Friday, 9 May 2025
NewsFeed

EA ร่วมกับ บลูเทคซิตี้ เดินหน้ามอบทุนการศึกษา ปี 2566  พัฒนาศักยภาพกำลังบุคลากรด้านพลังงานสะอาด

​กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) เดินหน้าเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพกำลังบุคลากรคุณภาพ ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานสะอาดให้กับประเทศไทย ได้จัดพิธีมอบทุนการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2566 ภายใต้โครงการทุนการศึกษา กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เพื่อการพัฒนาบุคลากร เขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) และทุนการศึกษา โครงการ Star of the Future ให้กับนิสิตและนักศึกษา ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) หลักสูตรทวิภาคี ภายใต้ทุน EEC จำนวน 14 ทุน และระดับปริญญาตรี หลักสูตรสหกิจศึกษา ภายใต้ทุน EEC จำนวน 9 ทุน และ ทุน Star of the Future หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต จำนวน 6 ทุน รวมเป็นทุนการศึกษาทั้งสิ้นกว่า 4,800,000 บาท ณ ห้องประชุมโชคอนันต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ. ฉะเชิงเทรา

โดยภายในงาน คุณสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เป็นประธานในพิธี  ร่วมกันกับ คุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา กรรมการผู้จัดการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ โดยมี นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้เกียรติกล่าวให้โอวาทแก่นิสิตและนักศึกษา ทุนการศึกษานี้ครอบคลุมค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตร เบี้ยเลี้ยง และที่สำคัญคือ การให้โอกาสเข้าฝึกงานกับกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ สถานประกอบการที่มีมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นการสร้างความพร้อมและพัฒนาทักษะความสามารถก่อนที่จะเข้าสู่โลกการทำงานหลังสำเร็จการศึกษาต่อไป

‘มาร์ช จุฑาวุฒิ’ ลองใช้ชีวิต ตามค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ก่อนพบสัจธรรม!! ‘เงินเท่านี้ไม่พอใช้-ไม่เหลือเก็บออม’

(18 ก.ค. 66) เป็นอีกหนึ่งคอนเทนต์ที่เพิ่งปล่อยออกมา แต่คนเข้าดูทะลุพุ่งสูงไปกว่า 3 แสนครั้งแล้ว สำหรับคลิปใหม่บนช่องยูทูบ มีนาคม ของพระเอกหนุ่ม ‘มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล’ โดยตั้งชื่อคลิปเอาไว้ว่าค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทจะพอใช้ไหม ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศ 1 วัน | MARCHU EP.107

ล่าสุด หนุ่มมาร์ช ได้ปล่อยคอนเทนต์ใหม่ด้วยการทดลองใช้เงินตามค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท แบบพนักงานออฟฟิศใน กทม. ไม่ให้เกินตามนั้น โดยอ้างอิงจากค่าแรงขั้นต่ำที่พรรคการเมืองดังได้มีการหาเสียงเอาไว้

ซึ่งเริ่มต้นความประหยัดด้วยการซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง 2 ไม้ และข้าวเหนียว 1 ห่อ ไม้ละ 12 บาท ทั้งหมดเป็น 29 บาท เป็นมื้อเช้าในวันนั้น ต่อมาก็เดินไปขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ไปหน้าปากซอย ราคา 25 บาท ตลอดทั้งวันในคลิปนี้ ตัวพระเอกหนุ่มเองก็พยายามประหยัดมาก ๆ ทั้งเรื่องการกินและการเดินทาง

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเข้ามา อย่างตอนที่ หนุ่มมาร์ช เจ็บข้อเท้าจนต้องไปซื้อยา ลูกเพื่อนบวชต้องใส่ซองให้ รวมถึงตอนที่เพื่อนร่วมงานชวนไปปาร์ตี้

