 2566 อยู่ที่ราว 21.5 องศาเซลเซียส สูงกว่า 3.5-3.6 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงที่ใช้ในการอ้างอิงปีค.ศ.1991-2020 และในสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน เจออากาศร้อนที่สุดของเดือนก.ย.นับตั้งแต่บันทึกสถิติในปีค.ศ.1884

ด้าน Copernicus Climate Change Service หรือ ‘C3S’ ซึ่งเป็นหน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป หรือ ‘อียู’ รายงานว่า อุณหภูมิโลกเฉลี่ยในเดือน มิ.ย., ก.ค.และ ส.ค. คือ 16.77 องศาเซลเซียส ซึ่งเกินสถิติในปี ค.ศ. 2019

ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติหรือ ‘ยูเอ็น’ กล่าวกับผู้นำโลกในห้วงการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้เปิดประตูสู่นรก

และในการกล่าวเปิดการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ นายกูแตร์เรส กล่าวปลุกใจถึงความร้อนที่น่ากลัวในปีนี้ แต่เน้นย้ำว่า “เรายังคงสามารถจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส” เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติทางสภาพอากาศในระยะยาว

‘ทส.’ กำชับเฝ้าระวัง ‘บ่อขยะ-ระบบบำบัดน้ำเสีย’ พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม พร้อมสั่งเร่งป้องกัน หวั่นเหตุอุทกภัยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

(3 ต.ค. 66) นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีข้อสั่งการให้หน่วยงานใน ทส. ติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

โดยให้ คพ. สำรวจสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย และระบบบำบัดน้ำเสีย ในพื้นที่น้ำท่วม หรือในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เพื่อเตรียมการรับมือ พร้อมเฝ้าระวังผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเหตุอุทกภัย โดยเฉพาะน้ำเน่าเสีย และน้ำเสียจากบ่อขยะ

นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า คพ.ได้ปรับปรุงรายชื่อสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบน้ำท่วม เพื่อติดตามและให้คำแนะนำทางวิชาการ และได้จัดส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการ 76 จังหวัด และผู้ว่ากรุงเทพมหานคร พร้อมจัดทำวันเพจ แจ้งเตือนภัยสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่เสี่ยงได้รับผลกระทบน้ำท่วม และอยู่ระหว่างการติดตามและเฝ้าระวังพายุลูกใหม่ต่อไป เพื่อแจ้งเตือนเป็นระยะ

อธิบดีคพ. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ ที่ 1 – 16 ติดตามและรายงานข้อมูลเชิงพื้นที่และรายงานส่งให้ คพ. ทุกวัน

ล่าสุด จากการตรวจสอบ พบว่า มีสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับผลกระทบ 2 แห่ง ได้แก่

1.) สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย ทม.เมืองสวรรคโลก ต.ย่านยาว อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย มีข้อแนะนำให้ก่อสร้างคันดินและปรับปรุงการระบายน้ำฝนภายในพื้นที่ รวมถึงปรับปรุงถนนเพิ่มเติม

2.) สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของ อบต.ดงละคร อ.เมือง จ.นครนายก มีคำแนะนำให้หาพื้นที่ทิ้งขยะชั่วคราว ประสานขอทิ้งร่วมกับ อปท. ใกล้เคียง และดำเนินการดักกั้นขยะมูลฝอยที่ลอยไม่ให้ออกสู่ภายนอก

ตำรวจ ปส. สกัดขบวนการม้งค้ายาเสพติดรายใหญ่ ซุกไอซ์ 600 กก. ในห้องโดยสาร และกระบะท้าย ขณะเตรียมส่งลูกค้าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่าการปราบปรามยาเสพติดยังคงเดินหน้าต่อเนื่องอย่างเข้มข้นตามนโยบาย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ล่าสุด วันที่ 1 ต.ค. 66 เวลาประมาณ 22.00 น.  นำโดย พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 และ ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดเชียงราย บก.ปส.3 จับกุม 4 ผู้ต้องหา คือ นายสุทธิศักดิ์, นายฉัตรชัย, นายไพรัฐ และ นายทินภัทร 

สืบเนื่องจากตำรวจ ปส. จับกุมยาเสพติดไอซ์ และเฮโรอีน จำนวนมากใน กทม. และทางภาคใต้ จากการขยายผลพบว่าเป็นเครือข่ายยาเสพติดของ นายอุดมศักดิ์ กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
จึงได้สืบสวนและติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด จนพบความเคลื่อนไหวว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดอีก โดยนายอุดมศักดิ์ จะใช้รถกระบะสีขาว หมายเลขทะเบียน xx-4191 ส่วนเครือข่าย คือ นายทินภัทร ใช้รถกระบะสีส้ม หมายเลขทะเบียน xx-6426 เชียงราย ลำเลียงยาเสพติด,  นายไพรัฐ ใช้รถกระบะบรรทุก สีขาว หมายเลขทะเบียน xxx-9325 กรุงเทพมหานคร เป็นรถ    นำทางและคุ้มกัน ส่วน นายสุทธิศักดิ์ และ นายฉัตรชัย จะขับขี่รถจักรยานยนต์ เวฟ 110 ไอ ทำหน้าที่ไปรับรถกระบะบรรทุกยาเสพติด ต่อจากนายทินภัทร และ นายไพรัฐ เพื่อขับไปส่งให้กับกลุ่มเครือข่ายอีกทอดหนึ่ง 

