Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

สมาคมแม่บ้านตำรวจจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 วางแนวทางการทำงานภายใต้วิสัยทัศน์ 'ส่งเสริม พัฒนา รู้หน้าที่ ยืนเคียงข้าง สร้างขวัญกำลังใจ'

(5 ก.พ.68) เวลา 10.00 น. คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 สมาคมแม่บ้านตำรวจ โดยมีคุณอภิรมย์ ทรวดทรง , คุณอาภิพร ชูวงศ์ , ผศ.พรพิมล วงศ์สุข , คุณณัฐนี เหลื่อมศรี , คุณณพิชชา คล้ายคลึง , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยกรรมการบริหารสมาคมฯ , ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจระดับกองบัญชาการ และระดับกองบังคับการ ทั่วประเทศ ร่วมประชุม ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจได้มีนโยบายในการดำเนินงานของสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นองค์การสถาน สาธารณกุศลที่ส่งต่อความสุข การสร้างขวัญและกำลังใจ รวมถึงโอกาส ผ่านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ ควบคู่การรักษาภาพลักษณ์ที่งดงามของแม่บ้านตำรวจ และเป็นหลังบ้านที่คอยสนับสนุน เคียงข้าง และให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในทุกสถานการณ์ โดยมีพันธกิจ 5 ด้าน ได้แก่ ถวายความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ , พัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ , ส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีและภาพลักษณ์ที่ดีของแม่บ้านตำรวจ และพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ส่งเสริม พัฒนา รู้หน้าที่ ยืนเคียงข้าง สร้างขวัญกำลังใจ” 

ในปี 2568 นี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจจะเดินหน้าภารกิจและโครงการในด้านต่าง ๆ ได้แก่

ด้านการพัฒนาสังคม : เทิดพระเกียรติ ถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านกิจกรรมสาธารณประโยชน์ รวมถึงกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาระหว่าง สมาคมแม่บ้านตำรวจกับชุมชนและสังคม ได้แก่ ภารกิจรับ - ส่งเสด็จพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ,  งานกาชาด , งานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก , งานจิตอาสา

ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวตำรวจ : มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวตำรวจ พัฒนาต่อยอดศักยภาพทางด้านอาชีพของสมาชิกแม่บ้านตำรวจ ผลักดันเรื่องการบริหารจัดการทางด้านการเงิน และสนับสนุนการศึกษาของบุตรข้าราชการตำรวจ ได้แก่ โครงการหนึ่งจังหวัดหนึ่งผลิตภัณฑ์ One Province One Product (OPOP) , โครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” , ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ , โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ 'Money Management & Investment' ,  

ด้านการพัฒนาคน : มุ่งเน้นการพัฒนาคนให้ได้รับโอกาสที่เท่าเทียม สร้างการศึกษา นำธรรมะมาเป็นเครื่องมือ ในการพัฒนาจิตใจ และส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสและพื้นที่ในการแสดงออก ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา ทักษะอาชีพ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ได้แก่ โครงการพัฒนาทักษะของแม่บ้านตำรวจ , โครงการแสงธรรมนำใจ , โครงการส่งเสริมศักยภาพบุตรข้าราชการตำรวจ 

ทั้งนี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนของคุณภาพชีวิต และส่งเสริมขวัญกำลังใจแก่กำลังพลและครอบครัวในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนับสนุนนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พัฒนาสังคมและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดจนการสร้างความภาคภูมิใจและนำมาซึ่งความสามัคคีของเหล่าสมาชิกสมาคมแม่บ้านตำรวจทั่วประเทศ

สตม.รวบเวียดนาม ลอบขายกัญชา ยึดของกลางกว่า 300 กิโล

กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม จำนวน 7 คน ดังนี้
1. MR.ANH VU (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี

2. MR.MANH DUNG (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี

3. MR.TIEN DUY (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี       

4. MR.LAM NHAT (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี

5. MRS.THI LINH (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี      

6. MR.MINH HIEU (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี

7. MR.THANH HUNG (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี

พร้อมของกลางช่อดอกกัญชา ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ได้ จำนวน 300.25 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000 บาท รวมมูลค่า 3,002,500 บาท, เครื่องชั่งดิจิทัล จำนวน 2 เครื่อง, เครื่องนับธนบัตร จำนวน 1 เครื่อง, เครื่องซีลบรรจุภัณฑ์ จำนวน 2 เครื่อง, เครื่องซีลสุญญากาศ จำนวน 1 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านพักในซอยลาดพร้าว 107 แยก 26 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2568 เวลาประมาณ 03.15 น. กก.2 บก.สส.สตม.ได้รับการประสานจาก กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ว่าได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจาก MS.NGUYEN อายุ 27 สัญชาติเวียดนาม โดยการพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือของตนแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 ว่าไม่ประสงค์ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยการเดินทางในครั้งนี้ ตนได้เดินทางมาจากประเทศฟิลิปปินส์ จึงได้สอบถาม MS.NGUYEN แจ้งว่าได้รับการชักชวนจากเพื่อนหญิงชาวเวียดนามใน Facebook ชื่อ sam ทราบภายหลังว่าชื่อ MS.LUONG ได้ชักชวนให้ไปเที่ยวที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ภายหลังจึงทราบว่าเป็นการหลอกลวงให้ไปทำงานเกี่ยวกับพนันออนไลน์ มีหน้าที่แปลภาษาเวียดนามเป็นภาษาอังกฤษ ในการเดินทางครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 7 คน เป็นคนสัญชาติเวียดนาม จำนวน 5 คน ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และคนสัญชาติจีน จำนวน 2 คน ได้แก่ MR.PENG (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี และ MR.JUNJIAN (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี โดยคนจีนทั้ง 2 คนนั้น เป็นคนจัดการเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินจากเวียดนามไปยังกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ต่อมา MS.NGUYEN แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าขณะที่ตนพร้อมเพื่อนชาวเวียดนามทั้งหมด อยู่ที่กรุงมะนิลา MR.JUNJIAN ได้ยึดหนังสือเดินทางของพวกตนไว้ จะให้พวกตนถือหนังสือเดินทางต่อเมื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่เท่านั้น ต่อมาตนและเพื่อนชาวเวียดนาม ทราบจากการพูดคุยว่าคนจีนทั้งสองคน จะนำพวกตนไปส่งขึ้นรถตู้ที่เตรียมไว้ไปส่งที่ อ.แม่สอด จว.ตาก เพื่อข้ามฝั่งไปยังประเทศเมียนมา เมื่อทราบดังนั้นจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือจากหน้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าตรวจสอบพบว่า MR.MANH DUNG ได้รับการตรวจอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว และยังไม่ทราบถึงความปลอดภัยดีหรือไม่เนื่องจาก MR.MANH DUNG ถูกหลอกลวงให้ไปทำงานที่ ประเทศฟิลิปปินส์ เช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบพบว่าเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2568 เวลาประมาณ 03.10 น. รถแท็กซี่สีเขียว ได้ไปส่ง MR.MANH DUNG ที่บ้านหลังหนึ่งในซอยลาดพร้าว 107 แยก 26 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านสองชั้น เนื้อที่ประมาณ 100 ตรว. มีรั้วรอบขอบชิด กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นจากศาลอาญา ผลการตรวจค้นพบ MR.ANH VU แสดงตนเป็นผู้ครอบครองบ้าน และภายในบ้านยังพบ MR.MANH DUNG ที่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ MR.TIEN DUY, MR.LAM NHAT, MRS.THI LINH, MR.MINH HIEU, MR.THANH HUNG และพบช่อดอกกัญชา ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ จำนวน 300.25 กิโลกรัม พร้อมของกลางอีก 4 รายการ จึงได้ประสานไปยัง เจ้าหน้าที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เพื่อตรวจสอบช่อกัญชาดังกล่าว โดย MR.ANH VU ได้นำใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้ามาแสดง เจ้าหน้าที่ฯ ได้ตรวจสอบใบอนุญาตดังกล่าวพบว่าเป็นใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า โดยผู้รับใบอนุญาต ได้แก่บริษัท ซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ 11 ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี ซึ่งใบอนุญาตฯ ดังกล่าวมีเลขที่ตั้งไม่ตรงกับบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมทั้ง 7 คน ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

สตม.จับหัวหน้าแก๊งผิวสีหลอกขายเม็ดทองปลอมอาศัยทีเผลอแอบสลับเงินปลอม กว่า 1.1 ล้านบาท

กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมนาย Bobby (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไลบีเรีย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.128/2567 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากกรณีที่ กก.1 บก.สส.สตม.ได้ตรวจพบสกู๊ปข่าว “เข้มข่าวค่ำ” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ PPTV และสกู๊ปข่าว “สนามข่าว เสาร์-อาทิตย์” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 7HD นำเสนอข่าวเกี่ยวกับมีผู้เสียหายร้องเรียนว่าเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2567 ได้ถูกแก๊งคนต่างชาติชาวผิวสีหลอกให้ลงทุนซื้อขายทองคำ แล้วถูกแอบสลับเงิน นำธนบัตรดอลลาร์สหรัฐปลอมมาแทนสูญเงินกว่า 1.1 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ในความผิดฐาน ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จำนวน 2 ราย ได้แก่นายเจสัน และนายเควิน (ไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริงและสัญชาติ) และจากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. สามารถจับกุม นายเจสันหรือนายคานู (นามสมมติ) สัญชาติเซียร์ราลีโอน ผู้ต้องหาตามหมายจับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย และเพิกถอนวีซ่านายซีเซ่ (นามสมมติ) สัญชาติไลบีเรีย นำตัวส่ง สถานกักกันคนต่างด้าว กก.3 บก.สส.สตม. ส่วนนายเควินจะได้สืบสวนพิสูจน์ทราบว่าเป็นใครเพื่อติดตามจับกุมต่อไปนั้น 