แม้ว่าระหว่างทาง หนุ่มมาร์ช จะแอบแลกเปลี่ยนสั่งของกับเพื่อนร่วมงานบ้าง ถือเป็นการลักไก่ ไม่ใช้เงิน แต่งบประมาณก็เกิน 450 บาทอยู่ดี ทำให้ หนุ่มมาร์ช สรุปในตอนท้ายว่า ได้เรียนรู้หลาย ๆ บทเรียน และรู้ว่าเงินแค่นี้มันไม่พอสำหรับการใช้ชีวิต และไม่มีทางเลยที่จะเหลือเงินมาเก็บออม เพราะลำพังจะใช้ให้พอในแต่ละวันก็ยากอยู่แล้ว 

เปิดเซฟ 'จักรกฤษณ์ ทองศรี' ส.ส.ภูมิใจไทย พบข้อมูลถือครองหุ้นไอทีวี 4 หมื่นหุ้น

(18 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สิน อดีต ส.ส.หลายราย หลังพ้นจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้นั้น ล่าสุดพบข้อมูลว่า นายจักรกฤษณ์ ทองศรี อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ปัจจุบันได้รับเลือกตั้ง ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566

ซึ่งนายจักรกฤษณ์ พร้อมด้วย น.ส.ศุภจิรา ทองศรี คู่สมรส แจ้งว่ามีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 84,427,312 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยแบ่งเป็นทรัพย์สินนายจักรกฤษณ์ 80,031,205 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก 32,211,174 บาท เงินลงทุน 16,632,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 12,500,000 บาท ที่ดิน 7,600,000 บาท เป็นต้น ส่วนทรัพย์สินคู่สมรส 4,178,135 บาท และทรัพย์สินบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 217,9714 บาท

ทั้งนี้ ที่น่าสนใจคือ ทรัพย์สินในส่วนของเงินลงทุน นายจักรกฤษณ์ แจ้งว่ามีเงินลงทุน 2 รายการ คือ หุ้นไอทีวี จำนวน 40,000 หน่วย แจ้งมูลค่า 0.00 บาท และหุ้น PF จำนวน 41,580,000 หน่วย มูลค่า 16,632,000 บาท

อย่างไรก็ตาม นายจักรกฤษณ์ ทองศรี มีศักดิ์เป็นหลานของนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

‘หนุ่มใหญ่เมืองตรัง’ หลั่งน้ำตา!! เลี้ยงหมูหวังปลดหนี้ธนาคาร ถูกคนร้ายบุกฆ่าลูกหมูยกเล้า สูญเงินก้อนสุดท้ายไปฟรีๆ    

หนุ่มใหญ่เมืองตรังท้อ นำเงินก้อนสุดท้ายมาเลี้ยงหมู หวังปลดหนี้ธนาคาร กลับถูกคนร้ายบุกเข้าฆ่าลูกหมูวัย 45 วัน และ 1 วัน จำนวน 2 คลอก ตายเกลื่อนคาคอกกว่า 13 ตัว ขโมยไปอีก 2 ตัว ซึ่งในระยะเวลา 2 ครั้ง ห่างกันเพียงแค่ 6 วัน เจ้าตัวเผยไม่เคยขัดแย้งกับใคร หลั่งน้ำตาคาดต้องล้มเลิกกิจการ คาดเป็นฝีมือทาสยานรก หรือบุคคลอื่นทำเพื่อกดดันให้หยุดเลี้ยง

(18 ก.ค. 66) ร.ต.อ.นรชัย แก้วหนู รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองตรัง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ภายหลังจากได้รับแจ้งมีคนร้ายบุกใช้อาวุธมีด แทงลูกหมูของเกษตรกรที่เลี้ยงไว้เสียชีวิตคาคอก ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนยางพาราอ่อน จำนวน 7 กว่าไร่ พื้นที่หมู่ 4 บ้านควนดินแดง ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเส้นทางเข้าไปภายในสวน เป็นถนนลูกรังห่างจากถนนใหญ่ และห่างไกลจากบ้านเรือนประชาชน

