Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

‘จุรินทร์’ ลุยเชืยงใหม่ ประชุมช่วยชาวไร่กระเทียมภาคเหนือ "เชิงรุก" นำเกษตรกร-ผู้ค้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากิโลละ 13.50 บาท นำตลาดสูงกว่าราคาตกเขียวปัจจุบัน มุ่งพัฒนากระเทียมไทยเป็นกระเทียมที่มีคุณภาพ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประชุมวางแผนเชิงรุกรองรับการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร (กระเทียม) ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในภาพรวมผลผลิตกระเทียมในแต่ละปีจะมีประมาณ 80,000 ตัน คิดเป็นกระเทียมสด 230,000 ตัน บริโภคภายในประเทศ 170,000 ตัน จึงนำเข้าประมาณ 60,000 ตัน การนำเข้าเป็นไปตามข้อตกลง WTO โดยกำหนดเงื่อนไขต่างๆ และมีภาษีนำเข้าร้อยละ 57

ปัญหาที่เกิดขึ้นกระทรวงพาณิชย์เป็นห่วงว่าผู้ปลูกกระเทียมจะได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะมีข่าวว่ามีการตกเขียวกระเทียมสดล่วงหน้าในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งคิดว่าเป็นราคาที่ต่ำ เกษตรกรควรได้ราคาดีกว่านี้

กระเทียมกำลังจะออกมากในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม จึงประชุมแก้ปัญหาเชิงรุกล่วงหน้า โดยกรมการค้าภายในประสานงานกับทีมเซลล์แมนจังหวัดที่พาณิชย์ ร่วมกับภาคเอกชนจัดให้มีการเจรจาซื้อขายกระเทียมสดล่วงหน้าในราคาที่คิดว่าเป็นธรรม 8 สัญญา มีภาคเอกชน 8 บริษัทเป็นผู้ซื้อและกลุ่มเกษตรกร 8 กลุ่มเป็นผู้ขายในราคากระเทียมสดกิโลกรัมละ 13.50 บาท เป็นราคาชี้นำตลาดในฤดูกาลผลิตนี้

" ให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดร่วมกับภาคเอกชนและทุกฝ่ายทำสัญญาเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้เกษตรกรชาวไร่กระเทียมขายกระเทียมได้ในราคาที่เป็นธรรมมากขึ้นกว่าราคาตกเขียวที่กิโลกรัมละ 8 บาท และกำหนดมาตรการเสริมในช่วงที่กระเทียมออกมาก มีมาตรการชะลอขาย ถ้าเกษตรกรผู้รวบรวมกระเทียมหรือสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรชะลอขาย กระทรวงพาณิชย์จะมีวงเงินช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ผู้รวบรวมกระเทียม ประมาณ 6 เดือน เมื่อราคาดีค่อยขายช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3

และมาตรการทางกฎหมายให้มีการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดโดยเฉพาะปัญหาการลักลอบการนำเข้ากระเทียมจากต่างประเทศ วันนี้มีการสั่งการให้กรมศุลกากร ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเคร่งครัดการแก้ปัญหาลักลอบการนำเข้า จะนำเรื่องนี้ไปเรียนให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร ให้ท่านนายกได้สั่งการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง แก้ปัญหาการลักลอบนำเข้ากระเทียมต่อไป เข้มงวดการออกใบอนุญาตนำเข้ากระเทียม ให้มีการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของกระเทียมที่นำเข้า เข้มงวดการตรวจสอบการขนย้าย หากตรวจพบจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรการระยะยาวที่กระทรวงเกษตรฯ จะเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาพันธุ์กระเทียม ให้กระเทียมไทยเป็นกระเทียมที่มีคุณภาพ เรียกว่า “ใหญ่ ง่าย ดี“ กลีบใหญ่ แกะง่าย และมีคุณภาพดี รสชาติดี และเร่งรัดการส่งเสริมการปลูกกระเทียมออร์แกนนิคและเปิดตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ส่งเสริมการนำกระเทียมไปสร้างนวัตกรรมทางอาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าโดยเร่งรัดให้ อย. ออกใบอนุญาตให้กับนวัตกรรมเหล่านี้ต่อไป" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ศบค.ชุดเล็ก จ่อปูพรม ตรวจเชิงรุก กทม.-มหาชัย เพิ่มขึ้น สั่งเข้มเว้นระยะห่าง หวั่นติดเชื้อ 1 คน เสี่ยงสูงต่อครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน ย้ำปัจจัยเสี่ยงในที่ทำงานคือ การนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ศูนย์ปฏิบัติการบริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) หรือ ศบค. ชุดเล็ก ที่มีพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. เป็นประธานการประชุม ว่า ในวันนี้ได้หารือกันในเรื่องหลักการ ซึ่ง พล.อ.ณัฐพล ก็ได้เห็นด้วยในหลักการ

