Monday, 19 May 2025
NewsFeed

เปิดโปงความเชื่อมโยง!! ‘USAID – CIA - UNHCR’ ปฏิบัติการลับ!! แทรกแซงทางการเมือง ในต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ The Express Tribune ได้เผยแพร่บทความเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเขียนโดย อิมเตียซ กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านความมั่นคงแห่งอิสลามาบัด โดยบทความดังกล่าวตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง USAID (องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ), CIA (หน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ) และ UNHCR (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) โดยระบุว่าองค์กรเหล่านี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือแฝงสำหรับปฏิบัติการข่าวกรองและแทรกแซงทางการเมืองในต่างประเทศ

ข้อกล่าวหาต่อ USAID และ CIA

ตามรายงานของ The Express Tribune บทบาทของ USAID ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ยังเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของ CIA ในการดำเนินปฏิบัติการลับ โดยอ้างถึง ไมค์ เบนซ์ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยว่า USAID ใช้งบประมาณกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และบางส่วนถูกนำไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรอง

บทความยังยกตัวอย่างกรณีของ โครงการ Population Profiling Vulnerability and Response (PPVR) ที่ได้รับเงินทุนจาก USAID ผ่านองค์กร BEFARe ในปากีสถาน ซึ่งเริ่มต้นในปี 2009 เพื่อสำรวจประชากรอัฟกันในพื้นที่ชายแดน แต่ภายหลังถูกปรับเปลี่ยนเป็น โครงการ PPV ในปี 2011 โดยขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลไปยังพื้นที่สำคัญ เช่น อับบอตตาบัด ชิตรัล และสวัต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ โอซามา บิน ลาเดน ถูกลอบสังหารในปีเดียวกัน

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่สำรวจได้ เก็บพิกัด GPS ของประชากรในพื้นที่ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และทำให้เกิดข้อสงสัยว่าโครงการนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการข่าวกรองของ CIA โดยบทความตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมโดย UNHCR ในโครงการนี้ ไม่ได้ถูกแบ่งปันให้กับรัฐบาลปากีสถานอย่างโปร่งใส

UNHCR กับบทบาทที่ถูกตั้งคำถาม

The Express Tribune ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของ UNHCR โดยระบุว่าองค์กรนี้ได้รับงบประมาณจำนวนมากจาก USAID และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยข่าวกรอง ตัวอย่างเช่น ในกรณีของปากีสถาน UNHCR ได้ดำเนินโครงการร่วมกับ BEFARe เพื่อสำรวจประชากร แต่ข้อมูลบางส่วนกลับ ถูกปิดกั้นจากรัฐบาลปากีสถาน ขณะที่ CIA อาจเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ บทความยังยกตัวอย่างกรณีของ โครงการฉีดวัคซีนปลอมของ Dr. Shakeel Afridi ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปฏิบัติการของ CIA ซึ่งใช้เครือข่ายด้านสาธารณสุขในการ รวบรวมข้อมูล DNA ของประชากรในพื้นที่ชนเผ่า (FATA) เพื่อติดตามเครือข่ายของโอซามา บิน ลาเดน โดยกรณีนี้สร้างความไม่ไว้วางใจต่อองค์กรช่วยเหลือต่างชาติในปากีสถาน

บทบาทของทรัมป์และอีลอน มัสก์ในการเปิดโปงเครือข่ายนี้

The Express Tribune รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ SpaceX และ X (Twitter) ได้มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่าง USAID และ CIA โดยเฉพาะการแฉว่า USAID ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนปฏิบัติการข่าวกรองและการแทรกแซงการเมือง

ล่าสุด มีรายงานว่า โครงการของ USAID หลายโครงการถูกยุติ หรือถูกลดงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการระงับเงินทุนของสื่อบางสำนัก เช่น BBC, Reuters และ Politico ที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจาก USAID

