Monday, 19 May 2025
NewsFeed

ทรัมป์เดินเกม!! บีบยุโรปอัดงบซื้ออาวุธสหรัฐฯ กดดันอียูหนุนยูเครนสู้ศึกรัสเซีย

(11 ก.พ.68) รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแผนกระตุ้นให้ชาติพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนยูเครนในช่วงเวลาที่สงครามกับรัสเซียยังคงดำเนินอยู่ โดยแผนดังกล่าวอาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้ยูเครนก่อนการเจรจาสันติภาพที่อาจเกิดขึ้น

แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า หากแผนนี้ได้รับการอนุมัติ อาจช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำยูเครนที่วิตกกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ อาจลดการสนับสนุนทางทหาร ขณะเดียวกัน กองทัพยูเครนยังคงเผชิญแรงกดดันจากการรุกคืบของกองกำลังรัสเซียทางภาคตะวันออก

ในอดีต หลายประเทศในยุโรปได้ซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยเสริมศักยภาพของยูเครนภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะขอให้ชาติยุโรปจัดซื้ออาวุธผ่านสัญญาทางพาณิชย์ หรือใช้วิธีการซื้อโดยตรงจากคลังแสง ซึ่งในบางกรณีอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้น

คีธ เคลล็อกก์ อดีตพลโทเกษียณและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซียในรัฐบาลทรัมป์ มีกำหนดจะหารือกับตัวแทนพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงในนครมิวนิก สัปดาห์นี้

ในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เคลล็อกก์ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นโดยตรงต่อแผนการดังกล่าว แต่กล่าวว่า "สหรัฐฯ สนับสนุนการขายอาวุธที่ผลิตในประเทศของตนเอง เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ" พร้อมระบุว่า มีหลายทางเลือกที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ เคลล็อกก์ยังกล่าวว่า การส่งอาวุธที่เคยได้รับอนุมัติในสมัยไบเดน ยังคงดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้ และย้ำว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า"

ขณะเดียวกัน สถานทูตยูเครนในกรุงวอชิงตันยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้

‘ฟีโบ้’ เดินหน้าผลิตบุคลากรป้อนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ยกระดับสู่สถาบันชั้นนำด้านวิทยาการหุ่นยนต์ในอาเซียน

(11 ก.พ. 68) เนื่องในโอกาสครบรอบ 65 ปี แห่งการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ 30 ปี แห่งการก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้)  ในการนี้ ฟีโบ้จึงได้จัดกิจกรรมพิเศษภายใต้หัวข้อ “30 ปี ฟีโบ้: Robotics for Sustainable Future” เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จและแสดงศักยภาพของประเทศไทยในด้านวิทยาการหุ่นยนต์และนวัตกรรมที่น่าสนใจ และกำลังเป็นกระแส รวมถึงการจัดแสดงผลงานตัวอย่างหุ่นยนต์ล้ำสมัย และนิทรรศการในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ จัดขึ้น ณ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568

ผศ. ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2538 ฟีโบ้ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นศูนย์ปฏิบัติการพัฒนาหุ่นยนต์ภาคสนาม โดย ดร.ชิต เหล่าวัฒนา มีพันธกิจด้านการพัฒนางานวิจัย และบริการวิชาการ ต่อมาในปี พ.ศ.2546 ได้ยกวิทยฐานะเป็น “สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม” โดยเริ่มแรกเป็นการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เป็นที่แรกของไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2552 จึงได้เปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ให้บริการวิชาการแก่สังคม รวมถึงงานวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีอื่น ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันครบรอบ 30 ปี

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฟีโบ้สามารถสร้างกำลังคนหรือบุคลากรด้านวิศวกรหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติออกสู่สังคมตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท เอก รวมทั้งสิ้นกว่า 700 คน มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมากกว่า 1,000 แห่ง  ทั้งการจัดฝึกอบรมให้กับบุคลากรภาคอุตสาหกรรม เช่น โครงการ EEC ที่มีการอบรมไปแล้วกว่า 3,000 คน คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท โครงการหุ่นยนต์ภาคอุตสาหกรรม หุ่นยนต์บริการ หุ่นยนต์ทางการแพทย์ หุ่นยนต์ Entertainment และอื่นๆ ที่เป็นงานด้านวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) มากกว่า 300 โครงการ ปัจจุบันฟีโบ้ มุ่งมั่นเพื่อยกระดับเข้าสู่สถาบันชั้นนำระดับอาเซียนทางด้านวิทยาการหุ่นยนต์ รวมทั้งสร้างเครือข่ายพัฒนาหลักสูตรด้านหุ่นยนต์ ครูและนักเรียนของโรงเรียนทั่วประเทศภายใต้โครงการ School Consortium มากกว่า 100 โรงเรียน