อย่างไรก็ตามต้องดูข้อมูลรายละเอียดในสัปดาห์หน้า เพื่อดูว่าข้อมูลมีความสอดคล้องกับแนวโน้มที่เราคิดไว้หรือไม่ ถ้าสอดคล้องกัน ก็แสดงว่าสถานการณ์ดีขึ้น แต่เหลือจุดที่เราต้องให้ความสำคัญคือ ที่จ.สมุทรสาคร และที่ประชุมก็เน้นหนักไปที่จ.สมุทรสาคร ส่วนมาตรการที่เราจะผ่อนคลายต่างๆ ก็ต้องดูสถานการณ์สัปดาห์หน้าเช่นกัน

เมื่อถามว่า มีแนวโน้มว่าจะเปิดตลาดกลางกุ้ง ที่จ.สมุทรสาคร หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า แนวทางที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. มอบมาคือ พยายามยึดหลักของการแพทย์ และสาธารณสุขเป็นหลัก และที่ประชุมก็เห็นพ้องต้องกันว่า น่าจะมีการเพิ่มมาตรการต่างๆ เข้าไป เพื่อให้สถานการณ์ที่ดีขึ้นอยู่แล้ว ดีขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งหลังจากนี้ก็จะมีการกำหนดมาตรการเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า มีแนวโน้มว่าจะคลายล็อก จ.สมุทรสาคร ด้วยใช่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนนี้ก็ต้องดูข้อมูลของสัปดาห์หน้าอีกครั้ง ที่จะมีมาตรการตรวจปูพรมเพิ่มขึ้น รวมทั้งให้ทางเอกชน และโรงงานต่างๆ มาร่วมด้วยช่วยกันมากขึ้น

เมื่อถามว่า สถานการณ์ในพื้นที่กทม. ยังมีความกังวลอยู่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า จากข้อมูลที่นำมาเสนอในที่ประชุมวันนี้ พบว่าสถานการณ์ในกทม. ยังค่อนข้างคงตัว อยู่ในระดับที่เราค่อนข้างพอใจ อย่างไรก็ตามพื้นที่กทม. ที่เป็นพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ก็จะมีการตรวจพื้นที่เชิงรุกมากขึ้นเช่นเดียวกัน

สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เรื่องการตรวจอย่างเดียว แต่ต้องมีความร่วมมือของประชาชนด้วย เช่น เรื่องการเว้นระยะห่างก็ต้องมีเพิ่มเติม โดยจุดที่เราเห็นเป็นปัญหาของ กทม. คือ เมื่อมีคนติดเชื้อ 1 คน คนในครอบครัวจะเป็นกลุ่มเสี่ยง และเพื่อนร่วมงานในที่ทำงาน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงในที่ทำงานคือ การนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน ดังนั้น แต่ละองค์กรจะต้องจัดพื้นที่ให้กับเจ้าหน้าที่ และพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกันหลายๆ คน เพราะเป็นจุดเสี่ยงที่เราเห็นได้ค่อนข้างชัด

‘ราเมศ’ มั่นใจ รมต.พรรค สุจริตในการทำงาน เตรียมทีมรองรับ หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือพาดพิง เชื่อทุกคนมีผลงานประจักษ์ในการทำงานให้กับประชาชน ย้ำเรื่องผู้ว่าฯ กทม. อย่ากังวลยังไม่ถึงเวลา พรรคเดินเครื่องมาเป็นเวลานานแล้ว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า

พรรคติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และได้มีการเตรียมทีมงานเพื่อรองรับ หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรค หรือมีการพาดพิง ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายค้านจะยื่นไม่ไว้วางใจมีรัฐมนตรีคนใดบ้างที่อยู่ในโผของฝ่ายค้าน แต่ไม่ได้มีความกังวล เพราะเชื่อในการทำงานของรัฐมนตรีของพรรค ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญทุกคนมีผลงานประจักษ์ในการทำงานให้กับประชาชน

นายราเมศกล่าวต่อว่า ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลตามกลไกของระบบประชาธิปไตย เป็นความสวยงามในระบบประชาธิปไตย ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องชี้แจง จะผิดปกติหากฝ่ายค้านไม่ตรวจสอบใด ๆ เลย ข้อมูลในการตรวจสอบสำคัญที่สุด

ส่วนการเลือกตั้ง ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ต้องเรียนว่า อย่ากังวลยังไม่ถึงเวลา โดยเฉพาะคนในพรรคมีอะไรก็ควรพูดในพรรคถามในพรรค จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 28 มกราคม 2564 นี้ก็สามารถสอบถามพูดคุยกันได้ และที่ผ่านมาพรรคได้เดินเครื่องเรื่องผู้ว่าฯ กทม. มาเป็นเวลานานแล้ว

โดยเฉพาะการจัดเตรียมนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของพี่น้องชาว กทม. รองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบ กทม. ได้ทำงานอย่างเต็มรูปแบบมานานแล้ว เกือบทุกสัปดาห์จะมีการประชุมและลงพื้นที่กันโดยตลอด พรรคมีระบบการทำงาน นโยบายที่คิดทำเพื่อประโยชน์กับพี่น้อง กทม.

สำคัญที่สุด คนที่จะลงผู้ว่าในนามพรรคขณะนี้อาจจะอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลาก็ได้ ถ้าเปิดตัวคนแรกแล้วชนะเลยเช่นนั้นต้องรีบ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องย้อนกลับมาดูการทำงานจริง ๆ ของพรรค เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ยังทำงานอยู่ในทุกพื้นที่ กทม. ไม่ใช่เห็นคนอื่นเปิดแล้วต้องรีบเปิดตัว เพื่อไทย ก้าวไกล พลังประชารัฐ หรือพรรคไหนที่เปิดตัวแล้ว

ขอย้ำว่าพรรคให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. ทั้งผู้ว่าฯ และ ส.ก. เราเป็นพรรคการเมืองแรกที่ยื่นแก้กฎหมาย เพื่อทวงคืน ส.ข.สมาชิกสภาเขต ให้กับประชาชน

เกษตรกร มีเฮ ! หลัง ‘รมช.เกษตรฯ’ เผย จีนไฟเขียวให้ไทยใช้แนวทางองค์การอนามัยโลก ส่งออก “ทุเรียน” ยัน ! ไม่สะดุด หลังมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยต่อกรณีการส่งออกทุเรียนไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้มีการสั่งการให้นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับตัวแทนของประเทศจีนเพื่อสร้างความมั่นใจการส่งออกทุเรียนไปจีนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัส “โควิด-19“ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของไทย และจะเริ่มมีการเตรียมการส่งออกตั้งแต่เดือน ก.พ. ถึง พ.ค. 2564

ทั้งนี้ให้นำข้อกังวลของนายกสมาคมทุเรียนไทยมาประกอบการหารือเพื่อช่วยกันรักษาตลาดส่งออกทุเรียนของไทย ซึ่งแต่ละปีจะมียอดส่งออกไปจีนมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท และมีเกษตรกรรวมถึงผู้ที่อยู่ในระบบธุรกิจจนถึงส่งออกรวมแล้วกว่า 140,000 ครัวเรือน

“กระทรวงเกษตรฯ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวน และผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน ข้อหารือที่ออกมาคาดว่าจะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นสินค้าส่งออกของไทยได้ เพราะได้หารือกับหน่วยงานรับผิดชอบของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งไทยยืนยันว่าจะรักษาระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานเพื่อรักษาชื่อเสียงของทุเรียนไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคจีนทั้งคุณภาพ และความปลอดภัยในทุเรียนของไทย” รมช.เกษตรฯกล่าว