บทสรุปของรายงาน 

บทความของ The Express Tribune ชี้ให้เห็นว่า

1. USAID อาจมีบทบาทมากกว่าการเป็นองค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของ CIA

2. UNHCR อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยข่าวกรอง โดยเฉพาะในประเทศเป้าหมายที่สหรัฐฯ มีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์

3. CIA ใช้โครงการช่วยเหลือเป็นฉากบังหน้าในการดำเนินปฏิบัติการลับ ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลประชากร การแทรกแซงทางการเมือง และการติดตามบุคคลเป้าหมาย

4. โดนัลด์ ทรัมป์ และอีลอน มัสก์ เป็นบุคคลสำคัญที่เปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรเหล่านี้ นำไปสู่การลดบทบาทของ USAID ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า องค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง USAID และ UNHCR เป็นเพียงองค์กรด้านมนุษยธรรมหรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองของสหรัฐฯ กันแน่?

'อิ๊งค์' ปลื้ม!! เยี่ยมคารวะ 'ปธน.สี จิ้นผิง’ ยังได้พบผู้นำระดับสูงของจีนอีก 2 คน นายกรัฐมนตรี ‘หลี่ เฉียง’ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน ‘จ้าว เล่อจี้’

(8 ก.พ. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่า … 

นอกเหนือจากการเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผลสำเร็จจากการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ดิฉันยังได้พบหารือกับผู้นำระดับสูงของจีนอีกสองท่านที่กรุงปักกิ่งด้วย คือ

1. ประชุมหารือกับท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ซึ่งดิฉันได้ขอบคุณท่านนายกหลี่ฯ ที่เชิญเยือนและต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งสองฝ่ายพร้อมกระชับความร่วมมือในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล เช่น EV AI เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานทางเลือก การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน การยกระดับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เชื่อมโยงนวัตกรรมทางการเงินและตลาดทุน การพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนหารือแนวทางร่วมมือแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่สำคัญเราจะยกระดับความร่วมมือแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาคอลเซ็นเตอร์

ดิฉันยังได้เชิญท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ฯ เยือนไทยในโอกาสปีทองแห่งมิตรภาพไทย - จีน ซึ่งท่านได้ตอบรับด้วยความยินดี

ดิฉันได้ร่วมกับท่านนายกหลี่ฯ เป็นสักขีพยานการลงนามเอกสารความร่วมมือ

สองฝ่ายรวม 13 ฉบับ ครอบคลุมผลประโยชน์หลายสาขา เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีนิวเคลียร์ อวกาศ และ AI

2. พบหารือท่านจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน ซึ่งเราเห็นพ้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น และส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ด้วยทุนการศึกษา วัฒนธรรม และ soft power

ทั้งหมดนี้ดิฉันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินผลให้เป็นรูปธรรมในโอกาสแรก เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน และการดำเนินความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งในอนาคต 50 ปีข้างหน้าต่อไปค่ะ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพอใจ 7 มาตรการเข้ม สั่งรุกปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำเดินหน้าไม่แผ่ว ไม่ให้พื้นที่แก๊งอาชญากรรม

(8 ก.พ.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า หลังจากที่ออกนโยบาย 7 มาตรการเข้มข้น นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 และขีดเส้นตาย 7 วันให้ทุกหน่วยดำเนินการ พบว่าผลการดำเนินงานตาม 7 มาตรการเข้มข้น ทั้งด้านการปราบปราม การป้องกัน การให้ความช่วยเหลือ เห็นผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ จึงสั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศตคม.ตร.) และศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ซึ่งมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เดินหน้าขับเคลื่อนการปฏิบัติต่อเนื่องอย่างเต็มกำลัง เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป 

