Monday, 19 May 2025
NewsFeed

ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วม กสทช. เปิด “ยุทธการ อรัญ 68 Seal Border ระเบิดสะพานโจร Call center ทลายสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์” ปิดสวิตช์ซิมบ็อกซ์ ตัดเส้นเลือดใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์

(10 ก.พ.68) เวลา 10.00 น. ที่ สภ.คลองลึก อ.อรัญ จว.สระแก้ว ตำรวจภูธรภาค 2 (ภ.2) นำโดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง จตร.รรท.รอง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 (ผบก.สส.ภ.2) ร่วมกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำโดย นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เปิด “ยุทธการ อรัญ 68 Seal Border ระเบิดสะพานโจร Call center ทลายสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์” ตัดเส้นเลือดใหญ่ขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ร่วมกันตัดสัญญาณฯ ในจุดสำคัญแนวชายแดนอรัญประเทศ – ปอยเปต ประเทศกัมพูชา หลังข้อมูลการสืบสวนสอบสวนพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานฝั่งปอยเปตใช้สัญญาณโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตจากประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน “ยุทธการ อรัญ 68 Seal Border” ที่ตำรวจภาค 2 เปิดปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2568 กดดันจับกุมขบวนการนำพาคนลักลอบเข้าเมืองเพื่อเป็นแอดมินหลอกลวง และบัญชีม้า ซึ่งเป็นหัวใจของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ยุทธการอรัญ 68 ระเบิดสะพานโจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทลายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสัญญาณโทรศัพท์ เกิดจากความร่วมมือของตำรวจภูธรภาค 2 และ กสทช. ได้สืบทราบว่าที่ฝั่งปอยเปต เป็นศูนย์กลางแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพบว่ามีสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งสถานที่ สัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นของไทยถูกนำไปใช้ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในการหลอกลวงประชาชน ตำรวจภูธรภาค 2 จึงได้ประสานงานกับ กสทช. ดำเนินการ “ระเบิดสะพานโจร” ใน 2 ส่วนคือ อินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์

“จากการสืบสวนพบกลุ่มมิจฉาชีพใช้ซิมบ็อกซ์ และซิมบ็อกซ์ถูกนำมาติดตั้งอยู่ชายแดนฝั่งกัมพูชาในหลายจุด โดยซิมบ็อกซ์จะต้องมีสัญญาณ 2 ส่วน คือ 1.สัญญาณอินเทอร์เน็ต 2.สัญญาณโทรศัพท์ จึงจะนำอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์มาติดตั้งได้ เพื่อให้มีการควบคุมการโทรออกผ่านอินเทอร์เน็ตสั่งมาที่ซิมให้โทรออก โดยใช้สัญญาณโทรศัพท์ของไทยในการโทรหลอกลวงเหยื่อ” ผบช.ภ.2 กล่าว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ยุทธการอรัญ 68 Seal Border ระเบิดสะพานโจร Call center ทลายสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ ครั้งนี้ปฏิบัติการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสัญญาณโทรศัพท์ 3 จุด ชายแดนอรัญประเทศ - ปอตเปต คือ 1.สถานีรถไฟ  ตำบลอรัญประเทศ 2.เสาโทรศัพท์หลังตลาดเบญจวรรณ ตำบลป่าไร่ และ 3 เสาโทรศัพท์ บ้านโคกสะแบง ตำบลท่าข้าม

ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า การดำเนินการครั้งนี้จะทำให้สามารถลดการใช้ซิมบ็อกซ์โทรหลอกลวง  เชื่อว่าจะลดปริมาณคดีและการหลอกลวงของมิจฉาชีพได้ เราพบจุดที่ตั้งซิมบ็อกซ์อยู่หลายจุดเช่นที่ตำบลท่าข้าม ตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ เราพบสัญญาณข้ามไป และมีการใช้อย่างหนาแน่นและพบออฟฟิศ ปล่อยเช่าในปอยเปตจำนวนหลายแห่ง โฆษณาออฟฟิศคอลเซ็นเตอร์มีสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทย เมกะบิตละ 3,000 บาท ซึ่งในออฟฟิศคอลเซ็นเตอร์อาจจะต้องใช้ถึง 100 เมกะบิตต่อเดือน เสียค่าบริการ 300,000 บาท ตรวจสอบแล้วบางส่วนเป็นอินเทอร์เน็ตของไทย จึงประสาน กสทช. เพื่อดำเนินการใน 2 ส่วนทั้งอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ โดยทราบว่าทาง กสทช. ได้มีหนังสือสั่งให้โอเปอเรเตอร์หรือผู้ให้บริการลดเสาสัญญาณการส่งสัญญาณทางโทรศัพท์แล้ว

