Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

ก.พลังงาน เผยข้อพิพาทรื้อถอนแท่นปิโตรเลียม ‘เอราวัณ-บงกช’ ได้ข้อยุติ หลังผู้รับสัมปทานยอมคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการและจะไม่ฟ้องร้องอีก

ตามมติจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ได้รับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน เสนอรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานเกี่ยวกับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ กรณีบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และมิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งปรากฏว่ากระบวนการเจรจาเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณและกรณีบริษัท โททาล เอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ ได้ข้อยุติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้กรณีข้อพิพาทด้านกฎหมายการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมทั้งของแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช ได้ข้อยุติทั้ง 2 กรณี หลังจากที่มีการหารือและดำเนินกระบวนการทางกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง

โดยรายละเอียดของการรื้อถอนสิ่งติดตั้งฯ ของแหล่งเอราวัณ คือตามสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2515/5 และเลขที่ 2/2515/6 แหล่งเอราวัณ เมื่อสิ้นสุดอายุสัมปทานในปี 2565 ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบสิ่งติดตั้งให้แก่รัฐเพื่อใช้ประโยชน์ต่อในกิจการปิโตรเลียม จำนวน 159 รายการ และต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งติดตั้ง ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ จำนวน 52 รายการ และตามสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 5/2515/9 และเลขที่ 3/2515/7แหล่งบงกช เมื่อสิ้นสุดสัมปทานในปี 2565 และปี 2566 ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบสิ่งติดตั้งให้แก่รัฐ จำนวน 66 รายการ และต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ จำนวน 4 รายการ

ทั้งนี้ กรณีเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียม ของแหล่งเอราวัณและบงกชเกิดขึ้นเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2562-2563 จากการที่บริษัทผู้รับสัมปทาน ได้แก่ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และมิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ และบริษัท โททาล เอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช ได้ยื่นข้อเรียกร้องและนำคดี เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ในประเด็นที่เห็นต่างกรณีกระทรวงพลังงานออกกฎหมายเกี่ยวกับการรื้อถอน สิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม ซึ่งกำหนดหน้าที่ให้ผู้รับสัมปทานต้องวางหลักประกันการรื้อถอนและร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนบางส่วนของสิ่งติดตั้งภายหลังสัมปทานปิโตรเลียมสิ้นสุดลง ในปี 2565 - 2566 

โดยตลอดระยะเวลาการพิจารณาคดีนั้น ฝ่ายไทยได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทั้งในและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกระบวนการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งคู่กรณีมีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติอย่างฉันท์มิตร จนสามารถยุติข้อพิพาทได้ โดยในกรณีของบริษัท โททาล เอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ ได้มีการเพิกถอนข้อพิพาทเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 และกระทรวงพลังงานได้นำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567 

สำหรับกรณีของบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด และมิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดตามยอมเป็นที่พอใจและยอมรับของทุกฝ่าย และจำหน่ายคดีออกจากสารบบ โดยผู้รับสัมปทานได้ยอมรับปฏิบัติตามคำชี้ขาดตามยอมและไม่นำข้อเรียกร้องกลับมาฟ้องร้องอีก ผลของคำชี้ขาดตามยอมดังกล่าวเป็นไปตามหลักการของกฎหมายและภาครัฐไม่เสียประโยชน์ พร้อมทั้งผู้รับสัมปทานได้รับผิดชอบดำเนินการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่รัฐไม่ได้รับมอบภายใต้การกำกับดูแลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติตามกฎหมายเกี่ยวกับการรื้อถอนมาอย่างต่อเนื่อง 

ผลของการยุติข้อพิพาทในครั้งนี้ส่งผลให้ข้อเรียกร้องทั้งสองคดีถูกเพิกถอนโดยถาวร โดยที่รัฐไม่เสียประโยชน์ และเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับภาคเอกชนสำหรับการลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างต่อเนื่อง  นับว่าเป็นการบรรลุข้อตกลงซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งการดำเนินงานรื้อถอนของผู้รับสัมปทาน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตปิโตรเลียมของผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตปัจจุบันด้วย

