‘สตม.’ แกะรอยรวบ!! หนุ่มจีนแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุล สวมสัญชาติวานูอาตู ท้าทายระบบไบโอเมตริกซ์ สุดท้ายพบเป็นผู้ร้ายหนีคดียักยอกเงิน 1.1 หมื่นล้าน
(22 มี.ค. 68) จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิด ที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร หรือเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการ ตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง
โดยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สตม. มีการเรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวน หาข่าว หลังได้รับข้อมูลจากสายลับว่ามีเป้าหมาย บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนชื่อนายจางเหว่ย (นามสมมติ) ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือกระทำความผิดอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน หลังได้รับสั่งการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ได้นำข้อมูลโดยเฉพาะใบหน้าของเป้าหมายมาตรวจสอบกับฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์ พบความน่าสงสัยคือข้อมูลเชิงไบโอเมตริกซ์ของ features ต่างๆ ในใบหน้าของนายจางเหว่ย ไปสอดคล้องตรงกันกับ บุคคลต่างด้าวอีกคนหนึ่ง คือนายตู้หนาน สัญชาติวานูอาตู ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆในแถบโอเชียเนีย ชุดสืบสวนลงความเห็น ร่วมกันว่า นายจางเหว่ย กับนายตู้หนาน เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงได้แบ่งหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และมอนิเตอร์ระบบการแจ้งที่พักอาศัย และระบบการขอต่อวีซ่าของคนต่างด้าว ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดอนุญาต ของนายตู้หนาน ไม่พบว่ามีการยื่นคำร้องขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักรแต่อย่างใด นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังพบ ความเคลื่อนไหวโดยมีการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์ จึงนำกำลังไปตรวจสอบและเฝ้าสังเกตการณ์โดยกระจายกำลังบริเวณ โถงล็อบบี้และหน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่คนต่างด้าวระมัดระวังตัว และไม่ยอมลงจากห้องดังกล่าว แต่จะใช้วิธีสั่งอาหารขึ้นไป เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังในการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา
จนกระทั่งวันที่ 21 มี.ค. เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่พบบุคคลต่างด้าวรายหนึ่ง มีตำหนิรูปพรรณตรงกับที่สายลับให้ข้อมูล จึงแสดงตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง คนต่างด้าวซึ่งพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาจีน ให้การในเบื้องต้นว่าตนไม่ใช่คนจีน และหนังสือเดินทางของตนหาย ต่อมาให้การกลับไปมาว่าจริงๆแล้วตนเป็นคนสัญชาติวานูอาตู พร้อมแสดงรูปถ่ายหนังสือเดินทางวานูอาตู เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่าผู้ถูกจับชื่อ นาย ตู้หนาน อายุ 30 ปี สัญชาติวานูอาตู ประเภทวีซ่านักท่องเที่ยว (60 วัน) ปัจจุบันการอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบแล้ว และได้แจ้งให้ทราบถึงการถูกจับกุมแล้ว จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ถูกจับทำบันทึกจับกุมส่ง พงส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเกี่ยวกับหนังสือเดินทางวานูอาตูที่นายจางเหว่ย อ้างว่าทำหายไป เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานข้อมูลกับองค์กรบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ จนได้ข้อมูลยืนยันว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว เป็นบุคคลเดียวกับนายจางเหว่ย (นามสมมติ) บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2567 ได้ร่วมกับพวก ก่อคดียักยอกเงินจากบริษัทก่อสร้างชื่อดังในมณฑลซานตง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท จึงได้ใช้ระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ตรวจเปรียบเทียบ ผลการตรวจสอบพบเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่ง สตม.จะได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อนำตัวนายจางเหว่ยไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. บอกว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่อง มาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง และระบบไบโอเมตริกซ์ เป็นเครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมไปถึงเบาะแสสำคัญ จากการแจ้งของพี่ประชาชน จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการจับกุม คนร้ายข้ามชาติรายสำคัญที่หลบหนีคดี และใช้ประเทศไทยเป็นที่ซ่อนตัวในครั้งนี้
