Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

‘นุ่น วรนุช’ แชะภาพคู่ ‘ลิซ่า BlackPink’ ทำคนบันเทิง-แฟนคลับว้าวุ่นกันทั้งไอจี

(11 ก.ย. 66) เรียกได้ว่าตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก เมื่อล่าสุดดาราเบอร์ต้นๆ ของไทย อย่าง ‘นุ่น วรนุช’ ที่ได้ลงรูปผ่านทางอินสตาแกรมเมื่อเจอ นักร้องที่ดังระดับโลก อย่าง ‘ลิซ่า BlackPink’ และได้เขียนแคปชัน “เจอน้องลิซ พี่สาวก้อว้าวุ่นเลอะ”

งานนี้บอกเลยว่าเหล่าดาราในเมืองไทยต่างเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น รวมไปถึงแฟนคลับด้วย และต่างพูดว่าอิจฉา ‘นุ่น วรนุช’ มากนั่นเอง

รู้จัก 'จามาล ไรซานี' ลูกครึ่งไทย-ปากีสถาน ศิษย์เก่าแม่ฟ้าหลวง นั่งรักษาการเก้าอี้ รมต.ด้วยอายุน้อยที่สุดในปากีสถาน

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เพจเฟซบุ๊ก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้โพสต์ร่วมแสดงความยินดี พร้อมติด #MFUPride กับนายนาวับซาดา จามาล ไรซานี (Nawabzada Jamal Raisani) นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ในโอกาสได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬา เยาวชน และวัฒนธรรม แห่งรัฐโบโลจิสถาน สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน โดยถือว่าเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดเพียง 25 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นาวับซาดา จามาล ไรซานี หรือจามาล มีเชื้อสายปากีสถานและไทย พ่อเป็นอดีตนักการเมืองชื่อดังของปากีสถาน แม่เป็นชาวไทย โดยได้เข้ามาศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย รวมทั้งเคยอยู่ในอะคาเดมี่ทีม เชียงราย ยูไนเต็ด และเป็นนักฟุตบอลทีมเชียงรายล้านนา

'หนุ่มมาเลเซีย' รีวิวประสบการณ์เที่ยวเมืองไทย 'กิน-เที่ยว-ใช้ชีวิต' แสนสุขใจ 'คุณยังต้องการอะไรอีก?"

(11 ก.ย. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ถึงไวรัลดังในโซเชียลมีเดียประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อหนุ่มมาเลเซีย 'รีวิวประสบการณ์เที่ยวเมืองไทย' โดนใจชาวมาเลเซียเป็นจำนวนมาก จนคนช่วยกันแชร์ไปแล้วกว่า 4 พันแชร์ กระหน่ำไลก์อีกกว่า 6 พัน ว่า...

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชี 'Ahmad Nazrul' ซึ่งเป็นชาวมาเลเซีย ได้โพสต์รูปถ่ายที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ 1 รูป พร้อมรีวิวประสบการณ์ท่องเที่ยวของตัวเองไว้ ซึ่งเป็นความประทับใจของเขาที่มีต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย 

ปรากฏว่า รีวิวสั้นๆ เป็นประเด็นที่ตรงใจ โดนใจชาวมาเลเซียหลายคนที่มีประสบการณ์ประทับใจตรงกัน จนทำให้โพสต์ของ Ahmad Nazrul มีคนเข้ามากดไลค์ชื่นชอบกว่า 6 พันคน แชร์ต่อกันไปอีกกว่า 4 พันแชร์ และเข้ามาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนกันจำนวนมาก

ทั้งนี้ เนื้อหารีวิวของ Ahmad Nazrul ได้โพสต์ไว้เป็นภาษามาเลย์ ซึ่งแปลความหมายคร่าวๆ ได้ว่า....

ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยว

อาหารในเมืองไทยมีราคาถูก ถ้าคุณรับประทานอาหาร 10 คน บิลค่าใช้จ่ายออกมาไม่ถึง 300 ริงกิต (ประมาณ 2,300 บาท) แม้ว่าโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารก็ตาม

หากคุณรับประทานอาหารคนเดียว โดยปกติจะอยู่ที่ 10 ริงกิต (ประมาณ 76 บาท) ข้าวผัดปลาหมึกสดและกุ้งสดเพียง 7 ริงกิต (54 บาท) กุ้งตัวใหญ่ๆ ตัวละ 50 ริงกิต (380 บาท)

ในประเทศไทยอาหารอร่อยทุกอย่าง ถ้าทำงานเกี่ยวกับอาหาร-เครื่องดื่มก็คงดี ลองนึกดูสิ ชาเย็นในร้าน 7-Eleven ยังอร่อย ยังไม่รวมเบอร์เกอร์นะ

อาหารในไทยอร่อยแตกต่างและหาไม่ได้ในมาเลเซีย อาหารทะเลสดมาก ปลาหมึกยักษ์ กุ้งตัวใหญ่

ประเทศไทยมีความสะอาด แม้ถังขยะจะหายาก ถ้าเรากินของเล็กๆ ควรเก็บถุงพลาสติกไว้ในกระเป๋าและโยนเข้าห้องพักในโรงแรม แต่คุณจะไม่พบขยะตามถนนหนทาง

ราคาโรงแรมในประเทศไทย ก็ราคาถูก ตั้งแต่ 60 - 150 ริงกิต (ประมาณ 460-1140 บาท) พร้อมอาหารเช้าด้วยนะ สระว่ายน้ำก็เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าราคาตั้งแต่ 200 ริงกิตขึ้นไป (1,520 บาท) ก็เหมือนโรงแรม 5 ดาวเลย ส่วนโฮมสเตย์ในประเทศไทย หลังนึงก็มักมีราคาน้อยกว่า 150 ริงกิต (1,140 บาท)

ถนนเมืองไทยสวยมาก ยากที่จะหาถนนที่มีหลุมหรือชำรุด ถ้าขับรถยนต์ก็ไม่มีปัญหาแม้ว่าทำความเร็วถึง 200 กม./ชม. ก็ตาม แต่ถ้าคุณขี่มอเตอร์ไซค์ ก็เหาะไปได้เลยภายใน 5 ชั่วโมง

ปั๊มน้ำมันในเมืองไทยใหญ่เวอร์มาก ในปั๊มน้ำมัน มีทั้ง 7-Eleven ที่ละหมาด และมีห้องน้ำอยู่เสมอ

แล้วใน 7-Eleven ก็ใหญ่มากๆ ไม่เหมือนกับที่มาเลเซีย อาหารในนั้นอร่อยทุกอย่าง มีการแยกอาหารฮาลาลและฮารอมไว้แล้ว เครื่องสำอางก็มีเยอะมากใน 7-Eleven เข้า 7-Eleven แล้วแทบจะบ้าได้ อาหารและเครื่องดื่มน่าลองไปหมด เข้าไปก็พร้อมชอปปิงเครื่องสำอางกันอีกแล้ว

ห้องน้ำในประเทศไทยมีความสะอาด ผมไม่เคยพบห้องน้ำเหม็นหรือสกปรกที่ไม่สามารถกดชักโครกได้เลย

ไม่เคยเจอก้นบุหรี่ด้วย สะอาดมากและห้องน้ำก็มีเอกลักษณ์และไม่ค่อยพบในมาเลเซีย

มีต้นไม้ มีต้นไผ่อยู่ในห้องน้ำ อากาศในห้องน้ำยังดีเลยนะ

หากไปรับประทานอาหารในร้านอาหารเมืองไทย ไม่มีใครเค้าสูบบุหรี่ในร้านกัน ถ้ามีแสดงว่าเป็นมาเลเซีย

อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยใช้ 5G ผมขับรถมา 5 ชั่วโมงสัญญาณไม่ตกเลย สัญญาณเต็มครอบคลุม แล้วก็ราคาถูก แค่ 25 ริงกิต (ประมาณ 190 บาท)