“ขอย้ำเตือนผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน ไม่ว่าจะเป็นซิมม้า บัญชีม้า และจะอ้างเหตุของการเป็นเหยื่อเพื่อไม่ต้องถูกดำเนินคดีไม่ได้ ปัจจุบันตำรวจร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างเข้มข้น และเรามีกลไกการคัดกรองเหยื่อ สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหยื่อ หรือจงใจร่วมขบวนการ ทั้งนี้หากไปร่วมกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย” ผบช.ภ.2 กล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา หากพบฝ่าฝืนดำเนินการตามกฎหมายทันที พร้อมเข้มงวดดูแลความปลอดภัยประชาชนโดยเฉพาะศาสนสถานทั่วประเทศ

(10 ก.พ.68) พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองสารนิเทศ (รอง ผบก.สปพ.รรท.ผบก.สท.) กล่าวว่า วันมาฆบูชาซึ่งเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางพุทธศาสนา ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งตามประกาศราชกิจจานุเบกษา กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ยกเว้นการขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศนั้น 

กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอย้ำเตือนร้านค้าและผู้ประกอบการให้งดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทั้งชนิดขายส่งและขายปลีกทั่วราชอาณาจักร ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่หลังเวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ไปจนถึงเวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ยกเว้นการขายเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ) หากฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 

นอกจากนี้ พ.ต.อ.วรศักดิ์ฯ กล่าวว่า ในวันมาฆบูชาจะมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเดินทางไปทำบุญ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดหรือศาสนสถานต่างๆ ทั่วประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการร้านค้า พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับตำรวจทั่วประเทศดูแลความปลอดภัยตามมาตรการด้านต่างๆ อย่างเข้มงวด โดยสั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จัดกำลังสายตรวจออกตรวจตราตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งวัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา และกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 อย่างเคร่งครัด โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เรียบร้อย พร้อมทั้งขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแล หากต้องการความช่วยเหลือ หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ทางสายด่วน 191 และ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

สมุทรปราการ-เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ทำบุญเลี้ยงพระบวงสรวงสักการะศาลเจ้าพ่อโคกพร้าว อายุร่วม 100 ปี

เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระบวงสรวงสักการะศาลเจ้าพ่อโคกพร้าวเป็นประจำทุกปี โดยในปี 2568 นี้ มีนายบุญธรรม อินทรแย้ม รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่

พร้อมด้วย นายณัฐพล บุญริ้ว รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนพี่น้องประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมในพิธีทำบุญเลี้ยงพระ พร้อมทั้งบวงสรวงสักการะศาลเจ้าพ่อโคกพร้าว ประจำปี 2568

นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากนายรัฐพล ลี้สกุล ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด ประธานจุดธูปเทียน ในพิธีทำบุญและบวงสรวงศาลเจ้าพ่อโคกพร้าว โดยมี นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นางสาวมณิฐกานต์ บุญริ้ว ว่าที่ สจ.สมุทรปราการ นายธนสัน วสันต์ กำนันตำบลแพรกษาใหม่และกลุ่มพัฒนาเเพรกษาใหม่ร่วมในพิธีครั้งนี้

โดยในปีนี้มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากทั้งในเขตพื้นที่รวมถึงประชาชนพื้นที่ใกล้เคียงที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาศาลเจ้าพ่อโคกพร้าว ต่างเดินทางมาร่วมในพิธีกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

