Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

สตม.รวบฟิลิปปินส์สองผัวเมีย หนีหมายจับคดีหลอกลงทุนกว่า 150 หมาย ซุกไทย

(19 มี.ค. 68) บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ ประจำประเทศไทย ขอความร่วมมือ  ให้ช่วยตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายกับ Mr.Cerrone (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี และ Mrs.Marve (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี สองสามี-ภรรยา สัญชาติฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของทางการฟิลิปปินส์ และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากล ได้ออกประกาศสีแดง  (Interpol Red Notice) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงรูปแบบเครือข่ายหลอกให้ลงทุน” โดยมีผู้เสียหายจำนวนมาก เป็นเหตุให้ถูกหมายจับรวมกันกว่า 150 หมาย และได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ในเบื้องต้น ผบก.สส.สตม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์ของบุคคลต่างด้าวทั้งสองมีเหตุอันควรให้ เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศ ได้ออกหมายจับ จึงเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พร้อมกับขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และสั่งการให้ กก.2 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหาตัว ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่า Mr.Cerrone และ Mrs.Marve ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.ชะอำ จว.เพชรบุรี จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งพบบุคคลทั้งสอง จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จากการสอบถาม Mr.Cerrone และ Mrs.Marve ให้การว่า ทั้งสองคนเป็นประธานบริษัทการลงทุนแห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการระดมทุน กระทั่งมีปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก และภายหลังได้ถูกออกหมายจับ จึงได้พาครอบครัวหลบหนีมายังประเทศไทย สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด   ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่มอบเอกสารจัดที่ดินให้ชาวสุพรรณ 65 ราย เดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี มอบเอกสารจัดที่ดินให้ชาวบ้านไร้ที่ทำกิน 65 ราย ขับเคลื่อนนโยบายบริหารที่ดินของรัฐอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน

เมื่อวันที่ (19 มี.ค. 68)  ที่ศาลาการเปรียญวัดวังยาว ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานมอบเอกสารการจัดที่ดินในพื้นที่ป่าองค์พระ ป่าเขาพุระกำ และป่าเขาห้วยพลู ให้แก่ผู้ขอรับการจัดที่ดินตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม เนื้อที่ 557 ไร่ จำนวน 65 ราย โดยมี นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ปลัดจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หัวหน้าสำนักงานจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอด่านช้าง อปท. อบต. ผู้นำชุมชน และประชาชน ร่วมพิธี

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต รายได้ที่ไม่มั่นคง รัฐบาลจึงมีนโยบายในการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยมีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ในการขับเคลื่อนมาตรการและแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ และบูรณาการการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ ให้เป็นเอกภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนของพี่น้องประชาชน ซึ่งจังหวัดสุพรรณบุรีมีการบูรณาการการทำงานของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ตลอดจนการบูรณาการขับเคลื่อนงานร่วมกัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความสุข และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ดี การมอบเอกสารสิทธิในครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงการบริหารจัดการที่ดินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด  และถือเป็นอีกความสำเร็จในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเดือดร้อนไร้ที่ทำกินใน อ.ด่านช้าง ซึ่งนายพีระพันธุ์ได้กำกับและติดตามการแก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2565  ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ ตามคำสั่งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยนายพีระพันธุ์ได้ประสานขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องหาแนวทางผ่อนปรน แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคทำให้การดำเนินการจัดสรรที่ดินล่าช้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าพื้นที่ทำกินโดยเร็ว โดยเฉพาะการเร่งรัดขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ และการกำหนดแปลงที่ดินเพื่อจัดสรรตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล

จับขบวนการจัดหาบัญชีม้าให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์

บัญชีม้าถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะใช้บัญชีม้าสำหรับรับโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวง บัญชีม้าจะมีอายุไม่เกิน 5 วันจะถูกอายัด แก๊งคอลเซ็นเตอร์จึงต้องจัดหาบัญชีม้าใหม่เข้ามาอยู่ในความควบคุมเพื่อสแกนหน้ารับโอนและโอนเงินต่อไปยังเงินคริปโตเคอเรนซี่