“เนื่องจากทิศทางของโลกและเป็นนโยบายของ มจธ. ที่มุ่งไปในเรื่องความยั่งยืน หรือ Sustainability เราจึงต้องการให้งาน 30 ปี ฟีโบ้: Robotics for Sustainable Future ทำให้เห็นว่าหุ่นยนต์ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนอย่างไร หรือทำให้เกิด Robotic Future ได้อย่างไร ดังนั้น ภายในงานที่จัดขึ้นก็จะมีส่วนที่เป็นการจัดนิทรรศการแสดงผลงานของนักวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และผลงานของนักศึกษา รวมถึงงานเสวนาที่ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ประกอบการด้านหุ่นยนต์อัตโนมัติ และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งในและต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และเทรนด์ของโลกจากนี้เข้าด้วยกัน” ผศ. ดร.สุภชัย กล่าว 

ภายในงาน ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ โซนที่หนึ่ง โซนจัดนิทรรศการประวัติฟีโบ้และพันธมิตรที่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของฟีโบ้ โซนที่สอง โซนการจัดแสดงหุ่นยนต์มาทำกิจกรรมต่างๆ ภายใต้ธีม Robotics ไทยแทร่ เป็นการผสานเทคโนโลยีแห่งโลกเสมือนกับหุ่นยนต์และ AI ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมในรูปแบบความเชื่อไทยๆ เช่น หุ่นยนต์เขียนผ้ายันต์ ร่างทรง คนเล่นของ ซุ้มมือปืน เป็นต้น และยังมีห้องแสดงศิลปะดิจิทัลแบบ 360 องศา (Immersive Room) ให้ผู้ร่วมงานได้เข้าไปร่วมสนุก นอกจากนี้ยังมีการแสดงเทคโนโลยีสุดล้ำจากบริษัทชั้นนำ อาทิ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีระบบการจำลองการเคลื่อนไหวที่ล้ำสมัย และ Robo Dog จากพันธมิตร มาร่วมโชว์ในงานนี้ด้วย 

โซนที่สาม จะเป็นการแสดงนิทรรศการผลงานไอเดียและอินโนเวชันของนักวิจัย อาจารย์ และนักศึกษา ชั้นปี 1 ถึงปี 4 ที่จะเป็นงานด้านอุตสาหกรรมและงานทางการแพทย์ รวมถึงงานหุ่นยนต์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน  ส่วนในโซนที่สี่ จะเป็นโซน Professional ที่เกิดจากความร่วมมือกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการประชุมวิชาการ การจัดสัมมนาเชิงอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญในวงการและจากภาคอุตสาหกรรม พันธมิตรและผู้ประกอบการด้านหุ่นยนต์อัตโนมัติในประเทศไทย อาทิ สมาคมซีไอโอไทย (Thai Chief Information Officer Association: TCIOA) สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (CoRE) ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) และกิจกรรมสำหรับเยาวชนและผู้สนใจเกี่ยวกับ VR โดย NVIDIA บริษัทชิปกราฟิกชั้นนำ มาร่วมจัดเวิร์กช็อป การจำลองโลกของหุ่นยนต์ไซเบอร์และจำลองโลกของ AI เข้าด้วยกัน

ผู้อำนวยการ ฟีโบ้ ยังได้กล่าวถึงทิศทางว่า “ฟีโบ้ ตั้งเป้าหมายไปสู่ “One of the Most Attractive Robotics Institutes in ASEAN” ภายในปี 2027 ดังนั้น การดำเนินงานนับจากนี้ คือ การสร้างคน โดยจะเน้นการเรียนการสอนที่พัฒนา Soft Skill ให้นักศึกษามากขึ้น เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลา ควบคู่กับการพัฒนาความรู้และความสามารถพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ (Hard Skill) อย่างเข้มข้น ซึ่งนักศึกษาจะได้รับประสบการณ์ (Learning Experience) ที่เขาจะหาไม่ได้จากที่อื่น เพื่อพัฒนาทักษะ High Skill และ R&D ให้นักศึกษาที่จบจากฟีโบ้ สามารถยืนอยู่ในเวทีทั้งในระดับประเทศและบนเวทีโลกได้ และการสร้างเทคโนโลยี เราจะมุ่งสร้างเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบสูง เน้นแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลก (Real World Problem) พัฒนานวัตกรรม R&D ให้เป็น World Class Attractive นี่คือทิศทางที่ฟีโบ้กำลังจะมุ่งไป”