พร้อมทั้งได้นำอาหาร คาวหวาน มาจัดตั้งโรงทาน นำอาหาร เครื่องดื่ม ไอศครีม นำมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่เดินทางมาร่วมในพิธีอีกด้วย โดยศาลเจ้าพ่อโคกพร้าวตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ข้างสำนักงานเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ เดิมนั้นเป็นศาลไม้ และมีสภาพชำรุดผุพัง โดยได้ทางกำนันบุญธรรม อินทรแย้ม เป็นผู้นำร่วมกับชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธา 

ได้รวบรวมเงินบริจาค นำมาทำการปรับปรุงก่อสร้างศาลเจ้าพ่อโคกพร้าวขึ้นมา ราวปีพุทธศักราช 2540 เป็นต้นมา จากนั้นก็ได้มีการจัดพิธีทำบุญเป็นประจำทุกปี ซึ่งเงินจากการทำบุญที่ได้ในแต่ละปี ได้นำไปใช้ในการดูแลรักษาสถานที่ และทำประโยชน์ต่างๆ 

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้แจกเหรียญเจ้าพ่อโคกพร้าวที่ผ่านการปลุกเสกโดยเกจิชื่อดังอย่างหลวงปู่ศิลา และเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆ ถึง 5 วาระด้วยกัน นำมาแจกให้กับผู้ที่นำอาหารมาออกร้านโรงทาน รวมถึงแจกให้กับพี่น้องประชาชนที่มาร่วมในงานอีกด้วย

ทรัมป์สนใจซื้อฉนวนกาซาเป็นของสหรัฐ ให้ทุนต่างชาติบริหาร ยุติขัดแย้งในดินแดน

(10 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ว่า เขามีความตั้งใจที่จะเข้าควบคุมฉนวนกาซา โดยเสนอให้สหรัฐฯ เป็นเจ้าของดินแดนดังกล่าว และให้ประเทศในตะวันออกกลางเข้ามามีบทบาทในการฟื้นฟูพื้นที่

ทรัมป์กล่าวระหว่างเดินทางบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน (Air Force One) มุ่งหน้าสู่นิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา เพื่อเข้าชมการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ (Super Bowl) ว่า “สหรัฐฯ ตั้งใจจะเข้าควบคุมฉนวนกาซาอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มฮามาสกลับมามีอำนาจอีก ส่วนเรื่องการพัฒนา เราอาจให้ประเทศในภูมิภาคเข้ามามีส่วนร่วม หรือให้หน่วยงานอื่นดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของเรา”

รายงานจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า แนวคิดของทรัมป์เกี่ยวกับ “การเป็นเจ้าของระยะยาว” ฉนวนกาซา ถูกหยิบยกขึ้นหารือระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยหลายประเทศอาหรับ รวมถึงชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรป แสดงท่าทีคัดค้าน เนื่องจากมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง

อาณาจักรธุรกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ : จากเจ้าพ่ออสังหาฯ สู่เวทีการเมือง

หากพูดถึงบุคคลที่ทรงอิทธิพลทั้งในแวดวงธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ สื่อบันเทิง และการเมือง โดนัลด์ ทรัมป์ คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก จากการเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างตึกระฟ้าในนิวยอร์ก สู่การเป็นพิธีกรเรียลลิตี้ชื่อดัง และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 และ 47 

อาณาจักรธุรกิจของทรัมป์ไม่ได้มีเพียงแค่ตึกหรูและโรงแรมระดับโลก แต่ยังขยายไปถึงคาสิโน สนามกอล์ฟ โซเชียลมีเดีย และแม้กระทั่งแบรนด์สินค้าต่าง ๆ แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เส้นทางของเขาก็เต็มไปด้วย วิกฤติทางการเงิน การล้มละลาย และคดีความมากมาย และวันนี้เราจะพาไปเจาะลึกเส้นทางธุรกิจของเขากันค่ะ

ศึก ONE 168 สร้างเม็ดเงินสู่เดนเวอร์กว่า 18 ล้านเหรียญ สะท้อนการยอมรับในตลาดศิลปะการต่อสู้ระดับโลก