ในส่วนของพื้นที่เสี่ยงที่เฝ้าระวังตามแนวชายแดน โดยเฉพาะ อ.แม่สอด จ.ตาก เจ้าหน้าที่เข้มงวดในการคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่จะข้ามแดนไปยังฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ทั้งทางด่านตรวจ ท่าข้าม และช่องทางธรรมชาติ และยังมีมาตรการในการป้องกันการย้ายฐานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ไปยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะฝั่งชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกองทัพบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการร่วมกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในทุกมิติ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศ และระดับนานาชาติ อาทิ INTERPOL , สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) , สถานเอกอัครราชทูตนานาประเทศ เป็นต้น เพื่อบูรณาการเดินหน้าในการปราบปรามอย่างไม่ลดละ 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันหนักแน่นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะลุยต่อไม่แผ่วในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป มั่นใจการดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่องจะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ไม่มีพื้นที่ให้มิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนได้อีก ย้ำ “เราทำจริง เอาจริง ประชาชนต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรเหล่านี้อีกต่อไป” 

มั่นใจว่าด้วยความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาในทุกภาคส่วน มาตรการต่างๆ จะเห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

จเรตำรวจแห่งชาติสั่งเพิกถอนวีซ่าชาวญี่ปุ่น 4 ราย ลักลอบข้ามแดนไปฝั่งเมียวดี พบมีหมายจับคดีอาญาและยาเสพติดของญี่ปุ่นหลายคดี  

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง ตาม 7 มาตรการเข้มข้น ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ เน้นการสกัดการเคลื่อนย้ายข้ามแดนตามช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามแดนต่าง ๆ 

ล่าสุดพบมีกรณีนักท่องเที่ยวสัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 4 ราย ที่เดินทางด้วยรถยนต์ตู้โดยสารเข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ถ.อินทรคีรี ต.แม่สอด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เวลา 19.17 น. ต่อมาสืบสวนทราบว่าได้เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 และมีรถแท็กซี่มารับคนต่างด้าวทั้ง 4 ราย จากโรงแรมดังกล่าว พาไปส่งถึงที่บริเวณตลาดริมเมย ข้างสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 1 เวลาประมาณ 12.00 น. และได้เดินดูของที่ตลาดริมเมยเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปก่อนหายตัวไป โดยในวันเดียวกันนั้น เวลา 11.00 น. ได้มีนายไหน่ สัญชาติเมียนมา เดินทางโดยรถยนต์จากฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา มายังประเทศไทย ผ่านสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 1 เพื่อมารับกระเป๋าของคนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ที่โรงแรม และเดินทางกลับไปฝั่งประเทศเมียนมาโดยไม่ผ่านการตรวจศุลกากรประเทศไทย 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้พิจารณามีความคาดว่านักท่องเที่ยวสัญชาติญี่ปุ่นจำนวน 4 รายดังกล่าว น่าจะลักลอบข้ามแดนไปฝั่งประเทศเมียนมาแล้ว และน่าจะเป็นกลุ่มขบวนการหลอกลวง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ที่จะหลอกลวงคนญี่ปุ่น ประกอบกับประสานข้อมูลประวัติอาชญากรรมของคนต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่นทั้ง 4 ราย จากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พบว่ามีประวัติอาชญากรรมและมีหมายจับคดียาเสพติดของทางการญี่ปุ่นหลายคดี ทั้งนี้ คนต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่นทั้ง 4 ราย ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยการอนุญาตยังไม่สิ้นสุด ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตากพิจารณาแล้วเห็นว่าคนต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่นทั้ง 4 ราย มีพฤติการณ์ที่มีลักษณะเป็นบุคคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร จึงเสนอเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า กรณีชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 รายดังกล่าว พบว่าเป็นกลุ่มอาชญากรรมมีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคม และมีแนวโน้มเป็นกลุ่มแก๊งที่เข้าร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงสั่งเด็ดขาดเพิกถอนวีซ่าทั้ง 4 ราย และขึ้นแบล็คลิสต์ห้ามเข้าไทย ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเดินหน้าเต็มกำลังปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งขบวนการ โดยดำเนินการทุกมาตรการอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องอย่างไม่ลดละ

‘ม็อบเมียวดี’ ปลุกปิด!! ‘สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา’ งดใช้!! สินค้าไทย หลังถูกตัด ‘ไฟฟ้า-น้ำมัน’ เข้าสู่วันที่ 4