‘แม็คเกรเกอร์’ ลั่นพร้อมชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีไอร์แลนด์ ชูจุดยืนต้านข้อตกลงผู้อพยพ EU

(21 มี.ค. 68) คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ (Conor McGregor) อดีตนักสู้ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (UFC) เจ้าของฉายา ‘ไอ้หมาบ้า’ ประกาศสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีการเมืองไอร์แลนด์ ด้วยการเปิดตัวลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมชูจุดยืนที่ชัดเจนต่อต้านข้อตกลงผู้อพยพฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป (EU)

แม็คเกรเกอร์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมในไอร์แลนด์มาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในฐานะนักกีฬาชื่อดัง แต่ยังเป็นบุคคลที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมและการเมือง โดยเขาประกาศว่า จะยืนหยัดเพื่อ “อธิปไตยของชาติ” และปกป้องไอร์แลนด์จากนโยบายที่เขามองว่าอาจเป็นภาระเกินไปสำหรับประเทศ

“เราต้องควบคุมอนาคตของเราเอง ไอร์แลนด์ต้องตัดสินใจเรื่องผู้อพยพด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้บรัสเซลส์ (สื่อถึง EU) เป็นผู้กำหนด” แม็คเกรเกอร์กล่าวในการแถลงข่าวเปิดตัว

ทั้งนี้ ข้อตกลงใหม่ของ EU ที่อดีตนักสู้วัย 36 ปี คัดค้านนั้น คือการกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรับภาระพิจารณาคำร้องขอลี้ภัยจากผู้อพยพ หรือหากปฏิเสธ ต้องมีส่วนร่วมในโครงการให้เงินสนับสนุนแทน ซึ่งแม็คเกรเกอร์มองว่าเป็นการบังคับให้ไอร์แลนด์ต้องแบกรับภาระเกินความจำเป็น

แม้ว่ายังไม่มีความชัดเจนว่าเส้นทางทางการเมืองของแม็คเกรเกอร์จะดำเนินไปในทิศทางใด แต่การลงสมัครของเขาสร้างความฮือฮาในวงการเมือง และทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า อดีตนักสู้ UFC รายนี้จะสามารถเปลี่ยนเวทีมวยเป็นเวทีการเมืองได้สำเร็จหรือไม่

สำหรับ ​คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ เป็นนักศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) ชาวไอริชที่มีชื่อเสียงระดับโลก พ่วงสถิติการต่อสู้ตลอดชีพ ชนะ 22 ครั้ง แพ้ 6 ครั้ง ซึ่งเจ้าตัวประกาศแขวนนวมไปแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2020

ดีกรีแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวท (Featherweight) ของ UFC และ แชมป์รุ่นไลต์เวท (Lightweight) ในสถาบันเดียวกัน ส่วนไฟต์ที่น่าจดจำคือ การเอาชนะ โชเซ่ อัลโด้ (José Aldo) ในเวลาเพียง 13 วินาที ในศึก UFC 194 ซึ่งถือเป็นการชนะที่เร็วที่สุดในการชิงแชมป์ และการคว้าแชมป์รุ่นไลต์เวทด้วยการเอาชนะ เอ็ดดี้ อัลวาเรซ (Eddie Alvarez) ในศึก UFC 205 ทำให้เขาเป็นนักสู้คนแรกที่ครองแชมป์สองรุ่นน้ำหนักของ UFC พร้อมกัน

นอกจากนี้ แม็คเกรเกอร์ยังเคยเข้าร่วมการแข่งขันมวยสากลกับ ‘เดอะมันนี่’ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ (Floyd Mayweather Jr.) สุดยอดนักมวยชาวอเมริกันในปี 2017 แม้ว่าเขาจะแพ้ด้วยการถูกน็อกเอาต์ทางเทคนิค (TKO) แต่แมตช์นี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อและแฟนๆ ทั่วโลก

‘ผู้บริหาร SPUTNIK’ ชี้ AI เป็นความท้าทายใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางอุตสาหกรรมสื่อที่ต้องปรับตัวตอบโจทย์ผู้บริโภค