สืบสวนภาค 2 ได้สืบทราบขบวนการจัดหาบัญชีม้าผ่านโซเชี่ยลมีเดีย จึงได้ให้สายลับติดต่อรับจ้างเปิดบัญชีโดยจะได้รับค่าตอบแทนบัญชีละ 4,000 บาท ต่อมาเมื่อ 19 มีนาคม 2568 เมื่อสายลับตอบตกลงได้มีหนึ่งในขบวนการโทรศัพท์ติดต่อสายลับและขับรถมารับที่ย่าน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตามที่นัดหมาย โดยผู้ขับรถได้รับหญิงบัญชีม้าอีกคนหนึ่งมาด้วยแล้วพาตระเวนเปิดบัญชีม้าตามธนาคารต่าง ๆ คนละ 4 บัญชี จากนั้นได้พาเดินทางไปยัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อส่งบัญชีม้าให้กับคนท้องถิ่นพาข้ามแดนไปยังเมืองปอยเปต กัมพูชา เพื่อสแกนหน้าให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามรถคันนี้มาตลอด จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น.รถได้จอดที่บริเวณศูนย์การค้าอินโดจีน เพื่อรอคนท้องถิ่นมารับพาข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าแสดงตัวตรวจสอบและจับกุม พบนายเดชฯขอสงวนนามสกุลเป็นผู้ขับรถ พบสายลับและบัญชีม้าชื่อน.ส.พัชรีฯขอสงวนนามสกุล รวมบัญชีม้า 2 คน อยู่ในรถ พบในตัวน.ส.พัชรีฯมีบัญชีธนาคารออมสิน 2 บัญชี กรุงไทย และกสิกรไทย รวม 4 บัญชี เปิดบัญชีเมื่อ 19 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในขบวนการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ สอบถามให้การยอมรับว่ารับจ้างเปิดบัญชีเหล่านี้ให้ผู้อื่นโดยได้รับค่าตอบแทน โดยนายเดชฯเป็นผู้นำพาไปเปิดและจ่ายเงินค่าเปิดบัญชีให้ จึงจับกุมนายเดชฯในข้อหาเป็นธุระจัดหาบัญชีม้า จับกุมน.ส.พัชรีฯในข้อหาเปิดบัญชีม้าให้ผู้อื่น อันเป็นความผิดตาม พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566

ขอประชาสัมพันธ์ว่าบัญชีม้าถือเป็นส่วนหนึ่งในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการจัดหาบัญชีม้ามีความผิดข้อหาเป็นธุระจัดหาฯมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี ปรับ 500,000 บาท ผู้เปิดบัญชีม้ามีอัตราโทษ 3 ปี ปรับ 300,000 บาท ซึ่งที่ผ่านศาลลงโทษจำคุกเกือบทุกราย ขอให้ประชาชนอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งการจัดหาบัญชีม้า เป็นผู้เปิดบัญชีม้า หรือนำพาบัญชีม้าข้ามแดน  นอกจากนั้นหากบัญชีม้ามีเงินจากการฉ้อโกงหลอกลวงโอนเข้าบัญชีจะมีความผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชนอีกส่วนหนึ่งด้วย

‘เซเลนสกี’ ยกหูคุย ‘ทรัมป์’ 1 ชั่วโมง การสนทนาเป็นไปด้วยดี เชื่อสันติภาพเกิดขึ้นได้ในปีนี้

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเป็นที่เรียบร้อย โดยการสนทนาดังกล่าวเป็นไปด้วยดีและใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ว่า “การหารือส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการที่ผมได้สนทนากับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวานนี้ เพื่อทำให้ความต้องการของรัสเซียและยูเครนสอดคล้องกัน ซึ่งเรากำลังเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าว”

ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีได้กล่าวว่า เขาจะสนทนาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ จับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง 30 วันระหว่างรัสเซียและยูเครน