คนไทย เป็นคนสบายๆ ทุกคนที่ผมพบล้วนเป็นมิตร พนักงานเสิร์ฟนี่ดีที่สุด โค้งคำนับและพูดเบาๆ แม้จะสื่อสารกันยากสักหน่อย เพราะไม่ค่อยพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย แต่ก็ไม่มีปัญหา แค่ติดตั้งแอปฯ Google แปลภาษา

ไม่ต้องพิมพ์ เพียงแค่กดเสียงแล้วแอปฯ ก็จะแปลเป็นภาษาไทยให้โดยอัตโนมัติ

ในเมืองไทยไม่ค่อยเจอท่อไอเสีย เสียงดัง ไม่พบรถบรรทุกที่มีท่อไอเสียขนาดใหญ่ มีรถ 4x4 เยอะ และไม่ค่อยมีสิ่งกีดขวางบนถนนแบบในมาเลเซีย คุณไม่ต้องกังวลหากไม่สวมหมวกกันน็อก มอเตอร์ไซค์ไม่มี กระจกมองข้าง หรือป้ายทะเบียนแฟนซี นั่นเป็นเหตุผลที่กลุ่มไบเกอร์จำนวนมากไปเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศไทย บิดไปได้โดยไม่ต้องลังเล

ที่นั่นเราไม่เห็นขอทานตามบนถนนหรือตามสัญญาณไฟจราจร ผมไม่แน่ใจว่ากลุ่มนี้อยู่หรือเปล่า เพราะไม่เคยเจอเลยแม้แต่ในตัวเมือง

ส่วนตำรวจมีอยู่ทุกที่ มีตำรวจเป็นจำนวนมาก ทำการในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำให้รู้สึกปลอดภัยที่จะเดินหรือชอปปิงอย่างแน่นอน

มีอีกมากที่จะเขียน หากคุณต้องการไปเที่ยวพักผ่อน อยากให้ลองไปประเทศไทย ไม่ยากเลยที่จะไปที่นั่น ถ้าไป 3 วัน 2 คืน พาครอบครัวมา 5 คน รวมค่าอาหาร ที่พัก ไม่ถึง 1,000 ริงกิต (ประมาณ 7,600 บาท) และยังได้เดินไปยังสถานที่ที่น่าสนใจอีกด้วย ค่าเข้าชมสถานที่ ก็ราคาถูกส่วนมากต่ำกว่า 10 ริงกิต (76 บาท) 

คนคิดว่าการเข้าประเทศไทยเป็นเรื่องยาก จริงๆ แล้วไม่ยากถ้ามีวิธี ถ้ามาเมืองไทยแล้ว รับรองว่าในวันหยุดคุณจะไม่ดูที่เที่ยวที่อื่นๆ อีกเลยในมาเลเซีย 

- อาหารอร่อย
- ทุกอย่างมีราคาถูก
- สถานที่น่าสนใจ
- ผู้คนใจดี
- คุณยังต้องการอะไรอีก?

ประเทศไทยมีกฎหมายแตกต่างบางประการในมาเลเซีย แต่เราต้องเชื่อฟังและเคารพ ผมจะแบ่งปันในโพสต์ถัดไปของฉันในภายหลัง

ป.ล. นี่คือประสบการณ์ของผมนะ ถ้าประสบการณ์เราไม่เหมือนกันอย่าหาว่า ผมโกหกเพราะวันและเวลาที่เราไปอาจจะไม่เหมือนกัน

‘ไบเดน’ ในวัย 80 ถูกโฆษกตัดจบทันที หลังพูดไปเรื่อยขณะแถลงข่าว จากผลสำรวจยิ่งตอกย้ำ!! เขาแก่เกินไปสำหรับทำหน้าที่ประธานาธิบดี

(11 ก.ย. 66) คารีน ฌอง ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว เข้าแทรกตัดจบการแถลงข่าวของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ในทันทีเมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) หลังจากผู้นำรายนี้พูดไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับโลกที่ 3 และการสนทนาระหว่างเขากับ หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน

ไบเดน ได้ตอบคำถามต่างๆ จากสื่อมวลชน ระหว่างเดินทางเยือนกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ก่อนบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า "เขากำลังจะไปนอนแล้ว" อย่างไรก็ตาม ไบเดน ยังคงตอบคำถามใหม่ๆ เพิ่มเติม ในนั้นรวมถึงการพูดคุยระหว่างเขากับ หลี่ ณ ที่ประชุมซัมมิตจี 20 ในอินเดีย เมื่อวันเสาร์ (9 ก.ย.)