นายวาซิลี พุชคอฟ ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK กล่าวในงานสัมมนา THE FUTURE JOURNALISM 2025 'AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่' ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย, สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย และวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนของทั้ง 2 ประเทศ ว่า ปัจจุบัน บริบทของอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน กำลังเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่สื่อยักษ์ใหญ่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในอนาคตอันใกล้นี้ 

อีกทั้ง อยู่ที่ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสื่อ ที่จะกำหนดทิศทางว่าจะเป็นไปอย่างไร เพราะไม่ว่าประเทศไหนในโลกไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย หรือสหรัฐ อเมริกา ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนในยุคที่ผ่านมานั้น จะใช้วิธีให้ผู้สื่อข่าวส่งข่าวเข้ามาสู่ถังข่าว หรือการซื้อข่าวจากสำนักข่าวต่าง เพื่อนำมาเสนอต่อ ซึ่งปัจจุบันวิธีการแบบนี้เริ่มไม่เป็นที่นิยม เพราะขาดทุน จากต้นทุนที่ซื้อขึ้น และไม่มีใครอยากจะซื้อข่าวกันแล้ว ดังนั้นการจะจ้างบุคลากรผลิตข่าวจากทั่วโลกจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปและแน่นอนว่า วิชาชีพสื่อสารมวลชนจึงไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป โดยเห็นได้จากการที่สำนักข่าวหลายแห่งในระดับโลกที่ปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ SPUTNIK เป็นสำนักข่าวที่รัฐให้เงินทุนสนับสนุน เพราะต้องยอมรับว่า ในศตวรรษที่ 21 นี้ เป็นเรื่องยากที่จะหาเงินทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากรัฐ ในขณะเดียวกัน ก็มีเทคโนโลยีใหม่ในการติดตามข่าวไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์หรือโทรศัพท์มือถือ 

ทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทาง SPUTNIK ได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากในการลงทุนพัฒนาสื่อในช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือโทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบ Mobile Application เพื่อให้บริการถึง 30 ภาษา

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พัฒนาสื่อช่องทางออนไลน์มาหลายปี จึงได้พบข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครที่จะติดตามสื่อออนไลน์ รวมถึงการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำนักข่าวไว้ในมือถือ ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันทั่วโลกที่ไม่พึ่งการหาข่าวจากช่องทางนี้ช่องทางเดียวอีกแล้ว

“กล่าวได้ว่า เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยสำหรับ SPUTNIK ที่ลงทุนไปกับการพัฒนา Mobile Application และการพัฒนาเว็บไซต์ เพราะไม่มีใครใช้ตามที่ประเมินไว้ ส่วนช่องทางโซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า โซเชียลมีเดียก็มีเจ้าของแพลตฟอร์มซึ่งก็เป็นเรื่องของธุรกิจ จึงไม่มีความเป็นอิสระในการนำเสนอข่าวสาร เพราะต้องยึดตามกฎที่เจ้าของแพลตฟอร์มนั้นๆ ตั้งไว้”

นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 21 นี้ เทคโนโลยี AI ยังได้สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มช่างภาพ ดีไซน์ และแปลข่าว ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถทำหน้าที่แทนได้แล้วในระดับหนึ่ง 

และหากมองถึงในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร เทียบประเทศไทยกับรัสเซีย จะเห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง ดังที่เห็นได้จากการยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่ ในขณะที่ในมอสโกแทบจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางขายแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดที่สำนักพิมพ์เกือบทั้งหมดยุติการพิมพ์ไปแล้ว

หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ก็แทบจะไม่ดูกันแล้วในรัสเซีย อาจจะมีเพียงกลุ่มผู้สูงวัยเท่านั้นที่ยังคงดูข่าวผ่านโทรทัศน์อยู่ โดยหันมาใช้โปรแกรม Telegram ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างแพร่หลาย ซึ่งสื่อในประเทศรัสเซียทุกรายจะต้องมีช่องทาง Telegram ไม่เช่นนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่บนสารบบสื่อ 