กระทั่งวันที่ 1 ต.ค. 66 พบกลุ่มดังกล่าวได้ลำเลียงยาเสพติด มุ่งหน้าไปทาง อ.เชียงคำ  จ.พะเยา ตำรวจ ปส. จึงแบ่งกำลังกันติดตามและสามารถสกัดจับกุมได้ผู้ต้องหา 4 ราย บริเวณถนนภายในหมู่บ้านม่วงไพรวัลย์ หมู่ 16 ต.เวียง อ.เทิง จ.เชียงราย ต่อเนื่อง ลานจอดรถ รพ.เทิง อ.เทิง จ.เชียงราย ตรวจค้นรถพบยาเสพติด 30 กระสอบ ภายในเป็นไอซ์ น้ำหนัก 591 กก.ซุกซ่อนอยู่ในห้องโดยสารและกระบะท้ายของรถ  จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือ ไอซ์) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ  หรือความปลอดภัยต่อประชาชนทั่วไป” จับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 สอบสวนขยายผลจับกุมตัวมาดำเนินคดี และยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อตัดวงจรของขบวนการค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด

สำหรับนายอุดมศักดิ์ ผู้สั่งการ ตำรวจ ปส. จะได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับ และติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป

สเตป!! ธุรกิจเพลงไทย ในจังหวะที่ไม่พ้นเงื้อมมือนักฟอกเงิน ผลงานถี่-มีแต่เพลงไร้คุณภาพ-ไม่ถูกจดจำ-ปิดตัวแยกย้าย

ถ้านับย้อนกลับไปสัก 15-20 ปีก่อน ฉากหลังของ ‘นักธุรกิจสีเทา’ หรือ ‘มาเฟียต่างชาติ’ ที่ซุกตัวทำมาหากินอยู่ในเมืองไทยมานาน มักจะสร้างเงินได้มหาศาลจากการค้ามนุษย์, ยาเสพติด และรถยนต์หรูนำเข้าแบบหนีภาษี โดยมีตำรวจ และนักการเมืองไทยขี้ฉ้อมีเอี่ยวตามเคย และการเปิด “ค่ายเพลงไทย” ในห้วงเวลานั้น ก็หนีไม่พ้นเป็นหนึ่งในวิธีบังหน้าเพื่อจะฟอกเงินให้ขาวใส เพราะด้วยการทำธุรกิจค่ายเพลงไทยในช่วงเวลาขาลง เป็นจังหวะเวลาที่ดูน่าเชื่อถือ และน่ายกย่องในสายตาสังคมที่สุด ประหนึ่งเป็นพ่อพระผู้ใจดี ที่แม้วงการเพลงไทยกำลังถอยหลังลงคลอง ความคึกคักเริ่มจะหดหายไป กลับมีคนรวยที่มีน้ำใจเดินเข้ามาหวังจะปลุกวงการเพลงไม่ให้เงียบสงัด

แต่ ‘ความน่าเชื่อถือขององค์กร’ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย ‘คนที่น่าเชื่อถือ’ ในวงการเพลงมาออกหน้านั่งแท่นบริหารงาน คอยดีลทีมงาน ชวนศิลปินนักร้อง ดึงนักดนตรี เข้าสังกัด เพื่อมาช่วยกันสร้างผลงานเพลงที่มาจากการ ‘ถลุงเงินบาป’ แบบไม่อั้นในการผลิต 

เงินหนา ๆ ของผู้ลงทุนในคราบโจร เป็นที่หอมหวานของเหล่านักแต่งเพลงไส้แห้ง และโปรดิวเซอร์ทางดนตรีที่ไม่สนว่าจะได้เงินมาจากคนประเภทไหน รวมศิลปินนักร้องมีชื่อจำนวนหนึ่งที่อยากได้ค่าทำงานแพงลิบเพื่อจะยกระดับตัวเองโดยไม่เคยฉุกคิดว่า ที่เขาจ่ายในราคาสูงเกินจริง มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ก็เลยทำให้เกิด ‘ค่ายเพลงจากนักฟอก’ ก่อตัวขึ้นไม่น้อยในสังคมดนตรีไทย เวลาเปิดค่ายจะแถลงข่าวใหญ่โต มีเหล่า ‘คนดังที่คิดน้อย’ แทบจะทุกวงการขึ้นเวทีไปยืนถ่ายรูปช่วยกันฟอกโจรด้วยความชื่นมื่น แต่เมื่อถึงคราวสังคมรู้ถึงกลิ่นที่ผิดปกติ ก็จะแอบปิดตัวไปแบบเงียบ ๆ ในเวลาเพียงปีสองปีเสมอ

ค่ายเพลงจากเงินเทาเหล่านี้ มักจะมีผลงานออกมาถี่ ๆ แต่มักจะเป็นผลงานเพลงที่ไร้คุณภาพ ไม่เป็นที่จดจำ หลังปิดตัวแยกย้ายกันไปไม่นานนักสังคมก็จะลืมทั้งชื่อค่าย และชื่อของศิลปินแต่ละเบอร์ที่เคยออกผลงานมา