ด้าน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร (กวก.) กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้ร่วมหารือกับผู้แทนของสำนักศุลกากร (GACC) ของจีนเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา

ฝ่ายจีนแจ้งว่ารัฐบาลได้ยกระดับมาตรการควบคุมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ปนเปื้อนในสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยจะมีการสุ่มตรวจสินค้าอย่างเข้มงวดและต้องดำเนินมาตรการการฆ่าเชื้อสำหรับอาหารที่ขนส่งโดยควบคุมอุณภูมิ (Cold Chain) ตั้งแต่ด่านศุลกากร การขนส่ง การกระจายสินค้า และการจำหน่าย

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายจีนดำเนินการกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ทั้งนี้จีนชื่นชมระบบการจัดการส่งออกผลไม้ของไทยว่ามีประสิทธิภาพมาก และมีความปลอดภัยสูง โดยตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ไม่เคยตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในบรรจุภัณฑ์และสินค้าผลไม้จากไทย

ซึ่งทางฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าภาครัฐ และภาคเอกชนของไทยได้ร่วมผนึกกำลังที่จะดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมเพื่อให้สินค้าไทยมีความปลอดภัยควบคู่ไปกับคุณภาพที่ดี

ในโอกาสนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และ มกอช. ได้นำเสนอมาตรการการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกระบวนการผลิต และคัดบรรจุผลไม้เพื่อการส่งออกตามแนวทางในการจัดการความปลอดภัยอาหารในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขององค์การอาหาร และการเกษตรแห่งสหประชาชาติ( FAO ) และองค์การอนามัยโลก(WHO)

ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติให้กับหน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการผลิตอาหารในการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอาหาร และป้องกันการปนเปื้อนอาหาร เช่น การควบคุมกระบวนการผลิต วิธีการฆ่าเชื้อ และการสร้างความตระหนักให้พนักงานเพื่อป้องกันโรค เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของจีน และจีนขอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนาในสินค้าผลไม้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภายในสัปดาห์หน้า ไทยจะมีหนังสือแจ้งมาตรการการป้องกันไวรัสโคโรนา-19 ตามมาตรฐาน FAO และ WHO ที่จะให้โรงคัดบรรจุของไทยปฏิบัติไปยัง GACC เพื่อทราบ รวมถึงแจ้งประชาสัมพันธ์ให้โรงงานผลิตและเกษตรกรและประชาชนผู้บริโภคทั้งไทย และต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจ และความเชื่อมั่นทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ

สำหรับสาระสำคัญแนวทางการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กับความปลอดภัยสำหรับธุรกิจอาหาร ที่ FAO และ WHO แนะนำนั้น จะเน้นที่ระบบการจัดการความปลอดภัยอาหารเพื่อป้องกันการปนเปื้อนโดยจัดการความเสี่ยง และควบคุมจุดวิกฤตนอกเหนือจากการปฏิบัติตามโปรแกรมพื้นฐานด้านสุขลักษณะ ความเหมาะสมต่อการทำงาน การทำความสะอาด การฆ่าเชื้อ การแยกพื้นที่การผลิต การควบคุมผู้ส่งมอบ การเก็บรักษา และตลอดสายการผลิต

นอกจากนั้น กำหนดให้มีการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบ หรือทีมที่พิจารณาว่า อาจมีความเสี่ยงหรือต้องมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ โดยขอคำแนะนำจากหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยด้านอาหาร มีการจัดการสุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากผู้ปฏิบัติงานที่จะนำไวรัสปนเปื้อนสู่อาหาร และบรรจุภัณฑ์ มีการฝึกอบรมพนักงาน การทบทวนการฝึกอบรมพนักงาน กำหนดให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น หน้ากากอนามัย และถุงมืออย่างเหมาะสม มีการเว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนพนักงานที่อยู่ในพื้นที่การผลิต