เพราะฉะนั้น ในวงการสื่อสารมวลชนแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน และอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุนใหม่ๆ ในวงการสื่อ หรือแม้แต่การลงทุนด้าน Ai ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะสามารถตอบโจทย์ในแง่ของการนำเสนอข่าวได้หรือ ไม่อีกทั้งยังพบว่า AI เป็นความท้าทายและมีปัญหาอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการใช้ทำข่าวปลอม ซึ่งหลาย ๆ ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ ๆ แต่หากมองในแง่ร้าย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งนี้กำลังจะทำลายวงการสื่อสารมวลชนได้เช่นเดียวกัน

“สำหรับในส่วนของการนำเสนอข่าวของ SPUTNIK นั้น จะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะนำเสนอข่าวออกไป โดยยึดมั่นในข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบรรณาธิการข่าวแต่ละคนจะต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้ เพื่อป้องกันการนำเสนอข่าวปลอมที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ และจะต้องไม่รับฟังแค่ข่าวด้านเดียว ต้องฟังอย่างรอบด้านก่อนจะนำเสนอออกไป เพราะบางครั้งข่าวที่ได้รับมานั้นก็ไม่ใช่ข่าวปลอมไปทั้งหมด แต่เป็นการหยิบเอามานำเสนอในมุมของสื่อนั้นๆ มากกว่า เช่น สื่อรัสเซียนำเสนอในแง่มุมนี้ ส่วนสื่อตะวันตกหรือสหรัฐฯ อาจจะเสนอในมุมที่แตกต่างกันไป ในข่าวชิ้นเดียวกันนั้น เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่า เทคโนโลยี AI อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่ออย่างหนัก แต่เชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์เหนือกว่า ก็คือการปรับตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้เป็นอย่างดีมาตลอดนั่นเอง”

ญี่ปุ่นประกาศยังคงมีความมุ่งมั่นในการกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แม้วอชิงตัน อาจปรับแผนการขยายกำลังทหารเพื่อลดค่าใช้จ่าย

(21 มี.ค. 68) ญี่ปุ่นประกาศยังคงมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แม้จะมีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจยกเลิกแผนขยายกำลังทหารสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น เพื่อประหยัดงบประมาณราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33.64 พันล้านบาท)

เก็น นากาทานิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น แถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (21 มีนาคม) ว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” ในแผนความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ได้ตกลงกันระหว่างการพบปะของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศว่า “เราจำเป็นต้องทุ่มเทมากขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพันธมิตร” ซึ่งถือเป็นท่าทีที่ชัดเจนของรัฐบาลญี่ปุ่น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐฯ

การแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกแสดงความกังวลเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ต่อพันธมิตรในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงยืนหยัดในการรักษาความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงระดับภูมิภาคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ทางการโตเกียวกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมระบุว่า “ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ และจะยังคงทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค”

ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจยกเลิกแผนการขยายกำลังทหารในญี่ปุ่น อาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาก 

โดยเฉพาะในช่วงที่จีนกำลังเพิ่มกิจกรรมทางทหารในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ รวมถึงในช่วงที่เกาหลีเหนือยังคงทดสอบขีปนาวุธ ทำให้การตัดสินใจของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพ และดุลอำนาจในภูมิภาคนี้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว และยังคงเดินหน้ากระชับความร่วมมือทางทหารกับวอชิงตันต่อไป

ผบช.ภ.2 ชมเชย รอง ผกก.สืบ พนัสนิคม เป็นผู้นำทุ่มเทจับคนร้ายจนบาดเจ็บ เยี่ยมให้กำลังใจ ยกย่องเป็นแบบอย่าง