(8 ก.พ. 68) หลังจากที่รัฐบาลไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้หยุดส่งกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมา ตามมติของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 5 ก.พ. ทำให้มีประชาชนชาวเมียนมา เริ่มได้รับผลกระทบ จนทำให้มีกลุ่มประชาชนชาวเมียนมา และผู้ได้รับผลกระทบจากการตัดกระแสไฟฟ้าและการงดส่งน้ำมัน จะรวมตัวกันที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และ แห่งที่ 2 (ฝั่งเมียนมา) 

สถานการณ์ล่าสุด การจัดการชุมนุม ของ ประชาชนชาวเมียนมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมา ประสานงานกับรัฐบาลไทย ให้ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการตัดไฟฟ้า และการงดส่งน้ำมัน 

นายอูตู่เหร่งมินทุน อายุ 44 ปี และ นายอูจ่อจ่อ อายุ 45 ปี แกนนำจัดชุมนุมเดินขบวนแสดงความคิดเห็นอย่างสันติของประชาชนในตัวเมืองเมียวดี โดยได้ไปรวมตัวกันที่ สวนสาธารณะส่วยเมียะสั่นดี่ หมู่ 4 เมืองเมียวดี และเริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปทางสะพานมิตรภาพไทย เมียนมาแห่งที่ 1 โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวน 30-40 คน ต่างตะโกนว่า

“จงปิดสะพานการค้าชายแดนไทย-เมียนมา 1 และ 2”

จงปิดท่าต่าง ๆ ผิดกฎหมายพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา จงอย่าใช้สินค้าไทย” 

ทั้งสถานการณ์การชุมนุมฝนพื้นสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่ง ที่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

โดยมี นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจราชมนู เจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามาร่วมสังเกตการณ์

เดินหน้าร่วมมือจีน!! ‘แพทองธาร’ กระชับ!! มิตรภาพสองชาติ เปิดบทใหม่ สร้างสายสัมพันธ์อันดี

(8 ก.พ. 68) "จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่สวยงาม คนไทยไม่น้อยอยากมาเที่ยว ตัวดิฉันเคยมาปักกิ่งหลายครั้งและชอบที่นี่เช่นกัน นอกจากรู้สึกเหมือนบ้านแล้วยังสัมผัสได้ถึงมิตรไมตรี" 

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (6 ก.พ.) ที่ผ่านมา

ปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งระหว่างการสัมภาษณ์ แพทองธารได้แสดงเข็มกลัดที่ระลึกเนื่องในวาระดังกล่าว พร้อมเอ่ยวลี "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" หลายครั้ง เน้นย้ำหลายหนว่าไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับจีน และกล่าวถึงความเป็นมาการแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างสองฝ่ายหลายครั้ง

แพทองธารกล่าวว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนชาวไทยกับชาวจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมิตรภาพระหว่างสองประเทศก้าวสู่ 50 ปีทอง โดยทั้งสองฝ่ายร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากกรุงปักกิ่งมาประดิษฐานในไทย ซึ่งชาวไทยสนใจอย่างมาก และมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมระหว่างสองประเทศ

สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า แพทองธารเริ่มต้นด้วยการชื่นชมการพัฒนาอันรวดเร็วของจีนและผลการดำเนินงานอันโดดเด่นของกลุ่มบริษัทจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยการพัฒนาอันรวดเร็วของจีนดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก และหลายแนวคิดที่เสนอโดยผู้นำจีนเป็นที่จับตามองกันอย่างมาก

เมื่อวันที่ 4 ม.ค. แพทองธารได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีและอนุมัติโครงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 พร้อมระบุว่าจะเดินหน้าส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบการทำงานตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ต่อไป