ลดการปฏิสัมพันธ์ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามัยอย่างเพียงพอ รวมถึงการทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับอาหารต้องหมั่นสังเกตตัวเอง หากมีอาการบ่งชี้ว่าอาจได้รับเชื้อ ไม่ควรมาทำงาน และดำเนินการตามมาตรการลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อทันที นายพิเชษฐ์ กล่าว

‘รมว.คมนาคม’ สั่งด่วน!! ทางหลวงเร่งตรวจสอบ-ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั่งร้านทรุด ขณะเทคอนกรีตบริเวณโครงการก่อสร้าง ทล.290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมาด้านเหนือตอน 2 พร้อมกำชับมาตรการความปลอดภัยทุกโครงการก่อสร้าง

จากกรณีเกิดอุบัติเหตุบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 205 ตอน โคกสวาย - แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 1 ที่ กม.217+500 โดยเกิดเหตุนั่งร้านทรุดตัวขณะกำลังดำเนินการเทคอนกรีตโครงสร้างพื้นส่วนบนของสะพานยกระดับคู่ขนานกับทางสายหลัก ส่วนที่ข้าม ทล.205 มุ่งหน้าโนนไทย ช่วงพื้นสะพานระหว่างคาน RA5-RA6 (1 ช่วง)

กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงที่ 10 (นครราชสีมา) และสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ โดยสภาพทางจุดตัดทางหลวงหมายเลข 205 และทางหลวงวงแหวนหมายเลข 290 ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวจราจรไม่มีหลุมบ่อ มีไฟฟ้าแสงสว่าง และการจราจรสามารถผ่านได้ปกติ เนื่องจากจุดโครงสร้างทรุดตัวไม่ได้อยู่ในช่องทางจราจรทางหลวงหมายเลข 205

และจากการตรวจสอบไม่มีทรัพย์สินของราชการเสียหาย ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน แบ่งเป็น ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 4 คน เป็นชาวกัมพูชา 7 คน พม่า 1 คน และคนไทย 1 คน ผู้บาดเจ็บขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และไม่มีผู้เสียชีวิต

สำหรับโครงการฯ 290 ตอน วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 มีกิจการร่วมค้า สี่แสง – โชคชัยเป็นผู้รับจ้าง เริ่มต้นสัญญาวันที่ 23 มกราคม 2561 ค่างานก่อสร้าง 1,400,998,295 บาท

ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน สำหรับแนวทางในการดำเนินการแก้ไข ทางโครงการฯ ได้ให้ทางผู้รับจ้างดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างนั่งร้าน และเศษวัสดุออกจากจุดเกิดเหตุโดยเร่งด่วน และให้เยียวยาผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บ พร้อมทั้งได้ประชุมวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

สำหรับในส่วนของแรงงานชาวกัมพูชา และแรงงานชาวพม่า เป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานกับทางโครงการฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้อยู่ในโครงการมาตั้งแต่ปี 2561 ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด อีกทั้งในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ทางโครงการยังไม่มีการรับแรงงานต่างด้าวมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด

พร้อมกันนี้ได้แจ้งให้ทราบบัญชาจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กำชับมาตรการความปลอดภัยระหว่างก่อสร้าง และเข็มงวดเต็มที่ ในทุกโครงการก่อสร้าง และให้ความช่วยเหลือดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

‘กูเกิล’ ขู่เลิกฟังก์ชันสืบค้นข้อมูลในออสเตรเลีย หากถูกบีบให้จ่ายค่าคอนเทนท์สื่อ หลังรัฐบาลออสเตรเลีย เสนอร่างกฎหมาย Media Code ให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ จ่ายค่าคอนเทนท์สื่อท้องถิ่น เมื่อเดือนก่อน

บริษัท กูเกิล อิงค์ ประกาศว่า กูเกิลจะยกเลิกฟังก์ชันการสืบค้นข้อมูลในออสเตรเลีย หากรัฐบาลออสเตรเลียบังคับใช้กฎหมาย Media Code ซึ่งเป็นการบีบให้กูเกิลและเฟซบุ๊ก ต้องจ่ายเงินให้กับบรรดาบริษัทสื่อท้องถิ่น เมื่อมีการนำคอนเทนท์ของสื่อเหล่านั้นไปใช้

