Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

‘ซาอุฯ’ กร้าว!! หาก ‘อิหร่าน’ มี ‘อาวุธนิวเคลียร์’ ซาอุฯ ก็จำเป็นต้องหามาประดับกองทัพเช่นกัน

หากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง เมื่อนั้น ซาอุดีอาระเบียก็จำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน จากคำเตือนของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ระหว่างให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งบางช่วงบางตอนได้มีการเผยแพร่เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

"ประเทศใดก็ตามที่กำลังมีอาวุธนิวเคลียร์ มันเป็นความเคลื่อนไหวที่แย่ๆ" มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียกล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ริยาดจะตอบโต้อย่างไร หากว่า เตหะรานกลายเป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ 

"ถ้าหากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศใดที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังทำสงครามกับที่เหลือของโลกใบนี้"

เจ้าชายกล่าวต่อว่า “เหล่ามหาอำนาจโลกจะมาพร้อมกับมาตรการตอบโต้ร่วมกัน เพราะว่าโลกไม่อาจเห็นอีกหนึ่งฮิโรชิมา ถ้าว่าโลกเห็นประชาชน 100,000 คนต้องตาย คุณจะทำสงครามกับทั้งโลก” 

ทั้งนี้ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย อ้างถึงกรณีสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 ใน 2 เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นห่างกัน 4 วัน และจนถึงปัจจุบัน ยังเป็นแค่การใช้อาวุธนิวเคลียร์เพียงครั้งเดียวของโลกในความขัดแย้งหนึ่ง ๆ

ผู้สื่อข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ขอคำตอบตรงกว่านี้จากเจ้าชาย โดยถามว่า “ถ้าอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แล้วท่านล่ะ?” ซึ่งในเรื่องนี้ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ตอบว่า “ถ้าพวกเขามี เราก็จำเป็นต้องมีเช่นกัน”

อิหร่านซึ่งยังคงอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา ปฏิเสธซ้ำ ๆ ต่อคำกล่าวอ้างของสหรัฐฯ อิสราเอลและประเทศอื่น ๆ ว่าพวกเขากำลังหาทางพัฒนาอาวุธปรมาณู

ระหว่างปราศรัยกับสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร (19 ก.ย.) ประธานาธิบดีเอบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน เน้นย้ำว่าเตหะรานจะไม่มีวันสละสิทธิในการมี ‘พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ’ อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้อยู่ในหลักการด้านการป้องกันตนเองและหลักการทางทหารของอิหร่านแต่อย่างใด

ไรซี บอกด้วยว่าประเทศของเขากระตือรือร้นในการคืนสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 หรือ แผนปฏิบัติการร่วมที่ครอบคลุม (Joint Comprehensive Plan for Action หรือ JCPOA) ซึ่งเสนอยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรแลกกับการที่เตหะรานจำกัดกิจกรรมทางนิวเคลียร์ พร้อมเน้นย้ำว่าการถอนตัวฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ จากข้อตกลงนี้ ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการตอบโต้ที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่อิหร่านได้ทำตามพันธสัญญาต่าง ๆ ส่วนหนึ่งในข้อตกลง JCPOA ทุกประการ

เสียงเตือนของมกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน มีขึ้นแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน 2 ชาติที่เป็นคู่อริกันมานาน ปรับท่าทีเข้าหากัน และได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตัดขาดกันไปนานกว่า 7 ปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผ่านการมีจีนเป็นคนกลาง

‘หมอยง’ ชี้ RSV เด็กเล็กติดซ้ำได้ แถมบางคนเป็นทุกปี เหตุเพราะ ‘วัคซีน’ ที่ไม่ได้รับการพัฒนาในตัวเด็ก

(25 ก.ย. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่า RSV เป็นแล้วเป็นซ้ำได้อีก เด็กบางคนเป็นทุกปี

RSV เป็นโรคที่เป็นแล้วเป็นได้อีก เด็กบางคนเป็นได้ทุกปี โดยพบว่าในการเป็นครั้งแรกจะมีอาการมากที่สุด โดยปกติมากกว่า 80% จะได้รับภูมิต้านทานส่งต่อจากมารดาและภูมินี้จะหมดไปที่ประมาณ 6 เดือนหลังคลอด

เด็กจึงมีโอกาสติด RSV ครั้งแรกหลัง 6 เดือนขึ้นไปได้สูง และเป็นเด็กเล็กอาการที่เกิดหลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ จึงค่อนข้างเด่นชัด และเป็นเหตุให้ต้องนอนโรงพยาบาล ถ้ามีอาการมากถึงกับต้องให้ออกซิเจน

แต่โดยทั่วไปแล้ว การรักษาจะเป็นการแบบประคับประคองรอเวลาแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้น ผู้ที่เสียชีวิตจาก RSV ในประเทศไทยพบน้อยมากๆ ยกเว้นในประเทศยากจนที่เด็กขาดอาหาร ร่างกายไม่แข็งแรง

เมื่อเป็นแล้วภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นไม่สามารถที่จะปกป้องการติดเชื้อในปีต่อไปได้ ก็จะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก

จากการศึกษาของเราที่ศูนย์ ในผู้ที่ติดเชื้อซ้ำจำนวน 81 ราย 72 ราย ติดเชื้อซ้ำอีก 1 ครั้ง 9 รายติดเชื่อซ้ำอีก 2 ครั้ง รวมเป็นติดเชื้อ 3 ครั้ง และส่วนใหญ่เกิดภายในอายุ 5 ปี แต่จากการศึกษาทางด้านภูมิคุ้มกันมีเด็กบางคนเมื่ออายุถึง 5 ปี ติดเชื้อทุกปี แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเท่านั้น

เด็กที่ติดเชื้อและได้รับการวินิจฉัยที่เราทำการศึกษา 81 ราย เราศึกษาลงลึกถึงสายพันธุ์ของ RSV เรารู้ว่าสายพันธุ์ของ RSV มี 2 สายพันธุ์หลักคือ A และ B และมีสายพันธุ์ย่อย ของ A และ B อีกเป็นจำนวนมาก การศึกษาลงลึกของพันธุกรรมเราพบว่าปีนี้ติดเชื้อ RSV A ปีต่อไปก็สามารถติดสายพันธุ์ A ได้อีก หรือเป็นสายพัน B ก็ได้ ดังแสดงในรูป ในทำนองกลับกันสายพันธุ์หลักไม่ได้ช่วยป้องกันข้ามสายพันธุ์เลย และก็ไม่ช่วยป้องกันสายพันธุ์เดียวกัน รวมทั้งสายพันธุ์ย่อยที่เราพบเช่นสายพันธุ์ ON1 เมื่อติดเชื้อแล้วก็ยังติดเชื้อซ้ำในปีต่อไปได้

เหตุผลดังกล่าว RSV จึงมีปัญหาในการพัฒนาวัคซีนอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็ก ถึงแม้ว่าจะมีการนำวัคซีนมาใช้ในผู้สูงอายุหรือสตรีตั้งครรภ์ แต่เชื่อว่าการป้องกันจะอยู่ระยะสั้น

จีนจัดหลักสูตรใหม่ให้เด็กประถม-ม.ต้น เรียน 'ทำอาหาร-ปลูกผัก-เลี้ยงสัตว์' ส่วนไทยวางแผนจะแจกแทบเล็ตนักเรียน เพื่อให้เข้าถึงเฟกนิวส์ได้ง่ายขึ้น

(25 ก.ย. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ธีร์ธารา กสิกรรมไร้สารพิษ' ได้โพสต์ข้อความ ว่า...

ขณะที่จีนวางแผนสอนให้เด็กมีทักษะในการดำรงชีวิต เอาตัวรอดได้ ช่วยเหลือครอบครัวได้ ไทยกำลังวางแผนจะแจกแทบเล็ตนักเรียน เพื่อให้เข้าถึงเฟกนิวส์ได้ง่ายขึ้น ผ่าง!

วิชาการจ๋าหลบไป !’ จีนจัดหลักสูตรใหม่ให้เด็กประถม - ม.ต้น เรียน ‘วิชาแรงงาน’ ทำอาหาร ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ งานนี้ทำเอาบรรดาผู้ปกครองแตกตื่นมึนตึ้บกันทั่วโซเชียล นับจากเดือน ก.ย.ปีนี้เป็นต้นไป เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นในจีน จะต้องหุงข้าวทำกับข้าวกับปลากินเองเป็น หัดทำสารพัดเมนูทั้งผัด เคี่ยว นึ่ง ต้ม ตุ๋น ทำงานบ้านเองได้ ทั้งยังต้องเรียนปลูกผัก เลี้ยงสัตว์

สืบเนื่องจากเมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการจีนประกาศหลักสูตรใหม่สำหรับการเรียนการสอนระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเพิ่ม ‘วิชาแรงงาน’ เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็ก ๆ โดยจัดให้มีการสอนทำอาหาร โภชนาการ ทำความสะอาดบ้าน ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และซ่อมแซมเครื่องใช้ไม้สอยอุปกรณ์ไฟฟ้า ตลอดจนฝึกความรับผิดชอบและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

ด้วยสภาพสังคมที่มีการแข่งขันสูง บรรดาผู้ปกครองจึงสนับสนุนให้ลูก ๆ สนใจเรื่องเรียนวิชาการเพียงอย่างเดียว ห้ามสนใจเรื่องอื่น เรียกว่า งานบ้านก็ไม่ได้จับ งานใช้แรงงานอื่น ๆ ก็ไม่ต้องแตะ ขอแค่ลูกตั้งใจเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ก็พอ ซึ่งการตีกรอบชีวิตการเรียนแบบนี้ ทำให้เด็ก ๆ ไม่เป็นอิสระต้องคอยพึ่งพิงคนอื่น ไม่มีทักษะในการดำรงชีวิตและอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคต

“เป็นเรื่องปกติที่ผู้ปกครองชาวจีนจะให้ความสำคัญกับการศึกษาที่เน้นความรู้วิชาการหรือภาคทฤษฎีมากกว่าทักษะขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต” สงปิ่งฉี (熊丙奇) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Education Research Institute) กล่าว พร้อมเสริมว่า การทำอาหาร เป็นทักษะพื้นฐานที่เด็กๆ ควรได้มีโอกาสเรียนรู้ ซึ่งการเรียนทำอาหารในวิชาแรงงานจะช่วยเสริมทักษะการใช้ชีวิตให้เด็ก ๆ ที่ถูกผู้ปกครองเลี้ยงดูแบบประคบประหงมไม่ให้แตะงานบ้านเพื่อใช้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการท่องอ่านตำราเรียนอย่างเดียว

หลักสูตรใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นต้นไป นักเรียนในระดับชั้นประถมและมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องเข้าเรียนวิชาแรงงานอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ โดยรายละเอียดของ การเรียนทำอาหาร มีดังนี้...

- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 ต้องเรียนรู้การเลือกผัก การล้างผักและการปอกผลไม้
- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3-4 ต้องเรียนรู้การหั่น การปรุงรส การต้ม การนึ่งและการทำออเดิร์ฟเย็น

- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ต้องเรียนรู้การทอด การผัด การเคี่ยว การตุ๋น และทำอาหารเมนูทั่ว ๆ ไป 2-3 เมนูได้ เช่น ซุป มะเขือเทศผัดไข่ ไข่ดาว ซึ่งจะต้องจัดเตรียมวัตถุดิบและดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดด้วยตนเอง

- นักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ต้องเรียนรู้การออกแบบมื้ออาหารทั้ง 3 มื้อ สำหรับครอบครัวของตนเอง โดยคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับสมาชิกในครอบครัว และต้องทำอาหารได้ 3-4 เมนู

ทั้งนี้ จีนมีการเรียนการสอนเนื้อหาที่เกี่ยวกับวิชาแรงงานกันอยู่ก่อนแล้ว แต่หลักสูตรใหม่นี้กำหนดให้มีการจัดตั้งวิชาแรงงานแยกออกจากวิชากิจกรรมโดยเฉพาะ เนื่องจากชั้นเรียนวิชาดังกล่าวมักถูกแทนที่ด้วยวิชาอื่น ๆ นอกจากนี้ เนื้อหาของหลักสูตรใหม่ยังมีความเข้มข้นยิ่งขึ้นอีกด้วย

หลังข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่ว จนติดฮอตเสิร์ชอันดับ 1 บนเวยปั๋ว จากข้อมูลนับถึงช่วงสุดสัปดาห์มีผู้อ่าน 780 ล้านครั้ง โดยผู้ปกครองที่เห็นด้วยกับหลักสูตรใหม่นี้ต่างสนับสนุนและตั้งตารอที่จะได้ชิมอาหารที่ลูก ๆ ทำ พร้อมคอมเมนต์ เช่น “ในอนาคตพ่อแม่คงไม่ต้องกลัวว่า ลูกจะอดอยากอีกแล้ว แถมยังประหยัดเงินซื้ออาหารนอกบ้านได้อีก” / “ช่วงแรกของชีวิตมีแม่ทำกับข้าวให้ บั้นปลายชีวิตมีลูกทำกับข้าวให้ ไม่คิดเลยว่า คนเกิดหลังปี 80 อย่างเราจะได้รับ ‘สวัสดิการ’ ที่ดีแบบนี้! มีความสุขสุดๆ ไปเลย” / “การเรียนทำอาหารไม่เพียงส่งเสริมพัฒนาการ แต่เด็ก ๆ ยังจะได้เรียนรู้ทักษะชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ…สนับสนุนสุดขีด!”

ส่วนผู้ปกครองที่ไม่เห็นด้วย ต่างมองว่าวิชานี้จะเพิ่มภาระให้พวกเขาเสียมากกว่า รวมทั้งการที่เด็กตัวเล็ก ๆ ต้องมาเรียนทำอาหารก็ดูจะเสี่ยงอันตรายเกินไป พร้อมคอมเมนต์ เช่น “จะขอบคุณมาก ถ้าวิชานี้เรียนแล้วจบในห้องเรียน อย่าให้ผู้ปกครองต้องมาถ่ายรูปภาคปฏิบัติที่บ้านแล้วส่งให้ครูเลยนะ” / “พูดได้เลยว่า ความทุกข์ของพ่อแม่ในแต่ละวันได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างแล้ว ดูแลตัวเองกันด้วยนะ”

‘แบมแบม’ จี้เว็บขายบัตรคอนฯ ให้ตรวจสอบ คาด!! มีคนในแอบโกง หลังพบบางคนกดได้เยอะเกินที่ระบบกำหนด แถมนำไปอัปราคาแรง

(25 ก.ย. 66) ทำเอาหลายคนออกมาแสดงความเห็นมากมาย หลังนักร้องหนุ่ม ‘แบมแบม GOT7’ หรือ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ ออกมาโพสต์แสดงความเห็นในทวิตเตอร์ส่วนตัว ถึงคอนเสิร์ต ‘2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52]’ ที่ก่อนหน้านี้เปิดการขายบัตรเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็หมดเกลี้ยงภายในพริบตาเดียว

แต่งานนี้ก็มิวายมีเรื่องให้ ‘แบมแบม’ ปวดหัว ถึงขั้นต้องออกโรงเตือน หลังพบมีการปล่อยบัตร VVIP ในราคาสูง โดยบางคนสามารถกดบัตรได้เกินจำนวนที่ระบบกำหนด และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้ตั้งใจกดบัตรเพื่อดูคอนเสิร์ต แต่กดมาเพื่อขายเอากำไร