(10 ก.พ.68) วัน แชมเปียนชิพ (ONE) องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก เปิดเผยว่า ศึก ONE 168 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ย.67 ณ เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับเมืองเดนเวอร์กว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 6 ร้อยล้านบาท) โดยข้อมูลนี้อ้างอิงจากผลการศึกษาวิจัยของบริษัทพัฒนาเศรษฐกิจเมโทรเดนเวอร์ (EDC)

สำหรับศึก ONE 168 ถือเป็นการกลับมาจัดการแข่งขันในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่ 2 ของ ONE หลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการประเดิมจัดครั้งแรกในศึก ONE Fight Night 10 ณ เฟิร์สแบงก์ เซ็นเตอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อเดือน พ.ค.66 ซึ่งบัตรเข้าชมถูกขายหมดเกลี้ยงล่วงหน้าหลายสัปดาห์ 

ขณะที่ครั้งนี้ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามไม่แพ้กัน โดยสามารถดึงดูดผู้ชมเกือบเต็มความจุ 10,000 ที่นั่ง ของสังเวียน บอล อารีนา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนถึงการเติบโตของ ONE ในตลาดศิลปะการต่อสู้ขนาดใหญ่ระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา

โดยรายงานตามผลการศึกษาวิจัยของ EDC เปิดเผยว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ชมในสนามเดินทางมาจากต่างรัฐ ซึ่งก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากกว่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 83 เปอร์เซ็นต์ ของผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กิจกรรมการใช้จ่ายโดยตรงที่เกี่ยวข้องกับศึก ONE 168 อาทิ ค่าเดินทาง, ที่พัก, อาหารและเครื่องดื่ม มีมูลค่าสูงกว่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงยังมีค่าใช้จ่ายด้านนันทนาการ คิดเป็นมูลค่า 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

งานวิจัยยังเผยข้อมูลที่น่าสนใจด้วยว่า ผู้เข้าชมจากต่างรัฐเดินทางมาเฉลี่ยกลุ่มละ 2 คน และพักอยู่ในเมืองเดนเวอร์ประมาณ 3 คืน ซึ่งส่งผลให้มีการจองห้องพักสูงถึง 6,590 ห้อง ช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่พักในท้องถิ่นกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ศึก ONE 168 ยังช่วยกระจายรายได้สู่ประชาชนในรัฐโคโลราโด อีกกว่า 6.3 ล้านดอลลาร์ ผ่านการจ้างงานชั่วคราวอีก 146 ตำแหน่ง

ในโอกาสนี้ นายชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้ก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ ONE ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจต่อความสำเร็จของศึก ONE 168 ที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองเดนเวอร์

“พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ศึก ONE 168 เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับเดนเวอร์ และสร้างมูลค่าสื่อกว่า 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการถ่ายทอดสดและสตรีมมิงทั่วโลกผ่านเครือข่ายพันธมิตรของเรา”

“วัน แชมเปียนชิพ เป็นที่รักของแฟนกีฬาการต่อสู้มากที่สุดในโลก และเราขอบคุณพวกเขาที่เดินทางมาร่วมชมการแข่งขัน รวมถึงแฟน ๆ ทุกคนของเราในโคโลราโด ที่เข้าร่วมและทำให้อีเวนต์นี้เป็นค่ำคืนที่น่าจดจำ”

“นอกจากนี้ เราต้องขอขอบคุณพันธมิตรของเราอย่าง โครเอนเก สปอร์ต & เอนเตอร์เทนเมนต์ และหอการค้าเดนเวอร์เมโทร ที่ให้การสนับสนุนจนทำให้อีเวนต์นี้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถสร้างความทรงจำที่น่าประทับใจและสร้างผลกระทบแบบเดียวกันต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นของอเมริกา จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของเรา” 

ทั้งนี้ ONE จะหวนกลับมาจัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ โดยจะประกาศรายละเอียดของอีเวนต์ดังกล่าวให้ทราบต่อไป

‘อีลอน มัสก์’ หั่นอิทธิพล Deep State สหรัฐฯ ปฏิบัติการรุกหนักเปลี่ยนเกมข้อมูลสู่ยุคใหม่

