Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

‘พี่พร-น้องเวฟ’ ดรามาเดือด!! แฉกันนัวออกไลฟ์สด หลังเลิกรา ฝ่ายหญิง พ้อ!! เหมือนถูกนอกใจ แถมฝ่ายชายทิ้งเงินไว้ให้แค่ร้อยเดียว

(11 ก.ย. 66) หลังจากประกาศเลิกกันไปเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา สำหรับอดีตคู่รักต่างวัยอย่าง ‘พี่พร’ และ ‘น้องเวฟ’ โดยทางด้านฝ่ายชายก็ได้ปรากฏคลิปกับสาวใหญ่รุ่นใหม่ชื่อว่า ‘พี่เล็ก’ ซึ่งแฟนใหม่น้องเวฟคนนี้ก็บินลัดฟ้ามาหาจากฟินแลนด์เลยทีเดียว

หลังจากนั้นไม่นานก็มีแฟนคลับเข้าไปถามพี่พรในไลฟ์สดเรื่องการเลิกรากันกับน้องเวฟ ซึ่งทางพี่พรก็ปล่อยโฮ เล่าว่าเลิกกัน 7 เดือนไม่รู้ตัว เหมือนโดนนอกใจ โดยตนเห็นน้องเวฟเปิดตัวกับพี่เล็กผ่านทาง TikTok บอกว่าเลิกกับพี่พรได้ 7 เดือน แต่ระหว่าง 7 เดือนนั้นยังอยู่ด้วยกันอยู่เลย

นอกจากนี้ พี่พรยังมีการเปิดเผยอีกด้วยว่าไปออกงานมีเงินติดตัวแค่ 100 บาท เงินทั้งหมดนั้นอยู่กับสามีเก่า (น้องเวฟ) ส่วนที่ออกมารับงานนั้นก็อยากให้เห็นว่าไม่มีใครก็ยังอยู่ได้ ไม่อดตาย ยังสู้ต่อ

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายน้องเวฟก็ออกมาตอบโต้เรื่องทิ้งเงินไว้ให้พี่พรไปออกงานแค่ 100 บาท ว่าไม่เป็นความจริง โดยเปิดเผยว่าตนซื้อให้พี่พรทุกอย่าง ทั้งทอง บ้าน รถ คอนโด ทุกอย่างเป็นชื่อพี่พรหมด พร้อมเตือนพี่พรว่าอย่าดรามาพูดจากล่าวร้ายให้ฝั่งตนเสียชื่อเสียง

ด้านพี่เล็กแฟนใหม่น้องเวฟ ก็พูดถึงเรื่องนี้ในคลิปเดียวกันว่า “ถ้าไม่ดรามา คนไม่เข้า ตามแผน” ก่อนจะปิดท้ายคลิปให้ทุกคนไปดูไลฟ์พี่พร และซัพพอร์ตพี่พรเมือนเดิม เพื่อให้พี่พรมีรายได้ พร้อมกล่าวตอนท้ายคลิปว่า “เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้อีก” งานนี้ทำเอาชาวเน็ตเดือดแทน เพราะเหมือนพี่เล็กพูดจาแซะพี่พร

ล่าสุด (10 ก.ย.66) ก็ปรากฏคลิปชายหนุ่มมอบเงินให้พี่พรเป็นฟ่อน พร้อมหอมแก้มโชว์ และมีการป้อนอาหารให้กันและกันด้วย ทำชาวเน็ตถามกันให้พรึ่บว่าใช่แฟนใหม่พี่พรหรือไม่ ก่อนที่หนุ่มในคลิปจะออกมาเฉลยว่าจ้างพี่พรไปโปรโมทร้านอาหารของตัวเองเฉยๆ ที่หอมแก้มโชว์คือคอนเทนต์

ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาให้กำลังใจพี่พรว่าจะมีแฟนใหม่หรือไม่ แค่เห็นพี่พรมีงานและมีเงินก็มีความสุขและยินดีด้วยแล้ว ขณะเดียวกันก็พูดถึงพี่เล็กว่าน้องเวฟยังเลิกกับพี่พรไปมีแฟนใหม่ได้ ไม่นานพี่เล็กก็อาจจะเจอชะตากรรมเดียวกับพี่พรก็เป็นได้

‘ป๊อก-มาร์กี้’ พา ‘มีก้า-มีญ่า’ นั่งรถเมล์ รถตุ๊กตุ๊กครั้งแรก ชาวเน็ตชื่นชม!! สอนลูกให้เรียนรู้การเดินทางหลากหลายแบบ

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งครอบครัว ที่น่ารักและมักจะมีโมเมนต์อบอุ่น ๆ ออกมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามอยู่เสมอ สำหรับครอบครัวของ นักร้องและยูทูบเบอร์ดัง ‘ป๊อก ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์’ และนางเอกสาว ‘มาร์กี้ ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์’ และลูกๆ ที่น่ารักอย่าง ‘น้องมีก้า’ และ ‘น้องมีญ่า’

ล่าสุดก็มีโมเมนต์ที่ทำเอาแฟน ๆ แห่ชื่นชม หลังจากที่ ป๊อก ภัสสรกรณ์ ได้ออกมาโพสต์คลิป ผ่านทางช่องยูทูบ ขณะที่เจ้าตัว และ มาร์กี้ พาลูก ๆ ทั้งสอง ไปนั่งรถเมล์ครั้งแรก ซึ่งเป็นภาพตั้งแต่นั่งรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ และทั้งน้องมีก้า-มีญ่าก็ดูตื่นเต้นสุด ๆ นั่งดูบรรยากาศข้างนอก จากภายในรถ และพูดคุย ถามคุณพ่อคุณแม่อย่างน่ารัก