ครบรอบ 420 ปีความสัมพันธ์ไทย-อิหร่านและ 70 ปีการทูต ย้ำมิตรภาพยาวนานและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

(11 ก.พ.68) สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจัดพิธีเฉลิมฉลองวันชาติ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 46 ปีของชัยชนะการปฏิวัติอิสลาม พร้อมกับรำลึกถึงสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างอิหร่านและไทยที่มีมายาวนานถึง 420 ปี และเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 70 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

แถลงการณ์ในโอกาสพิเศษนี้เน้นย้ำถึงมิตรภาพและความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างอิหร่านและไทย โดยย้อนรอยความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นเมื่อ 420 ปีก่อน ผ่านนักปราชญ์ศาสนาและพ่อค้าชาวเปอร์เซีย 'ชีคอาหมัด กุมี' ผู้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ความสัมพันธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงอิทธิพลของอารยธรรมเปอร์เซียในไทย ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างรากฐานแห่งมิตรภาพระหว่างสองชาติ

การศึกษาประวัติศาสตร์ของอารยธรรมอิหร่านเผยให้เห็นถึงการส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และการเคารพซึ่งกันและกัน โดยชาวอิหร่านมักเลือกใช้การเจรจาและความอดทนแทนการครอบงำหรือการใช้อำนาจฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์ของอิหร่านและไทยมีรากฐานยาวนานตั้งแต่ 420 ปีก่อน เมื่อชีคอาหมัด กุมี นักปราชญ์และพ่อค้าเปอร์เซียได้เดินทางมายังสยามและเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมโบราณทั้งสอง

ในปีนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลอง 46 ปีของชัยชนะในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามและการยุติการปกครองของราชวงศ์ปาห์ลาวี การปฏิวัติครั้งนี้มีความสำคัญทั้งในเชิงสังคมและการเมือง และเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการฟื้นฟูประเทศให้เป็นอิสระจากอิทธิพลของมหาอำนาจ

การปฏิวัติอิสลามซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วยศรัทธาและการเสียสละ ได้สร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของอิหร่าน แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรค แต่ประเทศก็สามารถเติบโตและเจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

อิหร่านยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการผลิตดาวเทียมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การผลิตไอโซโทปทางการแพทย์สำหรับรักษามะเร็งและโรคทางระบบประสาท นักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรอย่างน้อย 10 ดวงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ปัจจุบัน อิหร่านมีนักศึกษาประมาณ 3.2 ล้านคนในมหาวิทยาลัย ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นสตรี การพัฒนาทางการศึกษาและการเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเพศในระดับอุดมศึกษายังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของประเทศ ขณะเดียวกัน การพัฒนาภาคพื้นฐานในชนบทและพื้นที่ที่พัฒนาน้อยกว่าได้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ในการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและประเทศไทยในปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอิหร่าน โดยมีนักท่องเที่ยวกว่า 50,000 คนเดินทางมาไทยในปี 2024 การเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

การเฉลิมฉลองในครั้งนี้ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลาม อิหม่ามโคมัยนี และผู้พลีชีพที่เสียสละเพื่อการปฏิวัติอิสลาม โดยหวังว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างอิหร่านและไทยจะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความเต็มใจและการสนับสนุนจากรัฐบาลของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและราชอาณาจักรไทย เราจะได้เห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เจริญรุ่งเรืองในทุกมิติต่อไป

บางภาคส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้มีการพัฒนาและยังคงมีศักยภาพมหาศาลที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ร่วมกัน เป้าหมายหลักของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอิหร่านคือ การปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ รวมถึงการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับสากล ในขณะที่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและรัฐบาลไทยกำลังก้าวสู่การเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 70 ปี พร้อมกับการเฉลิมพระชนมายุ 72 พรรษาและมหามงคล 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลอิหร่านขอใช้โอกาสนี้ในการยืนยันคำมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีงามนี้ให้ยั่งยืนตลอดไปแก่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลไทย และประชาชนชาวไทย ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

ปตท. ติด TOP 5 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานมากที่สุด สะท้อนความเชื่อมั่นการบริหารบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ

(11 ก.พ. 68) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ติดอันดับท๊อป 5 จากการจัดอันดับ 50 บริษัทชั้นนำที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานมากที่สุด (Top50 Companies in Thailand 2025) มาอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจของบริษัท WorkVenture สะท้อนความเชื่อมั่นและความทุ่มเทในการบริหารบุคลากรภายใต้แนวคิด TripleEX ได้แก่ การสนับสนุนให้พนักงานค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตนเอง (EXplore your potential) การมอบโอกาสและประสบการณ์ที่หลากหลาย (EXperience diverse opportunities) และการส่งต่อคุณค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (EXpand positive impact) ผ่านการพัฒนารูปแบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับความต้องการของพนักงาน อาทิ Flexi Benefit ที่พนักงานสามารถเลือกสิทธิประโยชน์ตามไลฟ์สไตล์ของตนเอง การทำงานในรูปแบบ Work from Anywhere และเวลาทำงานแบบ Flexi-Time 

นอกจากนี้  ปตท. ยังสนับสนุนเรื่องการสมรสเท่าเทียมตามนโยบายภาครัฐ  เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและสิทธิของพนักงานทุกคน เป็นต้น

‘ธนกร’ เตรียมจูงมือ ‘แคทลีน มาลีนนท์’ เข้าห้องหอ พร้อมลั่นระฆังวิวาห์ 22 ก.พ. หลังคบหาดูใจมา 5 ปี

เมื่อวันที่ (9 ก.พ.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เวลาสละโสด สำหรับ ‘ดร.แด๊ก’ ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรค และสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ปลูกต้นรักอยู่ในห้วงอินเลิฟกับ ‘แคตตี้’ แคทลีน มาลีนนท์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลมาลีนนท์ ประธานกรรมการ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (Thai Solar Energy PLC.) หลังเป็นเพื่อนกัน 5 ปี และดูใจกันอีก 5 ปี ในที่สุดก็ตกลงปลงใจร่วมใช้ชีวิตคู่

สำหรับ พิธีมงคลสมรสจัดขึ้น 18.00 น. วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 4 เดอะ ริทซ์ – คาร์ลตัน บางกอก สุขุมวิท งานนี้ เชื่อว่า คงเต็มไปด้วยคนดังจากหลากหลายวงการ ทั้งแวดวงการเมือง สังคม ธุรกิจ และบันเทิง ที่ต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับทั้งคู่ ในพิธีมงคลสมรสครั้งนี้ ที่มี วรวิทย์ กังศศิเทียม อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานในพิธี

สำหรับ ดร. ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรค และ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ อายุ 52 ปี เป็นชาวนครศรีธรรมราช

ขณะที่ ดร. แคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (Thai Solar Energy PLC.) อายุ 50 ปี มีบุตรแล้วหนึ่งคนคือ เบรธ-ณนนท์ กิจโอธาน

สภาทองคำโลก เผย ไทยทำสถิติสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ด้านความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำ ปี 67

(11 ก.พ.68) รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 4 และการสรุปภาพรวมตลอดปี 2567 ของสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) ได้เปิดเผยข้อมูลความต้องการทองคำทั่วโลกที่รวมปริมาณการซื้อขายทองคำนอกตลาดหลักทรัพย์ ‎(Over-the-counter: OTC) ซึ่งได้ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยจำนวนรวม 4,974 ตัน โดยประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นตลาดทองคำที่มีความแข็งแกร่งในปี 2567 และมีปริมาณความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่จำนวน 39.8 ตัน คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  

สภาทองคำโลกระบุว่าความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2567 นั้นได้รับแรงขับเคลื่อนจากการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของธนาคารกลาง และการเติบโตของความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน ราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งและปริมาณความต้องการที่พุ่งสูงในปีที่ผ่านมา ได้ร่วมกันส่งผลให้ความต้องการทองคำรวมมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำในปริมาณที่มหาศาลอย่างต่อเนื่องในปี 2567 โดยมีปริมาณการซื้อในระดับสูงกว่า 1,000 ตัน เป็นปีที่สามติดต่อกัน และการเข้าซื้อทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของธนาคารกลางในไตรมาสที่ 4 จำนวน 333 ตัน ได้ส่งผลให้ยอดรวมการซื้อทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1,045 ตัน

ด้านความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลกนั้นได้เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ ‎1,180 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการลงทุนในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ทั้งนี้กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำจำนวน 19 ตันในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 นับว่าเป็นกระแสการลงทุนในทิศทางไหลเข้าต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่สองสำหรับสินทรัพย์ประเภทนี้ ขณะที่ความต้องการในทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกยังคงระดับใกล้เคียงกับปี 2566 อยู่ที่ปริมาณ 1,186 ตันสำหรับปี 2567 โดยประเทศไทยมีระดับความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในไตรมาสที่ 4 จำนวน 14.6 ตัน เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้ปริมาณความต้องการของประเทศไทยรวมตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่จำนวน 39.8 ตัน

