Sunday, 11 May 2025
TheStatesTimes

'ไทด์' นำทีมร่วมกตัญญู ฝ่าเส้นทางวิบาก 4 ชม. ขึ้นดอยสบเมย เพื่อช่วยเหลือชาวเขา ที่ถูกน้ำป่าซัด ตัดเส้นทางเข้าออกหมู่บ้าน

(14 ก.ย. 66) นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู นายโบ๊ท วิบูลย์นันท์ รองหัวหน้าอาสาสมัคร พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู นำรถออฟโรด ลำเลียงเครื่องอุปโภค-บริโภค และผ้าห่ม กว่า 200 ชุด เดินทางจากสำนักงานใหญ่มูลนิธิร่วมกตัญญู จังหวัดสมุทรปราการ พากันลุยขึ้นดอยไปที่ โรงเรียนบ้านแม่ตอละ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน  เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.)

เพื่อนำเครื่องอุปโภค-บริโภค และผ้าห่มไป มอบแจกจ่ายให้กับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงโป ในชุมชนบ้านแม่ตอละ และโรงเรียนบ้านแม่ตอละรวมกว่า 140 ชุด แต่กว่าที่เจ้าหน้าที่จะเดินทางไปถึงที่ชุมชนแห่งนี้ ซึ่งอยู่บนดอยสูงของแม่ฮ่องสอน ทำให้การเดินทางค่อนข้างยากลำบาก บางจุดถึงออฟโรดของเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญู ถึงกับลื่นดินโคลนจนตกร่องถนน

ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาตลอดเส้นทาง การเดินทางใช้ระยะเวลาราว 4 ชั่วโมงกับระยะทางเพียงแค่ 70 กิโลเมตร จากตัวอำเภอสบเมย ซึ่งการเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านและเด็กๆ ในพื้นที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญูครั้งนี้ สร้างความดีใจต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก

นอกจากจะมอบถุงยังชีพ ผ้าห่มแล้ว คุณไทด์ เอกพันธ์ ยังควักเงินสดส่วนตัว มอบค่าขนมให้กับเด็กๆ คนละ 100 บาท จำนวน 77 คน คุณครูจำนวน 11 คน คนละ 500 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ นอกจากนั้นระหว่างทาง ทางคณะยังแวะไปยังโรงเรียนเลโคะ มอบเงินให้กับเด็กๆ จำนวน 59 คน พร้อมกับขนม จากนั้นเข้าไปมอบถุงยังชีพให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ค่าย ตชด 337 จำนวน 30 ชุด

ครูทราย หนึ่งในคุณครูของโรงเรียนแห่งนี้ ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องขอบคุณสำหรับมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เห็นถึงความเดือดร้อนของเด็กๆ และชาวเขาในชุมชนและเดินทางมาช่วยเหลือในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะได้กำลังใจจากคนต่างถิ่นแล้ว สิ่งของที่ได้รับมอบในครั้งนี้จะสามารถทำให้นักเรียน และชาวเขากะเหรี่ยงนี้มีข้าวสารอาหารแห้งไว้บริโภคในครอบครัวได้อีกหลายวัน

ด้าน นายเอกพันธ์และนายโบ๊ท กล่าวว่า หลังจากที่ชุมชนและโรงเรียนแห่งนี้ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งในพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบจากพายุฝนตกต่อเนื่อง จนทำให้การเดินทางเข้าออกของหมู่บ้านถูกตัดขาด ถนนสายหลักที่จะเข้าออกชุมชนแห่งนี้ถูกน้ำกัดเซาะ และมีดินสไลด์ขวางเส้นทาง

บางจุดถนนเละจนรถธรรมดาไม่สามารถเข้าออกหมู่บ้านได้ ต้องใช้รถโฟรวีลหรือรถออฟโรดยกสูงเท่านั้น ทำให้ชาวเขาจำนวนมากทั้งคนแก่และเด็กนักเรียนขาดแคลนอาหารในการดำรงชีพ จึงร้องขอความช่วยเหลือมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้ามา ทางประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู

โดย ดร.รัตนา สมสกุลรุ่งเรือง คุณสมศักดิ์ ปาลวัฒน์ ผู้จัดการมูลนิธิร่วมกตัญญู คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ได้สั่งแพคถุงยังชีพและระดมทีมกู้ภัยออฟโรดของอาสาสมัครและมูลนิธิร่วมกตัญญู ลำเลียงสิ่งของขึ้นมาช่วยเหลือชาวบ้านในครั้งนี้