นอกจากนั้นไทยจะส่งเสริมการก่อสร้างทางรถไฟไทย-จีน เพื่อให้ทางรถไฟสายนี้ที่เชื่อมต่อไทย ลาว และจีน กลายเป็นเส้นทางขนส่งข้ามชาติที่สำคัญสำหรับการขนส่งผู้คนและสินค้าโดยเร็วที่สุด โดยแพทองธารแสดงความเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและประชาชนยิ่งขึ้น

แพทองธารยังกล่าวถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทย ระบุว่าปี 2024 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเยือนไทยราว 6.7 ล้านคน แม้ยังไม่แตะระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยไทยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง และเธอได้หารือกับตำรวจท่องเที่ยวและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ อยู่หลายครั้งเกี่ยวกับการปกป้องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ขณะเดียวกันแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีแสดงความจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม กล่าวว่าไทยได้ตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายแก่เมียนมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ซึ่งทราบว่าช่วยลดจำนวนสายโทรศัพท์หลอกลวงลง และจะประเมินผลลัพธ์ของการตัดไฟหลังจากครบหนึ่งสัปดาห์

แพทองธารกล่าวว่าไทยจะทำงานร่วมกับจีนในอนาคต เพื่อศึกษาการจัดตั้งกลไกคณะทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล ปฏิบัติงานร่วมกัน และร่วมแก้ไขปัญหานี้

สำหรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ในเมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน แพทองธารกล่าวว่าแม้ไทยไม่มีหิมะ แต่ชาวไทยสนใจกีฬาน้ำแข็งและหิมะอยู่ไม่น้อย โดยเธอจะเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันครั้งนี้ พร้อมส่งกำลังใจแก่นักกีฬาไทยและนักกีฬาจากประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมด้วย

แพทองธารกล่าวว่ากีฬาเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) ของประเทศ และเป็นส่วนสำคัญของมิตรภาพระหว่างไทยกับจีน ซึ่งเธอวางแผนจะประชาสัมพันธ์กีฬาไทยเดิมอย่างมวยไทยระหว่างเดินทางเยือนเมืองฮาร์บินด้วย

ทั้งนี้ แพทองธารทิ้งท้ายว่าชาวไทยและชาวจีนเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีการไปมาหาสู่และติดต่อสื่อสารใกล้ชิด วัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน การช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน สามารถเข้าใจและไว้วางใจกันและกันเสมอมา โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับจีนเพื่อเปิดบทใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-จีน

‘สนธิ’ เผย!! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถอนฟ้อง คดีหมิ่นประมาท ให้แล้วทุกคดี ชี้!! ทำพลาดที่สุดในชีวิตที่ไปฟ้อง อ้อน!! ขอให้เมตตาเหมือนเดิม

(8 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ประธานที่ปรึกษาสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ได้จัดรายการ SONDHITALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep : 279 และได้กล่าวถึง ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีใจความว่า ...

ผมโดน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ทั้งหมด 8 คดี 7 คดี ฟ้อง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ใน 7 คดีนั้นมีอยู่ 6 คดี ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ชี้ว่ามีมูล แล้ว 6 คดี ก็มีคำสั่งมาจากท่านอธิบดีว่า ให้จบภายใน 6 เดือน แล้วเขาก็ใช้คุณมินนี่ ฟ้อง อีกคดีที่จังหวัดเลย เป็นคดีหมิ่นประมาทเช่นเดียวกัน 

ซึ่งผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าสู้คดีอย่างสุดฤทธิ์ โดยที่ไม่เกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ปรากฏว่า บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องคดีทุกคดี โดยระบุว่าโจทก์และจำเลย ตกลงกันได้ แต่เนื่องจากเขาถอนฟ้อง โดยไม่ได้คุยอะไรกัน ก็กลายเป็นว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย จนกระทั่ง ‘ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้มาแจ้งว่า บิ๊กโจ๊ก ได้ถอนฟ้องหมดแล้ว ถอนฟ้องโดยไม่มีเงื่อนไข สรุปแล้วทั้ง 8 คดี ถอนฟ้องหมดเลย