"มันไม่ใช่การเผชิญหน้ากันใดๆ เลย" ไบเดนกล่าว "เราพูดคุยกันเพื่อให้มั่นใจว่า โลกที่ 3 เอ่อ เอ่อ เอ่อ ซีกโลกใต้ จะเข้าถึงการเปลี่ยนแปลง"

ระหว่างที่ ไบเดน พูดจาเรื่อยเปื่อยต่อไปไม่หยุด จู่ๆ ฌอง ปิแอร์ ก็ประกาศผ่านไมค์ พูดแทรกว่า "การแถลงข่าวปัจจุบันนี้เสร็จสิ้นแล้ว" กระตุ้นให้ ไบเดน ที่ตอนนั้นกำลังพยายามตอบคำถามอีกคำถาม ต้องกล่าวขอบคุณ วางไมค์และเดินลงจากเวที

ปกติแล้วการแถลงข่าวของไบเดน จะได้รับการจัดการอย่างเข้มข้นจากบรรดาผู้ช่วยของเขา ประธานาธิบดีจะได้รับมอบใบคำถามจากผู้สื่อข่าวล่วงหน้าและได้รับแจ้งว่าผู้สื่อข่าวรายใดเป็นคนตั้งคำถาม อย่างไรก็ตามบางครั้ง ไบเดน หยุดพูดดื้อๆ แล้วลงเวที บ่อยครั้งก็ดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด และบางครั้งต้องชี้นำโดยคณะทำงานของเขา

จากผลสำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า 73% ของผู้มีสิทธิออกเสียงคิดว่า ไบเดน วัย 80 ปี แก่เกินไปสำหรับทำหน้าที่ประธานาธิบดี ในขณะที่ 60% เชื่อว่าเขาขาดสมรรถภาพทางจิตสำหรับตำแหน่งนี้

การเดินทางเยือนเวียดนามของไบเดน มีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ พยายามกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาชาติในเอเชียเพิ่มเติม ในความพยายามตอบโต้การแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค โดยในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ไบเดน และ เหงียน ฟู้ จ่อง เลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แถลงข้อตกลงการค้าและการลงทุนทวิภาคี ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และการวิจัยในเวียดนาม

‘สุริยะ’ มั่นใจ!! ชี้แจงปม ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ได้ทุกมิติ ย้ำ!! ทุกนโยบายรัฐบาลตอบสนองความต้องการประชาชน

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่จะมี สส. สอบถามและต้องตอบคำถามเรื่องนี้ ว่า ตนตอบได้ไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่าจะชี้แจงอย่างไร เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก นายสุริยะ กล่าวว่า เรามีข้อมูลทั้งหมดที่จะชี้แจงครบทุกประเด็นไม่น่าเป็นห่วง

เมื่อถามว่า จะมีการเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ นายสุริยะกล่าวว่าแน่นอน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะตั้งข้อสังเกต นโยบายนั่งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียง นายสุริยะ กล่าวว่า ยืนยันว่าเราทำได้ ตนเชื่อมั่นว่านโยบายของรัฐบาลเป็นนโยบายที่ตอบสนองต่อประชาชน เราอธิบายนโยบายได้ทุกมิติ

เมื่อถามว่า นโยบายเร่งด่วนที่จะแถลงต่อรัฐสภามีความเหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่าเหมาะสมแน่นอน