นอกจากนี้ยังพาลูก ๆ นั่งรถตุ๊ก ๆ อีกด้วย ซึ่งน้อง ๆ ทั้งสองก็สนุก แถมยิ้มแย้มพูดคุยตลอดทาง ไม่มีท่าทีงอแง ท่ามกลาง แฟนๆ ที่ได้เข้ามาชื่นชมในความน่ารักของน้องๆ อีกทั้งยังชื่นชมป๊อกและมาร์กี้ ว่าสอนให้เด็ก ๆ มีประสบการณ์ และได้ผจญภัยในการเดินทางรูปแบบต่าง ๆ อย่างมากมาย

‘ดร.นิว’ ชี้!! 9 ปี ‘ก้าวไกล’ จากลัทธิหลบๆ ซ่อนๆ  ผงาดครองพื้นที่ ‘สื่อ-โซเชียลมีเดีย’ ไว้เกือบหมด 

(11 ก.ย. 66) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphanat Aphinyan’ ระบุว่า…

“9 ปีก่อน พวกเขาเป็นเพียงแค่ลัทธิที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบสร้างแนวร่วมอยู่ในซอกหลืบของรั้วมหาลัย แต่ทว่าทุกวันนี้พวกเขาได้ครองพื้นที่สื่อและโซเชียลมีเดียไว้เกือบทั้งหมด สามารถชี้นำทางความคิดช่วงชิงฐานเสียงมวลชนไปได้แล้วกว่าสิบล้าน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของใคร? ใครรู้ช่วยตอบที?”

ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก ดร.นิว ได้โพสต์ถึงการเลือกตั้งซ่อมระยองไว้ว่า “ถ้าก้าวไกลชนะ ก็คงเป็นภาพสะท้อนความสิ้นหวังทางการเมืองของประชาชน ที่ย่ำแย่ถึงขั้นหันไปพึ่งอสูรกายแก้วทางการเมืองกันแล้ว ถ้ายังคิดผิดทำผิด เลือกตั้งรอบหน้าได้ว้าวุ่นเลยทีนี้”

‘ศิริกัญญา’ อัด!! นโยบาย ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ว่างเปล่า-ไร้เป้าหมาย-ไร้ตัวชี้วัด แถมไม่ตรงปกนโยบายช่วงหาเสียง ลั่น!! ให้อยู่เกรดเดียวกับรัฐบาลบิ๊กตู่

(11 ก.ย. 66) ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นสมาชิกคนแรกที่ขึ้นอภิปรายการแถลงนโยบายในวันนี้ โดยกล่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบอกเป้าหมายว่ารัฐบาลใน 4 ปีนี้จะเดินทางไปด้วยเส้นทางไหน ด้วยวิธีการใด และจะไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ ซึ่งคำแถลงนโยบายเมื่อครู่นี้ ไม่แตกต่างไปจากเอกสารที่ออกมาก่อนหน้า ไม่ได้บอกอะไร มีแต่คำพูดกว้างๆ ไม่มีตัวชี้วัดและมีแต่คำขยายเต็มไปหมด ถ้าบอกว่านี่คือจีพีเอส ประเทศก็คงหลงทาง ว่างเปล่า และเบาหวิว

พรรคการเมืองไหนก็ตามที่คิดกลับคำ ไม่ยอมระบุนโยบายที่หาเสียงไว้ในการแถลงนโยบายเมื่อได้เป็นรัฐบาล โดยปราศจากเหตุผลที่รับฟังได้ พรรคการเมืองนั้นก็ย่อมคือผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน คำแถลงของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ตนขอให้อยู่ในเกรดเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์ ที่น่าผิดหวังคือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาตรฐานตกจากสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายชัด มีนโยบายที่หาเสียงบรรจุไว้ตรงเกือบทั้งหมด มีกรอบเวลาตั้งแต่ช่วง 1 - 4 ปี

การแถลงนโยบายที่ดี สิ่งแรกที่ควรจะมีคือเป้าหมายที่ชัดเจน ตัวชี้วัดที่วัดผลได้ มีกรอบเวลาชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากให้ประเทศเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่มีตัวชี้วัดว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายนั้นหรือยัง ไม่ใช่การเขียนแบบพูดอีกก็ถูกอีก เหมือนพูดว่า ‘น้ำเป็นของเหลว’

ต่อมา คำแถลงนโยบายต้องมีคำอธิบายแต่ละนโยบายที่ชัดเจนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร ไม่ใช่เหมือนเป็นแค่คำอธิษฐานหรือ wish list ที่สำคัญ การหาเสียงเลือกตั้งต้องเป็นสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้รับเลือกมาแล้วก็ต้องทำตามสัญญา ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็ไร้ความหมาย 

สุดท้ายต้องกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีรายละเอียดชัดเจน ตรงกับนโยบายที่ได้สัญญาไว้ กรอบเวลาก็ชัดมาก แต่ในรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่เข้าใจว่ามาจากพรรคเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่มีทั้งรายละเอียด ไม่มีการกำหนดเป้า ไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

“คุณเศรษฐาแถลงเป้าหมายของบริษัทแสนสิริด้วยมาตรฐานการแถลงเป้าหมายของบริษัทระดับโลก มีเป้าหมาย กรอบระยะเวลา ตัวชี้วัดที่ชัดเจน แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐากลับแถลงเป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรัฐบาลประยุทธ์ คือเลื่อนลอย ไม่ยอมสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรมทั้งนั้น” ศิริกัญญา กล่าว