แต่ถ้าพูดถึง 5-6 ปีที่ผ่านมาถึงชั่วโมงนี้ ‘กลุ่มทุนเทา’ คือผู้อยู่เบื้องหลัง ‘บ่อนพนันออนไลน์’ เป็นหลัก และแน่นอนยังคงเลี้ยงดูปูเสื่อนายตำรวจใหญ่ ๆ สายโฉด รวมถึงนักการเมืองสายดาร์กบางคน เพื่อการทำมาหารับประทานที่คล่องตัว ส่วนอีกหนึ่งวิธีที่ยังคงใช้ ‘ฟอกตัวตน’ ก็คือการดำเนินธุรกิจเพลงไทยเพื่อใช้เป็นฉากบังหน้าเหมือนเคย เพียงแต่ไม่ใช่วิธีเปิดค่ายเพลงทื่อ ๆ ตรง ๆ เหมือนแต่ก่อน ครั้งนี้หันไปใช้วิธีให้สังคมรู้จักในนาม ‘ผู้ห่วงใยวงการเพลง’ ประกาศจ่ายค่าทำเพลงในอัตราสูง ๆ เพื่อกระตุ้นให้คนทำงานเพลงทุกแขนงตื่นตาตื่นใจ ที่สุดปลาที่ว่ายไปงับเบ็ดธงที่โจรปักหลอกไว้ก็มีแต่คนหน้าตาเดิม ๆ 

ถ้าการเมืองไทยยังไม่ไปถึงไหน วงการเพลงไทยก็..ไม่ต่างกัน

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! แนวโน้ม ศก.โลกไม่เอื้อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แนะทยอยแจกตลอด 4 ปี ดีกว่าทุ่มรวดเดียว 5.6 แสนลบ.

(3 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ ‘อีโก้ของพรรคเพื่อไทยเรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่เป็นใจเลย’ ว่า…

(1) วิกฤติขาดสภาพคล่อง

ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในเฟสที่ 2 คือการสร้างความวุ่นวาย สร้างวิกฤตทางเศรษฐกิจให้รุนแรงยิ่งขึ้น กับสร้างสงครามกลางเมือง เพื่อไปสู่การสร้างสงครามระหว่างประเทศ และไปสู่เฟสที่ 3 คือการเกิดสงครามใหญ่ หลังจากที่โลกได้ผ่านเฟสที่ 1 ของการเกิดโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic) ไปแล้ว

การเกิดโรคระบาดทั่วโลกถูกใช้เป็นข้ออ้างให้ Fed พิมพ์เงินเข้ามาแก้วิกฤตกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ อันที่จริงเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปลายปี 2019 ได้เกิดปัญหาระบบขาดสภาพคล่อง จนดอกเบี้ยกู้ยืมชั่วข้ามคืนระหว่างสถาบันทางการเงิน (Repurchase Agreement) พุ่งขึ้นสูงถึง 9% ทำให้ Fed ต้องรีบพิมพ์เงินเข้ามาเติมสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน (ทำ QE หรือ Quantitative Easing)

และเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ตลาดหุ้นทรุดตัว และ Fed ก็ใช้ข้ออ้างของ Pandemic ทำ QE อีกครั้งเพื่อเข้ามาพยุงตลาดหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็นฟองสบู่ ขนาดใหญ่มากกว่าครั้งใด ๆ ในอดีต 

หลังจากได้ถอดบทเรียนจากวิกฤติการเงินในปี 2008 Fed จึงออกกฎกติกาให้สถาบันทางการเงินต้องกันสภาพคล่องเอาไว้ให้เพียงพอ 

นี่เป็นที่มาที่ทำให้เงินที่ Fed พิมพ์เพิ่มเข้ามาในระบบไหลไปที่สถาบันการเงินใหญ่ (Big 4 : Bank of America, JP Morgan, Wells Fargo, Citibank) ไปดันราคาหุ้นจนแทบไม่มีการปล่อยกู้สู่ภาคธุรกิจแท้จริง

นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎเทียบราคาสินทรัพย์กับราคาตลาด ในขณะทำการซื้อขาย เรียกว่า Mark to การเทียบราคาสินทรัพย์ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ แบบ Mark to market ทำให้เกิดกำไร-ขาดทุน ในจังหวะที่ซื้อขายกัน ตามราคาตลาดในขณะนั้น

ดังนั้นเมื่อ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เรื่อยมา จากดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0 จนตอนนี้อยู่ที่กว่า 5% จึงทำให้ราคาหุ้นตก และราคาตราสารหนี้ ลดลง

การขาดสภาพคล่องของธุรกิจที่กู้ยืมเงินไปลงทุนแบบทำ Leverage ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ร่วมกับการชะงักงัน/ถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคาร/เจ้าหนี้

มิหนำซ้ำการลงทุนของธนาคารก็ขาดทุน เพราะเศรษฐกิจไม่ดีทั่วโลกก่อนการเกิด Pandemic และจาก Disruption ร่วมกับการแห่ถอนเงินออกของผู้ฝากเงินจากผลประกอบการ/การลงทุน ที่ไม่ดี/ขาดทุนของธนาคาร และนำเงินไปซื้อตราสารทางการเงินระยะสั้น (MMF: Money Market Fund; อายุไม่เกิน 1 ปี) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 5% ...ได้บังคับให้ธนาคาร จำต้องขายตราสารหนี้/พันธบัตร ออกไป ในราคาขาดทุน

หลายธนาคารในอเมริกาและยุโรปต้องล้มละลาย และถูกซื้อกิจการไป เช่นการซื้อธนาคาร Credit Suisse โดย ธนาคารใหญ่ UBS: Union Bank of Switzerland  

นี่เป็นการลดจำนวนธนาคารขนาดเล็กเพื่อให้เหลือธนาคารใหญ่ไม่กี่แห่งในระบบทางการเงินใหม่แบบดิจิตัล