ถึงแม้ว่าการเดินทางจะมหาโหดตลอดเส้นทางขึ้นเขานั้น แต่พอมาถึงได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ และคนในชุมชน พวกเราก็หายเหนื่อยและรู้สึกดีใจที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งชุมชนและโรงเรียนแห่งนี้ พอเข้ามสัมผัสแล้วจะยิ่งน่าเห็นใจเป็นอย่างมาก

นอกจากจะอยู่ในถิ่นธุระกันดารแล้ว ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ มีเพียงแผงโซล่าเซลไม่กี่แผง ซึ่งก็ไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟ ทำให้เด็กๆ ยังขาดสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยอีกมาก จึงฝากเป็นสะพานบุญไปยังทุกภาคส่วน ที่อยากเข้ามาช่วยเหลือ ลองนึกถึงโรงเรียนแห่งนี้

‘อียู’ สั่งสอบรถยนต์ไฟฟ้าของ 'จีน' หลังพบราคาถูกเกินไป หวั่นยุโรปได้รับผลกระทบ หากเป็นการขายเพื่อตัดราคาคู่แข่ง

(14 ก.ย. 66) อียูจะทำการสืบสวนการอุดหนุนรถไฟฟ้าโดยภาครัฐจีน จากการเปิดเผยของอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อวันพุธ (13 ก.ย.) พร้อมประกาศปกป้องอุตสาหกรรมยุโรปจาก ‘ราคาขายต่ำแบบเทียมๆ’

"เวลานี้ตลาดโลกท่วมไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกกว่าของจีน และราคาของรถเหล่านั้นถูกคงไว้ในระดับต่ำแบบเทียมๆ ด้วยการอุดหนุนมหาศาลของภาครัฐ" ฟอน แดร์ ไลเอิน กล่าวระหว่างปราศรัยต่อรัฐสภายุโรปในสตาร์บวร์ก

ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวต่อว่าการสืบสวนนี้อาจนำมาซึ่งการที่สหภาพยุโรปกำหนดจัดเก็บภาษีกับรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านั้น ที่เชื่อว่าถูกวางจำหน่ายในราคาถูกอย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งเป็นการขายตัดราคาบรรดาคู่แข่งสัญชาติยุโรปทั้งหลาย "ยุโรปเปิดกว้างสำหรับการแข่งขัน แต่ไม่ใช่การแข่งขันที่นำไปสู่จุดเสื่อม"

มีรายงานข่าวว่า ฝรั่งเศสคือชาติที่ผลักดันให้ ฟอน แดร์ ไลเอิน เปิดการสืบสวน ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วยุโรป ต่อกรณีที่ทวีปแห่งนี้ต้องพึ่งพิงผลิตภัณฑ์ของจีน

บรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติยุโรปต่างชื่นชมการสืบสวนในครั้งนี้ โดยมองมันในฐานะสัญญาณในทางบวก "คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังตระหนักถึงสถานการณ์ที่ไม่สมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ ที่อุตสาหกรรมของพวกเราต้องเผชิญ และกำลังพิจารณาอย่างเร่งด่วนต่อการแข่งขันที่บิดเบี้ยวในภาคอุตสาหกรรมของเรา" Sigrid de Vries ผู้อำนวยการทั่วไปของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งยุโรปกล่าว

เธียร์รี เบรตอง หัวหน้าตลาดภายในของอียู กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนเกี่ยวกับแนวโน้มหนึ่งที่กำลังก่อตัวขึ้น แนวโน้มที่ยุโรปกำลังถูกผลักไปเป็นผู้นำเข้าสุทธิยานยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์

ขณะเดียวกัน พวกผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า จีน อาจแซงหน้าญี่ปุ่น กลายเป็นชาติผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกในปีนี้

ฝรั่งเศสมีความกังวลอย่างยิ่งว่า ยุโรปจะตกเป็นฝ่ายตามหลังถ้าไม่ดำเนินการเชิงรุกมากกว่านี้ ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความเคลื่อนไหวต่างๆ ของจีน ที่มีการกีดกันทางการค้ามากกว่า

ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศสได้แถลงมาตรการต่างๆ ที่จะมอบการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ บนพื้นฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเหล่าผู้ผลิต ซึ่งมันจะทำให้รถยนต์ของจีนเจองานที่ยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้ผลิตสัญชาติจีนมักพึ่งพิงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน

ฟอน แดร์ ไลเอิน เรียกร้องให้อียูกำหนดแนวทางของตนเองในการรับมือกับจีน แต่บรรดามหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของยุโรปบางส่วนอยากให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงถูกตัดขาดความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