‘แอน จักรพงษ์’ โต้!! แค่จับมือ ‘ท็อปนิวส์’ เพื่อผลิตรายการข่าว หวังขยายฐานผู้ชม และผนึกกำลังธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

(11 ก.ย. 66) แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ปรากฎรายงานข่าวจากสื่อมวลชนบางฉบับว่าบริษัทขายช่อง JKN 18 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลในประเทศไทย ภายใต้บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKNBL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 100% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วนั้น

บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าบริษัทได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย จำกัด (Top News) ในการร่วมผลิตรายการประเภทรายการข่าวสารและสาระระหว่าง JKNBL และ Top News เพื่อออกอากาศทางช่อง JKN18 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดผังรายการเพื่อจัดสรรช่วงเวลาการออกอากาศ โดยบริษัทจะได้รับค่าตอบแทนตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน โดยการเข้าทำรายการในครั้งนี้มีความสมเหตุสมผลเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท

ทั้งนี้ JKNBL ยังเป็นผู้ได้รับสิทธิในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เช่นเดิม และไม่ได้ทำการขายสิทธิในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ตามที่ปรากฎในรายงานข่าวแต่อย่างใด

สำหรับการร่วมผลิตรายการในครั้งนี้นั้น จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับช่อง JKN18 เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญทางด้านรายการบันทิง และรายการข่าวด้านเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน ในขณะที่ Top News มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มรายการข่าวสารและสาระในการเสนอข้อเท็จจริงในทุก ๆ ด้าน

การนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายมาร่วมกันในครั้งนี้จะช่วยผลักดันความนิยมของผู้ชม รวมถึงขยายฐานผู้ชมช่อง JKN18 ให้มีจำนวนมากขึ้น สามารถเสริมสร้างให้ธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

เปิดมุมมองผู้ร่วมงาน ในวันที่ 'ลุงตู่' โดนด่า ทัวร์ลงสารพัด แต่ก็ยังฮึดสู้ เพราะต้องเดินหน้าขับเคลื่อนชาติ จึงอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ 'ไม่มีราคา'

(11 ก.ย. 66) จากรายการเคลียร์ ชัดชัด ออกอากาศทางช่องเวิร์คพ้อยท์ ดำเนินรายการโดย ต๊ะ นารากร ติยายน ได้สัมภาษณ์ ‘รัชดา ธนาดิเรก’ และ ‘ไตรศุลี ไตรสรณกุล’ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงความรู้สึกที่ได้ทำงานรับใช้ชาติและใกล้ชิดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดยมีบางช่วงบางตอนที่ต๊ะ นารากร ได้ถามคำถามว่า…มีช่วงหนึ่งที่เกิดไวรัลในโซเชียล ใช้ชื่อย่อว่า ‘ผนงรจตกม’ ในตอนนั้นพลเอกประยุทธ์โดนหนักมาก ท่านได้แสดงท่าทางต่อเหตุการณ์นั้นอย่างไรบ้าง? มีหงุดหงิด เสียใจบ้างหรือไม่?

น.ส.รัชดา ได้ตอบว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ ท่านไม่มาแสดงความรู้สึกกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากท่านคือความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่มีราคาแบบนี้ แต่ในความเป็นมนุษย์ เราก็เดาได้ว่าต้องรู้สึกอยู่แล้ว เพราะอยู่ๆ คนมาด่า ใช้คำพูดหยาบคาย บนสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง เป็นใครก็ต้องรู้สึก แต่ท่านก็ก้าวข้ามผ่านตรงนั้น และคุยเรื่องใหม่ๆ คุยเรื่องที่จะขับเคลื่อนบ้านเมืองด้วยรอยยิ้ม

น.ส.รัชดา กล่าวเสริมว่า บางจังหวะท่านอาจจะหงุดหงิด แต่ท่านก็จะบอกว่า อ่า ผมหงุดหงิดอะ ผมขอโทษนะ และท่านก็เดินหน้าต่อ