และสิ่งที่ บิ๊กโจ๊กพูด สิ่งที่เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือ การมาฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล

และบิ๊กโจ๊ก ก็ได้มีโอกาสมาเข้าพบ ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ถอนฟ้องแล้ว ก็มาบอกว่า ขอโทษ และให้ช่วยเมตตาเหมือนเดิม ซึ่งคำว่าเมตตานั้น ถ้าผมเห็นว่าคุณทำผิด แล้วผมจะพูดผิด ให้กลายเป็นถูกนั้น ผมทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าคุณทำอะไรแล้ว มันก้ำกึ่ง ผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณ

‘ชาวเมียวดี’ ชุมนุมต่อต้านไทย!! หลังมาตรการ ‘ตัดไฟ-ตัดน้ำมัน’ เตรียมรับมือปัญหาต่อไป ‘การลักลอบเข้าเมือง-การค้า-สาธารณสุข’

ตามที่รัฐบาลไทยใช้ปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการเน้นไปที่การตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเทอร์เนตนั้น เอย่ากล่าวแล้วในบทความก่อนว่าการตัดไฟนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่กลุ่มสแกมเมอร์เลย เพราะพวกนั้นไม่ได้ซื้อขายผ่านระบบที่ถูกต้องอยู่แล้วทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านที่เมียวดีและชาวบ้านริมชายแดนที่ได้รับอานิสงส์จากการซื้อขายไฟต่างหากเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

และนั่นก็ทำให้เหตุวันนี้เกิดขึ้น โดยวันนี้เวลา 9.00 น. ชาวเมียวดีมาชุมนุมเรียกร้องให้ปิดการค้าขายทั้งหมดทั้งสะพานและท่าข้ามต่าง ๆ จากไทยและแบนการใช้สินค้าไทยทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ไทยปฏิบัติการที่ไทยจัดการสแกมเมอร์แต่ชาวบ้านเดือดร้อน

เอย่าได้กล่าวไปแล้วว่าการตัดไฟ ตัดน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและจะสร้างผลเสียหายต่อไทยโดยเฉพาะการค้าชายแดน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลุกลามเป็นกระแสการแบนสินค้าไทยในเมียนมาด้วย 

การค้าชายแดนที่ผ่านมาหากนับแค่การค้าผ่านด่านการค้าชายแดนก็มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือน โดยหากดูมูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาทไม่รวมการส่งออกตามท่าข้ามต่าง ๆ

แม้จนถึงตอนนี้จะมีรายงานว่ามีประชาชนมาชุมนุมยังไม่มากดังที่แผนที่เขาววางไว้ว่าจะมาชุมนุมถึง 3000 คนก็ตามแต่หากความเดือดร้อนนี้ยังคงอยู่ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งอันนำผลมาสู่ปัญหาชายแดนนอกจากเรื่องการค้าแล้ว การลักลอบเข้าเมืองจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งปัญหาเรื่องสาธารณสุขที่จะกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นจะข้ามมารักษาตัวที่ไทย  แล้วใครคือผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ กลุ่มคอลเซนเตอร์หรือคนไทย...?

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ช่วยนำส่งหัวใจดวงที่ 113 จากผู้ให้สู่ผู้รับได้สำเร็จ ช่วยให้หัวใจดวงนี้กลับมาเต้นอีกครั้ง

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำกับดูงานงานจราจร ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือบนท้องถนน ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำอวัยวะหัวใจส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อลมหายใจให้ชีวิตใหม่เป็นหัวใจดวงที่ 113 โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชน รวมถึงตำรวจทางหลวง จึงนำส่งได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 