ขณะนี้ ทางรัฐบาลออสเตรเลียกำลังเร่งอนุมัติกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจะทำให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างๆ ต้องเจรจาเรื่องการจ่ายเงินให้กับบรรดาสำนักข่าวและสถานีโทรทัศน์ในท้องถิ่นเมื่อมีการนำคอนเทนท์ของสื่อเหล่านั้นไปใช้

ทั้งนี้ หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ คณะอนุญาโตตุลาการของรัฐบาลออสเตรเลียจะเข้ามาเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดราคา

รัฐบาลออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมาย Media Code ในเดือนที่แล้ว หลังจากมีการตรวจสอบพบว่า กูเกิลซึ่งเป็นบริษัทลูกของอัลฟาเบท และโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก มีอำนาจทางการตลาดมากเกินไปในอุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปด้วยดีในออสเตรเลีย

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกูเกิลครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงข้อพิพาทที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่มีรายงานว่า รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมออกกฎหมายที่จะบังคับให้เฟซบุ๊กและกูเกิลจ่ายค่าคอนเทนต์ข่าวให้กับธุรกิจสื่อ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่รัฐบาลมีคำสั่งในลักษณะดังกล่าว

‘บิ๊กตู่’ ไฟเขียว เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 แต่ต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. ให้ถูกต้องก่อน ชี้ต้องผ่านเกณฑ์ 3 ด้าน ‘คุณภาพ -ความปลอดภัย – ประสิทธิผล’ เล็งระดมผู้เชี่ยวชาญร่วมพิจารณา เพื่ออนุมัติวัคซีนเร็วที่สุด

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยขอให้ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนวัคซีนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ถูกต้อง

ทั้งนี้ อย. จะพิจารณาตรวจสอบวัคซีนที่จะขอนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ซึ่งจะต้องได้รับการประเมินก่อนนำไปใช้จริง โดยทาง อย.จะประเมินทั้งในด้านคุณภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านประสิทธิผลของวัคซีน ว่าเหมาะสมกับคนไทย โดยผู้ที่ต้องการขึ้นทะเบียนจะต้องแสดงข้อมูลเอกสารหลักฐานเพื่อประเมินคุณสมบัติของวัคซีนทั้ง 3 ด้านดังกล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า โดย อย. ได้ปรับการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่ ด้วยการระดมเพิ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกมาร่วมพิจารณา เพื่อให้สามารถอนุมัติวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด แต่ยังคงไม่สามารถผ่อนคลายกฎเกณฑ์หรือลดหย่อนการกำกับดูแล เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน

“การจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 นี้ ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ภายใต้สถานการณ์ที่มีความต้องการใช้สูงทั่วโลก อีกทั้งวัคซีนที่มีอยู่ เพิ่งเสร็จจากงานวิจัยเข้าสู่กระบวนการผลิตของแต่ละบริษัท ดังนั้น การนำเข้าวัคซีนต้องมั่นใจว่าเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพมาตรฐาน และมีประสิทธิผล เนื่องจากวัคซีนที่ อย. รับขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ที่จะต้องมีระบบการกำกับติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้อย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว

‘ขนส่งทางบก’ ขานรับนโยบาย รมว.คมนาคม คุมเข้ม!!! รถบรรทุกและรถโดยสารควันดำ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ชี้หากพบค่าควันดำเกินกฎหมายกำหนด ปรับสูงสุด 5,000 บาท ห้ามใช้รถจนกว่าจะแก้ไขและนำเข้าตรวจสภาพ เดินหน้าสนับสนุนการใช้รถพลังงานสะอาดและรถพลังงานไฟฟ้า

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการลดปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน พร้อมให้ติดตามผลการดำเนินการแก้ไขตามข้อสั่งการที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามแผนที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งเข้มงวดการตรวจสภาพรถบรรทุกและรถโดยสาร ณ กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ตามมาตรฐานการตรวจสภาพรถที่กำหนดไว้ และออกตรวจวัดควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 จุด และบนถนนสายหลักและสายรองที่เข้าสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ และกองบังคับการตำรวจจราจร ตรวจสอบควันดำรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ณ เขตการเดินรถ และบริเวณที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูง โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