'สมชัย' เทียบฟอร์มแถลงนโยบาย 'เศรษฐา-ประยุทธ์' ชำแหละ 5 ข้อ คนหนึ่งวนไปวนมา อีกคนทำได้ไม่ถึง 30%

(11 ก.ย. 66) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแถลงนโยบายของรัฐบาล ดังนี้…

เมื่อคืนนั่งอ่านนโยบาย เศรษฐา แล้วกลับไปอ่านนโยบายประยุทธ์ 2

มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง

1. ความยาวนโยบาย : เศรษฐา ยาว 14 หน้า ของประยุทธ์ 33 หน้า
2. การใช้เวลาในการจัดทำหลังจากวันได้รับเลือกเป็นนายก จนถึงวันแถลงนโยบาย : เศรษฐา 21 วัน ประยุทธ์ 51 วัน
3. สไตล์การเขียน : เศรษฐา เป็นแบบพรรณนา แบ่งเป็น ระยะสั้น 5 เรื่อง ระยะกลางและยาว 3 กลุ่มเรื่อง โดยมีนโยบายเรื่องต่างๆ แทรกอยู่ ต้องไปอ่านจับประเด็นให้ได้ 

ส่วน ประยุทธ์ เป็นแบบวิชาการ แบ่งหัวข้อ ระยะยาว 12 ข้อ ระยะสั้น 12 ข้อ ในแต่ละข้อแบ่งเป็นข้อย่อย .1 .2 .3 อ่านจับประเด็นได้ง่ายกว่า

4. เดาเรื่องคนเขียน : เศรษฐา น่าจะเป็นคนในพรรค หรือหากใช้คนของราชการ อาจเวลาน้อยเลยได้แค่นี้ ส่วนของประยุทธ์ สภาพัฒน์ เขียนให้ชัวร์ 
5. ความรู้สึกเมื่ออ่านแล้ว : เศรษฐา วนไปวนมา คลุมเครือ แต่มีความหวังในบางเรื่อง เช่น เรื่องเงิน 10,000 บาท ได้แน่ สิ้นหวังบางเรื่อง เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ พูดอ้อมๆ แอ้มๆ การปฏิรูปกองทัพ พูดเรื่องไม่ใช่แก่นสาร

ของ ประยุทธ์ อ่านแล้ว เหมือนอ่านแผนพัฒนาประเทศ เขียนไปงั้นๆ พอครบระยะ ห้ามกลับไปอ่านอีก เพราะทำได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ 

รอคำแถลงทางการ ที่จะเพิ่มความหวังประชาชนวันนี้ครับ

‘ชลน่าน’ ลั่น!! ถึงยุคเปลี่ยน ‘ความเห็นต่าง’ เป็น ‘ความร่วมมือ’ พร้อมสามัคคี ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพ

(11 ก.ย. 66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบคำถามประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและชมรมแพทย์ชนบทในยุคของ นพ.ชลน่าน เนื่องจากชุดบริหารที่ผ่านมา มีความขัดแย้งกับชมรมแพทยชนบท แต่ในวันเข้ารับตำแหน่งของ นพ.ชลน่าน มีสมาชิกชมรมแพทย์ชนบทเข้ามาร่วมยินดีและ นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ มอบพระพุทธรูปให้กับ นพ.ชลน่าน ว่า ทิศทางการทำงานของ รมต. และผู้บริหารแต่ละชุดอาจมีแนวทางตามนโยบายต่างไป แต่สำหรับตนให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก เพราะกลไกการขับเคลื่อนงานนั้น บุคลากรมีความสำคัญมาก เราจะมาดูเชิงระบบในภาพใหญ่ จึงมีความคิดว่ากระทรวงฯ น่าจะมาบริหารจัดการเอง มีคณะกรรมการบริหารงานบุคคลเอง มีกฎหมายรองรับเป็นการเฉพาะ ตนก็พยายามจะผลักดันเรื่องนี้โดยการรวบรวมทุกภาคส่วนที่มีความปรารถนาต่อมิติสุขภาพของประชาชน