Fed ให้การช่วยเหลือบางธนาคาร ที่ขาดสภาพคล่อง โดยให้กู้เงินจาก Fed ไปเติมสภาพคล่อง โดยให้ใช้หลักประกันเป็นพันธบัตรอเมริกาตามราคาหน้าตั๋วชดเชยการให้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ราคาแบบ Mark to market ที่มีราคาลดลง

แต่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับทำลายเศรษฐกิจ มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในธุรกิจที่กู้เงินมาซื้อกิจการ หรือ LBO: Leveraged BuyOut 

เพราะหนี้เงินกู้ (Equity loan) ได้เกิดเป็น Debt complex ...เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จึงไม่อาจหมุนเงิน มาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยของหุ้นกู้ของบริษัทตัวเองได้ (เกิด Default บนตราสารหนี้ของตัวเอง) เพราะขาดสภาพคล่อง

(2) การรับมือของจีนที่ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’

เนื่องจากตลอด กว่า 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อต้องเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม จาก ยุค 3.0 สู่ 4.0 

จีนจึงต้องเผชิญกับวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องมีการล้มหายตายจากของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของประเทศ (เช่น Evergrande และ Country Garden)

แต่จีนได้มีการเตรียมความพร้อม ด้วยการให้ 4 ธนาคารใหญ่ของจีนตั้งสำรองหนี้สูญในระดับสูงที่สุดในโลก เพื่อรับมือกับวิกฤตที่ 'เรือเศรษฐกิจโลก' บนการรองรับจาก 'หนี้ดอลลาร์' กำลังจะจม

อันที่จริงจีนได้วางแผนหนีออกจากดอลลาร์มากว่าสิบปีแล้ว เมื่อมองขาดว่า...การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้ควบคุมเรือเศรษฐกิจโลก หรือ Fed ด้วยการใช้ หนี้ดอลลาร์ (พันธบัตรอเมริกา; US Treasuries) เป็นผืนน้ำที่หนุนเรือเศรษฐกิจโลกเอาไว้กำลังจะไปไม่รอด เพราะดอลลาร์เสื่อมค่า  ดอลลาร์ไม่ทำงานเพื่อพยุงเรือ ดอลลาร์กำลังจะเสียหน้าที่ในการประคับประคองเรือเศรษฐกิจ ให้ลอยและแล่นต่อไปได้

จีนจึงจับมือกับกลุ่มตะวันออก ตั้งกลุ่ม BRICS+ (+ ซาอุดิอาระเบีย, อิหร่าน, ยูเออี, อียิปต์, เอธิโอเปียและ อาร์เจนตินา; กลุ่ม + มีผล 1 มกราคม 2024) เพื่อหาทางรอด...ออกจากเรือเศรษฐกิจที่กำลังจะจม เพราะ ดอลลาร์ที่พยุงเรือเสื่อมค่าลง

จีนออกกฎหมายควบคุมการเติบโตแบบฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ (30% ของ GDP) ที่ถึงตอนนี้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ 3 อันดับแรกของจีน ถูกปล่อยให้ล่มจม

สั้น ๆ จีนจะช่วยบางธุรกิจแห่งเศรษฐกิจอนาคตที่ถูกเลือกเท่านั้น 

สิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ด้วยการเทขายพันธบัตรอเมริกาออกไปอีก, เก็บเพิ่มทองคำในทุนสำรอง, บริหารการอ่อนค่าของเงินหยวน, การสร้าง ‘เรือลำใหม่’ บนตัวพยุงเรือเศรษฐกิจใหม่ (ด้วยเงินดิจิทัลของกลุ่ม BRICs) เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ซับซ้อน ยืดเยื้อและอ่อนไหว

มันจึงไม่สามารถพลิกวิกฤติสถานการณ์โลกเฉพาะหน้าได้

(3) สงครามโลกครั้งที่สามเกิดแน่ 

(แต่ไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2)
รัสเซียที่จับมือกับเกาหลีเหนือ กำลังนำชาติตะวันตกไปสู่หายนะระดับโลก เพราะปัจจุบันสหรัฐฯ ไม่มีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือเลย

ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 

สงคราม​โลกครั้งที่ 3 ในการควบคุมของมหาอำนาจตะวันออก​ จะมาในรูปแบบของ ‘สงครามไฮบริด’ เหตุและผลที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะจะไม่มีการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์  

มหาอำนาจนิวเคลียร์​ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นประเทศ​ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT)

แต่เกาหลีเหนือ เป็นประเทศที่พัฒนาทางทหารชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของชมรมนิวเคลียร์ (Nuclear​ Club) แต่ยังไม่เคยลงนามในสนธิสัญญา​ไม่แพร่กระจาย​อาวุธ​นิวเคลียร์​กับใคร 

ชาติตะวันตกกลัวว่าผลจากการร่วมมือกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ จะทำให้กองทัพรัสเซียมีกระสุนหลายล้านนัดเพื่อเอาชนะกองทัพยูเครน และเกาหลีเหนืออาจมีเทคโนโลยีขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีทุกเมืองในสหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธ​นิวเคลียร์  

เหตุใดความร่วมมือกับเกาหลีเหนือจึงมีประโยชน์สำหรับรัสเซีย?  