หากพบรถโดยสารหรือรถบรรทุกที่มีค่าควันดำเกินกำหนด เปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถทันที จนกว่าจะดำเนินการแก้ไขและผ่านการตรวจสภาพกับสำนักงานขนส่ง จึงจะนำรถกลับไปใช้งานได้ สำหรับผลดำเนินการตรวจสอบควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงปัจจุบัน (21 มกราคม 2564) ตรวจรถแล้วจำนวนทั้งสิ้น 689,333 คัน พบรถที่มีค่าควันดำเกินกำหนดและพ่นห้ามใช้ จำนวน 8,762 คัน สำหรับรถที่ค่าควันดำไม่เกินกำหนด แต่อยู่ในระดับสูง จะออกหนังสือแนะนำให้หมั่นตรวจสอบดูแลสภาพรถไม่ให้เกิดควันดำ หากตรวจพบบนท้องถนนจะลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ขยายการให้บริการตรวจสภาพรถพร้อมรับชำระภาษีรถประจำปี สำหรับรถโดยสารและรถบรรทุกตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ณ สถานีขนส่งสินค้าชานเมือง (พุทธมณฑล ร่มเกล้า และคลองหลวง) เพื่อลดจำนวนรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เกิดจากภาคขนส่งมีความยั่งยืน กรมการขนส่งทางบกได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดการตรวจสภาพรถยนต์ของสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) โดยควบคุมการดำเนินงานแบบเรียลไทม์ผ่านกล้อง CCTV เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่ทางราชการกำหนด และมีแผนที่จะยกระดับเครื่องมือตรวจวัดควันดำของสถานตรวจสภาพรถเอกชนให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสรถบรรทุกและรถโดยสารควันดำทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง, Line@: @1584DLT Facebook: 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ https://www.facebook.com/dlt1584/ แอปพลิเคชัน DLT GPS

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก ยังได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ด้วยการตรวจสอบสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเองเพื่อให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่มีควันดำ รวมถึงสนับสนุนให้หันมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดและไม่ก่อมลพิษเพิ่มมากขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ NGV ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้ลดอัตราภาษีรถประจำปี ต่ำกว่า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อร่วมสนับสนุนลดมลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผยภาพถ่ายจระเข้ขนาดใหญ่ ขึ้นมานอนอาบแดดบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรี คาดเป็นจระเข้น้ำจืดหายากใกล้สูญพันธุ์ของไทย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ดูแลอารักขา เพราะเป็นพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ช่วงเวลาดีๆ ของธรรมชาติ!!

แม้ว่าประเทศไทยจะยังอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิดระบาด แต่ทว่าธรรมชาติเริ่มกลับมาสมบูรณ์ ล่าสุดเพจเฟสบุ๊กอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park ได้เปิดเผยภาพจากกล้องดักถ่ายสัตว์ป่า (Camera Trap) ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) ขึ้นมานอนอาบแดด

ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีที่พบเจอสัตว์ป่าที่หายากมากในธรรมชาติและกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คือ จระเข้สายพันธุ์ไทยดั้งเดิม นั่นเพราะจระเข้พันธุ์นี้หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติประมาณ 20 ตัวเท่านั้น

สำหรับจุดที่พบ อยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี เหนือบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย ยืนยันสถานะภาพ ยังคงอยู่ได้ ไม่ได้พบภาพใหม่มานานและยืนยันได้มากกว่าหนึ่งตัว ที่บันทึกภาพได้ จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทางเพจฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จระเข้น้ำจืด, จระเข้บึง, จระเข้สยาม หรือ จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) มีถิ่นกำเนิดในบริเวณประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม กาลีมันตัน ชวา และสุมาตรา จัดเป็นจระเข้ขนาดปานกลางค่อนมาทางใหญ่ (3–4 เมตร) มีเกล็ดท้ายทอด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10–12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20–48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68-85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว

โดยปกติจระเข้น้ำจืดจะกินปลาและสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ ในอดีตในประเทศไทยเคยพบชุกชุมในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่จระเข้ชุม เคยมีรายงานว่าพบจระเข้ถึง 200 ตัว หรือในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ เช่น ไกรทอง ของจังหวัดพิจิตร เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว

แต่ในต่างประเทศยังคงพบอยู่เช่นที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะทิวเขาพนมกระวาน ซึ่งช่วงแรกค้นพบเพียง 3 ตัว จนนำไปสู่การค้นพบจระเข้นับร้อยตัวที่อาศัยโดยไม่พึ่งพาอาศัยมนุษย์ แต่ที่นี่ก็ประสบปัญหาการจับจระเข้ไปขายฟาร์มจำนวนมาก[2] สถานะในอนุสัญญาของไซเตสได้ขึ้นบัญชีจระเข้น้ำจืดไว้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix 1)

ปัจจุบัน จระเข้สายพันธุ์นี้แท้ ๆ ก็ยังหายากในสถานที่เลี้ยง เนื่องจากถูกผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นจนเสียสายพันธุ์แท้ไปด้วยจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ

ด้านนายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี กล่าวว่า ชุดลาดตระเวนของอุทยานออกลาดตระเวนบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำบางกลอย พบร่องรอยจระเข้ จึงทำการติดตั้งกล้องไว้กว่าเดือน พอย้อนกลับไปตรวจสอบภาพดู ปรากฏว่าเจอจระเข้น้ำจืดกำลังขึ้นมาอาบแดด เป็นขนาดใหญ่สมบูรณ์มาก นอกจากนี้ยังเตรียมส่งกำลังเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลอารักขา เนื่องจากเป็นชนิดพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ที่มา : เพจ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park

 

สวนดุสิตโพล เผย ‘10 ความสุขยุคโควิด-19’ พบ สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ รองลงมาคือ ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ‘10 ความสุขในยุคโควิด-19’ กลุ่มตัวอย่าง 1,136 คน สำรวจวันที่ 15 – 22 มกราคม 2564 พบว่า สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือ

อันดับ 1 ได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ 86.92%

อันดับ 2 ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง 75.22%

อันดับ 3 ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเร่งรีบ 56.10%

อันดับ 4 ได้ออกกำลังกายหันมาดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น 29.81%

อันดับ 5 การปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ ได้พัฒนาทักษะเทคโนโลยี 13.46%

อันดับ 6 ยังมีงานทำ ยังไม่ถูกเลิกจ้าง 13.08%

อันดับ 7 รถไม่ค่อยติด เดินทางสะดวก 10.44%

อันดับ 8 บุคลากรทางการแพทย์ของไทยทำงานได้ดี 8.18%

อันดับ 9 ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย 5.03%

อันดับ 10 ทรัพยากรธรรมชาติได้พัก เป็นการฟื้นฟู 1.89%

จากผลการสำรวจ พบว่า ในความทุกข์ที่เกิดจากโควิด-19 นี้ ประชาชนก็ยังมีความรู้สึกสุขใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านเวลา ทั้งการให้เวลากับตนเอง การให้เวลากับครอบครัว เงื่อนไขเรื่องเวลานี้ทำให้ผู้คนได้มีโอกาสในการคิดพิจารณาและทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้ทำมากขึ้น อีกทั้งยังได้พัฒนาตนเองในด้านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เรียกได้ว่าต้องขอบคุณโควิด-19 ที่ทำให้คนไทยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองมากขึ้น

ในทุกสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น แม้มีปัญหามีความทุกข์แต่ก็มีสิ่งที่ดี ๆ และมีสิ่งที่เป็นความสุขเกิดขึ้นอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้น การปรับทัศนคติ การปรับมุมมองหรือการคิดเชิงบวกจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่ามองที่ปัญหาแต่ให้เลือกมองโอกาสที่เกิดขึ้น จากปัญหานั้น ๆ เช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยและคนทั้งโลก ซึ่งประเด็นปัญหาและความทุกข์ที่มีอยู่นี้ เราทุกคนรู้และสัมผัสได้อยู่แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top