ทั้งนี้ ภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจครั้งล่าสุดนี้ เป็นการส่งต่อหัวใจดวงที่ 113 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งหัวใจได้ถูกผ่าตัดออกจากผู้บริจาคเวลาประมาณ 11.00 น. แพทย์นำหัวใจเดินทางออกจากโรงพยาบาลใน จ.ลำปาง เวลา 11.43 น. ตำรวจทางหลวงลำปางเร่งเปิดทางนำส่งไปยังสนามบินลำปางอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 4 นาที ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีเวลาอีกเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นในการนำหัวใจปลูกถ่ายให้ผู้รับ ทำให้เร่งรัดต้องนำส่งให้ถึงโรงพยาบาลปลายทางก่อนเวลา 15.00 น. เครื่องบินยกตัวในเวลา 12.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ในการลำเลียงอวัยวะหัวใจมาถึงสนามบินแสงตะวัน ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในเวลาประมาณ 14.00 น. และเวลาตาม GPS ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง 16 นาที เพื่อนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หากเดินทางปกติอาจทำให้เกินเวลาและเสียหัวใจดวงนี้ไป ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยจึงประสานขอสนับสนุนตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ช่วยในภารกิจการนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังจากรับแจ้ง ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้นำกำลังไปรอรับบริเวณสนามบินแสงตะวัน เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยังโรงพยาบาลจุดหมาย ใช้เส้นทางผ่านถนนมอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันออก ขึ้นทางด่วนจตุโชติ-รามอินทรา ลงด่านพระราม 4 โดยมีรถจักรยานยนต์ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ จำนวน 7 คัน นำทางให้รถพยาบาล ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้ ใช้เวลาปฏิบัติภารกิจเพียง 38 นาทีเท่านั้น นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้สำเร็จ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญฯ ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ รวมถึงตำรวจทางหลวง ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง 'สุภาพบุรุษจราจร' ที่คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรกำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,500 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริ ได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197

ตำรวจภูธรภาค 2 ทลายออฟฟิศออนไลน์เถื่อน จับกุมชาวจีน 12 ราย เร่งขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) เวลา 08.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี (ผบก.ภ.จว.ชลบุรี) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบางละมุง นำหมายค้นเข้าตรวจสอบอาคารแห่งหนึ่งในพื้นที่ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หลังได้รับเบาะแสจากประชาชนว่ามีการลักลอบดำเนินกิจกรรมออนไลน์ต้องสงสัย จากการตรวจค้น พบชาวจีนจำนวน 12 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ 2 รายอยู่ในประเทศไทยเกินกำหนด (Overstay) นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมออนไลน์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์เปิดใช้งานอยู่ 10 เครื่อง โทรศัพท์เคลื่อนที่ 61 เครื่อง จากการตรวจสอบเบื้องต้น สันนิษฐานว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวอาจมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ ที่ให้บริการแก่ลูกค้าชาวจีน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่าง ขยายผลการสอบสวน เพื่อเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด และบันทึกข้อมูลเป็นบุคคลต้องห้ามหรือลงแบล็กลิสต์ (Blacklist) เพื่อสกัดกั้นบุคคลไม่พึงประสงค์เข้าสู่ประเทศไทย  

ตำรวจภูธรภาค 2 จะไม่ยอมให้มิจฉาชีพข้ามชาติ หรือกลุ่มอาชญากรใด ๆ ใช้พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งซ่องสุมหรือก่ออาชญากรรมอย่างเด็ดขาด เราจะเดินหน้ากวาดล้างเครือข่ายมิจฉาชีพให้สิ้นซาก ใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ทุกคนที่คิดละเมิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีที่ยืนในสังคม!  ขอเตือนทุกกลุ่มอาชญากร อย่าคิดว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย! ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมเดินหน้ากวาดล้างทุกเครือข่ายอาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือกลุ่มผู้กระทำผิดในทุกรูปแบบ เราจะลุยเต็มกำลัง ไม่มีละเว้น!

ตำรวจภูธรภาค 2 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน หากพบเบาะแสเกี่ยวกับอาชญากรรม หรือบุคคลต้องสงสัย แจ้งข้อมูลได้ทันทีที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือโทรแจ้งสายด่วน 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับ และเราจะจัดการกับอาชญากรให้ถึงที่สุด!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top