แม้แสดงออกด้วยคำพูดที่แข็งกร้าว แต่ ฟอน แดร์ ไลเอิน กล่าวเช่นกันว่า มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับยุโรปที่ต้องธำรงไว้ซึ่งการติดต่อสื่อสารและการทูตกับจีน "เพราะว่ายังมีหัวข้อต่างๆ ที่เราสามารถและมีความร่วมมือระหว่างกัน ลดความเสี่ยง ไม่ใช่เพิ่มเป็นทวีคูณ นี่คือท่าทีของฉันที่มีต่อพวกผู้นำจีน ณ ที่ประชุมซัมมิตอียู-จีน ในช่วงปลายปี"

ไทยเฮ!! นานาชาติประชุมมรดกโลก หนุนปรับเขต ‘อช.ทับลาน’ เพื่ออนุรักษ์ ‘ดงพญาเย็น-เขาใหญ่’ ไม่ให้อยู่ในภาวะอันตราย

(14 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ในวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมในวันที่ 3 โดยมีนายพืชภพ มงคลนาวิน รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นางรุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ รองอธิบดีกรมอุทยานเเห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำคณะผู้เเทนไทย จากกระทรวงการต่างประเทศ กรมอุทยานเเห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานนโยบายและเเผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เข้าร่วมการประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วาระการพิจารณาที่สำคัญ ในวันนี้คือ การพิจารณารายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกภาวะอันตราย ซึ่งเป็นการพิจารณาต่อเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 ก.ย. และการพิจารณารายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก

โดยคณะผู้แทนไทยได้ให้การสนับสนุนการขอปรับแก้ไข ร่างข้อมติ ของประเทศต่าง ๆ และเห็นชอบต่อการเลื่อนการพิจารณารายงานฯ ‘Medieval Monuments in Kosovo’ แหล่งของเซอร์เบีย

ทั้งนี้ ได้มีการพิจารณารายงานฯ พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ ของไทย ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบต่อข้อเสนอของไทยในการปรับแก้ไข (ร่าง) ข้อมติ เพื่อชี้ให้เห็นว่า การปรับขอบเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานจะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณค่าของพื้นที่ และสถานภาพของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้

โดยคณะกรรมการมรดกโลกมีข้อห่วงกังวล และเน้นย้ำให้ไทยดำเนินการตามแนวทาง การดำเนินงานของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ซึ่งหากเพิกเฉยอาจนำไปสู่การขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตรายได้

โดยอินเดียได้เป็นผู้ยื่นคำขอปรับแก้ไขร่างวาระดังกล่าวตามที่ไทยได้ชี้แจง และมีสมาชิกกรรมการมรดกโลกให้การสนับสนุน ได้แก่ ญี่ปุ่น, โอมาน, บัลแกเรีย, อียิปต์, เอธิโอเปีย, กาตาร์, มารี, แอฟริกาใต้, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, รวันดา, แซมเบีย, ไนจีเรีย และซาอุดีอาระเบีย

‘Google’ สั่งปลดพนักงานฝ่ายบุคคลหลายร้อยตำแหน่ง อ้างเหตุผล บริษัทชะลอการจ้างงาน เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ

(14 ก.ย. 66) รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ‘อัลฟ่าเบท’ (Alphabet) บริษัทแม่ของ ‘กูเกิล’ (Google) ตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานจากทีมสรรหาบุคลากรหลายร้อยตำแหน่ง เนื่องจากบริษัทยังคงชะลอการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง

การตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเลิกจ้างครั้งใหญ่ เพราะบริษัทจะยังคงรักษาพนักงานส่วนที่สำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป และผลักดันให้พนักงานค้นหาบทบาทการทำงานในบริษัทที่ตรงกับความต้องการของตนเอง

Alphabet เป็นบิ๊กเทคแห่งแรกที่เลิกจ้างพนักงานในไตรมาสนี้ หลังจากที่บริษัทอื่น ๆ เช่น เมตา (Meta), ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอมะซอน (Amazon) ปรับลดขนาดองค์กรและลดจำนวนพนักงานในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจอ่อนแอ

ก่อนหน้านี้ ในเดือน ม.ค. 2566 Alphabet เลิกจ้างพนักงานในรัฐแคลิฟอร์เนียประมาณ 12,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 6% ของพนักงานทั้งหมด