ต่อมาจากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. พบว่านาย Bobby (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไลบีเรีย มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับนายเควินผู้ต้องหาตามภาพถ่าย จึงได้นำภาพถ่ายของนาย Bobby ไปให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายยืนยันว่าบุคคลตามภาพถ่ายเป็นคนเดียวกันกับนายเควิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหลอกขายเม็ดทองคำปลอม โดยทำหน้าที่เป็นคนนัดหมายเจรจาการซื้อขาย พาผู้เสียหายไปโรงหลอมเพื่อพิสูจน์เม็ดทอง เป็นคนบอกให้ผู้เสียหายแลกเงินดอลลาร์ไว้สำหรับการซื้อขายเม็ดทอง และในวันซื้อขายได้อยู่ร่วมกับนายเจสันหรือนายคานูในการแอบสลับเงิน จึงให้ชุดสืบสวนทำการสืบสวนหาตัวนาย Bobby จนกระทั่งทราบว่า นาย Bobby จะเดินทางไปในพื้นที่ ต.บางพระ อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี จึงได้นำกำลังไปตรวจสอบ เมื่อพบนาย Bobby จากการสอบถามไม่ยอมรับว่าภาพถ่าย ตามหมายจับเป็นตนเอง จึงได้เชิญนาย Bobby มายัง กก.1 บก.สส.สตม. เพื่อตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้ามาใน ประเทศไทย และติดต่อผู้เสียหายให้มาชี้ยืนยัน จึงได้ทำการจับกุมตามหมายจับนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

กองเรือยุทธการเปิดกิจกรรม จิตอาสาพระราชทาน เราทำความดีด้วยหัวใจ ภายใต้แนวคิด  กองทัพเรือ เสริมสร้าง เพื่อการศึกษา พัฒนาเยาวชน

วันนี้ 5 ก.พ.68 ที่โรงเรียนสัตหีบ เขตกองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ พร้อมด้วย  คุณ สุธาทิพ  เดี่ยววานิช อุปนายก สมาคมภริยาทหารเรือ ท่านที่ 5 ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ มาเป็นประธานในพิธี เปิดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เราทำความดีด้วยหัวใจ ภายใต้แนวคิด “กองทัพเรือ เสริมสร้าง เพื่อการศึกษา พัฒนาเยาวชน” โดยมี คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่  หน่วยงานกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบ   ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ครู อาจารย์ ตลอดจนนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนา ทำความสะอาด ภายในโรงเรียน 

สำหรับ กิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เราทำความดีด้วยหัวใจ ภายใต้แนวคิด “กองทัพเรือ เสริมสร้าง เพื่อการศึกษา พัฒนาเยาวชน” มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งสร้างความร่วมมือที่ดีระหว่างโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานต่างๆในพื้นที่สัตหีบ ตลอดจนปลูกฝังให้ผู้ร่วมกิจกรรมมีจิตสาธารณะ มีความรัก ความสามัคคี มีความเสียสละ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม 

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323 

จีนแถลงชื่นชมไทยตัดไฟ-เน็ตเมียนมา เดินหน้าทุบขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(6 ก.พ.68) นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวแสดงท่าทีสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลไทยในการระงับการจ่ายไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และการส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ต้องสงสัยว่าเป็นฐานปฏิบัติการของขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ในเมียนมา 

โดยในการแถลงข่าวประจำวันที่กระทรวงการต่างประเทศจีนเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับมาตรการของไทยที่มีขึ้นก่อนการเยือนจีนของนางแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย  

นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ข้ามพรมแดนบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเป็นเรื่องร้ายแรง ทางการจีนให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำว่าจีนยินดีให้ความร่วมมือกับไทยและประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว  

“จีนสนับสนุนมาตรการที่เด็ดขาดของไทยและพร้อมขยายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปกป้องความปลอดภัยและสิทธิตามกฎหมายของพลเมืองจีนในต่างแดน รวมถึงรักษาความเป็นระเบียบในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประชาชนจีนและประเทศต่าง ๆ” นายหลินเจี้ยนกล่าว

ปลดล็อกการค้าสร้างเศรษฐกิจสยามเฟื่องฟู ไม่ผูกขาดดังคำปดของคนรุ่นใหม่

ในช่วงเวลาแห่งการปกครองโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า นั้น ประเทศสยามได้ผ่านความยุ่งยากของการสร้างบ้านแปงเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ผ่านยุครุ่งเรืองแห่งวรรณกรรม ภาษา การฟื้นฟูวัฒนธรรม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และแม้ว่าในยุครัชกาลที่ ๓ จะมีสงครามอยู่บ้าง อาทิ สงครามข้างเจ้าอนุวงศ์ สงครามพิพาทกับทางข้างญวณ แต่ในยุคของพระองค์เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งการค้าขายและ Cross Culture โดยแท้ 