ด้วยการเพิ่มกิจกรรมทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลี เกาหลี​เหนือสามารถบังคับให้เกาหลีใต้ทิ้งการจัดหาอาวุธของตนให้กับประเทศ NATO และมุ่งเน้นไปที่ภารกิจการป้องกันประเทศ 

เพราะคาบสมุทร​เกาหลี​จะร้อนระอุกว่าวิกฤติไต้หวัน​

รัสเซียสามารถเสนอเทคโนโลยีทางทหารแก่เกาหลีเหนือได้มากมาย ซึ่งจะเปลี่ยนสมดุลทางอำนาจในภูมิภาค ของพันธมิตรที่เป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์​ ออสเตรเลีย​ นิวซีแลนด์​ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกลุ่มทหาร AUKUS 

คาบสมุทรเกาหลีจะลุกเป็นไฟ ไม่ใช่ไต้หวัน  

อำนาจของผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ว่าระเบียบโลกที่มีขั้วเดียวจะไม่มีอีกต่อไป และกระแสโลกที่มีต่อระบบหลายขั้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่อเมริกา​จะขัดขวางได้  

แต่อย่างไรก็ตามมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของโลกมายาวนานอย่างสหรัฐฯ ไม่ต้องการออกจากฐานอย่างสงบ เหมือนกับที่สหภาพโซเวียตของกอร์บาชอฟเคยถูกบีบให้ต้องทำ

และการเป็นมหาอำนาจของรัสเซียในวันนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแนวทางการสู้รบในยูเครน ยิ่งประสบความสำเร็จในสนามรบมากเท่าใด สถานะในการเมืองโลกของโลกหลายขั้วก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้คือ ผลของสงครามโลกครั้งที่สามรูปแบบใหม่ โดยปราศจากการสู้รบจากมหาอำนาจนิวเคลียร์​เหมือนสงครามโลก​ครั้งก่อน ๆ เลย

สั้น ๆ สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นแน่ แต่ในรูปแบบที่จีน รัสเซีย​ เกาหลี​เหนือ และอิหร่าน ควบคุมได้ และผลของสงครามที่เริ่มประจักษ์​แก่สายตาชาวโลก นั่นคือการดำรงอยู่ของ ‘โลกหลายขั้ว’ ที่ไม่มีใครขัดขวางได้

(4) อีโก้ของพรรคเพื่อไทย เรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล

ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐพุ่ง เพราะไม่มีคนซื้อพันธบัตร
ทองดิ่ง น้ำมันดิ่ง หุ้นดิ่งเงินดอลแข็ง เงินบาทอ่อน (เทียบกับเงินดอล)

ลากดอกเบี้ยเพื่อดันดอลลาร์ให้แข็ง เพื่อทุบราคาน้ำมันของรัสเซีย ซาอุ เพื่อทุบราคาทองในสำรองฝั่ง BRICS

เฟดกะทุบให้เศรษฐกิจโลกเข้าภาวะถดถอยกันให้หมด เพื่อรักษาเงินดอลลาร์เอาไว้ เป็น fight for survival ของเงินดอลลาร์ สู้กับ de-dollarization ที่เป็นเป้าหมายของฝ่าย BRICS ลากดอกเบี้ยหนักขนาดนี้อีกไม่เกิน 2 ปี global recession แน่นอน 

จากเพจ สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา 

วันนี้เพจ ลงทุนแมน เขียนว่า

"เช้านี้ ค่าเงินบาท ทะลุ 37 บาท เป็นที่เรียบร้อย

- ยิ่งไม่มีความชัดเจน ในการแจกเงินดิจิทัล เงินบาทยิ่งอ่อนค่าไปเรื่อย ๆ และค่าเงินบาทที่อ่อนนี้ จะเป็นต้นทุนทางอ้อมของรัฐบาลเอง

1. ต่างชาติเทขายพันธบัตร หุ้น เรื่อยมา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน หลังจากที่ตลาดรู้ว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้าน ซึ่งชัดเจนว่าอ่อนกว่าภูมิภาค ทั้ง เยนญี่ปุ่น มาเลเซียริงกิต

2. ที่ต้องขายก็เพราะเหตุผลแรกคือ ข้อแรก ดอกเบี้ยสหรัฐมีอัตราที่สูงกว่า ข้อสอง ตลาดเก็งว่าราคาพันธบัตรของไทยจะลดลงในอนาคต เนื่องจาก Yield ที่สูงขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินของภาครัฐมาแจกเงิน 560,000 ล้าน

3. เมื่อรู้ว่าพันธบัตรจะราคาลดในอนาคต ก็ต้องรีบเทขายตอนนี้ เมื่อขายนำเงินกลับประเทศ ค่าเงินบาทก็อ่อนอย่างต่อเนื่อง

4. เงินต่างชาติก้อนใหญ่ ขายวันเดียวไม่หมด จึงต้องทยอยขายไปเรื่อย ซึ่งเราก็จะเห็นว่า ค่าเงินบาทรันเทรนด์ การอ่อนค่าแบบไปเรื่อย ๆ เหมือนมีคนทยอยขายเรื่อย ๆ

5. อีกประการคือ พันธบัตรระยะยาวสหรัฐ มี yield ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อคืนพันธบัตร 10 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงเงินกลับ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ

1. เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า เราจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการนำเข้า น้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย

2. ผู้สินค้านำเข้าทุกอย่างจะจ่ายแพงขึ้นอีก ใกล้ตัวเราที่เห็นแล้วก็ iPhone ในไทยที่จะไม่ได้ขายที่ราคาถูกแบบเมื่อก่อน