นอกจากนี้ รอยเตอร์ยังอ้างอิงรายงานของ Challenger, Grey & Christmas บริษัทจัดหางานในสหรัฐที่ระบุว่า การเลิกจ้างในสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในเดือน ส.ค. จากเดือน ก.ค. และเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าปี

‘รมว.ศึกษาธิการ’ ประกาศนโยบาย ‘เรียนดี มีความสุข’ เล็งแจกแท็บเล็ต หวังลดภาระนักเรียน-ผู้ปกครอง 

(14 ก.ย.66) พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมมอบนโยบายการศึกษา และแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย ‘เรียนดี มีความสุข’ ตนมีนโยบายลดภาระนักเรียน และผู้ปกครอง โดยให้เด็กเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา เรียนฟรี มีงานทำ และยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีระบบหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา (1 นักเรียน 1 Tablet)

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า นโยบายอุปกรณ์การเรียน ต้องยอมรับว่าผู้มีโอกาสก็จะมีสื่อการเรียนการสอน แต่ผู้ด้อยโอกาส อาจจะไม่มี ดังนั้น เพื่อความเท่าเทียมเสมอภาคทางการศึกษาเราต้องจัดการแท็บเล็ต ส่วนการดำเนินการ ต้องมาศึกษาและดูงบประมาณในการดำเนินการ โดยดูว่า สามารถซื้อได้หรือไม่ ถ้าซื้อไม่ได้อาจจะเช่า หรือยืม โดยทำอย่างไรให้ทั่วถึง แต่อยู่บนพื้นฐานว่าสื่อการเรียนการสอนต้องมีก่อน สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนได้ทุกที่ ทั้งนี้เราจะยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนและดำเนินการ

‘ภูมิธรรม’ ลั่น!! แก้ไข รธน. ทุกฝ่ายต้องยอมรับได้ จ่อหารือพรรคการเมือง ก่อนขยายสู่การลงประชามติ

(14 ก.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง มอบหมายให้ดูแลเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตลอด 4 ปีของรัฐบาลที่ผ่านมา มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายร่าง แต่ที่สุดไปไม่ได้ หลายฉบับตกไป หลายฉบับค้างที่วาระ 2 วาระ 3 ในที่สุดไปอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ และตัดสินว่าอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้อำนาจประชาชน ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญต้องไปถามประชาชนก่อนถึงจะแก้ได้ ทางปฏิบัติจึงต้องถามประชาชนก่อนว่าจะแก้หรือไม่แก้ และถ้าแก้จะแก้ด้วยกระบวนการแบบไหน อย่างไร ดังนั้นถ้าไม่เคลียร์ให้จบก่อน แต่ละกระบวนการจะค้างไม่คืบหน้า ส่วนประเด็นหมวดหนึ่งหมวดสองนั้นรัฐบาลยืนยันว่าหากมีการแก้ไขจะไม่แก้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ 

“แต่ปัญหาที่มีอยู่คือเรื่องเกี่ยวกับการได้มาซึ่งอำนาจในระบบประชาธิปไตย ได้มาอย่างไร และทำให้กระบวนการเอื้ออำนวยต่อการบริหารประเทศ ต่อการรักษาสิทธิเสรีภาพประชาชน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อให้มีความคิดเห็นที่หลากหลายในการช่วยกันคิดให้กระบวนการเดินหน้าไปได้ หาจุดที่พอดีให้เดินหน้า หากเราสามารถพูดคุยส่วนต่าง ๆ ได้จะค่อย ๆ แกะไปที่ละเปราะแล้วนำไปสู่การแก้ไขที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และจะเป็นการเปิดประตูบานแรกจนได้รัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นออกมา” นานภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราต้องเริ่มจากความเป็นจริงเพราะถ้าจะแก้อะไรที่หักหาญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เปิดอำนาจให้ ถ้าจะทำโดยไม่คำนึงถึงคนที่เห็นต่างทุกฝ่ายจะไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ดังนั้นการได้พูดคุยกันหาความพอดีกัน เพราะทุกฝ่ายยอมรับว่าการแก้รัฐธรรมนูญควรทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ส่วนจะทำวิธีการไหนจะเป็นการประนีประนอมของทุกฝ่ายเพื่อแกะที่ละปม โดยหลังจากนี้ตนจะเร่งตั้งคณะกรรมการที่มีมาจากทุกฝ่ายตามที่นายกฯ ได้สั่งการให้ดึงการมีส่วนร่วมของทุกคนเข้ามาและให้รายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามว่าการได้มาซึ่งคำถามที่จะให้ทำประชามติจะใช้เวทีรัฐสภาหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เวทีรัฐสภา จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะคุยถ้าเห็นพ้องกันทุกฝ่ายก็เป็นจุดเริ่มต้นว่าคนที่เป็นตัวแทนคนในสังคมพอใจกับสิ่งนี้ แล้วนำไปสู่การตัดสินของประชาชน ถ้าเห็นด้วยเลยก็จะเป็นไปด้วยดี ถ้ามีความเห็นต่างก็นำความเห็นต่างมาปรับปรุงเพื่อลดช่องว่างความเห็นต่าง 