เนื่องจากสภาวะราคาทองคำที่พุ่งสูง สภาทองคำโลกจึงมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อความต้องการทองคำเครื่องประดับนั้นเป็นแนวโน้มที่ไม่น่าแปลกใจ โดยปริมาณการบริโภคทองคำเครื่องประดับทั่วโลกสำหรับปี 2567 ได้ลดลง 11% อยู่ที่ระดับ 1,877 ตัน อย่างไรก็ตามความต้องการทองคำเครื่องประดับของไทยยังคงแข็งแกร่งและปรับลดลงเพียง 2% และมีความต้องการรายปีรวมเป็น 9.0 ตัน  ทั้งนี้การลดลงของความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกส่วนใหญ่นั้นมีที่มาจากประเทศจีน ซึ่งปรับลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อินเดียยังมีปริมาณความต้องการที่แข็งแกร่งและลดลงเพียง 2% เท่านั้น ภายใต้สภาวะของราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ราคาทองคำที่สูงต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 นั้นถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้บริโภคในตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน อย่างไรก็ตามประเทศไทยนับว่ามีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่น ๆ โดยมีปริมาณการบริโภคทองคำเครื่องประดับของไทยลดลงเพียง 2% ขณะที่ทั่วโลกได้ปรับลดลง 11% เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยจำกัดระดับการปรับตัวลดลงของปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับได้”

คุณเซาไก ‎ ฟาน กล่าวเสริมว่า “ปีที่ผ่านมานับว่าเป็นปีที่ความต้องการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำของประเทศไทยแข็งแกร่งมาก และสูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลก โดยคนไทยได้มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในประเทศได้ นอกจากนี้การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการออมทองคำในรูปแบบดิจิทัล ยังได้ช่วยสนับสนุนให้ความต้องการทองคำของประเทศไทยนั้นแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”

สภาทองคำโลกยังได้ระบุว่า ทองคำในภาคเทคโนโลยีได้ทำสถิติรายไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เป็นต้นมา โดยมีความต้องการจำนวน 84 ตัน การเติบโตของปริมาณทองคำที่ใช้ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นปริมาณสุทธิรายปีรวม 326 ตัน

ด้านอุปทานทองคำทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบเป็นรายปี และทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 4,794 ตัน จากทั้งการผลิตของเหมืองแร่และการรีไซเคิลทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น

ด้านนายหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ทองคำยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2567 โดยราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40 ครั้งในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแนวโน้มความต้องการทองคำนั้นไม่ได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี 2567 โดยภาคธนาคารกลางมีความต้องการที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 1 ก่อนจะชะลอตัวลงในช่วงกลางปี และกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 4 ขณะที่นักลงทุนฝั่งตะวันตกได้หันกลับมาสนใจลงทุนในทองคำอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเมื่อรวมกับกระแสเงินทุนจากฝั่งเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลให้กระแสการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกปรับทิศทางเป็นเชิงบวกในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี โดยความเคลื่อนไหวนี้มีที่มาจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งได้เริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความไม่แน่นอนในระดับโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง”

คุณหลุยส์ สตรีท ได้กล่าวเสริมว่า “ในปี 2568 นี้ เราคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป สนับสนุนด้วยนักลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังมีความผันผวนก็ตาม ในทางกลับกันทองคำเครื่องประดับอาจยังคงชะลอตัวต่อไป เนื่องจากราคาทองคำที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคนั้นน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี ซึ่งสภาวะนี้จะช่วยเสริมความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยรักษามูลค่าและเป็นเครื่องมือลดผลกระทบจากความเสี่ยง"

TCL ปลุกกระแสเทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศ เปิดตัว TCL FreshIN 3.0 Series พร้อมโชว์ศักยภาพนวัตกรรมระดับโลก ในงาน The Future of AC : 2025 Partner Convention 

บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ TCL ผู้นําด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของไทย จัดงาน The Future of AC : 2025 Partner Convention นำโดย คุณแกรี่ จ้าว กรรมการผู้จัดการ, คุณจีรชัย ศักดิ์สง่าวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายเครื่องปรับอากาศ, คุณเฉลิมชัย รัตนเอม ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ และ คุณดอน ถาง ผู้อำนวยการสายการตลาด พร้อมคณะผู้บริหารบริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมฉายวิสัยทัศน์การดำเนินงาน สู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2025 พร้อมรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดเครื่องปรับอากาศอันดับ 1 ของไทย โดยได้รับเกียรติจาก คุณบิล เฉิง Director of TCL APBG Air Conditioner Product Operation Department กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ และตัวแทนจำหน่ายกว่า 500 ราย ผู้ให้การสนับสนุนในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่ร่วมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับ TCL โดยในงานมีเหล่าเซเลบริตี้ อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังเข้าร่วมแสดงความยินดี อาทิ ‘แมทธิว’-‘ลิเดีย-ศรัณย์รัชต์’ พร้อมด้วยครอบครัวดีน, 'ก้อย-อรัชพร', 'นัตตี้-นันทนัท' และ 'ดรีม-อภิชญา'

ทั้งนี้ ภายในงาน The Future of AC : 2025 Partner Convention ได้เปิดตัวเครื่องปรับอากาศนวัตกรรม 'TCL FreshIN 3.0 Series' ที่มาพร้อมนิยามใหม่ กับการทำความเย็นที่ผสานทั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด โดดเด่นด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียงที่รองรับภาษาไทย โดยไม่ต้องต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต มาพร้อมกับดีไซด์แบบ Slim เรียบง่ายที่สามารถเข้าได้กับการตกแต่งทุกพื้นที่ และการแสดงผลแบบ "Lunar Display" ซึ่งสามารถแสดงคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ 

'TCL FreshIN 3.0 Series' ยังมาพร้อมฟังก์ชัน ระบบประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงจากเทคโนโลยี AI ปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย รวมถึงนวัตกรรมคอยล์ร้อนที่มีระบบทำความสะอาดตัวเอง กำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกจากภายในตัวเครื่องด้วยแรงลมกลับทิศทาง ลดการสะสมของสิ่งสกปรก เพื่อสุขอนามัยที่ดี ประหยัดไฟ และ ยืดระยะเวลาการบำรุงรักษา

พร้อมทั้งฟังก์ชันอากาศบริสุทธิ์ ช่วยนำเข้าอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้าน ผ่านระบบกรองอากาศ 4 ขั้นตอน พร้อมระบบการผลักดันอากาศที่อยู่ในห้องออกไป หรือที่เรียกว่า Positive Air Pressure เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนและอากาศบริสุทธิ์ ช่วยดันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมภายในห้อง และ ดักฝุ่นขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้อากาศภายในห้องสดชื่นตลอดทั้งวัน โดยมี ‘หมอริท-นพ.เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช’ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและผิวพรรณ ร่วมให้ข้อมูลถึงนวัตกรรมดังกล่าวที่จะช่วยให้สุขภาพของผู้ใช้งานดีขึ้นจากการรับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ เพื่อบำรุงการทำงานของร่างกาย รักษาความชุ่มชื่นของผิวหนัง รักษาสมดุลผ่านการนอนหลับที่ได้คุณภาพ รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันปัญหาด้านระบบทางเดินลมหายใจ ท่ามกลางฝุ่นละออง PM 2.5 จากภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน 

ภายในงาน TCL ยังได้จัดแสดงนวัตกรรมเครื่องปรับอากาศรุ่นต่างๆ ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพระดับสากล เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยแต่ละรุ่นโดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ ฟังก์ชันอัจฉริยะ และประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือชั้น อาทิ รางวัล 'Smart Fresh Air Technology Innovation Award' กับรุ่น FreshIN ในงาน Global Top Brands Awards Ceremony (GTB) ประจำปี 2024-2025 โดย International Data Group (IDG) ซึ่งจัดโดย Asia Digital Group และ Europe Digital Group ร่วมกับ TWICE โดยได้รับการสนับสนุนจาก IDC ถือเป็นรางวัลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์  และ ล่าสุดเครื่องปรับอากาศรุ่น 'TCL FreshIN 3.0 Series' ที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมเทคโนโลยี Smart Fresh Air ประจำปี 2025 ในฐานะ 'รางวัลออสการ์' ของชุมชนเทคโนโลยี ในงาน Consumer Electronics Show (CES 2025) จัดขึ้นที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 7-10 มกราคม 2568 โดยการจัดทัพนำผลิตภัณฑ์มาจัดแสดงในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความก้าวหน้าของ TCL ในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ แต่ยังเป็นการแสดงความพร้อมสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทยและระดับนานาชาติ 

นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยแล้ว TCL ยังได้จัดงานเลี้ยงขอบคุณตัวแทนจำหน่ายผู้เป็นพันธมิตรสำคัญของบริษัท โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความอบอุ่น พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก ‘ไอซ์-ศรัณยู วินัยพานิช’ และ เซอร์ไพรส์สุดพิเศษจาก ‘ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์’ พรีเซ็นเตอร์ของ TCL ที่ร่วมงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยได้ขึ้นเวทีแสดงความยินดีกับความสำเร็จของบริษัท พร้อมถ่ายภาพและพบปะกับแขกผู้มีเกียรติอย่างเป็นกันเอง งานเลี้ยงในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกันแล้ว ยังเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง TCL และเครือข่ายพันธมิตร เพื่อเดินหน้าสู่อนาคตที่แข็งแกร่งไปด้วยกัน

สามารถชมข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.tcl.com/th/th/air-conditioners/freshin-3-0-series และ Facebook : TCL Electronics (TH)

นครพนม-ตชด.ที่235 ซีลเข้ม นักบินโยนยาทิ้งกว่า 900,000 เม็ด ตามแนวชายแดน ตามนโยบาย 'Seal Stop Safe' 

ตามนโยบายการป้องกัน สกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดน Seal Stop Safe ของรัฐบาล และนโยบายเน้นหนักด้านปราบปรามยาเสพติดของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร ผบ.ตร.,พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผบช.ตชด. กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 โดย พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ ปลาทอง ผบก.ตชด.ภาค 2 ได้เปิดยุทธการพิทักษ์ริมน้ำโขง ซึ่งมีกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 – 24 เป็นหน่วยปฏิบัติ เพื่อปราบปราม สกัดกั้นยาเสพติดที่จะเข้ามาทางชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง

(11 ก.พ.68) ที่ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 235 (สอง-สาม-ห้า) อ.ธาตุพนม จ.นครพนม พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 พร้อมด้วย ร.ต.อ.สมควร เบญจมาตร รักษาการแทนผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 235 ธาตุพนม ได้แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้ากว่า 900,000 เม็ด ในพื้นที่ อ.เซกา จ.บึงกาฬ

โดยเมื่อวันที่ 9 ก.พ.68 เวลา 02.00 น. เจ้าหน้าที่ ชุดปราบปรามยาเสพติด ร้อย ตชด.235 ได้รับแจ้งว่า พบห่อวัตถุต้องสงสัยจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นยาเสพติดหรือสิ่งของผิดกฎหมาย ถูกทิ้งไว้กระจัดกระจายเต็มพื้นที่ บริเวณริมถนนสาธารณะทางหลวงชนบท บ.โนนยางคำ ต.บ้านต้อง อ.เซกา  จ.บึงกาฬ  ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดนำมาทิ้งไว้ ให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการตรวจสอบ  เจ้าหน้าที่ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และประสานไปยังเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด ร้อย ตชด.237 และ ร้อย ตชด.244  บูรณาการร่วมกันออกตรวจสอบ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุไปถึงที่เกิดเหตุพบห่อวัตถุต้องสงสัยจำนวนมาก คาดว่าจะเป็นยาเสพติด จึงได้วางกำลังดักซุ่มรอ จนกระทั่งถึงเวลา 06.00 น. ไม่พบผู้ใดมาแสดงตัวเป็นเจ้าของ จึงได้เข้าตรวจสอบพบ ถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ 3 ถุง ซึ่งมีรอยฉีกขาด ด้านในบรรจุห่อยาบ้าจำนวนหนึ่ง และกระสอบปุ๋ยสีขาวซึ่งบรรจุห่อยาบ้าไว้ โดยในบริเวณเดียวกันยังพบห่อยาบ้าอีกบางส่วนกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นตามริมถนน ในพงหญ้า และตกอยู่ในหนองน้ำในจุดที่เกิดเหตุ  ลักษณะคล้ายกับมีคนนำมาโยนทิ้งไว้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดนำมาทิ้งไว้เพื่อหลบหนีความผิด  เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลาง แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” จากนั้นได้นำของกลางทั้งหมดมาตรวจนับที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 235 ธาตุพนม ผลการตรวจนับ รวมจำนวนประมาณ 900,000 เม็ด จึงได้นำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.โสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 กล่าวว่า ตามที่ รัฐบาล ได้เปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดน Seal Stop Safe และนโยบายเน้นหนักด้านปราบปรามยาเสพติดของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผบช.ตชด.ทางกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ก็ได้เปิดปฏิบัติการพิทักษ์ริมน้ำโขง ป้องกันปราบปรามยาเสพติดจากแนวชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งดำเดินการใน 3 ด้าน คือ ด้านการข่าว การลาดตระเวนเฝ้าตรวจชายแดน และการตั้งจุดตรวจจุดสกัดในจุดเสี่ยงต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ค้ายาไม่สามารถขนส่งยาเสพติดได้โดยสะดวก จึงนำมาโยนทิ้งไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวน และการตั้งจุดตรวจจุดสกัด โดยตำรวจตระเวนชายแดนก็จะทำงานกันอย่างเข้มแข็ง และมุ่งมั่น เพื่อสกัดกั้น และป้องกันไม่ให้มีการนำเข้ายาเสพติด สู่พื้นที่ตอนในประเทศต่อไป