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  รัชกาลที่ ๒ ที่เกิดจากเจ้าคุณจอมมารดาเรียม (สถาปนาเป็นที่ 'สมเด็จกรมพระศรีสุลาลัย' ในรัชกาลที่ ๓) ด้วยความที่พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์โต อีกทั้งทรงละม้ายคล้ายในหลวงรัชกาลที่ ๑ จึงได้รับพระเมตตาเป็นอย่างยิ่ง กอรปกับพระองค์ทรงมีความสามารถ เฉลียวฉลาดสามารถช่วยราชกิจของพระราชบิดาได้อย่างหลากหลาย จนเมื่อมีการตั้งเจ้านายเพื่อทรงกำกับราชการกรมสำคัญ ๆ ในการบริหารราชการส่วนกลางโดยมีฐานะเป็นผู้กำกับกรมคู่ไปกับเสนาบดีเดิม รัชกาลที่ ๓ ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็น 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' พระองค์ได้ทรงกำกับดูแลกรมสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของสยามในเวลานั้นเลยทีเดียว เริ่มจากทรงกำกับ 'กรมพระคลังมหาสมบัติ' ดูแลทรัพย์ที่เป็นเส้นเลือดหลัก จากนั้นก็เพิ่มเติมไปกำกับ 'กรมท่า' ซึ่งดูแลหัวเมืองชายทะเลทั้งหลาย กำกับการติดต่อกับชาวต่างชาติ และกำกับการแต่งเรือสำเภาไปค้าขายเรียกได้ว่าไม่เก่งทำไม่ได้ 

'เจ้าสัว' ของพ่อ ความเก่งกาจฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่เลื่องลือ ทั้งข้าราชบริพาร และพระประยูรญาติ ทราบถึงคำชมเชยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๒ ได้กล่าวถึงโอรสพระองค์นี้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทรงกำกับราชการกรมท่า พระองค์ได้ทรงแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายในต่างประเทศ ทำให้สยามมีรายได้เพิ่มขึ้นในท้องพระคลังเป็นอย่างมาก จนพระราชบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า 'เจ้าสัว' 

จากการที่ทรงกำกับหน่วยงานสำคัญจึงเป็นปัจจัยให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบรมราชชนกได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็ทรงเก่งสุด ๆ อาวุโสได้ ที่สำคัญคือได้รับการยอมรับจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ เหล่าขุนนางทั้งหลาย ให้ขึ้นครองราชย์ที่เรียกว่า “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” โดยหลังจากทรงครองราชย์แล้วก็ทรงปรับปรุงการค้าขาย การเก็บภาษี กฎหมาย พัฒนาสยามไปในหลายทาง 

กอบกู้เศรษฐกิจด้วยการค้า ปรับปรุงระบบภาษี ส่งเงินเข้าพระคลังหลวง 
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ต้องยอมรับว่าในเวลานั้น สยามยังอยู่ในภาวะขาดแคลนทรัพย์ เนื่องจากครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการสร้างบ้านแปงเมือง ประกอบกับการปราบปรามอริราชศัตรูให้ราบคาบ เมื่อเป็นดังนี้เมื่อบ้านเมืองเริ่มสงบการหาทรัพย์มาเพื่อเป็นทุนสำรองของบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเป็นดังนี้พระองค์จึงได้ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีขึ้นมาเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังหลวง จากเดิมที่ระบบภาษีทั้ง จังกอบ อากรฤชา ส่วย ภาษี เงินค่าราชการจากพวกไพร่ เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน ยังเก็บได้ไม่ชัดเจน พระองค์จึงทรงเริ่มปรับปรุงการเก็บภาษีอากรจากรูปของสินค้า และแรงงานให้กลายมาเป็นการชำระด้วยเงินตรา พร้อมกำหนดรายการภาษีใหม่ ๓๘ รายการ

พระองค์ทรงตั้งระบบการเก็บภาษีโดยให้เอกชนประมูลรับเหมาผูกขาด ไปเรียกเก็บภาษีจากราษฎรเอง เรียกว่า “เจ้าภาษี” หรือ “นายอากร” ซึ่งส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้ประมูลได้ การเก็บภาษีด้วยวิธีการนี้ ทำให้เกิดผลดีหลายประการ โดยเฉพาะด้านตัวเลขเพราะมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี เกิดการค้าขายที่มีระบบมากขึ้นเพราะมีกำหนดอัตราตามค่าเงิน ทำให้สามารถเก็บเงินเข้าพระคลังมหาสมบัติได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังส่งผลดีทางด้านการเมือง เพราะทำให้เจ้าภาษีนายอากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวจีนนั้นมีความผูกพันกับสยามในฐานะข้าราชการมีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และแผ่นดินสยามอย่างยิ่งยวด 