โดย ‘แบมแบม’ โพสต์ว่า "พวกที่กด VVIP ได้มาหลายใบ ควรเช็กนะครับ" และ "ผมว่ามีคนในระบบของคุณแอบโกง" ทำเอาแฟนๆ ปลื้มใจในความน่ารักและเอาใจใส่ของแบมแบม พร้อมวอนเว็บกดบัตรคอนเสิร์ต ให้ออกมาจัดการเรื่องนี้ และชี้แจงโดยเร็ว

วันนี้วันแรก!! รัฐบาลเริ่มใช้มาตรการ ‘วีซ่าฟรี’  อ้าแขนต้อนรับ นทท.จีน-คาซัคฯ กระตุ้นการท่องเที่ยว

วันนี้ (25 ก.ย. 66) จะเป็นวันแรกที่รัฐบาลได้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (วีซ่าฟรี) ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และนักท่องเที่ยวคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ จะเดินทางมายังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและมอบของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาโดยสายการบิน Thai Air Asia X (ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์) เที่ยวบิน XJ 761 เส้นทางเซี่ยงไฮ้-สุวรรณภูมิ ณ บริเวณประตูเทียบเครื่องบิน D4

ทั้งนี้เที่ยวบินที่ XJ761 วันที่ 25 กันยายน 2565 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด  341 คน โดยเป็นผู้โดยสารชาวจีน คิดเป็น 90 % และชาวต่างชาติ คิดเป็น 10 % โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง หรือ FIT 80% และ 20%

อย่างไรก็ตามมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA Exemption) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 โดยรัฐบาลได้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน ให้สามารถเข้ามาและพำนักในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยจะยกเว้นเป็นเวลา 5 เดือน เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงระดับประชาชน รวมทั้งมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถาน

มาตรการดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวคาซัคสถานที่จะเดินทางมาไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2566 ซึ่งจะสามารถเดินทางมาไทยได้โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (ไม่ต้องขอวีซ่าจึงไม่มีค่าธรรมเนียม) และเป็นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอันเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามนโยบายรัฐบาล

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวตลาดจีนถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของประเทศไทย โดยยังมีการฟื้นตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 และเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงทั้งด้านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ามาตรการยกเว้นการตรวจลงตราจะเป็นแรงส่งช่วยพลิกฟื้นการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่มีการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวนประมาณ 1,912,000 - 2,888,500 คน ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 41 - 62  สร้างรายได้เข้าประเทศ 92,583 - 140,313 ล้านบาท

ขณะที่นักท่องเที่ยวคาซัคสถานในช่วง 5 เดือนดังกล่าวจะมีจำนวนประมาณ 129,485 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ประมาณ 7,930 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการ Quick Win ที่รัฐบาลใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะสั้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 10 กันยายน 2566 จำนวน 2,284,281 คน ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซียที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด

ทั้งนี้ถ้าไม่มีมาตรการในการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) จะมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,470,430 คน ซึ่งคิดเป็นอัตราการฟื้นตัวร้อยละ 31 สร้างรายได้ 174,358 ล้านบาท

แต่เมื่อมีการยกเว้นการตรวจลงตราจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการกระตุ้นตลาด ทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 4.04-4.4 ล้านคน และมุ่งสู่เป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ 257,500 ล้านบาทในปี 2566

เนื่องจากเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง (Ease of Traveling) นักท่องเที่ยวไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการขอตรวจลงตรา และเสียค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายขึ้น รวมถึงในช่วงวันที่ 1- 8 ตุลาคมนี้ที่จะเป็นช่วง Golden week ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว

ประกอบกับพันธมิตรด้านสายการบินมีความพร้อมจัดทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน ตลอดจนการเปิดเส้นทางการบินใหม่ อาทิ เฉิงตู - สมุย, ปักกิ่ง - เชียงใหม่, กวางโจว - เชียงใหม่, เซี่ยงไฮ้ - เชียงใหม่, เซี่ยงไฮ้ - ภูเก็ต, กวางโจว - ภูเก็ต, คุนหมิง - หาดใหญ่ ทั้งระยะของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรายังครอบคลุมถึงช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่และตรุษจีนที่จะช่วยส่งเสริมกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในช่วงต้นปี 2567 อีกด้วย

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT กล่าวว่าหลังจากรัฐบาลได้ประกาศมาตรการ Visa Free สนามบินสุวรรณภูมิคาดว่าจำนวนเที่ยวบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเพิ่มขึ้น

โดยคาดว่าในช่วง 7 วันแรกของมาตรการ คือ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2566 จะมีเที่ยวบินรวม 674 เที่ยวบิน (เฉลี่ย 96 เที่ยวบินต่อวัน) เป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 337 เที่ยวบิน

ในส่วนประมาณการผู้โดยสารคาดว่าจะมีผู้โดยสารจากเที่ยวบินจีนรวม 130,593 คน (เฉลี่ย 18,656 คนต่อวัน) แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้า 65,584 คน ขาออก 65,009 คน

สำหรับเที่ยวบินระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิ และสาธารณรัฐคาซัคสถาน คาดว่าในช่วง 7 วันแรกของมาตรการ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2566 มีเที่ยวบินรวม 6 เที่ยวบิน

แบ่งเป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 3 เที่ยวบิน เท่ากับช่วงก่อนมีมาตรการ แต่คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,338 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ขาละ 669 คน

การเตรียมความพร้อมของสนามบินสุวรรณภูมิ ในการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก นั้นได้มีการบูรณาการการบริหารจัดการในขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