จเรตำรวจแห่งชาติร่วมคณะผู้บัญชาการทหารบก ตรวจชายแดนแม่สอด จ.ตาก ประเมินสถานการณ์หลังไทยมีมาตรการตัดไฟ-เน็ต-น้ำมัน โค่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามนโยบายของรัฐบาล

(10 ก.พ.68) เวลา 09.00 น. กองทัพบกร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสถานการณ์แนวชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก นำโดย พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) , พล.อ.ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก , และคณะ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6 , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก. , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รอง ผบก.อก. บช.ส.รรท.ผบก.ปคม.  เพื่อประมินผลการปฏิบัติและผลกระทบต่อแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์จากมาตรการการตัดไฟของรัฐบาลในพื้นที่ 5 จุดของชายแดนไทย-เมียนมา

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่รับฟังสถานการณ์และตรวจแนวชายแดนตามจุดตรวจต่างๆ ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ร่วมกับทางผู้บัญชาการทหารบก  พบว่า หลังจากรัฐบาลไทยมีมาตรการดังกล่าวทำให้แก๊งดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างมากจากแรงกดดันของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งทางฝ่ายกองกำลังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มที่จะตอบสนองในเชิงบวกต่อนโยบายการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลไทย ซึ่งน่าเชื่อว่ากลุ่มกองกำลังจะมีการเข้าไปช่วยเหลือคนชาติต่างๆ ที่ทางการของประเทศต่างๆ แจ้งมาส่งผ่านประเทศไทยเพื่อกลับไปสู่ครอบครัวของตนเอง รวมทั้งขับไล่กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกไปจากพื้นที่ 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นองค์กรอาชญากรรมขัามชาติ ที่มาสร้างความเลวร้ายให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งคนทั่วโลก ขอให้ประชาชนเมียวดีช่วยกันขับไล่คนชั่วเหล่านี้ที่เป็นคนต่างชาติออกจากพื้นที่ให้หมด รวมทั้งประชาชนในอำเภอแม่สอดต้องช่วยกันไม่ให้กลุ่มคนร้ายหนีมาหลบซ่อนตัว พักอาศัยอยู่ตามโรงแรม หรือห้องพักห้องเช่าต่างๆ ไม่ให้กลุ่มคนชั่วที่เป็นชาวต่างชาติมีที่ยืนในผืนแผ่นดินของเรา อีกต่อไป ขอให้ประชาชนทั้งสองฝั่งร่วมแรงร่วมใจกันนำความผาสุกกลับมาสู่บ้านเมืองของเราให้โดยเร็ว โดยทาง ผู้บัญชาการทหารบกจะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในภารกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่

มทบ.32 ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมและขยายผลยาเสพติดรายสำคัญ

(10 ก.พ.68) เวลา 11.00 น. พล.ต. วิชาญ  ศรีภัทรางกูร ผบ.มทบ.32 มอบหมายให้ พ.อ กวิน ยาวิชัย รอง ผบ.มทบ.32​ ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมและขยายผลยาเสพติดรายสำคัญฯ โดยมีรายละเอียดคือ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเถิน ร่วมกับ สถานีตำรวจภูธรแม่พริก และฝ่ายปกครอง ได้ทำการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 1 ราย ผู้ต้องหา จำนวน 2 คน พร้อมยาเสพติดของกลาง (ยาบ้า) จำนวน 6,000,000 เม็ด และ รถยนต์ จำนวน 1 คัน โดยมี พล.ต.ท. กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานฯ ณ ที่ทำการ ภ.จว.ลำปาง (แห่งใหม่)อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป.ป.ส. ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนเพื่อร่วมกันสอดส่องดูแลลูกหลานหรือบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยสามารถแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด 1599 , สายด่วน 191 , line@inthanon1(ผบช.ภ.5) และ Application Police l lert U ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top