เมื่อถามว่ามีกรอบหรือไม่ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเริ่มทำประชามติ นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกฯกำชับอยากให้ตนที่คลุกคลีเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมา ไปดึงความคิดเห็นเข้ามาซึ่งอาจจะเริ่มต้นจากการนำทีมที่ปรึกษาของแต่ละพรรคการเมืองมาพูดคุยกัน แล้วขยายตัวไปสู่กลุ่มวิชาชีพ ถ้าเห็นพ้องกันทั้งกลุ่มธุรกิจ ประชาชน ข้าราชการ ก็จะทำให้การขยับไปสู่การลงประชามติไม่ยากลำบาก

'กองทุนดี' จัดอบรมเติมความรู้บุคลากรต่อเนื่อง เตรียมพร้อมประเมินผลงานทุนหมุนเวียน ปี 67

กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เติมความรู้ให้กับบุคลากรของกองทุน จัดฝึกอบรมในหัวข้อ ‘การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนและแนวทางการปรับปรุง และพัฒนาดำเนินงาน’ ภายใต้โครงการกำกับ ติดตาม บริหารจัดการแผนงานและตัวชี้วัดของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีคณะที่ปรึกษาจากสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการอบรม

นางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหาร กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงการฝึกอบรมในครั้งนี้ว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 มาตรา 31 กำหนดให้กรมบัญชีกลางมีหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลเป็นประจำทุกปี ซึ่งกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะต้องดำเนินการตามตัวชี้วัด พร้อมทั้งรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน เป็นรายไตรมาส และรายงานผลประจำปีงบประมาณ ซึ่งผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2565 ของกองทุนฯ ในภาพรวมมีผลการประเมินเฉลี่ยเท่ากับ 3.6595 คะแนน 

ทั้งนี้ สำหรับปีบัญชี 2566 กองทุนฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมและจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตัวชี้วัดภายในสิ้นปีบัญชี พร้อมทั้ง กองทุนฯ ได้มีการกำหนดตัวชี้วัดร่วมกับกรมบัญชีกลาง และบริษัทที่ปรึกษา (บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด) เพื่อเป็นกรอบการประเมินผลการดำเนินงาน ประจำปีบัญชี 2567 ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมิน ในปีถัดไป ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงได้กำหนดจัดอบรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของกองทุนฯ ในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ให้กับบุคลากรของกองทุน นำไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งประกอบไปด้วยหัวข้อ ‘แนวทางการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานเพื่อยกระดับการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกองทุนฯ’, ‘การบริหารจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายใน’ และ ‘หลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปี 2567’   

นางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหาร กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรของกองทุน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมตามหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดที่กำหนด นำไปสู่การปฏิบัติ ได้อย่างเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในปีถัดไป

‘อัครเดช’ ย้ำ ‘มาตรการลดไฟฟ้า-น้ำมัน’ รทสช.ทำตามที่ได้หาเสียงไว้ วอนภาคเอกชนช่วยลดราคาสินค้า หลังต้นทุนในการขนส่งลดลง

(14 ก.ย.66) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลดค่าไฟฟ้า-น้ำมัน ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศนโยบายในการหาเสียงว่า จะลดค่าครองชีพประชาชน เมื่อได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ในฐานะรมว.พลังงาน ได้เสนอนโยบายลดราคาเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า ได้รับความเห็นชอบจากครม. ทางพรรครวมไทยสร้างชาติต้องขอบคุณครม.ที่ได้อนุมัติมาตรการที่นายพีระพันธุ์เสนอเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน

นายอัครเดช กล่าวว่า จากนี้ไปก็ขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมถึงภาคเอกชนทุกภาคส่วนได้ช่วยกันลดราคาสินค้าให้กับพี่น้องประชาชนด้วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เมื่อราคาน้ำมันดีเซลลดลงซึ่งถือเป็นต้นทุนในการขนส่ง ก็จะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลดลงด้วย กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคเอกชนก็ต้องช่วยกันสนับสนุนการลดราคาสินค้าให้กับประชาชนด้วยเช่นกัน