แต่ที่สำคัญ คือนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ของพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในเล่มแถลงนโยบาย พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำพูดไปอย่างชัดเจน จากที่มีตัวเลขเป้าหมายก็กลายเป็นนามธรรม จากที่มีตัวเลขระยะเวลาก็ตัดทิ้งไป

การแถลงนี้ ยังเป็นการแถลงที่ปราศจากความทะเยอทะยานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลับตาข้างหนึ่งแล้วก้าวข้ามความขัดแย้งเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง สามจังหวัดชายแดนใต้ การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่กล้าแตะเรื่องยากที่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ทั้งที่ตอนหาเสียงท่านกล้าหาญกว่านี้มาก คล้ายกับตอน พล.อ.ประยุทธ์แถลง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะสองเหตุผล กล่าวคือ

1) รัฐบาลกลัวการผูกมัด กลัวทำไม่ได้อย่างที่สัญญา หรือมองว่าบางนโยบายไม่สามารถทำได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรหาเสียงกับประชาชนไว้แบบนั้นแต่แรก และ 2) การเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่นโยบายเป็นคนละขั้ว ซึ่งสุดท้ายหาข้อตกลงไม่ได้จึงต้องเขียนให้ลอยและกว้างไว้ก่อน แถมที่มาของอำนาจต้องเกรงใจกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุน จึงไม่กล้าทำเรื่องยากที่ต้องปะทะกับใครเลย

ส่วนในด้านเนื้อหานั้น มีการแบ่งเป็นตามกรอบระยะสั้น และระยะกลางและยาว โดยในกรอบระยะสั้นมี 6 เรื่อง แต่ยังขาดเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง pm2.5 ความขัดแย้งทางการเมือง และชายแดนใต้ เรื่องเหล่านี้ไม่เร่งด่วนอีกต่อไปแล้วเช่นนั้นหรือ?

ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เมื่อไล่ดูนโยบายที่บรรจุไว้เหลือแค่ 3 เรื่อง ที่ตนอยากเน้นเป็นพิเศษคือการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ถูกลดทอนเหลือแค่ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ทั้งที่ก่อนเข้าทำงานการเมือง นายกรัฐมนตรีเคยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ มีความคิดที่ตนสนับสนุนเห็นด้วยหลายประการ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นอยู่ในคำแถลงนโยบายแล้ว จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรียังคิดอยู่แบบเดิมหรือไม่ จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังคงเดิมอยู่หรือไม่

ต่อมา ตนขอกล่าวถึงแหล่งรายได้และที่มางบประมาณ โดยเฉพาะต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะออกแบบให้เป็นแบบใด รัฐบาลจำเป็นต้องมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน เพื่อรับประกันว่า 1 บาทในโลกจริงจะเท่า 1 บาทดิจิทัล ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแหล่งที่มาของเงินน่าเชื่อถือหรือไม่ หากทำไม่ได้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของร้านค้า และอาจเกิดเป็นเงินเฟ้อในโลกดิจิทัลขึ้นได้

การจะมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน 5.6 แสนล้านบาท มีอยู่สองทางเลือกเท่านั้น คือ 1) การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ 2) เงินนอกงบประมาณ ซึ่งปัญหาของการใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2567 จะไม่พออย่างแน่นอน เพราะงบประมาณ 3.35 ล้านล้านบาท มีหลายค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถตัดทอนได้ เช่น งบประมาณชำระหนี้ ดอกเบี้ย เงินคงคลัง เงินอุดหนุนท้องถิ่น สวัสดิการตามกฎหมาย เหลือใช้จ่ายได้จริงๆ ก็แค่ราว 4 แสนล้านบาท ซึ่งไม่สามารถเอามาลงในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ทั้งหมด

หรือหากจะใช้ดุลเงินสดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ต้องลดรายจ่ายจาก 1.2 ล้านล้านให้เหลือครึ่งหนึ่ง คุมเงินนอกงบประมาณให้สมดุล ซึ่งเงินสดก็ยังคงจะไม่พออยู่ดี จะมีการกู้ชดเชยขาดดุลล่วงหน้ามาใช้กับโครงการนี้หรือไม่ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะเกิดค่าเสียโอกาสคือค่าดอกเบี้ย หากทำแบบนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงว่านอกจากงบประมาณจะไม่พอแล้ว เงินสดก็จะไม่พอด้วย

ส่วนการใช้เงินนอกงบประมาณ ก็ไม่สามารถใช้ได้ถ้าไม่แก้กรอบวินัยการเงินการคลัง หรือหากจะยืมเงินกองทุนหมุนเวียนมาใช้ ก็มีสองอยู่กองเท่านั้นคือกองทุนของผู้ประกันตนหรือข้าราชการบำนาญ ซึ่งก็ไม่สมควรที่จะทำ หรือสุดท้ายหากจะกู้ธนาคารรัฐ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีกรอบอยู่ที่ไม่เกิน 32% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี ซึ่งวันนี้กำลังจะถึงจุดนั้นแล้ว หากจะกู้จริงก็ต้องแก้ ม.28 ของกรอบนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งก็จะไม่สง่างามเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องพึงระวังและไม่ได้อยู่ในคำแถลงนโยบาย คือการกระตุ้นเศรษฐกิจสมควรทำ แต่การวินิจฉัยโรคไม่ถูกก็อาจจะนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ถ้าโตเฉพาะส่วนบน การลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมต้องจัดการระบบภาษีไปพร้อมกัน วิธีคิดนโยบายที่มีแต่การโยกกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แต่หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เช่น กลุ่มทุนที่สามารถมีอำนาจเหนือตลาดและผูกขาด ย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยเปลี่ยนไปแล้ว ระดับหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เงินเฟ้อกำลังสูงทั่วโลก ส่งออกก็ไม่รุ่ง ตลาดก็กระจุกตัวขึ้น รัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร

“ดิจิทัลวอลเล็ตย่อมสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอน แต่มันไม่เพียงพอให้เกษตรกรขุดแหล่งน้ำบรรเทาภัยแล้ง ไม่สามารถทำให้เกษตรกรได้เอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ไม่สามารถช่วยผู้ส่งออกให้ส่งออกเพิ่มหรือไม่ตัดโอทีในโรงงานได้ จึงขอให้รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญให้ดี จะเทหมดหน้าตักแล้วหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้ แต่ข้อดีของการแถลงกว้างๆ แบบนี้ คือท่านยังมีโอกาสได้แก้ไขในการแถลงงบประมาณ เพื่อส่งมอบนโยบายอะไรบ้างใน 1 ปีข้างหน้าจากนี้” ศิริกัญญา กล่าว

‘ดีเจมะตูม’ อวดความน่ารัก หลังเจอ ‘แบมแบม’ ที่เกาหลีใต้ บอก!! เป็นซุปตาร์ที่น่ารัก ไม่ถือตัว แถมเลี้ยงข้าวพี่ๆ ด้วย

เรียกได้ว่าเป็นโมเมนต์สุดพิเศษของพิธีกร ดีเจมากความสามารถ ‘มะตูม เตชินท์ พลอยเพชร’ ที่ได้บินลัดฟ้าไปโกอินเตอร์เดินแบบที่งาน ‘Seoul fashion week’ ณ ประเทศเกาหลีใต้ แต่ความน่ารักมันเกิดขึ้นเมื่อเจ้าบ้านอย่างหนุ่มหล่อ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ หรือ ‘แบมแบม GOT7’ ได้สละเวลาซ้อมคอนเสิร์ตของตัวเองออกมาหา ‘มะตูม’ แถมยังเลี้ยงข้าวอีกตั้งหาก…

ล่าสุดในอินสตาแกรมของ ‘มะตูม เตชินท์’ ได้โพสต์ภาพคู่หนุ่ม ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์’ พร้อมระบุข้อความอวยความน่ารักของแบมแบมยาวเหยียดให้แฟนได้หวีดตาม ๆ กัน ว่า…

"กราบขอบพระคุณเจ้าบ้าน @bambam1a ที่ออกมาเลี้ยงข้าวพี่กับเพื่อน ๆ ที่เกาหลี! ขนาดซ้อมคอนเสิร์ตหนักทุกวัน ยังแว๊บมาให้พี่รบกวนจนได้! ขอบคุณน้องมาก ๆ นะแบม เป็นซุปตาร์ที่โคตรน่ารักและไม่ถือตัวเลย เป็นการกินข้าวด้วยกันที่ประทับใจมากกกก แบมเป็นเจ้าบ้านที่ดี พากินเมนู local สุด ๆ ชอบซุปดักแด้มากกกกก

ขอบคุณที่ทำให้การมาแฟชั่นวีคที่เกาหลีของพี่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ขอบคุณที่บอกจะเลี้ยงข้าวพี่และน้องก็ทำตามคำพูด และขอบคุณ ที่ให้เกียรติดีเจตัวเล็ก ๆ อย่างพี่นะครับแบม แถมยังให้คำแนะนำเรื่องการมาเดินแบบที่นี่ของพี่ด้วย ยังไงดีเจมะตูมขอฝากตัวด้วยกับน้องด้วยละกันนะครับรุ่นพี่แบมแบม 555555

เห็นตอนกินข้าวเห็นเรายังแซวกันเรื่องคอนเสิร์ตน้องกันเลยว่าบัตร จะ sold out มั้ย พี่บอกเพิ่มรอบรอได้เลย ยังไงก็หมด เป็นไงวันนี้หมดเกลี้ยงไม่กี่นาที เชื่อพี่ยัง5555555 เจอกันวันคอนเสิร์ตน้องนะค้าบ พี่รู้ว่าแบมตั้งใจกับคอนเดี่ยวนี้มาก และเชื่อได้เลยว่า มันจะต้องออกมาอย่างดีมากอย่างแน่นอน bambam fighting!!!! Love and lot supports as always na

ปล.แอบจิ๊กหนังไก่ของพี่ไปด้วย 1 ซอง เป็นบุญของพี่มากที่น้องชอบ แค่แบมบอกอร่อย พี่ก็พร้อมซื้อโรงงานทอดหนังไก่เพิ่มเพื่อน้องแล้วครับ 555 และที่สำคัญขอบอก แบมแบม หน้าสด หล่อออออออออออออออออออ มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก see you again real soon bro!!!!"

ซึ่งทางด้านของ ‘แบมแบม’ ก็ได้เข้ามาคอมเมนต์โพสต์ของ ‘มะตูม’ ว่า "พี่!! ไม่ขนาดนั้นครับ!! อ่านข่าวผมมา 5 ปี ขอตอบแทนนะครับ เจอกันเดือนหน้าครับ!" และมะตูมก็ได้ตอบคอมเมนต์ของแบมอีกว่า "เจอกัน พร้อมกรี๊ดคอแตก เว่าแล้วก็ไป๊!!!"