กระบวนการผู้โดยสารขาเข้า คือ 
1.ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งปัจจุบันมีช่องตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ตม.) ขาเข้า 138 ช่องตรวจ (ช่องปกติ 118 ช่องตรวจ และช่อง Visa On Arrival อีก 20 ช่องตรวจ) และมีเครื่อง Auto Channel จำนวน 16 เครื่อง

สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 7,140 คนต่อชั่วโมง (กรณีที่มีการใช้งานทุกช่องตรวจ) ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน และมีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 1,550 ตารางเมตร ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิได้วางแนวทางดำเนินการกรณีเกิดความหนาแน่นบริเวณช่องตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า โดยประสานเจ้าหน้าที่ ตม.ให้นั่งเต็มทุกเคาน์เตอร์ในชั่วโมงหนาแน่น (ช่วงกลางวันระหว่างเวลา 11.00 - 16.00 น.) 

2.ขั้นตอนรับกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสายพานรับกระเป๋าขาเข้าสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ 4 สายพาน และสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ 18 สายพาน โดยหากเกิดความหนาแน่นบริเวณสายพานรับกระเป๋า สนามบินสุวรรณภูมิจะกำกับดูแลและติดตามเวลา First Bag และ Last Bag ของผู้ให้บริการภาคพื้นและสายการบิน

ปัจจุบันผู้รับสัมปทานผู้ให้บริการภาคพื้น (บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก ไฟลท์ เซอร์วิส จำกัด) สามารถทำได้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นจากช่วงปลายปี 2565

กระบวนการผู้โดยสารขาออก สนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการบริหารจัดการขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

1.ขั้นตอนการเช็กอินซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเคาน์เตอร์เช็กอิน แบบเดิม 302 เคาน์เตอร์ (ใช้เวลาเฉลี่ย 3 นาทีต่อคน) และมีเครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) จำนวน 196 เครื่อง และเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) จำนวน 50 เครื่อง (ใช้เวลาเฉลี่ย 1 นาทีต่อคน) และกำหนดแนวทางการลดปัญหาความหนาแน่น โดยการทำ Early Check-in พร้อมประสานสายการบินให้นั่งเคาน์เตอร์ให้เต็ม และประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารใช้ CUSS และ CUBD

2. บริการจุดตรวจค้น ซึ่งปัจจุบันมีจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศจำนวน 3 โซน เครื่องเอ็กซเรย์ 25 เครื่อง และมีการติดตั้งระบบ Automatic Return Tray System (ARTS) ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจค้นไม่เกิน 7 นาทีต่อคน วางแนวทางลดความหนาแน่น โดยเกลี่ยแถวในโซนจุดตรวจค้นที่หนาแน่น

3. ขั้นตอนการตรวจลงตรา ซึ่งปัจจุบันมีช่องตรวจหนังสือเดินทาง ตม.ขาออก 69 ช่องตรวจ และเครื่อง Auto Channel 16 เครื่อง ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน มีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 2,199 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4,149 คนต่อชั่วโมง

โดยได้วางแนวทางลดความหนาแน่นบริเวณ ตม.ขาออก โดยประสานเจ้าหน้าที่ ตม.ให้นั่งเต็มทุกเคาน์เตอร์ในชั่วโมงหนาแน่น (ช่วงเช้าระหว่างเวลา 06.00 - 07.00 น. ช่วงกลางวันระหว่างเวลา 14.00 - 15.00 น. และช่วงกลางคืนระหว่างเวลา 21.00 - 23.00 น.)

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยคุกคามที่เรียกว่า “Slut Shaming” สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายมีโทษทางอาญา

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีความสำคัญของบุคคลในการแสดงออก แต่ผู้นั้นจะต้องกระทำภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ไม่ไปกระทบสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งหากปราศจากขอบเขตย่อมเกิดความเสียหายต่อประชาชน หรือประเทศชาติ

Slut Shaming หรือการประณามหยามเหยียดผู้หญิงที่มีพฤติกรรมทางเพศ หรือจัดการกับร่างกายตนเองต่างจากที่สังคมส่วนใหญ่คาดหวัง ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการประณาม และตัดสินบุคคลอื่น โดยบางครั้งบุคคลที่ประณามก็เป็นผู้หญิงด้วยกันเอง ยกตัวอย่างเช่น กรณีการมองผู้หญิงที่แสดงออกถึงอารมณ์ทางเพศว่าเป็นบุคคลที่ไม่ดี ทั้งที่จริงแล้วเรื่องทางเพศก็ถือเป็นเรื่องปกติ หรือกรณีมองว่าหญิงที่แต่งกายไม่มิดชิด ไม่เรียบร้อย เป็นบุคคลที่ไม่ดี ซึ่งความคิดดังกล่าวอาจนำไปสู่ Victim Blaming หรือการโทษหญิงซึ่งเป็นผู้เสียหายว่าตนเองเป็นต้นเหตุของการล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งนี้ประกอบกับที่ผ่านมาปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีเน็ตไอดอล หรือนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียง ถูกสังคมแสดงความคิดเห็นในลักษณะดังกล่าวอย่างกว้างขวาง

การกระทำดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดฐาน “ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ” หรือความผิดฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีดังกล่าวในส่วนของการเผยแพร่ภาพ หรือคลิปในสื่อสังคมออนไลน์ พนักงานสอบสวน บก.สอท.1 ได้รับคำร้องทุกข์ และสอบสวนปากคำผู้เสียหายไว้แล้ว ทางคดียังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยังต้องรอผลการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของกลางที่สามารถทำการตรวจยึดได้ รวมถึงการพิสูจน์ว่าผู้ใดเป็นผู้เผยแพร่ภาพ หรือคลิปดังกล่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหากพบการกระทำดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดฐาน “ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ และเผยแพร่ หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามกฯ ” ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(4), 14(5) อย่างไรก็ตามการ Slut Shaming หรือการประณามหยามเหยียดผู้หญิงที่มีพฤติกรรมทางเพศแล้ว ยังมีรูปแบบของการประณาม และการตัดสินบุคคลอื่นที่น่าสนใจอีก อาทิ Body Shaming หรือการประณาม วิจารณ์ รูปร่างหน้าตาของบุคคลอื่น Rich Shaming หรือการเสียดสี ประชดประชันบุคคลที่ร่ำรวย หรือการที่ให้ความใส่ใจกับการใช้จ่ายเงินของคนอื่นมากเป็นพิเศษ Toxic Masculinity หรือแนวคิดความเป็นชาย ซึ่งการกระทำ หรือพฤติกรรมที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ไม่ควรถูกด้อยค่า ถูกประณาม ดูหมิ่น หรือเหยียดหยามทั้งนั้น นอกจากจะส่งผลเสียต่อบุคคลที่ถูกกระทำ ส่งผลกระทบต่อจิตใจ จนอาจพัฒนากลายเป็นโรคทางด้านจิตเวชแล้ว ยังอาจจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายมีโทษทางอาญาอีกด้วย

‘โลตัส’ ครองตำแหน่ง ‘บริษัทที่น่าทำงานด้วยที่สุดในเอเชีย’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ผลพวงจากการดูแลเพื่อนพนักงานที่เป็นเลิศ ผ่านกลยุทธ์ 3C ขององค์กร

(25 ก.ย. 66) โลตัส ตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้ง ได้รับการยกย่องเป็นองค์กรโดดเด่นที่น่าทำงานด้วยที่สุดในเอเชีย คว้ารางวัลระดับสากล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 โดยนิตยสาร HR Asia ของบริษัท Business Media International (BMI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนความมุ่งมั่นของโลตัสในการเป็นผู้นำองค์กรที่เป็นเลิศด้านการดูแลเพื่อนพนักงาน ผ่านกลยุทธ์ 3C คือ Capacity, Capability และ Culture เพื่อเป็นองค์กรที่ส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้เพื่อนพนักงานในทุกมิติของการทำงาน พร้อมยกระดับทักษะความสามารถเพื่อนพนักงานเพื่อโอกาสในการเติบโต และตอบโจทย์องค์กรเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่สำเร็จร่วมกัน

นายธนกฤต ฉันทวิทิตพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานทรัพยากรบุคคล (เอเชีย) โลตัส กล่าวว่า “โลตัส เดินหน้าในการเป็นองค์กรที่โดดเด่นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยมุ่งมั่นในการดูแลเพื่อนพนักงานทั้งในสำนักงานใหญ่ สาขาและศูนย์กระจายสินค้าของโลตัสทั่วประเทศ การได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 สะท้อนความสำเร็จและความไว้วางใจของเพื่อนพนักงาน จากนโยบายของโลตัสด้านการดูแลเพื่อนพนักงานที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในเวทีสากล โดยมี กลยุทธ์ 3C ได้แก่ Capacity ผ่านการวางรากฐานโครงสร้างองค์กร สร้างแบรนด์นายจ้างของโลตัสที่เข้มแข็งจากภายในสู่ภายนอก และทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่และต่อยอดสู่การจ้างงานในอนาคต สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของโลตัส Capability ผ่านการพัฒนาทักษะของเพื่อนพนักงาน ทั้งการพัฒนาคนดีคนเก่งขององค์กร ทักษะความเป็นผู้นำ ยกระดับ digital skill และทักษะแห่งนวัตกรรม Culture สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมโลตัสให้เป็นสถานที่น่าทำงาน โดยมีรูปแบบการทำงานตามแนวคิด SMART (Simple, Motivated, Agile, Responsible, Transformative) สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี เปิดรับทุกความแตกต่างหลากหลาย ทั้งอายุ เพศ ศาสนา ฯลฯ พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษส่งเสริมความรู้สึกที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีให้เพื่อนพนักงาน เพราะเพื่อนพนักงานคือบุคคลสำคัญขององค์กรในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสู่ความสำเร็จ โลตัสจึงเดินหน้าพัฒนาทักษะไปพร้อมกับการสร้างความสุขให้เพื่อนพนักงาน และสร้างความผูกพันต่อองค์กร เพื่อให้เพื่อนพนักงานสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมให้บริการและส่งต่อความรู้สึกดีดี ทุกวัน ที่โลตัส ให้กับลูกค้าของเรา”

ในปี 2023 นอกจากรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 แล้ว โลตัส ยังได้รับรางวัล Top Employer 2023 in Thailand นายจ้างดีเด่นประจำประเทศไทย จาก Top Employers Institute ประเทศเนเธอร์แลนด์ อีกด้วย ตอกย้ำความเป็นผู้นำองค์กรที่เป็นแบรนด์นายจ้างที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส

'มท.1' เชื่อมือ 'ชาดา' มอบดาบหัวเรือใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ 'ขจัดมาเฟีย-กำชับเข้มกฎหมาย' ดูแลปชช.อย่าให้ถูกรังแก

(25 ก.ย. 66) ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เขตดุสิต กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ตรวจเยี่ยม และเป็นประธานมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ร่วมมอบนโยบาย พร้อมด้วย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเข้าร่วม มีการมอบนโยบายไปยังในพื้นที่ ได้แก่ ท้องถิ่นจังหวัดทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัด นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 7,849 แห่ง ร่วมรับฟัง

โดย นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่ง โดยเน้นย้ำถึงนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย 10 ด้าน และการปฏิบัติหน้าที่ของทีมกระทรวงมหาดไทย คือ ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที โดยเฉพาะนโยบายจัดระเบียบสังคม และปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลขึ้นมา มีตนเป็นประธาน และนายชาดา รมช.มหาดไทย เป็นรองประธาน แต่เรื่องนี้นายชาดา จะถือเป็นผู้นำในฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO (Chief Operation Ofiicer) ถือว่าใช้คนถูกกับงาน มีความเข้าใจ สามารถขอความร่วมมือให้สิ่งเหล่านี้ลดลงไปจากสังคมไทยได้ มั่นใจว่านายชาดา และผู้ร่วมมือทุกคน จะทำให้เรื่องนี้เบาบางลงไป ไม่ให้เป็นที่ตื่นตระหนก หรือทำความเครียด ความรุนแรงต่อประชาชน

นายอนุทิน กล่าวว่า ดังนั้น กรมส่งเสริมฯ มีหน้าที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) ในพื้นที่ คอยติดตามตรวจสอบดูแลอย่าให้มีการข่มเหงรังแกประชาชน โดยเฉพาะการประมูลงานตามท้องถิ่น การเรียกทรัพย์สินหรือเรียกประโยชน์ต่างๆ เราได้เห็นมาแล้ว กรณีนายกอบต.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ ตนก็ตกใจว่าทำไมถึงกล้าขนาดนี้ ระดับนายกอบต.รับเองเลย พอตำรวจมารีบเอาเงินวางกับพื้นแล้วบอกตัวเองไม่ได้ถือเงิน แต่ไม่รู้ว่าวงจรปิดเต็มไปหมด

"ตรงนี้เป็นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุคือทำอย่างไรไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ต้องของคุณปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ที่ได้ดำเนินการฉับไว เร่งด่วน ต้องทำให้เห็นว่าเราไม่ประณีประนอมกับผู้ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง รังแกประชาชน เพราะพวกนี้จะได้ใจ คนไม่ดี คนทำผิด คนไม่เคารพกฎหมาย คนที่ใช้อิทธิพลนอกกฎหมาย ต้องไม่มีวันชนะคนถือกฎหมาย เราต้องมั่นใจก่อนในอำนาจที่เราถือกฎหมายไปบังคับให้คนไม่ทำผิด เราแพ้ไม่ได้ ดังนั้น คนที่อยู่นอกกฎหมายจะชนะคนถือกฎหมายไม่ได้" นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ตนเข้ามา 2 - 3 สัปดาห์ ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างดี ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาต้อนรับตน ตนไปไหนแบบสบายๆ เงียบๆ เพราะถ้าตนต้องการให้ดูแลตนจะแจ้ง ตนไม่มีไปแอบตรวจแล้วกลับมาหาเรื่อง ขอให้มั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับทีมของตน และทีม รมช.มหาดไทย ขอให้สบายใจได้

‘ททท.’ รับเทรนสายมู ทำ E-Book โปรโมตสถานที่ 60 แห่งทั่วไทย หวังสร้าง Soft power เปิดตลาดกลุ่มใหม่ ดึงนทท.เข้าประเทศมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย.66) การท่องเที่ยวเชิงศรัทธากำลังเป็นที่สนใจในตลาดโลก ตามรายงานข้อมูลจาก Future Market Insight ในปี 2566 ได้รายงานว่า การท่องเที่ยวมีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาจะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ททท. เล็งเห็นโอกาสจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณและการเติบโตของ ‘เศรษฐกิจสายมู’ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันส่งเสริมกระแสการท่องเที่ยวสายมูในประเทศไทยสนับสนุนการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ‘Connecting to Spiritual Thailand’ โปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาและวัฒนธรรม 60 แห่งสร้าง Soft power เปิดตลาดกลุ่มใหม่เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศ

ทั้งนี้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ‘Connecting to Spiritual Thailand’ จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและอธิบายถึงความเชื่อ ของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณต่างๆ แก่ชาวต่างชาติ ให้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธา รวมถึงประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น

ขยายความหมายและเหตุผลว่าทำไมนักท่องเที่ยวชาวไทย ถึงให้ความศรัทธาและเดินทางไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ หรือสถานที่นั้นๆ ในแง่วัฒนธรรมที่หลอมรวมกลายเป็นวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ของประเทศไทยที่น่าสนใจในความแตกต่างและความหลากหลาย สะท้อนถึงพหุวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่าง ความเชื่อกับศาสนานำมาเชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางในเส้นทางแห่งความศรัทธาให้ นักท่องเที่ยว