อีลอน มัสก์ จุดกระแสร้อนแรงอีกครั้ง หลังออกมาสนับสนุนให้ปิด Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) ซึ่งเป็นสองสื่อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมัสก์ให้เหตุผลว่า "ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ใช้งบภาษีไปปีละ 1 พันล้านดอลลาร์แบบไร้เหตุผล"

เรื่องนี้เริ่มจากโพสต์ของ ริชาร์ด เกรเนลล์ (Richard Grenell) อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติยุครัฐบาลทรัมป์ ที่โจมตี RFE/RL และ VOA ว่า "เป็นเครื่องมือของ Deep State เต็มไปด้วยอคติทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย" ซึ่งมัสก์ตอบกลับทันทีว่า "ถูกต้อง ควรปิดมันไปเลย"

RFE/RL - VOA: เครื่องมือ Deep State ที่มัสก์ต้องการโค่น ต้องเข้าใจก่อนว่า RFE/RL และ VOA ไม่ใช่แค่สื่อธรรมดา แต่มันคือ 'กระบอกเสียง' ของ Deep State สหรัฐฯ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแทรกแซงต่างประเทศมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

RFE/RL ก่อตั้งในปี 1950 เพื่อเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลอเมริกัน ในการต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

VOA ก่อตั้งในปี 1942 เพื่อตอบโต้โฆษณาชวนเชื่อของนาซีเยอรมนี และต่อมาได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้แทรกแซงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

ทั้งสององค์กรนี้ ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลกลาง และอยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ Deep State ใช้ควบคุมวาระข่าวสารระดับโลก

แม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปแล้ว แต่สื่อเหล่านี้ยังคงอยู่ เพราะ Deep State ยังต้องการมีเครื่องมือที่ใช้ควบคุมข้อมูลในเวทีระหว่างประเทศ

การโค่น USAGM: ภารกิจหินที่แม้แต่ทรัมป์ยังทำไม่สำเร็จ
การจะล้มองค์กรที่อยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยมีอำนาจเต็มมือ ก็ยังไม่สามารถรื้อถอนมันได้

ทรัมป์เคยพยายามปรับโครงสร้าง USAGM ในสมัยดำรงตำแหน่ง โดยแต่งตั้ง Michael Pack เป็นผู้อำนวยการ USAGM และออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนที่ควบคุมสื่อเหล่านี้ แต่สุดท้าย Pack กลับถูกเล่นงานจากภายใน และถูก Joe Biden ปลดออกหลังเข้ารับตำแหน่ง

การล้ม USAGM เป็นมากกว่าการปิดหน่วยงานรัฐ แต่มันหมายถึงการรื้อถอนเครื่องมือหลักของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงโลกมาเกือบศตวรรษ นี่เป็นงานใหญ่ที่ต้องเผชิญแรงต้านมหาศาลจากนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และเครือข่าย Deep State ภายในรัฐบาลเอง

มัสก์อาจมีอำนาจทางเทคโนโลยีและเงินทุน แต่เขาไม่มีอำนาจรัฐ ต่างจากทรัมป์ที่เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น การผลักดันให้ปิด RFE/RL และ VOA อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามใหญ่ที่รออยู่

มัสก์กำลังลดอิทธิพล Deep State และเปลี่ยนมืออำนาจสื่อ
สิ่งที่มัสก์ทำ ไม่ใช่แค่เรื่อง 'ภาษีประชาชน' แต่มันคือ การล้างไพ่กระดานข่าวสารระดับโลก และตัดแขนตัดขาของกลุ่ม Deep State อเมริกัน

1. Deep State สูญเสียเครื่องมือสำคัญ – สื่อของรัฐบาลอเมริกันเหล่านี้ เคยเป็นช่องทางหลักในการแทรกแซงข่าวสารของประเทศอื่นๆ หากปิดตัวลง Deep State จะสูญเสียอำนาจทางข้อมูลขนาดใหญ่