เปิดประเทศค้าขายต่อเนื่อง ยกเลิกการผูกขาด
นอกจากรายได้จากการเก็บภาษีแล้ว รายได้เข้ารัฐยังมาจากการค้าขายกับต่างประเทศ โดยนำระบบภาษีหลายชั้นมาใช้ในขาเข้าคือภาษีเบิกร่อง และภาษีขาออก ในเริ่มแรกก่อนครองราชย์มาจนช่วงต้นของการครองราชการค้ากับต่างชาติยังมีสินค้าบางอย่างที่ยังผูกขาดอาทิ  ครั่ง ไม้ฝาง งาช้าง การบูร และพริกไทย อีกทั้งผูกขาดในส่วนของสินค้าที่ใช้บรรทุก ในสําเภาหลวงจํานวนมากทำให้การค้าขายยังจำกัด 

ด้วยความเชี่ยวชาญในการส่งเรือสินค้ามาตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็น พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึงทรงยกเลิกนโยบายผูกขาดสินค้า ปล่อยให้มีการค้าเสรี โดยการตัดสินใจเป็นของพระองค์เอง มิได้ทรงผูกพันกับสนธิสัญญาใด ๆ ดังที่มีนักวิชาการฝรั่งหลายคนเคยกล่าวไว้ ซึ่งสอดคล้องกับจดหมายของชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งมีไปถึงนายครอว์เฟิร์ดที่สิงคโปร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ความว่า

“ทันทีที่เจ้านายพระองค์นี้เสด็จขึ้นสู่ราชบัลลังก์ พระองค์ก็ได้ทรงพระกรุณาสั่งอนุญาตให้ทุกชาติที่มาเยี่ยมสยามได้ขายและซื้อ นําออก และนําเข้า กับประชาราษฎรทุกคนที่ตนคิดว่าสมควร โดยไม่มีข้อขัดขวาง เพียงแต่ต้องจ่ายภาษีศุลกากรเท่านั้น สิ่งนี้ได้ทําไปโดยไม่มีการวิวาทกับ พวกขุนนางเลย” (ยกเว้นขุนนางบางตระกูลที่เสียผลประโยชน์จากการยกเลิกการผูกขาดอาจจะมีการมองค้อนแต่ทำอะไรไม่ได้) 

ซึ่งการค้าเสรีนี้ได้สร้างเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพมั่นคง และรายได้นี้ได้นำไปใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมือง การป้องกันประเทศ การศาสนา และด้านอื่นๆ ทั้งยังเป็นทุนสำรองของสยามทั้งในรัชสมัยของพระองค์เองและในรัชสมัยต่อ ๆ มา โดยรายได้ของแผ่นดินในรัชกาลที่ ๓ สูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยบางปีมีรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังมากกว่า ๒๐ ล้านบาท

สนธิสัญญาเบอร์นี เปิดโอกาสชาติอื่นร่วมค้าขาย
'เฮนรี เบอร์นี' ทูตชาวอังกฤษได้เดินทางเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๘ เพื่อเจรจาปัญหาทางการเมืองและการค้าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทางด้านการค้า รัฐบาลอังกฤษประสงค์ขอเปิดสัมพันธไมตรีทางการค้ากับรัตนโกสินทร์ และขอความสะดวกในการในการค้าได้โดยเสรี ซึ่งการเจรจาได้ผลสำเร็จอันดี โดยมีการลงนามในสนธิสัญญากันเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙

สนธิสัญญาเบอร์นี ประกอบด้วย สนธิสัญญาทางพระราชไมตรี ๑๔ ข้อ และสนธิสัญญาทางพาณิชย์ แยกออกมาอีกฉบับหนึ่ง รวม ๖ ข้อ ที่เกี่ยวกับการค้า อาทิ ข้อ ๕ ให้สิทธิพ่อค้าทั้งสองฝ่ายค้าขายตามเมืองต่างๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเสรีตามกฎหมาย ข้อ ๖ ให้พ่อค้าทั้งสองฝ่ายเสียค่าธรรมเนียมของอีกฝ่าย ข้อ ๗ ให้สิทธิแก่พ่อค้าจะขอตั้งห้าง เรือน และเช่าที่โรงเรือนเก็บสินค้าในประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมการเมือง ข้อ ๑๐ ว่าด้วยการทำการค้าในบางดินแดนของกลุ่มคนในสังกัดของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อจำกัด เป็นต้น 