โดยรวบรวมข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวสายมูเตลูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวม 60 แห่ง โดยเน้นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั้งในเมืองหลัก และจังหวัดเมืองรอง เพื่อส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการท่องเที่ยวในเขตเมืองรองเพิ่มขึ้น โดยเน้นการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและมีคุณค่า พร้อมทั้งภาพถ่ายที่งดงามเพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสประสบการณ์อย่างใกล้ชิด

โดยเนื้อหาประกอบด้วยการแนะนำสถานที่ด้วยภาพถ่ายประกอบแผนที่การเดินทาง และสร้างเนื้อหาบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างความเข้าใจในแต่ละสถานที่ และทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนในการไปเยี่ยมชมได้ง่าย ได้รับข้อมูลที่สร้างความเข้าใจที่มากขึ้นในแง่ประวัติศาสตร์และความเป็นมาว่าทำไมสถานที่นี้จึงถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับรายละเอียดวิธีการเคารพบูชา การอธิษฐานขอพร หรือการภาวนาที่ถูกต้อง ณ สถานที่แต่ละแห่งนั้น

ทั้งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวสายมูที่แนะนำภายใน E-book เล่มนี้ ได้แก่

ศาลหลักเมือง ศาลพระพรหมเอราวัณ วัดศรีมหามาเรียมมัน (วัดแขก) ศาลแม่นาคพระโขนง ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร
วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
วัดสมานรัตนาราม วัดโพรงอากาศ (พระอาจารย์สมชาย) อุทยานพระพิฆเนศ องค์ยืน ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ปราสาทสัจธรรม พัทยา จังหวัดชลบุรี
วัดเจดีย์หอย จังหวัดปทุมธานี
วัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม วัดทับศิลา จังหวัดกาญจนบุรี วัดป่าพุทธาราม จังหวัดราชบุรี
ศาลพุ่มพวง จังหวัดสุพรรณบุรี
สวนสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ และวัดพระธาตุดอยคำ จังหวัดเชียงใหม่
วัดบ้านปาง (วัดครูบาศรีวิชัย) จังหวัดลำพูน
ศาลหลักเมือง จังหวัดเชียงราย
อุทยานไทรงาม พิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศาลปู่พญานาค อนันตนาคราช จังหวัดมุกดาหาร
พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม
สะดือแม่น้ำโขง วัดภูทอก และถ้ำนาคา จังหวัดบึงกาฬ
คำโชนด จังหวัดอุดรธานี
วัดถ้ำเอราวัณ จังหวัดหนองบัวลำภู
ถ้ำพระยานคร เขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หอพระอิศวร วัดเจดีย์ไอ้ไข่ หลวงปู่ทวด เกาะนุ้ยนอก จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่

‘จีน’ นำร่องใช้รถไฟใต้ดิน ‘ขนส่งพัสดุด่วน’ ในปักกิ่ง หวังช่วยระบายพัสดุเร็วขึ้น พร้อมลดการจราจรติดขัด

(25 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.) ที่ผ่านมา รถไฟใต้ดินหลายสายในกรุงปักกิ่งของจีนได้เริ่มเข้าร่วมโครงการนำร่องด้านการขนส่งพัสดุด่วนในช่วงที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความแออัดของการจราจรบนท้องถนนรวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

ข้อมูลจากหวังซูหลิง เจ้าหน้าที่สถาบันการคมนาคมแห่งปักกิ่งระบุว่า เครือข่ายการขนส่งทางรางในย่านเมืองของปักกิ่ง ขยายตัวกว้างขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีรถไฟวิ่งให้บริการรวม 27 เส้นทาง ครอบคลุมเป็นระยะทางรวม 807 กิโลเมตร

หวังกล่าวว่ามหานครแห่งนี้ต้องจัดการกับพัสดุด่วนราว 15 ล้านชิ้นต่อวัน และส่วนใหญ่จัดส่งผ่านการขนส่งทางถนนในเมือง โครงการนำร่องข้างต้นจึงเป็นการใช้ประโยชน์จากกำลังการขนส่งส่วนเกินของระบบรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารไม่มาก พร้อมคาดว่าจะสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดพร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป

โจวหยวน เจ้าหน้าที่คณะกรรมาธิการการคมนาคมประจำเทศบาลกรุงปักกิ่งให้ข้อมูลว่า เพื่อรับรองว่าการปฏิบัติงานของเส้นทางรถไฟขนส่งพัสดุด่วนนำร่องนั้นจะเป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นระบบระเบียบ คณะกรรมาธิการฯ จึงกำหนดว่าสินค้าที่ขนส่งนั้นจะต้องไม่อยู่ในรายการสิ่งของต้องห้ามบนรถไฟใต้ดินของปักกิ่ง และจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัย

ทั้งนี้ โจวกล่าวว่าหลายบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้ออกแบบกล่องส่งพัสดุด่วนแบบใช้ซ้ำได้ ซึ่งมีขนาดสอดคล้องกับระบบการขนส่งทางรางในเมือง ทั้งยังพัฒนารถเข็นพัสดุที่สามารถอำนวยความสะดวกและรับรองความปลอดภัยได้โดยเฉพาะขึ้นอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top