“ทั้งนี้ มาตรการลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และลดไฟฟ้าคงไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะทำ หลังจากนี้กระทรวงพลังงานยังมีมาตรการอื่น ๆ ทยอยออกมาเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนให้ได้ทุกกลุ่ม ตามที่นายพีระพันธุ์ได้ประกาศไว้ เช่น การช่วยเหลือเกษตรกร การช่วยเหลือกลุ่มแท็กซี่ และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง นายพีระพันธุ์เพิ่งทำงานวันแรกหลังจากนี้จะทยอยมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ขอให้ประชาชน ติดตามมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะทยอยประกาศออกมา” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ต่อมาตรการดังกล่าวว่า รัฐบาลนี้มาจากประชาชน ผ่านการเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศอะไรที่ได้หาเสียงไว้ก็ถือเป็นความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน เมื่อแต่ละพรรคการเมืองได้เข้าไปบริหารในแต่ละกระทรวง ก็จะนำนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ไปขับเคลื่อน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ตระหนักดีว่า เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้สัญญากับประชาชนเอาไว้

“การที่ฝ่ายค้านได้วิจารณ์นโยบายดังกล่าวก็เข้าใจ แต่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเมื่อเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องใช้เงินงบประมาณในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือประชาชน แม้แต่พรรคฝ่ายค้านที่วิจารณ์ ถ้าเข้ามาเป็นรัฐบาลถ้าจะช่วยเหลือประชาชนก็ต้องใช้งบประมาณของแผ่นดิน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนต้องเกิดความโปร่งใสไร้การรั่วไหลของเงินงบประมาณ จะประชานิยมหรือไม่ประชานิยมไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือ ต้องไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน และเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์กับประชาชนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องยึดหลักเอาไว้” นายอัครเดชกล่าว

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ภูมิใจ!! ได้ใช้ภาษาสเปนที่เรียนจากสถาบันการทูตสเปน ทำเพื่อประเทศชาติ ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ อาร์เจนตินา ก่อนเกษียณ

(14 ก.ย. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘Fuangrabil Narisroj’ ว่า...

ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ชีวิตของผมเริ่มเมื่อหลังเกษียณ เพราะเป็นชีวิตที่เป็นอิสระ ได้ทำงานที่ชอบ ได้แสดงออกถึงตัวตนที่ผมเป็นโดยไม่ต้องกังวลถึงหัวโขนใด ๆ อีกต่อไป

ผมดีใจที่ชีวิตหลังเกษียณผมได้มีโอกาสมานั่งเป็นประธานคณะกก.Film Board (คณะที่ 2) สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กันยายน 2566

ผมภูมิใจที่เป็นส่วนนึงที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยเป็นจำนวนรวมแล้วมากกว่าหมื่นล้านบาท!

ตอนรับราชการชีวิตของผมค่อนข้างอืดหรือช้า กว่าจะได้ขึ้นมาระดับสูงสุดก็โดนเด็กรุ่นหลังลอยข้ามหน้าข้ามตาไปหลายครั้ง แต่ผมก็เจียมตัวไม่ได้ไปโวยวายเรียกร้องอะไร

เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นข้าราชการเชื่อง ๆ ที่ทำตามกฏระเบียบทุกอย่าง

ตอนแรกผมก็นึกว่าผมคงเกษียณในตำแหน่งระดับ 9 ที่สถานทูตไทยที่ลาวเสียแล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร ดีเสียอีกได้อยู่ใกล้เมืองไทย สามารถกลับมาดูแลแม่ที่ไทยได้สะดวกเมื่อมีโอกาส

แต่สุดท้ายผมก็ได้ท่านดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนรม.และรมว.กต. ได้เลือกให้ผมไปดำรงตำแหน่งเป็น ออท.ที่อาร์เจนตินา ในระยะเวลา 1 ปี กับ 10 เดือนก่อนเกษียณ ซึ่งถือว่าหวุดหวิด

ซึ่งตรงนี้ผมถือว่าท่านดอนฯ พ้นหน้าที่จาก ครม.แล้ว จึงขอใช้โอกาสนี้เขียนขอบคุณที่ท่านมอบความไว้วางใจมอบหมายให้ผมดำรงตำแหน่งที่ทรงเกียรตินี้

ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงปีกว่า ๆ ก่อนเกษียณ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ขรก.กต.ทุกคนได้บรรลุเป้าหมายขั้นสูงสุดในชีวิต

สาเหตุที่ท่านเลือกผมมาทราบทีหลังคือ ผมอาวุโสมากกว่าขรก.หลายคนที่เข้า กต. หลังผมหลายปี ท่านเห็นว่าผมช้าเลยต้องการสนับสนุนให้ผมได้เป็นทูตก่อนเกษียณ

สาเหตุที่สำคัญอีกประการ ซึ่งท่านดอนคงมองว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเป็นทูตประจำย่านลาตินอเมริกาใต้คือ

ผมพูดภาษาสเปนได้ เนื่องจากผมได้รับทุนจากรัฐบาลสเปนจนเรียนจบระดับปริญญาโทจากสถาบันการทูตสเปน (La Escuela Diplomatica, España)

ซึ่งเป็นสถาบันทางการทูตที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป รองจากสถาบันการทูตที่เวียนนา ออสเตรีย

และผมถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่จบระดับปริญญาโทจากสถาบันนี้ (ท่านที่จบคนแรกคือ ท่านทูตกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา)

แต่กระนั้นชีวิตการเป็นข้าราชการก็ไม่พ้นเรื่องการนินทา อิจฉาริษยา

มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า ผมวิ่งเพื่อให้ได้มาที่อาร์เจนตินา ซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย

ตอนอยู่ที่ลาวผมใจจดจ่อกับการได้อยู่ใกล้แม่มากกว่า เพราะผมเพิ่งเสียพ่อไป และผมห่วงแม่มาก

ผมถึงกับเปรยกับท่านทูตไทยที่ลาวว่าให้ผมเกษียณที่ลาวผมก็โอเค ถึงแม้จะไม่ได้เป็นระดับ 10 ก็ไม่เป็นไร เพราะผมปลงแล้ว อีกประการคือเงินเดือน พขต.ที่ลาวระดับ 9 ยังได้มากกว่า ระดับ 10 ที่อาร์เจนตินา! (เงินเดือน พขต.ที่อาร์เจนตินาได้รับต่ำสุดท้ายตารางน้อยกว่าประเทศอื่น!!)

ตอนช่วงที่ใกล้จะเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ผมได้รับการติดต่อทาบทามจากทางสำนักบริหารบุคคลบอกว่า ท่านรมว.กต.อยากให้ผมไปที่อาร์เจนตินา (ตอนนั้นคงมีคนไปบอกท่านว่าผมอยากเกษียณที่ลาว)

ท่านดอนบอกว่าผมเหมาะสมที่สุด เพราะพูดสเปนได้ไปถึงก็ทำงานได้เลย ไม่ต้องไปฝึกเรียนภาษา และเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานมาก

เรื่องแม่ก็ต้องขอฝากให้พี่ชายดูแลแทนไปก่อน ผมก็จ้างคนดูแลแม่เป็นพิเศษอีกต่างหากด้วย ผมก็เลยบอกแม่ แม่ก็บอกว่าให้ไปเถอะไม่ต้องห่วง แม่อยากเห็นผมเป็นทูต ผมก็เลยตกลง

ตรงนี้ขอคุยนิดนึงว่าผมและเพื่อน ๆ ที่ออกเป็นทูตในครั้งนั้น ถือเป็นคณะทูตไทยคณะแรกในแผ่นดินรัชกาลที่ 10 ที่ต้องออกไปเจริญสัมพันธไมตรีในต่างประเทศ ต้องเข้าเฝ้ารับพระราชทานพระราชสาสน์ตราตั้ง รับพระราชทานน้ำมหาสังข์จากพระหัตถ์รดที่กลางกระหม่อม

ได้รับพระราชทานการเจิมที่หน้าผากผมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ได้รับพระราชทานใบมะตูมเพื่อทัดหู นับเป็นสิริมงคลสูงยิ่งในชีวิตนี้แล้ว ซึ่งผมต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินและสถาบันจนกว่าชีวิตจะหาไม่

และจากการที่ผมเป็นผลิตผลทางการศึกษาจบจากสถาบันการทูตที่สเปน ผมจึงมีเพื่อนร่วมสถาบันที่เป็นนักการทูตจากประเทศลาตินอเมริกาใต้หลายประเทศ รวมทั้งที่อาร์เจนตินาด้วย