ส่งออกเติบโต เรือเทียบเต็มท่า 
นอกจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษเพื่อการเปิดเสรีทางการค้าแล้วนั้น สยามยังมีการติดต่อกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป มีการลดค่าปากเรือลง จากวาละ ๑,๗๐๐ บาท เหลือ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเอาใจใส่ของไทยสยามในการสนับสนุนการค้าของชาวต่างชาติให้รุ่งเรืองในประเทศทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นมีการเก็บค่าปากเรือสูงถึง ๒,๒๐๐ บาท ทำให้การค้าระหว่างพ่อค้าตะวันตกและไทยเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเรือกําปั่น เข้ามาจอดที่บางกอกเพื่อนําสินค้าของสยามออกไปขาย ในพ.ศ. ๒๓๘๕ มีรายงานว่ามีเรือกําปั่นเข้าเทียบท่า ไม่น้อยกว่า ๕๕ ลํา โดยส่วนใหญ่ เป็นเรือกําปั่นที่ชักธงอังกฤษ ในจํานวนนี้มีอยู่ ๙ ลําที่เข้าเทียบท่าบางกอกเป็นประจําทุกปี และถ้าไม่นับที่มาจากอังกฤษโดยตรง ๓-๔ ลําแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเรือกําปั่นมาจากบอมเบย์ สิงคโปร์ หรือจีน ซึ่งส่วนใหญ่ก็บรรทุกน้ำตาลออกไป ซึ่งปริมาณการส่งออกในช่วงปีนั้นมีมากถึง ๑๑๐,๐๐๐ หาบทั้งนี้ยังไม่รวมการส่งออกโดยเรือพาณิชย์ของรัฐกว่า ๑๔ ลำ รวมไปถึงเรือพาณิชย์ของขุนนางกว่า ๑๐ ลำ 

แต่ต้องยอมรับนอกเหนือไปจากการลงนามทางการค้าในสนธิสัญญาเบอร์นี่แล้วนั้น การค้าในฟากของชาติตะวันตกนั้นยังแฝงไปด้วยเรื่องทางการเมือง การล่าอาณานิคม และการเข้าแทรกแซงกิจการอื่น ๆ เพราะประเทศรอบข้างสยามในขณะนั้นกำลังเริ่มถูกคุกคาม ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมิได้ส่งเสริมการงานฟากตะวันตกอย่างเอิกเกริกนัก ทั้งยังทรงระแวดระวังมิให้สยามตกอยู่ในฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทั้งการค้า และการเมืองดังที่ได้พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งไว้ว่า

“การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีก็อยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียท่าแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสกันทีเดียว” 

เพราะนอกเหนือจากการค้าเสรีที่เฟื่องฟูในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ แล้ว การล่าอาณานิคมที่ไม่เสรีก็ตามติด ๆ มาในอีกไม่นานหลังจากนั้น

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้าตั้งกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน พร้อมเร่งรัดการทำงานเตรียมรับมือเลิกชดเชยไบโอดีเซล ปี 69

(6 ก.พ. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า วานนี้(5 กุมภาพันธ์ 2568) ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเป็นครั้งแรก ตามที่ตนได้เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้น แต่เนื่องจากมีการเสนอกฎหมายในทำนองเดียวกันจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องมีการมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องทำการศึกษากฎหมายฉบับดังกล่าวเสียก่อนว่าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามกฎหมายที่จะยกร่างหรือไม่ จึงทำให้เวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง 

บทสรุปในวันนี้คือทางเราจะเร่งเดินหน้ายกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นโดยมีนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นประธานคณะกรรมการในการยกร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ซึ่งตนได้มอบนโยบายให้เร่งดำเนินการ และเพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้นในการทำงาน จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างกฎหมายอีก 1 คณะ เพื่อให้การยกร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว 

ตนเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยทําให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มมีหลักประกันในการประกอบอาชีพ พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมในด้านรายได้ และจะทําให้วงจรของการนําน้ำมันปาล์มไปผลิตเป็นสินค้า หรือว่าเพิ่มมูลค่าเป็นระบบและครบวงจร 

สำหรับรูปแบบของร่างกฎหมายฉบับนี้จะนำรูปแบบของพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ที่ส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยมาปรับใช้ โดยกฎหมายอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มก็จะออกมาในทำนองเดียวกัน

นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2569 ที่จะถึงนี้ เงินจากกองทุนน้ำมันที่ต้องไปสนับสนุน ตรึงราคาน้ำมันปาล์มจากการที่เอาน้ำมันปาล์มผสมกับน้ำมันดีเซลจะถูกหยุดลง เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ต้องรีบเตรียมการเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มมีตลาดเพิ่มมากขึ้น หลังจากการลดการสนับสนุนให้ผสมกับน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมัน ซึ่งหากไม่มีการเตรียมการจะเกิดปัญหาต่อไป

ดังนั้นตนพร้อมทั้งกระทรวงพลังงาน รวมถึงกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งนำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ก็ได้ช่วยกันเตรียมความพร้อมเพื่อแก้ไขปัญหาและรองรับกับสถานการณ์ใน พ.ศ. 2569 ตนเชื่อว่าการเตรียมการนี้จะแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยดี 

‘อีลอน มัสก์’ เปิดศึก ‘โซรอส – Deep State’ หลังแฉตระกูลโซรอสใช้เงินปั่นการเมืองทั่วโลกรวมถึงไทย

หรือว่า!? Elon Musk เดินหน้าชน! เปิดศึกตระกูลโซรอส – เผยเครือข่ายทุนที่เชื่อมโยงถึงไทย 