3. สุดท้าย แบงก์ชาติ ก็คงพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย หรือ มีมาตรการอะไรเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท

4. ในขณะเดียวกันก็จะมีโครงการขนาดใหญ่มากดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอีก นั่นก็คือการแจกเงิน 560,000 ล้าน ซึ่งต้องกู้เงิน และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็แปลว่ารัฐบาลไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นเพื่อมาแจกเงินเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดการแจกเงินยังไม่ชัดเจน และยิ่งไม่ชัดเจน ตลาดก็กังวล และเลือกที่จะขายออกมาก่อนแบบในช่วงนี้"

ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยดันทุรังจะแจกเงิน 560,000 ล้านบาทให้จงได้ ผมขอเสนอแนวทางประนีประนอมดังต่อไปนี้

(1) ควรทยอยแจก 4 ปี ในระหว่างที่เป็นรัฐบาล คือแจกทุกปี ๆ ละ 140,000 ล้านบาท ดีกว่าแจกรวดเดียว 560,000 ล้านบาท ภายในหกเดือนของปีแรก

(2) ตอนที่แจกปีละ 140,000 ล้านบาท ควรทยอยแจกทุกเดือน ๆ ละ 10,000 กว่าล้านบาท ผ่านแอป ‘คนละครึ่ง’ ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดแล้วว่าได้ผลจริงในการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้คน

ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลเพื่อไทยจะยอมลดอีโก้ของตนเองลงหรือไม่ หรือจะยอมปล่อยให้นโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัล ทำให้การคลังของบ้านเมืองพังเหมือนนโยบายจำนำข้าวที่ฉาวโฉ่ในอดีต

ด้วยความปรารถนาดี

‘ยูเครน’ สร้างโรงเรียนใต้ดิน ดึงการศึกษาคืนเยาวชน กลายเป็นห้องเรียนในหลุมหลบภัยที่แรกของประเทศ

(3 ต.ค. 66) สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กินเวลายาวนานเกือบ 3 ปี ทำวิถีชีวิตของชาวยูเครนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หนีไม่พ้นกลุ่มเด็กเล็กวัยเรียนของยูเครน ที่หลายโรงเรียนจำเป็นต้องหยุดการเรียน การสอน เพราะอยู่ในเขตสู้รบ ในขณะที่อีกหลายแห่งจำเป็นต้องเปิดการสอนผ่านทางออนไลน์เท่านั้น

จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เด็กๆ ยูเครนต้องจำใจจากบรรยากาศห้องเรียน เสียงกระดาน และฝุ่นชอล์ก เพียงเพราะความขัดแย้งรุนแรงในโลกของผู้ใหญ่

วันนี้ รัฐบาลท้องถิ่นเมืองคาร์คีฟจึงตัดสินใจสร้างโรงเรียนใต้ดิน ที่เปิดการเรียน การสอนแบบชั้นเรียนเต็มรูปแบบ ที่มีห้องเรียนมากกว่า 60 ห้อง ที่สามารถรองรับนักเรียนได้ถึง 1,000 คน นับเป็นโรงเรียนใต้ดินแห่งแรกของยูเครนอย่างเป็นทางการ

โดยทางการเมืองคาร์คีฟได้ดัดแปลงพื้นที่ภายในสถานีรถไฟใต้ดิน มาปรับสร้างเป็นโรงเรียนที่นักเรียนสามารถเข้ามานั่งเรียนได้อย่างปลอดภัย แม้จะมีสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศบนภาคพื้นดินก็ตาม 

‘อิฮอร์ เทเลคอฟ’ นายกเทศมนตรีเมืองคาร์คีฟ ได้โพสต์ข้อความลงใน Telegram กล่าวว่า มั่นใจในความปลอดภัยของโรงเรียนใต้ดินแห่งแรกในคาร์คีฟมาก และโรงเรียนในหลุมหลบภัยแห่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ นับพันคน มีโอกาสเรียนหนังสือในบรรยากาศที่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเพื่อนร่วมชั้น และ ครู ได้อีกครั้งหนึ่ง

‘คาร์คีฟ’ เป็นเมืองทางภาคตะวันออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในยูเครน และตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนรัสเซียเพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองนี้เคยมีประชากรถึง 1.4 ล้านคน ก่อนเกิดสงครามระหว่าง 2 ชาติ อีกทั้งยังเคยเป็นเป้าหมายสำคัญของกองกำลังรัสเซีย ถึงแม้วันนี้คาร์คีฟจะสงบลงมากแล้ว แต่ยังมีสัญญาณเตือนภัย และการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน

ส่วนระบบขนส่งทางรถไฟใต้ดินของเมืองนี้ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1975 นับเป็นเมืองที่ 2 ของยูเครนถัดจากกรุงเคียฟ ที่มีระบบรถไฟใต้ดินใช้ ปัจจุบันมีสายรถไฟ 3 สาย เปิดบริการ 30 สถานี โดยสถิติผู้ใช้งานรถไฟใต้ดินเมืองคาร์คีฟในปี 2018 มีมากถึง 223 ล้านคน

ต่อมาในปี 2022 ระหว่างที่เกิดการสู้รบระหว่างกองทัพยูเครน และรัสเซีย ในเมืองคาร์คีฟอย่างหนัก รถไฟใต้ดินถูกนำมาใช้เป็นหลุมหลบภัยของชาวเมืองนับแสนคน ทำให้ อิฮอร์ เทเลคอฟ นายกเทศมนตรี เกิดความคิดที่จะปรับเอาพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดินบางส่วนมาเปิดสอนเด็กๆ ระหว่างหลบภัย