พบคอกเลี้ยงหมูยาวประมาณ 20 เมตร ใกล้กันมีบ้านพักหลังเล็กปลูกอยู่ 1 หลัง พบว่าภายในคอกท้ายสุด พบซากหมูถูกแทงนอนจมกองเลือดจำนวน 8 ตัว หลงเหลืออยู่เพียงแม่พันธุ์หมู สร้างความโศกเศร้าเสียใจให้กับเจ้าของคือนายชาตรี (สงวนนามสกุล) หรือ ‘เขียด’ อายุ 45 ปี เป็นอย่างมาก

นายชาตรี เจ้าของ เล่าทั้งน้ำตาว่า เริ่มเลี้ยงหมูมาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.65 ที่ผ่านมา โดยเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เพื่อตั้งใจว่าจะผสมพันธุ์ให้เกิดลูก เพื่อที่จะได้จำหน่าย แต่กลับไม่เป็นดังใจหวัง หลังจากลูกหมูคลอกแรกเกิดมาจำนวน 11 ตัว ได้ใช้ชีวิตหลังหย่านมแม่อยู่ได้ประมาณ 45 วัน จนถึงวันที่ 12 ก.ค.66 ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายบุกเข้ามาใช้อาวุธมีดแทง ปาดคอ และผ่าท้องตายไปจำนวน 5 ตัว นอนตายเกลื่อนคอก และถูกคนร้ายขโมยไปอีก 1 ตัว ทำให้เหลือลูกหมูคลอกแรกอยู่เพียง 5 ตัว ตนจึงได้ย้ายที่รอดชีวิตไปอยู่คอกอื่น ซึ่งเหตุการณ์ครั้งแรกตนไม่ได้ติดใจและแจ้งความ เพียงแค่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น

จนกระทั่งลูกคลอกที่ 2 ได้เกิดตามมาอีกครั้งทั้งหมด 10 ตัว วันที่ 16 ก.ค.66 ที่ผ่านมา ตายไปตามธรรมชาติ 1 ตัว เหลือ 9 ตัว จนกระทั่งเมื่อคืนที่ผ่านมา (17 ก.ค.66) คนร้ายได้บุกเข้ามาใช้มีดแทงลูกหมูที่มีอายุเพียง 1 วัน ตายไปทั้งหมด 8 ตัวและขโมยกลับไป 1 ตัว ก่อนจะแจ้งตำรวจเพื่อจะดำเนินคดีในครั้งนี้ เหตุการณ์ครั้งล่าสุด ทั้งๆที่ตนเปิดไฟภายในคอกหมูสว่าง และนอนเฝ้าอยู่ภายในสวน แต่ตื่นเช้ามาก็เสียใจที่ถูกฆ่าตาย ซึ่งติดกล้องวงจรปิดไม่ทัน

ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนร้ายเป็นโรคจิต หรือวิปริตหรือไม่ หรือเพราะไม่อยากให้ตนเลี้ยงที่นี่ และตนไม่เคยมีศัตรูหรือความขัดแย้งกับใครมาก่อน แม้สวนที่อยู่ติดกันใกล้กันก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน จึงอยากขอความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยจับกุมคนร้ายให้ได้อย่างเร็วที่สุด ตนเสียใจน้อยใจมาก เพราะตั้งใจทำมาหากิน แต่กลับถูกรังแก

ที่ผ่านมาตนทำอาชีพค้าขาย แต่ปรากฏว่าติดหนี้สินธนาคาร จึงผันตัวนำเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 3 แสนบาทมาลงทุนเป็นเกษตรกรเลี้ยงหมู เพื่อหวังจะได้ทยอยจ่ายหนี้ธนาคารและดูแลครอบครัว เพราะมีลูก 3 คนอยู่ในวัยเรียน รู้สึกเสียใจมากที่มาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หลังจากนี้คิดว่าก็ต้องล้มเลิกกิจการเลี้ยงหมู เพราะทำต่อไปไม่ได้แล้ว