'Yeah.' คำสั้น ๆ จาก Elon Musk ที่เหมือนเป็นเพียงการตอบโพสต์ของ Mario Nawfal แต่อาจเป็นสัญญาณเปิดฉากศึกใหญ่ ระหว่างเขากับ Deep State ที่มี George Soros และเครือข่าย Open Society Foundations (OSF) อยู่เบื้องหลัง

โพสต์ที่ Musk ตอบนั้นเปิดโปงว่า Soros และลูกชาย Alex Soros ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพวกเขาสามารถ ควบคุมการเมืองจากเบื้องหลัง ผ่านการให้ทุนสนับสนุนพรรคการเมือง นักกฎหมาย สื่อมวลชน และ NGO ทั่วโลก

Soros กับบทบาทการปั่นเกมการเมืองทั่วโลก

George Soros คือเจ้าพ่อกองทุนที่ใช้ Open Society Foundations เป็นเครื่องมือสำคัญในการแทรกแซงการเมืองระดับโลก ตั้งแต่ Color Revolutions (ปฏิวัติเสื้อสี) ในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ไปจนถึงการสนับสนุนอัยการ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวสายซ้ายในสหรัฐฯ

อิทธิพลของ Soros ที่แทรกซึมเข้าไทย โซรอสมีบทบาทในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ที่ค่าเงินบาทถูกโจมตีโดยกองทุนเก็งกำไร ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย การสนับสนุนเครือข่าย NGO และสื่อที่มีแนวทางเสรีนิยมสุดโต่ง Color Revolution ฉบับไทย ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว เพื่อต่อต้านมาตรา 112 และพยายามเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติ

Prachatai: เครื่องมือของ Soros ในไทย?

หนึ่งในองค์กรที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคือ Prachatai (ประชาไท) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส มาอย่างต่อเนื่อง

หลักฐานที่เชื่อมโยง Prachatai กับ Soros
การสนับสนุนทางการเงินจาก OSF ต่อ Prachatai ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการเปิดโปงผ่าน การแฮ็กฐานข้อมูลของ OSF โดยเว็บไซต์ DCLeaks ซึ่งพบว่ามีเงินไหลเข้ามาสนับสนุนประชาไทมากถึง 1.7 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2548

เรื่องนี้ถูกขยายความโดย เทพชัย หย่อง อดีตบรรณาธิการเครือเนชั่น ที่รายงานเรื่องนี้ผ่าน The Nation พร้อมย้ำว่า Prachatai ยอมรับว่าได้รับเงินจาก Soros แต่ปฏิเสธว่าเงินนี้ไม่มีผลต่อแนวทางการนำเสนอข่าว

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Prachatai มักมีแนวทางที่กระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ และเน้นสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว ซึ่งอยู่ในแนวทางเดียวกับขบวนการที่ Open Society สนับสนุนทั่วโลก

อ้างอิง 
https://www.bangkokbiznews.com/news/714023#google_vignette
https://www.nationtv.tv/news/378513810#google_vignette

Deep State และการแทรกแซงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อีกประเด็นที่สำคัญคือ การแทรกแซงของเครือข่ายทุน Soros ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ Soros และองค์กรเครือข่ายของเขา ให้ทุนสนับสนุนกลุ่ม NGO ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายครั้งถูกตั้งคำถามว่า ให้ความชอบธรรมกับกลุ่มที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐ มากกว่าที่จะสนับสนุนความมั่นคงของประเทศ

แนวทางของ NGO ที่ได้รับทุนจาก OSF มักเน้นไปที่ การลดบทบาทของรัฐไทย ในพื้นที่ชายแดน ขณะที่เปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มที่มีแนวคิดแยกตัว โดยใช้วาทกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือ

Elon Musk: คู่ต่อกรตัวจริงของ Soros และ Deep State
Musk ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเทคโนโลยี แต่กำลังกลายเป็น ศัตรูตัวฉกาจของเครือข่ายทุนโลกาภิวัตน์ เขาเคยแฉว่า Soros ต้องการทำลายอารยธรรมตะวันตก เขายกเลิกโครงการของ USAID ซึ่งเป็นแขนขวาของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงต่างประเทศ

ล่าสุดเขาเปิดโปง เครือข่าย Open Society Foundations และนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับ Alex Soros

Deep State กำลังถูกเปิดโปง – ศึกนี้จะลงเอยอย่างไร?
นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองของสหรัฐฯ แต่เป็นการต่อสู้ระดับโลก เครือข่ายทุนเงา ที่เคยกำหนดทิศทางของประเทศต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อกรที่ท้าทายอำนาจของพวกเขาโดยตรง สิ่งที่คนไทยควรจับตามองคือ NGO และสื่อในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส กำลัง ปั่นกระแสอะไร และ สร้างวาทกรรมอะไร ในสังคม ศึกนี้ยังไม่จบ และ Elon Musk กำลังเข้าสู่บอสไฟต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!