“เราเห็นชอบร่วมกันว่ายูเครนกับสหรัฐฯ ควรทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อบรรลุจุดจบที่แท้จริงของสงครามและสันติภาพที่ยั่งยืน” เซเลนสกี กล่าว “เราเชื่อว่าการร่วมมือกับอเมริกา กับประธานาธิบดีทรัมป์ และภายใต้การนำของอเมริกา จะนำพาสันติภาพที่ยั่งยืนที่สามารถเกิดขึ้นได้ในปีนี้”

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) โดยปูตินเห็นพ้องที่จะให้มีการหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในยูเครน

เซเลนสกีกล่าวว่า คำพูดของปูตินยังคงไม่เพียงพอ และยูเครนจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าในประเทศ เพื่อให้สหรัฐฯ และพันธมิตรช่วยจับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง

“ผมหวังว่าจะมีการควบคุมในเรื่องนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าควรจะมาจากสหรัฐฯ ขณะที่ยูเครนพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งถ้ารัสเซียไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของเรา เราก็จะไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของพวกเขา” เซเลนสกีกล่าว

การสนทนาระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะคารมกันในทำเนียบขาว ซึ่งการพูดคุยล่าสุดผู้นำทั้งสองต่างบอกว่าเป็นไปด้วยดี

นอกจากนี้ มีรายงานว่าทรัมป์และเซเลนสกีได้หารือเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสันติภาพ และโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าไปเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครน

หลายฝ่ายเฝ้าจับตามองการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์และปูตินที่เกิดขึ้นนานกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีได้ขอให้ทรัมป์สนับสนุนด้านการป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม เพื่อปกป้องจากการโจมตีของรัสเซีย โดยทรัมป์กล่าวว่าจะช่วยหาอุปกรณ์ทางทหารที่จำเป็น

อย่างไรก็ดี การสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาค

รัสเซียเปิดแผนผลิตลิเธียม 60,000 ตันภายในปี 2030 หนุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้า ลดการพึ่งพาต่างชาติ

(20 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติรัสเซียประกาศแผนผลิตลิเธียมคาร์บอเนตอย่างน้อย 60,000 เมตริกตันภายในปี 2030 เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้ากำลังสูงและลดการพึ่งพาการนำเข้า

ลิเธียมและแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ รวมถึงแร่หายาก (Rare Earth) ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เสนอทำข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครนและรัสเซีย เพื่อแข่งขันกับจีนที่ครองตลาดแร่หายากอยู่ในปัจจุบัน

รัสเซียมีแผนเปิดดำเนินการแหล่งลิเธียมสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ Kolmozerskoye, Polmostundrovskoye และ Tastygskoye ภายในปี 2030 เพื่อสนับสนุนการผลิตลิเธียมในประเทศ โดยในปี 2023 รัสเซียผลิตลิเธียมได้เพียง 27 ตัน ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองมรกต

“การผลิตลิเธียมในประเทศจะช่วยให้รัสเซียสามารถควบคุมต้นทุนและจัดหาวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดได้อย่างยั่งยืน” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติรัสเซีย กล่าว

อย่างที่ทราบกันดีว่า ความต้องการลิเธียมเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการพัฒนาแบตเตอรี่และยานพาหนะไฟฟ้า ส่งผลให้การผลิตลิเธียมในประเทศจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซีย

แผนดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลรัสเซียในการพัฒนา เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งจำเป็นต่อการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems - ESS)

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากรัสเซียสามารถเพิ่มกำลังผลิตลิเธียมได้ตามแผน จะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกและลดต้นทุนของแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการปฏิวัติพลังงานสะอาด

ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกลิเธียมรายใหญ่ที่สุดของโลก และครองอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม รัสเซียกำลังวางแผนเพิ่มขีดความสามารถในการแปรรูปและกลั่นแร่ลิเธียม เพื่อลดการพึ่งพาจีนและสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลก

แผนการผลิตลิเธียมของรัสเซียนี้มีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันด้านทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญระหว่างมหาอำนาจ โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเสนอข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครนและรัสเซีย เพื่อสกัดอิทธิพลของจีนในตลาดแร่หายาก

ทั้งนี้ รัฐบาลรัสเซียเตรียมออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพิ่มเติม รวมถึงการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาแหล่งทรัพยากรลิเธียมของประเทศ

รัฐบาลมาเลเซียจับมือ Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเล เริ่มค้นหาเครื่องบินที่สาบสูญรอบใหม่ มาเลเซียแอร์ไลน์ ‘MH370’

(20 มี.ค. 68) นายแอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศว่ารัฐบาลมาเลเซียได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท Ocean Infinity เพื่อเริ่มต้นปฏิบัติการค้นหาซากเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 อีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์หายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน ระหว่างเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่ง ถือเป็นหนึ่งในปริศนาการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยปฏิบัติการค้นหาก่อนหน้านี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเครื่องบินได้

Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเลจากสหรัฐฯ เคยได้รับมอบหมายให้ค้นหา MH370 ในปี 2018 โดยใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ใต้น้ำ (Autonomous Underwater Vehicles – AUVs) แม้จะมีความก้าวหน้าในการค้นหา แต่ก็ไม่พบซากเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและข้อมูลที่พัฒนาเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจเพิ่มโอกาสในการค้นพบซากเครื่องบินในครั้งนี้

“เราหวังว่าปฏิบัติการค้นหาใหม่จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และนำความจริงมาสู่ครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือที่รอคอยคำตอบมานานกว่าทศวรรษ” นายแอนโธนี โลค กล่าว

แม้รายละเอียดของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity จะยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด แต่นายโลคระบุว่า เงื่อนไขของสัญญาจะเป็นแบบ "No Find, No Fee" หมายความว่า Ocean Infinity จะได้รับค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อสามารถค้นพบซากของ MH370 เท่านั้น

รูปแบบข้อตกลงนี้เคยถูกนำมาใช้แล้วในภารกิจค้นหาเมื่อปี 2018 ซึ่ง Ocean Infinity ได้ทำการสำรวจพื้นที่มหาสมุทรอินเดียตอนใต้กว่า 112,000 ตารางกิโลเมตร แต่ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า การค้นหา MH370 ครั้งใหม่นี้อาจได้รับประโยชน์จาก ข้อมูลดาวเทียมและการวิเคราะห์กระแสน้ำในมหาสมุทรที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งอาจช่วยระบุพื้นที่ค้นหาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

“เรายังเชื่อว่า MH370 อยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ และเราหวังว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้การค้นหาประสบความสำเร็จ” โอลิเวอร์ พลังก์ (Oliver Plunkett) ซีอีโอของ Ocean Infinity กล่าว

ทั้งนี้ ครอบครัวของผู้สูญหายจาก MH370 ยังคงเฝ้ารอคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการค้นหาใหม่ในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการไขปริศนาที่ดำเนินมากว่าสิบปี รัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity คาดว่าจะเริ่มปฏิบัติการค้นหาในช่วงปลายปี 2024 นี้

ทรัมป์ขู่อิหร่าน หยุดหนุนฮูตี ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งคำเตือนถึงอิหร่าน ยุติการส่งอาวุธให้กลุ่มฮูตีโดยทันที รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในเยเมน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง 

“การโจมตีของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีจะเลวร้ายลงอีก และพวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง!” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจากกลุ่มฮูตีเปิดฉากโจมตีเรือสินค้าและเรือรบที่ผ่านทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่ออิสราเอลจากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นทางการค้าโลก

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสินค้า และย้ำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนกว่าฮูตีจะยุติการโจมตีในทะเลแดง

ทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนกลุ่มฮูตี และเตือนว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว อิหร่านจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง และส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการลดละความพยายามในการทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตี หากพวกเขายังคงคุกคามเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลก โดยหลายฝ่ายจับตาดูว่าคำเตือนของทรัมป์จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

วิบากกรรมของ ‘โรดรีโก ดูแตร์เต’ เผชิญหมายจับ ICC อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ชาติตะวันตกไม่ชอบ

(20 มี.ค. 68) เมื่อไม่นานมานี้ ฟิลิปปินส์กลับกลายเป็นข่าวดังทั่วโลก เมื่อ โรดรีโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ช่วงปี ค.ศ.2016–2022 ถูกจับกุมตามหมายจับของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผู้นำที่มีความขัดแย้งอย่างมากกับชาติตะวันตก

หมายจับนี้ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 และจับกุม ดูแตร์เต เมื่อเขากลับมาจากฮ่องกงในวันที่ 11 มีนาคม 2025 โดยข้อกล่าวหาที่ ICC ยื่นฟ้องนั้นเกี่ยวข้องกับการ ฆาตกรรม, ทรมาน และข่มขืน ที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2011 ถึง 16 มีนาคม 2019 ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ ICC แต่หมายจับถูกส่งผ่าน INTERPOL ทำให้เขากลายเป็นผู้นำฟิลิปปินส์คนแรกที่ต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ

ช่วงที่ ดูแตร์เต ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ริเริ่มนโยบายที่ทำให้เกิดการ ปราบปรามยาเสพติด อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน โดยที่รัฐบาลฟิลิปปินส์อ้างว่าเป็นการจัดการกับ ผู้ค้ายาเสพติด แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศในตะวันตกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งทำให้เขาต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก

ถึงแม้จะถูกวิจารณ์หนักจากนานาชาติ แต่ คะแนนความนิยมในประเทศ ของเขาก็ยังคงสูง โดยเฉพาะในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และจากการสนับสนุนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ซึ่งทำให้เขาดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคง

แม้ว่า มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ เคยประกาศว่า ฟิลิปปินส์จะไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน ICC แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ มาร์กอส จูเนียร์ ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนและตัดสินใจให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีต่อดูแตร์เต

การจับกุม ดูแตร์เต ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ทางการเมืองฟิลิปปินส์ เพราะเขาได้กลายเป็นผู้นำคนแรกจากเอเชียที่ถูก ศาลอาญาระหว่างประเทศ ฟ้อง โดยต้องถูกพิจารณาคดีในวันที่ 23 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญของการยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการสร้างความยุติธรรมในระดับสากล

พร้อททั้งส่งผลให้สะท้อนถึง การเผชิญหน้าระหว่างการเมืองภายในประเทศ และความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ก็ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ICC มีอำนาจในการดำเนินคดีแม้แต่กับผู้นำประเทศใหญ่ในเอเชีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจและอิทธิพลของผู้นำในอนาคต

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่เคยถูกขับไล่จากตำแหน่งและถูกกล่าวหาว่าทุจริตอย่างมโหฬาร จนมีทรัพย์สินมหาศาลกว่า 5,000-10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ 36 ปีต่อมา ลูกชายของเขา มาร์กอส จูเนียร์ กลับได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะที่ ดูแตร์เต ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่เกิดจากนโยบายของเขาเอง

อนาคตของ โรดรีโก ดูแตร์เต ดูเหมือนจะมีหลายคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้ ในขณะที่เขาเผชิญกับการพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ และประเทศฟิลิปปินส์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ

‘เพจข่าวชายแดนใต้’ ชี้ โชคดีที่พรรคส้มไม่เป็นรัฐบาล เหตุหวั่นใจ 3 จว.ชายแดนใต้อาจกลายเป็น ‘รัฐอิสระ’

(20 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก KNIGHTS BORDER โพสต์ข้อความว่า ถ้าวันนั้นส้มได้เป็นรัฐบาล เราอาจจะมี #รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยชื่อ รอมมาฏอน ปันจอร์ และ #รัฐมนตรีต่างประเทศชื่อ กัณวีร์ สืบแสง ... ตอนนั้นผมก็ลุ้นนะให้ตั้งให้สำเร็จเพราะไม่ได้ดูมาถึงเรื่อง 3 จว.ใต้ เชียร์พิธา อย่างเดียว 