เมื่อวันที่ (20 มี.ค.68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เยี่ยมให้กำลังใจ พ.ต.ท.ภัทรธน เจริญผล รอง ผกก.สส.สภ.พนัสนิคม จว.ชลบุรี ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ไล่ติดตามคนร้ายคดีฆ่าผู้อื่น รักษาตัว ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี โดย ผบช.ภ.2 ได้มอบเงินช่วยเหลือจากกองทุน police award และมอบกระเช้าเยี่ยมไข้เป็นการให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ชื่นชมที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นผู้นำ เสียสละทุ่มเทจนสามารถจับกุมคนร้ายได้

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 เวลา ประมาณ 21.00 น. พ.ต.ท.ภัทรธน ได้ติดตามผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่น จนสามารถจับผู้ต้องหาได้ แต่เนื่องจากสภาพที่เกิดเหตุเป็นที่มืดมาก ทำให้ พ.ต.ท.ภัทรธนฯ ลื่นล้มได้รับบาดเจ็บ ขาซ้ายหัก 1 ท่อน เส้นเอ็นขาด และ เบ้าข้อเท้าหลุด โดยคดีนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน (19 มีนาคม 2568) มีผู้พบชายได้รับบาดเจ็บ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ตำบลนามะตูม อ.พนัสนิคม และเสียชีวิตในเวลาต่อมา พ.ต.ท.ภัทรธน นำกำลังฝ่ายสืบสวนสืบทราบตัวผู้ก่อเหตุคือนายดอก (นามสมมติ) จึงติดตามจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนยาวประดิษฐ์เอง ดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ชมเชยและขอบคุณ พ.ต.ท.ภัทรธน ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อจับกุมคนร้าย เป็นแบบอย่างของการทำหน้าที่ตำรวจ ด้วยความทุ่มเท อย่างไม่เกรงกลัวภัย และขอให้หายจากอาการบาดเจ็บเป็นปกติโดยเร็ว

กองทัพเรือไทย ส่งหมู่เรือฝึก Blue Strike 2025 กระชับความร่วมมือทางทหารกับจีน

พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีส่งหมู่เรือฝึก Blue Strike 2025 ณ เรือหลวงอ่างทอง ท่าเรือแหลมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นาวาเอก บุญเกิด มูลละกัน ผู้บังคับหน่วยฝึกนาวิกโยธิน ร่วมให้การต้อนรับ

การฝึกผสม Blue Strike 2025 เป็นการฝึกทวิภาคีระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน จัดขึ้น ณ เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึง 10 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ มุ่งเน้นการฝึกปฏิบัติการผสมระดับยุทธวิธีทางเรือและนาวิกโยธิน

หมู่เรือฝึกของไทยประกอบด้วย เรือหลวงอ่างทอง กำลังพลนาวิกโยธิน และนักเรียนนายเรือชั้นใหม่ การฝึกในครั้งนี้จะครอบคลุมการฝึกหลากหลายรูปแบบ อาทิ การฝึกแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Cross Training Exercise: CTX) การฝึกแลกเปลี่ยนผู้ชำนาญการเฉพาะทาง (Subject Matter Expert Exchange: SMEE) และการฝึกปฏิบัติการร่วมในทะเล โดยเฉพาะการบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief: HADR) ทั้งในท่าและในทะเล

การเข้าร่วมการฝึกผสม Blue Strike 2025 เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับมิตรประเทศ และพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สนับสนุนค่าพาหนะ และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร ในโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 173 จังหวัดบุรีรัมย์

(21 มี.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่ มอบค่าพาหนะ พร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค  ประกอบด้วย ข้าวสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูป ขนม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ครีมอาบน้ำ โลชั่นทากันยุง ทิชชูเปียก ทิชชูแห้ง และถุงขยะ ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่าง อาสาสมัคร และทหารผ่านศึก ที่เข้าร่วมโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 173 รวมจำนวน 280 คน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 285,600 บาท (สองแสนแปดหมื่นห้าพันหกร้อยบาทถ้วน) โดยมี นายจำเริญ แหวนเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายแพทย์ชาญชัย พจมานวิพุธ นายแพทย์ชำนาญการ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ร่วมในพิธี ณ โดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์

การสนับสนุนโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ให้การสนับสนุน อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่การดำเนินการครั้งที่ 165 รวม 9 จังหวัด คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการฝึกเรือกรรเชียงและการประเมินการฝึกทหารราบ ทหารใหม่ ผลัด 4/67

เมื่อวันที่ (19 มี.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ร.อ.พิจิตต  ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะฯ ตรวจเยี่ยมการฝึกเรือกรรเชียงและการประเมินการฝึกทหารราบ โดยมี น.อ.ทิวา  อ่อนลออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และ น.อ.ยุทธนา  ชูธงชัย ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.รร.ชุมพลฯ ยศ.ทร.) ให้การต้อนรับ ณ ท่าเรือโรงเรียนชุมพลฯ ยศ.ทร. อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวให้โอวาทแก่นักเรียนพลกองประจําการและผู้เข้ารับการฝึกเรือกรรเชียง ณ บริเวณท่าเรือโรงเรียนชุมพลฯ ยศ.ทร. โดยมีใจความสำคัญว่า “…การฝึกความเป็นชาวเรือ ที่ต้องมีความอดทน ความสามัคคี เสมือนการสร้างเหล็กในคน…”  จากนั้น ผช.ผบ.ทร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมการประเมินการฝึกทหารราบบริเวณลานสวนสนาม ศฝท.ยศ.ทร. เพื่อตรวจสอบการจัดการฝึกอบรมทหารใหม่ของ ศฝท.ยศ.ทร. ในฐานะหน่วยฝึกทหารกองประจําการสังกัดกองทัพเรือ

พร้อมตรวจดูความเรียบร้อยในการฝึกให้เป็นไปตามมาตรฐานของการฝึกอบรม มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกต้องและสอดคล้องกับนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2568 ในเรื่องของ Navy-Safety 2025 ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรมที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา และผู้เข้ารับการฝึกต้องไม่ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสีย 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงนามคำสั่งแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และคณะทำงานโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

(21 มี.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 177/2568 แต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และคณะทำงานโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ดังนี้

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เป็น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เป็น รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (1) 
พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เป็น รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2)

ทั้งนี้ เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่การปฏิบัติหน้าที่ราชการในภาพรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพี่น้องประชาชน

หนุ่มใหญ่ได้หัวใจใหม่ ตามหาครอบครัวผู้บริจาคจนพบ หอบพานไปกราบพ่อ ซาบซึ้งที่ให้โอกาสได้ใช้ชีวิตต่อ

หนุ่มใหญ่ได้หัวใจใหม่ ตามหา 'เจ้าของ' หัวใจดวงที่ 110 จนพบกับครอบครัวของผู้บริจาคหัวใจ 'ซาบซึ้งที่ให้โอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป'

(21 มี.ค. 68) โลกออนไลน์ได้แชร์ เรื่องราวจากผู้ใช้ TikTok ชื่อ 'pu.somchai ปูฟร้องซ์โฟน มหาชัย' ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ โดยได้รับหัวใจบริจาคมา ซึ่งเจ้าตัว ได้ติดตามสืบหาจนทราบว่า หัวใจดวงใหม่ที่เต้นอยู่ในร่างกายของตัวเองตอนนี้ เป็นของน้องผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า 'น้องอู๋'

โดยคลิปที่เป็นไวรัลคือคลิปที่เจ้าตัวเดินทางไปที่บ้านของน้องอู๋ นำพานไปกราบคุณพ่อของน้องอู๋ ผู้ที่ช่วยส่งต่อชีวิตให้กับผู้โพสต์ ได้ใช้ชีวิตต่อไป มีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นคลิปนี้เป็นจำนวนมาก หลายคนสงสัยว่า ปกติการบริจาคอวัยวะน่าจะเป็นความลับ ว่าเจ้าของเดิมเป็นใคร บริจาคให้ใคร บางคน บอกว่าสามารถทำได้ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงกันได้  ขณะที่เจ้าของโพสต์ยืนยันว่า ตนสืบทราบจนรู้ด้วยตัวเอง เพื่ออยากจะมาขอบคุณครอบครัวของคนที่มอบชีวิตที่สองให้กับเขา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top