ซึ่งปรากฏว่าเมื่อผมเดินทางถึงกรุงบัวโนสไอเรสได้เพียง 3 วัน ผมก็ได้รับแจ้งจากเพื่อนที่ทำงานกรมพิธีอาร์เจนตินาให้ผมได้มีโอกาสเข้ายื่นพระราชสาสน์ตราตั้งต่อประธานาธิบดี Macri แห่งอาร์เจนตินาในสัปดาห์นั้นเอง นับว่าผมเป็นทูตไทยคนแรกที่ออกไปต่างประเทศแล้วได้ยื่นพระราชสาสน์ตราตั้งได้ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

หมายเหตุ กระบวนการเรื่องยื่นพระราชสาสน์ฯ นี้ บางประเทศทูตต้องรอหลายเดือน บางคนรอเกือบปีถึงจะได้มีโอกาสยื่นพระราชสาสน์ฯ

ขอย้อนกลับไปตอนที่ผมบอกว่ามีคนนินทาว่าผมวิ่ง ซึ่งคนที่พูดนั้นผมรู้ว่าเป็นใคร เป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่อายุน้อยกว่าผมหลายปี เข้า กต.หลังผลหลายปี อาวุโสน้อยกว่าผม จำนวนปีในการทำงานน้อยกว่าผม และที่สำคัญคือเขาพูดภาษาสเปนไม่ได้เลย รู้แต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว

แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะถือว่าผู้ใหญ่ท่านไว้วางใจและเลือกผมให้ทำงานที่ผมถนัดที่สุดแล้ว

ซึ่งก็จริงเพราะในบรรดาทูตประเทศ ASEAN ทั้งหมดมีผมคนเดียวที่พูดภาษาสเปนได้ นอกจากนี้ในบรรดาทูตจากเอเชีย ก็มีทูตจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ที่พูดภาษาสเปนได้คล่อง เพราะประเทศเหล่านี้ถือเป็นนโยบายเชิงบังคับเลยว่าคณะทูตที่ไปประจำการในภูมิภาคใดต้องพูดสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นได้ พวกเขาพอไปถึงก็ทำงานได้เลยไม่ต้องรอไปเรียนภาษา

วันนี้ถือโอกาสเขียนยาวหน่อยเพื่อระบายความในใจที่เก็บมานาน เพราะเห็นว่าเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนครม.แล้ว เลยอยากเล่าเพื่อเคลียร์สิ่งต่าง ๆ ในใจ และเพื่อขอบคุณท่านดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนรม.และรมว.กต.ที่ได้เลือกให้ผมไปเป็นทูตที่อาร์เจนตินาครับ

ผมเองผ่านร้อนหนาวมาเยอะ ผ่านการถูกบุลลี่จากบุคคลต่าง ๆ แม้กระทั่งจากเพื่อนร่วมอาชีพว่าเป็นแค่ ‘ทูตปลายแถว’ เป็นพวกแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน !!! ผมรับทราบรับรู้ทั้งหมด เพราะโลกนี้ไม่มีความลับ

ก็ขออวยพรให้เขาเหล่านั้นโชคดี ผมไม่ถือโกรธใดๆ อโหสิให้ แต่แค่ผมไม่เคยลืมเท่านั้นเอง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินหน้าสร้างวัคซีนไซเบอร์ให้ประชาชน ลงนาม MOU  สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิต ป้องกันภัยไซเบอร์

วานนี้ (13 ก.ย.66) เวลา 16.00 น. พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ ศาสตราจารย์ ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เรื่อง การพัฒนากิจกรรม/หลักสูตร/รายวิชาศึกษาทั่วไปเกี่ยวกับความรู้ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ณ ห้องประชุม 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี พลตำรวจโท ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, รองศาสตราจารย์ ดร. สุวิธิดา  จรุงเกียรติกุล  ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาทั่วไปจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  พร้อมคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  จากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนจากภาคเอกชน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ

ทั้งนี้ ตามนโยบาย พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ที่ตระหนักถึงความสำคัญโดยสั่งการบูรณาการความร่วมมือ และผนึกกำลังทุกภาคส่วนเร่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน นั้น พลตำรวจเอก สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยพลตำรวจโท ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงเร่งดำเนินการประสานงานไปยังทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง เพื่อผนึกกำลังสร้างเสริมภูมิคุ้มกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสถานบันการศึกษาต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ ไปยังกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดจัดพิธีลงนามดังกล่าว เพื่อร่วมกันออกแบบกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาหลักสูตรและการจัดอบรมองค์ความรู้ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากรทุกภาคส่วนให้มีความรู้ความสามารถรับมือกับความเสี่ยงและภัยคุกคามจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนทางวิชาการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top