‘ธนกร’ ฝาก รัฐบาลยกระดับคุมเข้มชายแดนเมียนมา หนุนร่วมมือจีนลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์ขั้นเด็ดขาด

‘ธนกร’ ฝาก รัฐบาลยกระดับคุมเข้มชายแดนเมียนมา หลัง สั่งตัดไฟ-เน็ต-น้ำมันแล้ว เชื่อ กระทบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์หนักแน่ หวั่น เกิด 'เมียวดีเอฟเฟค' โต้กลับ หนุน นายกฯ ถกจีน เร่งตั้งคกก. แก้ภัยข้ามชาติลุยปราบขั้นเด็ดขาดช่วยลดความเดือดร้อน ปชช.

(6 ก.พ. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวหลัง จากที่ทางการไทยได้ตัดกระแสไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน ไม่จ่ายไปยังพื้นที่ 5 จุด ตามแนวชายแดนในประเทศเมียนมา เพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า ตนเห็นด้วยและขอสนับสนุนรัฐบาลในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการตัดช่องทางไม่ว่ามากหรือน้อยก็สามารถสร้างผลกระทบให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่นั้นได้อย่างแน่นอน และขอให้มีการสำรวจในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์จากพวกทุนสีเทาในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติมด้วยนอกเหนือจาก 5 จุดที่ได้ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ตและตัดการส่งน้ำมันไปแล้ว เพื่อเป็นการขยายพื้นที่หากพบการกระทำความผิดเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ขอฝากกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตามแนวชายแดนทุกหน่วยงาน เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ พร้อมยกระดับการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนให้เข้มข้นขึ้น เนื่องจากเกรงว่า มาตรการตัดไฟฟ้าของไทยอาจส่งผลกระทบต่อหลายกลุ่มของฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ไม่อยากให้เกิดปรากฏการณ์ 'เมียวดีเอฟเฟค' เหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนตามมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยบริเวณแนวชายแดนอ.แม่สอด จ.ตากและพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

“การเยือนประเทศจีนของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ทราบว่ามีวาระความร่วมมือ ระหว่างกันในการตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การปราบปรามเครือข่ายค้ามนุษย์ ร่วมกันทั้งไทยและจีนรวมถึงในอาเซียนด้วย จึงขอให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังเด็ดขาดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อจะช่วยเหลือลดความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยได้ดีขึ้น“ นายธนกร กล่าว

รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืน

(6 ก.พ.68) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนตามปกติ มุ่งสร้างความสงบเรียบร้อยอย่างยั่งยืนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน เร่งรัดจับกุมบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยจัดตั้งศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศปอร.ตร. และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศปอร.ตร. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ระบบฐานข้อมูล ตลอดจนกำหนดแนวทางการทำงานให้เป็นระบบ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งเร่งรัดขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยได้ประชุมขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อมอบนโยบาย กำหนดแนวทาง กำชับการปฏิบัติให้กับทุกหน่วยทั่วประเทศ และร่วมบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน      

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันมีเรื่องของความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดพฤติการณ์ที่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล 17 มูลฐานความผิด อาทิ นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ, รับจ้างทวงหนี้, ผู้มีอิทธิพลในการฮั้วประมูล, ลักลอบจับบ่อนพนัน, พนันออนไลน์, call center, มือปืนรับจ้าง, ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด, หลอกลวงนักท่องเที่ยว และขบวนการค้ามนุษย์ เป็นต้น ซึ่งพฤติการณ์ต่างๆ เหล่านี้กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่มีลักษณะเป็นมาเฟียต่างชาติ เรียกค่าไถ่ หรืออาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ระดมสรรพกำลังดำเนินการปราบปรามอย่างเต็มกำลังมาโดยตลอด 

โดยในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการคัดกรองเป้าหมาย รวม 943 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปฏิทินมือปืน 2564 จำนวน 240 ราย ผู้มีอิทธิพลที่ส่งมาจากกระทรวงมหาดไทย 130 ราย และกองบังคับการปราบปรามรวบรวม 573 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอิทธิพลเกี่ยวกับการฮั้วประมูล การบุกรุกที่สาธารณะ แก๊งเงินกู้โหด และแก๊งอาชญากรรม ซึ่งนำทั้งหมดมาคัดกรองเป็นเป้าหมายคุณภาพ เหลือเพียง 71 เป้าหมาย
           
สำหรับแนวทางในการรวบรวมเป้าหมาย ได้กำหนดให้ทุกหน่วยดำเนินการ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก รวบรวมจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่มีประวัติการกระทำความผิด และมีหมายจับอยู่แล้ว และส่วนที่สอง รวบรวมจากผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดต่างๆ ที่ประชาชนในพื้นที่มีความรู้สึกว่า หากอยู่ในพื้นที่แล้ว ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน หรือใช้ชีวิตไม่ปกติสุข แล้วให้รายงานมายังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งเป็นเลขาศูนย์ฯ รวบรวม เพื่อดำเนินการต่อไป

ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนร้องเรียนพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ได้ทางเพจ Facebook ชื่อ 'ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ' หรือโทรสายด่วน 1195 หรือ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top