ยอมรับตรงนี้ว่าเลือกส้มทั้งบ้านในวันนั้น พิธามาแถวบ้านหรือใกล้เคียง ขนกันไปทั้งบ้าน เพราะชื่นชม ชื่นชอบในตัวทิม ... และตอนนั้นก็ยังไม่เห็นนโยบายหาเสียงของพรรคเป็นธรรม โฟกัสชื่นชอบพิธาคนเดียว ผมเป็น 1 เสียงที่ทำให้ส้มยึดภูเก็ตทั้งเกาะ 

แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ สส.ทั้ง 3 คน ทำงานดี ประชาชนเข้าถึง เป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้านได้ ถึงแม้จะชอบโพสต์ลงเฟซบุ๊กเยอะไปหน่อย...

จริงๆ ไม่อยากจะพูดถึงพรรคการเมือง แต่แอบเสียดายว่าส้ม บางครั้งคัดคนเข้ามาในพรรคน่าจะดีกว่านี้  ... ถามว่า รอมมาฎอน ปันจอร์ จะได้เป็น สส.สมัยหน้าอีกหรือไม่ ตอบตรงนี้เลยว่าได้แน่ๆ เพราะส้มเขาต้องการคะแนนคนในพื้นที่จากนายคนนี้ และแกนนำพรรคก็ชื่นชอบรอมมาฏอน ปันจอร์ และก็คงได้ลำดับปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆเหมือนเดิม

แต่อยากจะฝากบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่า รอมมาฏอน มีดีพอที่คนจะให้คะแนน ลองส่งลง แบบสส.เขตดู ว่าจะได้หรือไม่...กล้าลองไหม ว่าเขามีฐานเสียงตามที่ได้ไปคุยไว้กับพรรคจริงหรือเปล่า ถ้ากล้าส่ง ผมก็กล้าแทงสวนเลยว่าสอบตก..ส่วน กัณวีร์ สืบแสง ก็ได้เป็น สส.อีกสมัยเช่นกัน เมื่อถึงวาระเลือกตั้ง เขาคิดแล้วว่ากระแสตัวกับนโยบายเริ่มโดนต่อต้าน ก็จะย้ายไปเข้าพรรคส้ม นั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ เลขตัวเดียวเช่นกัน

มาถึงวันนี้รู้สึกดีใจที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่งั้น 3 จว.ใต้ เสร็จได้เป็นเขตปกครองพิเศษหรืออาจจะไปถึงเขตปกครองตนเองโดยยังขึ้นตรงกับรัฐไทยแค่ทางกฎหมาย แต่ทางปฏิบัติคือรัฐอิสระ ถอนหายใจยาวๆ

ส่งออกชิปเกาหลีใต้ไปจีนร่วง 31.8% หลังสหรัฐคุมเข้มกฎส่งออกเทคโนโลยี

(20 มี.ค. 68) สื่อต่างประเทศรายงานว่า การส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ไปยังจีน ลดลง 31.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางแรงกดดันจากกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นต่อจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก

สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การชะลอตัวการส่งออกของไปจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ซึ่งทำให้ซัพพลายเชนชิปต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น

โดยสาเหตุหลักของการลดลงนี้มาจาก มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออกชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ส่งผลให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้า

ซึ่งจีนถือเป็น ตลาดนำเข้าชิปที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ การลดลงของยอดส่งออกจึงสะท้อนถึง ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนอย่างมาก

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากมาตรการของสหรัฐฯ ยังคงเข้มงวดขึ้น เกาหลีใต้อาจต้อง เร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจีน ในขณะที่จีนเองก็กำลัง พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณา แนวทางนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยอาจมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ หรือส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนโลก และมีแนวโน้มจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top