‘อนุทิน’ เชื่อมือ ‘ชาดา’ ปราบผู้มีอิทธิพลได้ พร้อมเผย บัญชีมาเฟียมีความคืบหน้าแล้ว

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลและมาเฟีย ว่า ตนมอบหมาย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทยไปแล้ว ซึ่งความคืบหน้าการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.นี้ ตนก็จะมีอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อนายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายจบ เราก็จะเริ่มทำงานได้เต็มตัว

เมื่อถามว่า จะมั่นใจว่านายชาดาจะจัดการบริหารเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องมั่นใจเพราะทุกคนมีระยะทดลองงาน

เมื่อถามว่า ตั้งกรอบระยะเวลาการทำงานไว้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า งานและปัญหาประชาชนมีอยู่ตลอดเวลา เราจะไปตั้งกรอบเวลามันไม่เกิดประโยชน์ เราต้องแก้ปัญหาไปทุกวันๆ

เมื่อถามกรณี ความคืบหน้าการสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดจัดทำบัญชีผู้มีอิทธิพล นายอนุทิน กล่าวว่า ก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ และตอนนี้ได้มอบหมายนายชาดาไปแล้ว

เมื่อถามว่า การอภิปรายในสภาฯ เป็นอย่างไรบ้าง หากเทียบกับบรรยากาศการอภิปรายในอดีตที่ผ่านมา นายอนุทิน กล่าวว่า นายกฯ พูดถึงเนื้อหาได้ดี

เมื่อถามว่า คิดว่าจะนำเงินงบประมาณมาจากไหนเพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ นายอนุทิน กล่าวว่า นโยบายอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เราก็จะหาเงินก้อนนั้นมาให้ได้

‘แบมแบม’ ไม่ทนอีกต่อไป!! หลังเจอคนอัพราคาบัตรคอนเสิร์ตตัวเอง วอนแฟนคลับอย่าสนับสนุน พวกชอบเอาความพยายามคนอื่นมาหากิน

(11 ก.ย. 66) หลังจากที่ แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล หนึ่งในสมาชิกวง GOT7 ได้ประกาศเวิล์ดทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก คือ 2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52]

ธีมคอนเสิร์ต AREA 52 นั้นมาจาก AREA 51 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่หลายคนคิดว่ามีเอเลียน หรือยูเอฟโอในพื้นที่นั้น แล้วความชอบจักรวาลเลยเอาชื่อมาเปลี่ยนรวมกับวันเกิด 2 พฤษภาคม กลายเป็น AREA 52

สำหรับคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ จะจัดในวันที่ 28 ตุลาคม ที่ธันเดอร์โดม สเตเดียม (Thunderdome Stadium)

ซึ่งในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา เริ่มขายบัตรในเวลา 10.00 น. เหล่าอากาเซ่ พร้อมใจกันกดจองบัตรทันที ซึ่งเป็นไปตามคาด เพราะบัตรกว่า 20,000 ต่าง SOLD OUT อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ #BamBamAREA52inBKK ทะยานขึ้นอันดับ 1 ในเทรนทวิตเตอร์ (X) อย่างรวดเร็ว

แม้จะเป็นเรื่องดีที่บัตรขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่แฟนคลับทุกด้อมต้องเจอนั้น คือ จะมีกลุ่มคนมากดบัตร เพื่ออัพราคา ทำให้แฟนคลับที่อยากเจอ และอยากจะร่วมสร้างความทรงจำกับศิลปินที่ตนเองชื่นชม และติดตามมาตลอด ต้องถูกเอาเปรียบ

หากใครต้องการปรับจริงๆ อาจจะต้องเสียเงินมากกว่าค่าบัตรปกติ 2-3 เท่าตัว!! ทำให้เหล่าอากาเซ่ต่างออกมาสะท้อนปัญหานี้จำนวนมาก

เมื่อ ‘แบมแบม’ ทราบปัญหานี้ ก็ไม่ทนเช่นกัน เข้าไปตอบกลับทวีตที่อากาเซ่ ออกมาบ่นเรื่องนี้เช่นกัน

โดยเธอได้ออกมาสะท้อนปัญหาว่าต้องการให้บัตร vvip และ vip ควรจะมีชื่อผู้ซื้อบัตรด้วย เพราะเธอนั้นเข้าไปทักถามราคาบัตร VVIP ‘AREA52’ PACKAGE ที่ปกติจะขายราคา 9,700 บาท พุ่งสูงขึ้นเป็น 55,000 บาท!!!

ซึ่ง ‘แบมแบม’ ได้เข้ามาตอบเธอว่า “บัตรอัพ ขอให้ทุกคนอย่าไปสนับสนุนเลยนะครับ คนแบบนี้ น่ารังเกียจ สกปรกที่สุด เอาความพยายามของคนอื่นมาทำมาหากิน”

เปิดกลยุทธ์พรรคส้ม ยึดครองโซเชียลมีเดียปูทางโกยแต้มเลือกตั้งเบ็ดเสร็จ เน้นชูเรื่อง 'รัก-ครอบครัว-ไลฟ์สไตล์' ผ่านเพจที่ไม่สามารถยืนยันตัวผู้ดูแลได้ 

(11 ก.ย. 66) จากมุมมอง ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Naruphun Chotechuang' เกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมที่ระยองของไทยเมื่อวานไว้ว่า...