ก่อนจะพัฒนากลายเป็นชั้นเรียนทดลอง ที่นำหลักสูตรในโรงเรียนมาสอนอย่างจริงจังซึ่งนอกจากวิชาหลักที่ใช้สอนอย่าง คณิตศาสตร์ ภาษายูเครน ภาษาอังกฤษ และกิจกรรมสันทนาการเสริมแล้ว ยังเพิ่มทักษะการป้องกันตัวด้วยการเชิญตำรวจเข้ามาอธิบายวิธีการหาที่หลบอย่างปลอดภัย เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศอีกด้วย

‘โอฮา เดเมนโก’ ผู้อำนวยการสำนักงานด้านการศึกษาของเมืองคาร์คีฟ กล่าวว่า การที่เด็กเล็กๆ ขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเดียวกัน หรือกับบรรดาครูอาจารย์ที่โรงเรียนนานๆ อาจส่งผลต่อทักษะทางสังคมของเด็ก นอกจากนี้ เด็กๆ ยังมีภาวะเครียด จากผลกระทบของสงคราม จึงมีความจำเป็นที่ต้องดึงเด็กๆ กลับสู่ชั้นเรียนแบบปกติให้เร็วที่สุด

หลังจากที่ทดสอบห้องเรียนในหลุมหลบภัยมาแล้วหลายเดือน วันนี้ทางการเมืองคาร์คีฟจึงตัดสินใจเดินหน้า ขยายชั้นเรียนนำร่องโรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนใต้ดินเต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศ และจะนำหลักสูตรที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งนายกเทศมนตรีให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่ตัดงบประมาณด้านการพัฒนาโรงเรียนแม้แต่เหรียญเดียว อีกทั้งยังตั้งเป้าผลักดันให้คาร์คีฟเป็นเมืองอัจฉริยะที่สุดในยูเครนอีกด้วย

แม้เสียงสงคราม และ สนามรบยังไม่จบ แต่อนาคตของเด็กๆ ชาวยูเครนยังต้องดำเนินต่อไป ที่ไม่อาจรอจนถึงวันสิ้นสงครามได้ แต่การศึกษาของเด็กๆ ในวันนี้สำคัญเสมอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘2 นักวิทย์’ ผู้พัฒนาวัคซีน mRNA ป้องกัน COVID-19 คว้ารางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ปี 2023

เมื่อวานนี้ (2 ต.ค.66) รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2023 ตกเป็นของ Katalin Karikó และ Drew Weissman จากผลงานการค้นพบที่เกี่ยวข้องกับการดัดแปลงนิวคลีโอไซด์เบส (nucleoside base) ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 

จากการค้นพบที่ก้าวล้ำของพวกเขาได้เปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีที่ mRNA มีปฏิสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้สามารถพัฒนาวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ได้สำเร็จ โดยช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่มวลมนุษยชาติต้องตกอยู่ในภัยคุกคามด้านสุขภาพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์

ข่าวดี!! วันที่ 31 ตุลาคม 2566 ที่จะถึงนี้ Professor Dr. Drew Weissman หนึ่งในผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ปีล่าสุด!! จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘Nucleoside Modified mRNA-LNP Therapeutics’ 

ในงาน ‘การประชุมวิชาการนานาชาติว่าด้วยการเรียนการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หลังภาวะการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019’ เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://imsed.ipst.ac.th/ 

เชียงใหม่-รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เปิดตัวห้องสวนหัวใจและหลอดเลือด และห้องเอ็มอาร์ไอหัวใจ

โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดตัวห้องสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cath Lab) และห้องเอ็มอาร์ไอหัวใจ (Cardiac MRI) ภายในห้องฉุกเฉินระบบดิจิตอล ครบวงจร ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ (One-Stop-Service ER) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลันได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดภาวะแทรกซ้อนจากโรค

ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “การนำเครื่องสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cath Lab) เข้ามาให้บริการภายในห้องฉุกเฉิน รวมถึงการติดตั้งเครื่องเอ็มอาร์ไอหัวใจ (Cardiac MRI) ในพื้นที่บริเวณห้องฉุกเฉินที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ถือเป็นการให้ความสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือระดับเร่งด่วนเพราะทุกนาทีคือชีวิต และทุกช่วงชีวิตมีค่า ซึ่งตรงกับพันธกิจในการยกระดับสุขภาวะของมนุษยชาติอย่างยั่งยืน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการที่ดีขึ้น และความเป็นเลิศของการบริการของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมอบส่งการบริการที่มีคุณภาพ และศักยภาพระดับสูง ให้แก่ผู้รับบริการทุกท่าน ซึ่งผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคหัวใจ ณ ห้องฉุกเฉินปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะสามารถใช้ห้องนี้ในการรองรับผู้ป่วยวิกฤต ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตโดยผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัย และการรักษาอย่างรวดเร็ว มีความแม่นยำสูง และปลอดภัยสูงสุดเพิ่มอัตราการรอดชีวิตผู้ป่วยกลุ่มนี้”

ผศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “จากเดิมห้องสวนหัวใจ ตั้งอยู่ ณ บริเวณชั้น 8 อาคารศรีพัฒน์ เมื่อมีผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยโรคหัวใจ การตรวจรักษา รวมถึงการวินิจฉัยและการเคลื่อนย้ายมายังห้องสวนหัวใจเป็นระยะเวลาโดยเฉลี่ย ประมาณ 10-15 นาที ในภาวะที่ผู้ป่วยไม่แออัดมาก แต่ทุกนาทีของผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องหัวใจขาดเลือดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและส่งผลต่ออัตราการรอดชีวิตอย่างมาก การสร้างห้องสวนหัวใจและหลอดเลือด ในพื้นที่ห้องฉุกเฉินนั้น จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว และช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ในทันที

เพื่อประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้ป่วยอาการไม่คงที่ หรือที่ได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน จะได้รับการรักษาทันที หากช่วยได้เร็วโอกาสในการรอดชีวิตจะมีมากขึ้น โดยความพร้อมในด้านบุคลากรทางการแพทย์ มีอาจารย์แพทย์เฉพาะทางด้านระบบหัวใจและหลอดเลือด และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้บริการตลอดเวลา นับว่าเป็นห้องฉุกเฉินที่ให้บริการแบบครบวงจรอย่างแท้จริง 

นอกจากมีเครื่องสวนหัวใจและหลอดเลือดในห้องฉุกเฉินแล้ว ยังได้ทำการติดตั้งเอ็มอาร์ไอหัวใจ (Cardiac MRI)  ในพื้นที่บริเวณด้านข้างห้องฉุกเฉิน เพื่อความสมบูรณ์ในการให้บริการ และในขณะที่ให้การรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือด หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถให้ความช่วยเหลือโดยใช้อุปกรณ์ที่เตรียมความพร้อมเพื่อช่วยชีวิตภายในห้องสวนหัวใจ และสามารถเรียกแพทย์ พยาบาลผู้เชี่ยวชาญจากห้องฉุกเฉิน เข้ามาทำการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อีกด้วย นับเป็นความปลอดภัยขั้นสูงสุดสำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน นอกจากนี้ในอนาคตยังสามารถใช้เครื่องดังกล่าวเพื่อช่วยห้ามเลือดในผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกจากการบาดเจ็บของอวัยวะภายในได้อีกด้วย” 

ด้าน รศ.ดร.นพ.บวร วิทยชำนาญกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ภาวะผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเป็นภาวะที่พบได้บ่อย และเป็นภาวะที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 10 การวินิจฉัยและการรักษาอย่างรวดเร็วนั้นต้องอาศัยทีมแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญเป็นแพทย์เฉพาะทาง ประกอบกับโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และเรามีอาจารย์แพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจที่อยู่ประจำตลอด 24 ชั่วโมง ที่คอยให้คำปรึกษาแพทย์ที่อยู่ห้องฉุกเฉิน ดังนั้นเมื่อมีทีมแพทย์ และห้องสวนหัวใจในพื้นที่ห้องฉุกเฉิน อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยจะสูงขึ้น ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลครบวงจร และสามารถลดอัตราการเสียชีวิต และทุพพลภาพลงได้”
 
ผศ.ดร.พญ.พรรณนิภา สุวรรณสม อาจารย์ประจำหน่วยวิชาระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ในปัจจุบันพบผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลันจำนวนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเมือง อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ในปริมาณสูง ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งเสริมให้ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น  

ในผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะเสียชีวิตจากการเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะหัวใจล้มเหลว และภาวะช็อค หากเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่นานเพียงพอเป็นระดับวันก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตั้งแต่การเกิดลิ้นหัวใจรั่ว หรือกล้ามเนื้อหัวใจทะลุได้ หลายท่านอาจเคยได้ยิน แคมเปญในการรณรงค์ที่ว่า เมื่อมีอาการแน่นหน้าอก ผู้ป่วยต้องรีบมายังโรงพยาบาล เพราะการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลันนั้นมีความเร่งด่วน นับเป็นนาที ดังนั้นเมื่อมายังห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจคลื่นหัวใจและแปลผลเบื้องต้นให้ได้เร็วที่สุดภายใน 10 นาที ต้องได้รับการเปิดหลอดเลือด ภายใน 90 นาที หากอยู่ในโรงพยาบาลที่สามารถเปิดห้องสวนหัวใจได้ จะเห็นได้ว่ามาตรฐานการรักษาผู้ป่วยในภาวะดังกล่าววัดกันเป็นหลักนาที เพราะทุกนาทีที่ผ่านไปหมายถึงกล้ามเนื้อหัวใจที่ตายเพิ่มขึ้น หากรักษาได้เร็ว ผู้ป่วยจะได้รับความเสียหายจากการตายของกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลง

ดังนั้น ความจำเป็นของการจัดตั้งห้องสวนหัวใจ ในพื้นที่ห้องฉุกเฉินก็เพื่อให้การรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง ลดอัตราการเสียชีวิตได้  โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ให้การปรึกษาผู้ป่วยที่มีภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลันกับโรงพยาบาลในเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง โดยรับปรึกษาผู้ป่วยกว่า 900 รายต่อปี และผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับ การตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจเร่งด่วนกว่า 400 รายต่อปี การมีห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดในพื้นที่เดียวกับห้องฉุกเฉินจะทำให้สามารถรักษาได้อย่างรวดเร็วทั้งต่อผู้ป่วยที่มาตรวจยัง รพ.มหาราชนครเชียงใหม่โดยตรง และผู้ป่วยที่รับส่งต่อมาจากโรงพยาบาลเครือข่าย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top