“ความเห็นต่างมีแน่นอน แต่เราจะแปลงความเห็นต่างนั้น มาเป็นความเห็นร่วม ทุกคนบอกผมว่าทุกคนมีความรักสมานสามัคคีกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน พวกเรามองตา เมื่อช่างภาพบอกว่าคุณหมอมองกล้องหน่วย ทุกคนมองหมดเลย เพราะเราเป็นหมอในหัวใจของประชาชน มั่นใจว่าเราจะมีความรักสมัครสมานสามัคคี ขับเคลื่อนงานสุขภาพร่วมกัน” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามย้ำว่าในยุคของ นพ.ชลน่าน จะไม่เห็นภาพม็อบมาเรียกร้องที่กระทรวงฯ แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะไม่ปิดกลั้นม็อบที่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชนและบุคลากร ยิ่งเขามีความต้องการแต่เราตอบสนองความต้องการเขาไม่ได้ จึงมีการชุมนุมเรียกร้องตามระบบประชาธิปไตย

‘เศรษฐา’ แถลงนโยบายรัฐบาล  50 นาทีรวด  ลั่น!! เดินหน้าทุกนโยบายด้วยความซื่อสัตย์

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีครม. สส. และ สว. เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า ครม. มีนโยบายรัฐบาลมุ่งมั่นสร้างความสามัคคี ปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม นำไปสู่ความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศให้ก้าวหน้า วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศที่ถูกซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ยังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้เป็นรูปธรรม ขณะที่ปัญหาสังคมและการเมืองยังยืดเยื้อ ฝังรากลึก ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจประเทศกว่าร้อยละ 30.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่หมวดสินค้า ภาคส่งออกติดลบติดต่อกัน 3 ไตรมาส ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงกว่าร้อยละ 90 ของจีดีพี หนี้สาธารณะสูงกว่าร้อยละ 61 อาจกลายเป็นข้อจำกัดด้านการคลังและการบริหารประเทศในอนาคต 
โชว์จุดยืนหนักแน่นพิทักษ์สถาบัน

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ส่วนภาคการเกษตร ประชากรกว่า 10 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของกำลังแรงงาน อยู่ในภาคที่ทำงานหนัก แต่กลับสะท้อนออกมาเป็นมูลค่าเพียงร้อยละ 7 ต่อจีดีพี ส่งผลให้เกษตรกรไทยมีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 3 แสนบาท ส่วนด้านการเมืองมีความเห็นต่าง แบ่งแยกทางความคิด ทำให้สังคมอยู่ในจุดน่ากังวล ข้อกฎหมายไม่ทันสถานการณ์บ้านเมือง ปัญหาทุจริต อาชญากรรม ยาเสพติดรุนแรงขึ้น ความท้าทายเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาความยากจน เหลื่อมล้ำ ทำให้ประเทศไทยขาดความพร้อมที่จะเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ เกิดวิกฤตศรัทธาประชาชน กลายเป็นเป้าหมายของรัฐบาลนี้ต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน สร้างความพร้อม และวางรากฐานเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง รัฐบาลมีกรอบนโยบายบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วนได้แก่ กรอบระยะสั้น จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง เร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าประชาชนอย่างรวดเร็ว ส่วนกรอบระยะกลางและระยะยาว จะเสริมขีดความสามารถให้ประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันประเทศไทยเปรียบเหมือนคนป่วยที่ได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในช่วงโควิด-19 จนมีความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุน นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง กระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ เกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายรอบ รัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบภาษี และจะช่วยวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประเทศ เตรียมความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่

“นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายเร่งด่วนอีก 4 ข้อ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชนได้แก่ 

1.การแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนการเงิน สำหรับภาคประชาชน ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนากลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้ฟื้นตัวกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง 

2.ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน จะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทันที จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ วางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจแหล่งพลังเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า 3.ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อสร้างงานให้ประชาชนจำนวนมาก จะเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวด้วยการอำนวยความสะดวก ปรับปรุงขั้นตอนขอวีซ่า การยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่ากลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย การยกระดับประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้า งานเทศกาลระดับโลก ปรับปรุงสนามบิน และจัดการเที่ยวบ้นของสนามบินทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ

และ 4.การแก้ปัญหาความเห็นแตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้มีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่แก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ รัฐบาลจะหารือแนวทางทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบกติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัย เป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา ให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง โปร่งใส เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สำคัญของประเทศ ทำให้ประเทศมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากสุดในการพัฒนาประเทศ

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลมีแนวทางสร้างรายได้ โดยใช้การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเปิดประตูสินค้าและการบริการของประเทศสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้ การเร่งการเจรจากรอบความร่วมทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุน การส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ อาทิ พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนาต่อยอดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจกการค้าตามแนวชายแดน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง ทางอากาศ ตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ของโลก ส่วนภาคการเกษตร จะสร้างรายได้ภาคการเกษตร โดยใช้หลักตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพภาคการเกษตร การหาตลาดให้สินค้าเกษตรได้ขายในราคาที่เหมาะสม การฟื้นอุตสาหกรรมประมง แก้ไขข้อกฎหมายให้เหมาะสม จะบริหารจัดการภาคการเกษตรที่ครบถ้วนทุกด้าน มีเป้าหมายทำให้รายได้เกษตรกรทั้งประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 4 ปี

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายสร้างและขยายโอกาสให้ประชาชน โดยสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เพื่อสร้างโอกาสการมีอาชีพ รายได้ จะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน พิจารณาเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ให้เป็นโฉนด ให้นำไปต่อยอดเข้าถึงแหล่งทุนได้ รวมถึงการปลดล็อกแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับของรัฐที่เป็นข้อจำกัดของประชาชน เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนในการสร้างรายได้ เช่น การปลดล็อกกฎระเบียบสุราพื้นบ้าน การบริหารรูปแบบการกระจายอำนาจ เพื่อสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานแต่ละจังหวัดให้ตอบสนองความต้องการประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยมาให้บริการ ขจัดช่องโหว่การทุจริต ลดค่าใช้จ่าย ให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น การสนับสนุนการสร้างซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ ยกระดับพัฒนาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ จะสร้างรายได้ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะ ซอฟต์เพาเวอร์การปฏิรูปการศึกษา สร้างศักยภาพของผู้เรียนตามความถนัด การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพประเทศ จะปรับโครงสร้างหน่วยงานความมั่นคงให้ทันสมัย จะร่วมพัฒนากองทัพให้มีศักยภาพ โดยเปลี่ยนรูปแบบเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารให้เป็นแบบสร้างสรรค์ ลดกำลังพลนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับสูง กำหนดอัตรากำลังในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สอดคล้องบทบาทภารกิจ ปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานกระทรวงกลาโหมให้โปร่งใส ขณะที่ด้านความปลอดภัยจะปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดจากสังคมไทย นอกจากนี้รัฐบาลจะดำเนินนโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ การยกระดับนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาลในเมือง ลดความแออัดและภาระบุคลากรทางการแพทย์ การผลักดันกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ในอนาคต 4 ปีข้างหน้า จะเป็น 4 ปีที่รัฐบาลวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้ประเทศ โดยยึดหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะกรณีการดำเนินงานที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนการบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินนโยบายรัฐนั้น รัฐบาลจะดำเนินการอย่างมีเป้าหมายทั้งในด้านการเจริญเติบโต การลดความเหลื่อมล้ำ การรักษาเสถียรภาพให้ความสำคัญกับกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด รัฐบาลจะใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสม จะตระหนักถึงข้อจำกัดด้านรายได้ โดยเฉพาะรายได้จากภาษีประชาชน จะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ประชาชน

“ท้ายที่สุดรัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง จะตั้งใจ ทุ่มเทสรรพกำลังดำเนินนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลาน” นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ นายเศรษฐาใช้เวลาแถลงนโยบายทั้งสิ้น 50 นาที
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top