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่ระยองเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ครับว่า จะออกมาเหมือนเดิม จากผลงานจากการระดมอัดโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านเพจและกลุ่มต่างๆ ทั้งแพลตฟอร์มเฟสบุ๊ก, X (ทวิตเตอร์) และติ๊กต็อกเป็นเวลานานแล้ว ตัวอย่างล่าสุดที่พึ่งเกิดกับผมคือ ด้วยความที่ตอนนี้อาศัยอยู่แถวภาคตะวันออก ทำให้มีโฆษณาจากเพจต่างๆ ของพรรคสีส้มโผล่มาให้ผมเห็นจำนวนมากกว่าปกติ (และไม่เห็นพรรคสีน้ำเงินเลย) แต่เมื่อถามเพื่อนๆ ที่อยู่ภาคอื่นกลับไม่เคยเจอเหมือนกับผม แสดงว่ามีการอัดโฆษณาอย่างแน่นอน ซึ่งผมได้รวบรวมเพจที่โฆษณาเพจตัวเอง แต่เนื้อหาของโพสที่โฆษณาจะเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคเท่านั้นในภาพที่ *1

และสิ่งที่น่าสนใจคือกลยุทธ์ที่พรรคสีส้มใช้ คือให้เพจที่ไม่สามารถยืนยันตัวผู้ดูแลได้ และเพจข่าวบันเทิงโฆษณาเพจตัวเอง โดยพูดถึงหัวหน้าพรรคสีส้มในเรื่องราวต่างๆ เช่น ความรัก ครอบครัว หรือชีวิตประจำวัน โดยไม่พูดถึงการเลือกตั้งซ่อมเลย เพราะตอนนี้หัวหน้าพรรคสีส้มกลายเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคลไปเป็นแล้ว เพียงแค่พูดถึงหัวหน้าพรรคสีส้ม เท่ากับหาเสียงให้พรรค โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงนโยบายหรือคุณสมบัติของผู้สมัครใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเวอร์ชั่นใหม่ของการส่งเสาไฟฟ้าก็ชนะได้

จากพฤติกรรมที่พรรคสีส้มทำ ผมมองว่ากฎหมายเลือกตั้งของไทยมีปัญหาไม่ก็ตกยุคหรือเปล่า? จึงขอลองนำเอากฎหมายเลือกตั้งของญี่ปุ่นที่น่าสนใจมาเทียบเคียงกับประเทศไทยอย่างที่เคยทำดูครับ

1. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น อนุญาตให้หาเสียงผ่าน หรือแนะนำตัวผู้สมัครผ่านเว็บไซต์ Blog และแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ แต่ห้ามมิให้มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ไม่ว่าผู้โฆษณาจะเป็นพรรคการเมือง ผู้สมัคร หรือบุคคลทั่วไป (ภาพที่ *2) กล่าวคือสามารถใช้แพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น เฟซบุ๊กหาเสียงด้วยเพจทางการของพรรค เพจผู้สมัคร หรือเพจผู้สนับสนุนพรรคได้อย่างอิสระ แต่ห้ามจ่ายเงินเพื่อให้คนทั่วไปมองเห็น (หรือในเฟซบุ๊กจะเขียนว่า แนะนำสำหรับคุณ) มากขึ้น โดยเมื่อเทียบกับการหาเสียงของประเทศไทย พรรคสีส้มใช้วิธีนี้เป็นวิธีหลักในการหาเสียง เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด และจากประสบการณ์ของตัวเอง ไม่เคยเห็นโฆษณาของพรรคอื่นเลย (ถ้าใครเคยเห็นมาแลกเปลี่ยนความเห็นได้นะครับ) จากภาพที่ *1 จะเป็นว่าการโฆษณาไม่ได้ทำเพียงแค่เพจเดียว แต่กระจายไปหลายเพจเพื่อให้เข้าถึงคนให้มากที่สุด 

2. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น อนุญาตให้บุคคลทั่วไปโพสต์ แชร์ รีทวิต กดไลก์ พรรคหรือผู้สมัคร แนะนำตัว ผลงาน และนโยบายต่างๆ ผ่านเแพลตฟอร์มต่างๆ (รวมถึงไลน์) แต่ห้ามมิให้พรรคหรือผู้สมัครแสดงข้อความให้ลงคะแนนกับพรรค หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งใน SNS หรือโพสต์ แชร์ รีทวิตวีดีโอหรือภาพที่มีข้อความ หรือเสียงที่บอกให้ลงคะแนนกับพรรค หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง แต่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ (ภาพที่ *3) เมื่อเทียบกับการหาเสียงของประเทศไทย ในเคสนี้สำหรับพรรคหรือผู้สมัคร ผมเห็นทุกพรรคทำเหมือนกันหมด

ต้องเข้าใจก่อนว่าในบัตรเลือกตั้งของญี่ปุ่นใช้ระบบการเขียนชื่อนามสกุลของผู้สมัครที่ต้องการเลือก (ภาพที่ *4) โดยอนุโลมให้เขียนในเป็นอักษรฮิราคานะ หรือคันจิก็ได้ แต่จะไม่มีการกากบาทหมายเลขแทนพรรค หรือผู้สมัครใดๆ ทั้งสิ้น เพราะญี่ปุ่นถือว่า คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องมีความรู้ที่ควรจะรู้ อย่างชื่อนามสกุลผู้แทนที่ต้องการเลือก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาอำนวยความสะดวกแค่เพียงกากบาท หรืออีกนัยหนึ่งเพื่อลดความยากในการชี้นำเลือกพรรค หรือผู้สมัคร แต่ก็ยังมีปัญหาที่ควรแก้ไขคือ เพจที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ทันทีว่า ผู้โพสต์แชร์ข้อความเป็นคนของพรรค คนของผู้สมัครหรือไม่ (หรือที่พรรคสีส้มเรียกว่าหัวคะแนนธรรมชาติ) ถือว่าทำได้หรือไม่? และตรวจสอบอย่างไร? สมาชิกพรรคถือเป็นคนของพรรคหรือไม่? และญาติของสมาชิกพรรคถือว่าเป็นบุคคลทั่วไปหรือเปล่า? จะเห็นว่ายังมีความไม่ชัดเจนเหลืออยู่

3. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น ห้ามหาเสียงแบบเดินถึงหน้าบ้าน เมื่อเทียบกับประเทศไทย มีการเดินถึงบ้านกันทุกพรรค (ภาพที่ *5)

4. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น กำหนดขนาดโปสเตอร์หาเสียง 42x30 ซม. และขนาด 42x10 (สามารถเอามาต่อกันได้มากสุด 42x40) ต้องติดในพื้นที่ที่กำหนดให้เท่านั้น และโปสเตอร์ที่มีชื่อผู้สมัครต้องมีสัญลักษณ์ทุกแผ่นอนุญาตจากคณะกรรมการเลือกตั้ง เมื่อเทียบกับประเทศไทย กำหนดแค่ห้ามเกินขนาดที่กำหนดไว้เท่านั้น และยังติดตั้งได้ทุกที่ที่อนุญาต จนทำให้ช่วงเลือกตั้งของประเทศไทยรกเต็มฟุตบาทไปหมด (ภาพที่ *6 และ *7)

5. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น ห้ามผู้ที่ยังมีอายุไม่ถึง 18 ปีเข้าร่วมกิจกรรมหาเสียงโดยเด็ดขาด เมื่อเทียบกับประเทศไทย เท่าที่เห็นในข่าว การเลือกตั้งรอบนี้มีอยู่พรรคเดียวที่ทำ (ภาพที่ *8)

อันที่จริงแล้วยังมีอีกหลายข้อที่น่าสนใจ บางข้อก็อาจจะมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อไหนที่ดูแล้วดีก็ควรนำมาปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยัดเหยียดแบบที่ผมโดน (ภาพที่ *1) มันรู้สึกเหมือนตัวเองโดนละเมิดสิทธิยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้ต้องการเห็นแต่โดนบังคับให้เห็น ปรับออกก็เห็นตัวอื่นที่คล้ายกัน

แล้วยังมีเรื่องของบัตรเลือกตั้งที่อยากได้แบบเขียนชื่อ และโปสเตอร์หาเสียงที่ควรกำหนดขนาดให้มันเล็กลงอีก จำกัดพื้นที่ติดแบบญี่ปุ่นก็ดี จัดเป็นสถานทีรวมกันเลย (ภาพที่ *9) และเรื่องของจำนวนด้วย เพื่อความเท่าเทียมระหว่างพรรคใหญ่และพรรคเล็กๆ

ปล. 1 สังเกตไหมว่าภาพที่ *1 ไม่ซ้ำเลยสักเพจ แต่บางเพจใช้รูปซ้ำกัน เนื้อหาเหมือนกัน สลับนิดหน่อย

ปล. 2 ก่อนหน้าเลือกตั้งซ่อม จะเป็นโฆษณาอีกแบบหนึ่งอย่างเช่น เพจของสส.ไม่ก็สมาชิกพรรคสีส้ม เริ่มโฆษณาตัวเองจากโพสภาพการทำงานหรือกิจกรรมของตัวเองต่างๆ (ภาพที่ *10) สังเกตว่าทุกภาพเป็นโฆษณาจ่ายเงินทั้งสิ้น

ชาวอเมริกันแบนขนมยี่ห้อดัง หลังเด็ก 14 เสียชีวิต เหตุจากการแข่งท้าชิมขนมรสพริกเผ็ดที่สุดในโลก 

ถือเป็นอุทธาหรณ์สำหรับชาวอเมริกัน ที่นิยมทำการตลาดที่เล่นกับความคึกคะนองของวัยรุ่น และการเสพติดกระแสโซเชียลอย่างขาดความยับยั้งชั่งใจ จากข่าวการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ เด็กชายวัย 14 ปี จากโรงเรียน Doherty Memorial High School ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน หลังร่วมการแข่งขันท้าประลองกินขนมข้าวโพดทอดกรอบ Paqui รสเผ็ดจัด ที่ปรุงรสด้วยพริกแคโรไลนา รีเปอร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ตามแคมเปญโฆษณาเชิญชวนของแบรนด์ 'One Chip Challenge'

สื่อท้องถิ่นในสหรัฐ รายงานว่า แฮริส โวโลบาห์ ได้เข้าร่วมท้าประลองชิมขนมดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ที่โรงเรียนในช่วงเช้า แต่พอคาบบ่าย เขาต้องโทรกลับบ้านไปบอกแม่ว่าเขาปวดท้องอย่างรุนแรง จนถึงขั้นหมดสติในเวลาต่อมา ทางโรงเรียนต้องรีบพาตัวส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทันกาล สุดท้าย แฮริส โวโลบาห์ ก็เสียชีวิตลงในช่วงเย็นวันนั้นเอง

แม้ว่าจะยังไม่มีการสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ แต่ทางครอบครัวเชื่อว่าเกิดจากการที่ลูกชายร่วมแคมเปญท้าประลองกินแผ่นข้าวโพดรสเผ็ดจัดนี้อย่างแน่นอน อันเป็นเหตุให้เกิดกระแสเรียกร้องให้แบนขนมยี่ห้อดังทั่วสหรัฐ และหลายห้างดังทั้ง Amazon eBay และร้านค้าปลีก สั่งเก็บสินค้าออกจากชั้นวาง และช่องทางจำหน่ายบนหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว

Paqui เป็นแบรนด์ขนมอบกรอบประเภทแผ่นข้าวโพดตอร์ติญ่า ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ Hershey ผู้ผลิตขนมหวานชื่อดัง ต่อมาได้ผลิตแผ่นข้าวโพดรสเผ็ดจัด ที่ผสมพริกแคโรไลนา รีเปอร์ และ พริกนากา ไวเปอร์ ที่เผ็ดติดอันดับโลก มารวมกัน สร้างรสชาติที่เผ็ดอย่างร้อนแรงที่ไม่สามารถกินเพื่อความอร่อยได้เลย

แต่ทว่าทางบริษัทกลับใช้เทคนิคการตลาด สร้างแคมเปญท้าทายผู้บริโภค ประลองความอึดด้วยการกิน Paqui รสเผ็ดจัดในคราวเดียวโดยไม่มีการดื่มน้ำ หรืออาหารอย่างอื่นที่ช่วยลดทอนความเผ็ด ว่าจะสามารถกินได้หมดซองคนเดียวหรือไม่

ต่อมามีการสร้างกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน Tiktok มีวัยรุ่นอเมริกันแชร์คลิปปฏิกิริยาหลังได้ลองชิมขนมรสเผ็ดร้อนแรงกันเป็นจำนวนมาก ที่สนับสนุนการขาย Paqui ได้อย่างแพร่หลาย แม้จะมีคำเตือนบนหน้าซอง และเว็บไซต์ของทางบริษัทว่าแคมเปญนี้สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ก็มีเด็ก และวัยรุ่นจำนวนไม่น้อย ที่แข่งกินขนมผสมพริกที่ได้ชื่อว่าเผ็ดที่สุดในโลก เพื่อสร้างคอนเทนท์ลงโซเชียล

จนมีข่าวการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ หลังการกินขนมผสมพริกเผ็ดจัด ที่อาจทำให้ชาวอเมริกันเริ่มฉุกคิดถึงการทำการตลาดเชิงท้าทายเพื่อหวังกระแส และยอดขาย โดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของผู้บริโภค

ซึ่งอันตรายที่เกิดจากการกินพริกที่มีระดับความเผ็ดมากๆ อย่างพริกแคโรไลนารีเปอร์ ที่มีระดับความเผ็ด 1,569,300 สโกวิลล์ สูงกว่าพริกขี้หนูของไทยถึง 15 เท่า นอกจากจะมีผลเสียต่อกระเพาะอาหารและลำไส้แล้ว ยังพบว่าอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง จนถึงภาวะหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจหดตัวและภาวะหัวใจวาย ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ส่วนบ้านเรา แม้ Paqui จะยังไม่มีขายในไทย แต่ก็มีมันฝรั่งทอดกรอบ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศที่มีส่วนผสมของพริกที่มีความเผ็ดร้อนแรงมีจำหน่ายอยู่ทั่วไป ที่ผู้บริโภคควรใช้ความระมัดระวังในการลิ้มลอง

แม้คนไทยจะได้ชื่อว่านิยมอาหารรสเผ็ด แต่พริกที่เผ็ดระดับ พริกแคโรไลนา รีเปอร์, นากา ไวเปอร์ หรือแม้แต่ Ghost Pepper ที่เริ่มแพร่หลายในไทย ล้วนมีระดับความเผ็ดเกิน 1 ล้านสโกวิลล์ นับว่ามีอันตราย ไม่ควรรับประทานจำนวนมากในคราวเดียว แม้จะเป็นเซียนอาหารเผ็ดแค่ไหนก็ตาม  

‘เศรษฐา’ ให้กำลังใจนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย หวังให้ผ่านรอบคัดเลือกโอลิมปิก ยัน!! รบ.พร้อมสนับสนุนเต็มที่

(11 ก.ย. 66) ที่ห้องรับรองพิเศษ 205 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบโอวาทนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุด ‘คัดโอลิมปิก 2024’ โดยมีนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย นายสมชาย ดอนไพรยอด ผู้จัดการทีม นายดนัย ศรีวัชรเมธากุล หรือโค้ชด่วน หัวหน้าผู้ฝึกสอนกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย นำคณะนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงฯ เข้าพบรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรี กล่าวให้โอวาทพร้อมให้กำลังใจนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ว่า ได้ติดตามให้กำลังใจมาโดยตลอด ขอให้ทุกคนภูมิใจกับความสำเร็จและรางวัลที่ได้รับจากความทุ่มเท จากความสามารถของทุกคน ซึ่งนอกจากรางวัลที่ได้รับแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความสุขสร้างรอยยิ้มให้กับคนไทยทั้งประเทศ พร้อมกับกล่าวอวยพรให้นักกีฬามีสุขภาพแข็งแรง รักษาสุขภาพ อย่ามีอาการบาดเจ็บ จะได้ทำหน้าที่ในฐานะทีมชาติไทยได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังให้นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยผ่านรอบคัดเลือก ได้เข้าไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก 2024 ตามที่ทุกคนคาดหวัง โดยในส่วนของรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ และกำชับให้ดูแลด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อช่วยเรื่องศักยภาพสร้างความเข้มแข็งให้นักกีฬาด้วย

สำหรับการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงโอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 16 - 24 กันยายน 2566 ณ ประเทศโปแลนด์ โดยทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่ม ซี ร่วมกับประเทศโปแลนด์ (เจ้าภาพ) โคลอมเบีย เยอรมนี อิตาลี สโลวีเนีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยพร้อมผู้ฝึกสอนจะออกเดินทางไปร่วมแข่งขันฯ ในวันที่ 12 กันยายน 2566 นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top