2. แพลตฟอร์มใหม่จะขึ้นมาครองเวที – มัสก์เองถือครอง X (Twitter) ซึ่งกำลังกลายเป็นแหล่งข่าวหลักของประชาชนทั่วโลก นี่อาจเป็นหมากสำคัญของเขาในการเปลี่ยนอำนาจจากสื่อดั้งเดิมมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์

3. สหรัฐฯ ยุคใหม่อาจไม่มี Deep State คุมเกมข่าวสาร – มัสก์ไม่ใช่แค่กำลังเปลี่ยนมือสื่อ แต่เขากำลังผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบ Deep State ในการครอบงำข้อมูลอีกต่อไป

ไทยต้องเรียนรู้อะไรจากเกมนี้?
สิ่งที่มัสก์กำลังทำ สะท้อนให้เห็นว่า อเมริกาไม่ได้แค่กำลังลดบทบาทของสื่อเก่า แต่มันคือสัญญาณของ 'การเปลี่ยนอำนาจ' ภายในสหรัฐฯ เอง

1. Deep State ไม่เคยถอนกำลัง เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการ – ตั้งแต่สงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ใช้เครื่องมือสื่อและข้อมูลเพื่อแทรกแซงประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด แม้ RFE/RL และ VOA จะถูกปิด แต่พวกเขาจะหาทางใช้ช่องทางอื่นแทน

2. อเมริกาจะยังแทรกแซงไทย แต่เปลี่ยนรูปแบบ – อย่าคิดว่าอเมริกาจะเลิกสนใจไทย เพียงเพราะพวกเขาปิดสื่อแบบเดิม ในอนาคต การแทรกแซงอาจมาในรูปแบบแพลตฟอร์มโซเชียล อินฟลูเอนเซอร์ หรือ AI แทน

3. ไทยต้องหยุดมองโลกสวย – อเมริกาไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อ 'ลดอำนาจ' ของตัวเอง แต่เป็น การเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เราต้องตามเกมให้ทัน

อเมริกายุคใหม่: ใครควบคุมข้อมูล ใครกำหนดวาระโลก?
อย่าคิดว่าการปิด RFE/RL และ VOA เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่นี่คือ 'การเปลี่ยนเกมข้อมูลระดับโลก' Deep State กำลังถูกท้าทาย และพยายามปรับตัว

มัสก์กำลังสร้างระบบข่าวสารใหม่ ที่อาจอยู่ในมือของแพลตฟอร์มเอกชน
สหรัฐฯ จะยังมีบทบาทในโลก แต่ในรูปแบบใหม่

สุดท้ายแล้ว การควบคุมข้อมูลข่าวสารยังคงเป็นอำนาจสำคัญของโลกยุคปัจจุบัน อเมริกาอาจลดบทบาท Deep State แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะเลิกควบคุมข้อมูล เพียงแต่ มือที่ถือไพ่ อาจเปลี่ยนไปอยู่ในกลุ่มคนที่พร้อมเล่นเกมใหม่แทน

ปตท. คว้า 6 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 สะท้อนศักยภาพการบริหารธุรกิจแบบยั่งยืนทุกมิติ

(10 ก.พ. 68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Awards) ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด "รัฐวิสาหกิจไทย มากกว่าความภูมิใจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" หรือ Beyond Pride, Towards Sustainability ให้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารร่วมรับรางวัล รวม 6 รางวัล ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ดร.คงกระพัน กล่าวว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจยิ่งของ ปตท. ที่ได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศในวันนี้ สะท้อนศักยภาพการบริหารธุรกิจแบบยั่งยืนในทุกมิติ ตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยมีภารกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

ในครั้งนี้ ปตท. ได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น จำนวน 6 รางวัล ประกอบด้วย
1. รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น (เกียรติยศ) มอบให้คณะกรรมการ ปตท. ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ภายใต้การกำกับดูแลที่ดี มีธรรมาภิบาลและโปร่งใส พร้อมบูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในการดำเนินธุรกิจ 

2. รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น (เกียรติยศ)  โดย ปตท. ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (Operational Excellence) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ และสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน (Strengthen Core Business) พร้อมพัฒนาบุคลากรและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัวและสอดคล้องกับกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3. รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน จากการที่ ปตท. ดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดยั่งยืนอย่างสมดุลในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับดูแลที่ดี พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทย 

4. รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น “โครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม” กลุ่ม ปตท. ได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการบริหารจัดการชุมชนใน 45 พื้นที่ 29 จังหวัด ผ่านการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ Smart Farming ส่งเสริมการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเพาะปลูกอย่างเหมาะสม เช่น โรงเรือนอัจฉริยะและระบบ IoT โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ Smart Marketing ส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยสามารถพัฒนาสินค้าได้ 45 รายการ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ Community-Based Tourism ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งมีชุมชนที่สามารถพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว มีทักษะในการบริหารจัดการธุรกิจ และช่องทางการตลาดได้ด้วยตนเองถึง 6 พื้นที่

5. รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ด้านความคิดสร้างสรรค์ “โครงการนวัตกรรมท่อนาโนคาร์บอนจากก๊าซธรรมชาติ ของเสียไฮโดรคาร์บอน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” ท่อคาร์บอนระดับนาโนเมตร (Carbon nanotubes; CNTs) มีคุณสมบัติเด่นที่นำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ดี มีความแข็งแรงแต่น้ำหนักเบา และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งการผลิตวัสดุ CNTs เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของ Conductive materials, Polymer composite materials, EV value chain และ Smart electronic ที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้านนวัตกรรมให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน และส่งออกไปทั่วโลกได้ในอนาคต 

6. รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ด้านนวัตกรรม “โครงการยีสต์ทนร้อนที่มีความสามารถ ในการผลิตเอนไซม์ย่อยแป้งที่ผิวเซลล์ (InnoTherm-380 GA)” เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นภายในประเทศทั้งหมด ซึ่งได้จดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถพัฒนาให้ยีสต์มีความสามารถผลิตเอนไซม์ย่อยแป้งได้เองที่ผิวเซลล์ ด้วยการใช้โปรตีนฐานยึดเกาะเอนไซม์ชนิดใหม่ของโลก สามารถแข่งขันได้กับยีสต์แห้งทางการค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ลดการนำเข้าและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางชีวภาพของประเทศไทย

“ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ยังคงมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพทางพลังงานให้กับประเทศ ดำเนินธุรกิจบนหลักยั่งยืนอย่างสมดุล รวมทั้งดูแลสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย” ดร.คงกระพัน กล่าวในตอนท้าย

GULF โกยกำไรปี 67 กว่า 1.81 หมื่นล้าน พุ่ง 22% หลังรับส่วนแบ่งจากธุรกิจโรงไฟฟ้า - INTOUCH

GULF โชว์กำไรสุทธิ ปี67 ที่ 18,170 ล้านบาท พุ่ง 22% จากธุรกิจพลังงานและส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH หนุน EBITDA เพิ่ม 13% ที่ 39,934 ล้านบาท

(11 ก.พ.68) นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือบริษัท) เปิดเผยว่า GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 ที่แข็งแกร่ง

โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จาก 116,951 ล้านบาท ในปี 2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Orofit) เท่ากับ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จาก 15,644 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัท มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ซึ่งหน่วยผลิตที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2567 ตามลำดับ

ส่งผลให้โรงไฟฟ้า GPD ทั้ง 4 หน่วยเปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ในเดือนมีนาคม 2567

ในขณะเดียวกัน GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากกลุ่ม GJP จำนวน 1,940 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการ โดยมี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 72% ในปี 2566 เป็น 79% ในปีนี้ เนื่องจากในระหว่างปี 2566 กลุ่มโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้มีการทยอยหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection) ตามแผนงาน

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา (Maintenance Expense) ของทั้ง 4 หน่วย ที่เริ่มทยอยซ่อมบำรุงระหว่างไตรมาส 3/2566-ไตรมาส 3/2567 แม้ว่าจะมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น โดยมี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 73% ในปี 2566 เป็น 75% ในปี 2567 นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน

จากอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลงตามราคาค่า Ft เฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.89 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2566 เป็น 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2567 ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 385.4 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 เป็น 326.1 บาท/ล้านบีทียู ในปีนี้ ประกอบกับขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง เนื่องมาจากความต้องการที่ลดลงในกลุ่มลูกค้ายานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 6% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทจึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัด

ในส่วนของธุรกิจก๊าซนั้น GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 1,077 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 172% จาก 396 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 428.8 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 เป็น 342.9 บาท/ล้านบีทียู ในปีนี้

ในขณะที่ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นจาก 73.2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 2566 เป็น 75.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปีนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ ในปี 2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) จำนวน 6,345 ล้านบาท

เพิ่มขึ้น 4% จาก 6,101 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ ADVANC ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้น จากการมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น ประกอบกับการขยายฐานผู้ใช้บริการและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2567 จำนวน 39,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับ 35,370 ล้านบาท ในปี 2566

ในขณะที่กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในปี 2567 เท่ากับ 18,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 14,858 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่ลดลง

โดยในปี 2567 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 176 ล้านบาท เทียบกับ 576 ล้านบาท ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 496,202 ล้านบาท หนี้สินรวม 342,363 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 153,840 ล้านบาท

โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.80 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.69 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 45,000 ล้านบาท ในปี 2567

‘เอกนัฏ’ สั่งทลาย รง. ลักลอบหลอมชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ พบของกลางทั้งสายทองแดง – ปลั๊กพ่วง มูลค่าเกือบ 5 ล้านบาท

(11 ก.พ. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการทีมตรวจสุดซอยนำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่สำนักงานมาตราฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจสอบตามข้อร้องเรียนของประชาชน ตรวจค้นโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่หมู่ 2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งต้องสงสัยการกระทำผิดกฎหมายและพบการลักลอบปล่อยควันดำในช่วงเวลากลางคืน พบโกดังขนาดใหญ่เป็นที่ตั้งของบริษัท หงเยวี่ย รีนิวเอเบิล รีซอร์สเซส เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการหลอมโลหะและคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย เช่น เศษเหล็ก เศษโลหะฯ ยังไม่แจ้งประกอบกิจการ มีกรรมการ 1 รายเป็นชาวจีน คือ นายสื่อ ซวิ่นโป 

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก “แจ้งอุต” ขอให้เข้าตรวจค้นโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่หมู่ 2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ต้องสงสัยมีการกระทำผิดกฎหมายและพบการลักลอบปล่อยควันดำในช่วงเวลากลางคืน จึงได้แจ้งทีมตรวจสุดซอยเข้าตรวจสอบพบการกระทำที่ฝ่าฝืนและละเมิดคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างร้ายแรง จึงออกคำสั่งหยุดประกอบการทั้งหมด พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาครอบครองวัตถุอันตราย ทำลายสิ่งผูกมัดประทับตราที่เครื่องจักร เคลื่อนย้ายทำลายของกลางที่เจ้าหน้าที่ยึดอายัดไว้ และละเมิดและฝ่าฝืนเจ้าพนักงาน นอกจากนี้ยังได้เข้าตรวจสอบบริษัท ยูไนเต็ท ไป่เจีย อิเล็คทรอนิคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตสวิทซ์ไฟฟ้า ปลั๊กไฟฟ้า เต้าเสียบและอุปกรณ์ไฟฟ้า มีนายเย จวินฟา และ นายเย เจ่อเซิน เป็นกรรมการ พบปลั๊กพ่วง จำนวน 83,200 ชุด สายไฟฟ้าทองแดง จำนวน 42 ม้วน เต้าเสียบและเต้ารับสำหรับที่อยู่อาศัย จำนวน 50 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 4,787,000 บาท จึงได้สั่งยึดอายัดทั้งหมดและแจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทำผลิตภัณฑ์ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน

“หากประชาชนพบเห็นปัญหาหรือเหตุต้องสงสัยเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่าน "แจ้งอุต" https://landing.traffy.in.th?key=wTmGfkav หรือไลน์ไอดี “traffyfondue” เพื่อกระทรวงฯ จะเร่งส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่จัดการกับปัญหาให้ประชาชนในทันที” เลขาฯ พงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top