ขณะที่ นายวิชาญ มากแก้ว หรือ ‘ผู้ช่วยเพิ่ม’ อายุ 41 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.น้ำผุด กล่าวว่า คนร้ายลงมือเหี้ยมมาก เพราะทำกับลูกหมูตัวเล็กๆ ได้ขนาดนี้ ทั้งปาดคอ ผ่าท้อง และน่าจะเป็นพวกโรคจิต เพราะท่าบุคคลปกติคงไม่ทำกัน และฆ่าเพียงลูกหมู แต่ไม่ฆ่าแม่พันธุ์ หลังรับแจ้งจากลูกบ้านก็ได้เข้าสอบถามข้อมูลเบื้องต้น แต่เจ้าของยืนยันว่าไม่เคยมีความขัดแย้งกับใครมาก่อน ก็อยากให้ทางตำรวจจับกุมคนร้ายให้ได้ ตอนนี้ก็พอจะมีบุคคลต้องสงสัยอยู่บ้าง แต่ยังคงระบุตรงเป้าไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นการก่อเหตุของบุคคลที่จิตหลอน ติดยาเสพติดในพื้นที่ แต่ก็ยังคงไม่ตัดประเด็นก่อเหตุเพื่อกดดันให้เจ้าของหยุดเลี้ยงและออกจากพื้นที่ เนื่องจากเจ้าของไม่เคยมีความขัดแย้งกับใครมาก่อน

‘ธรรมนัส’ ยัน พปชร. ไม่ดัน ‘ลุงป้อม’ ชิงนายกฯ ย้ำชัด!! ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

(18 ก.ค. 66) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานประสานงาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังการหารือภายใน สำหรับการประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.) ว่า ส่วนแนวทางพรรคการโหวตเลือกนายกฯ รอบ 2 นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ ต้องรอดูหน้างานก่อนการโหวตในวันพรุ่งนี้ โดยก่อนจะมีการโหวตทางพรรคพลังประชารัฐจะประชุม ส.ส.เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส ย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายชัดเจนในเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะฉะนั้น คนที่จะมาเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย หากไม่มีประเด็นที่ขัดกับจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่มีปัญหา ทางพรรคฯ พร้อมจะสนับสนุน ขณะเดียวกัน ทางพรรคฯ ไม่มีแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยจะไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ในการโหวตนายกฯ 

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อแทน คงต้องหารือกันอีกครั้ง พร้อมระบุว่า ยังไม่ถึงเวลาของเรา และขณะนี้ ยังไม่ได้รับการติดต่อจากใคร และยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดถึงเรื่องนั้น ต้องรอให้การโหวตพรุ่งนี้ผ่านไปก่อน

‘เสี่ยหนู’ ย้ำ!! จุดยืนภูมิใจไทยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หนุนพรรคแก้ ม.112 - ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

(19 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ว่า ของพรรคภูมิใจไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเหมือนเดิม คือไม่แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยจะมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่นายอนุทิน กล่าวว่า มีแนวทางอยู่ 2 ข้อ ที่เป็นเรื่องหลัก คือ เรื่องมาตรา 112 และไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะไม่ทำ

เมื่อถามว่า มีการมองว่าหากพรรคลำดับที่ 2 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ และเป็นพรรคลำดับที่ 3 มองอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รอให้เกิดขึ้นก่อน ซึ่งตอนนี้มันยังไม่เกิด ตอนนี้ยังอยู่ในกระบวนการที่พรรคอันดับ 1 ยังจัดตั้งรัฐบาลอยู่ ยังมาไม่ถึงพรรคลำดับที่ 2 เลย

เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ยังจับมือกับพรรคก้าวไกลอยู่ พรรคภูมิใจไทยจะร่วมด้วยได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็พูดไปแล้ว คือไม่เอา ซึ่งตนก็ยังอยู่ในแนวทางไม่แตะมาตรา 112 และไม่เอาเสียงข้างน้อย

เมื่อถามย้ำว่า แต่หากไม่มีพรรคก้าวไกลจะพิจารณารับข้อเสนอใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า อย่าเพิ่งแต่ อย่าเพิ่งถ้า

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีชื่อของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาแทนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รับได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่มีแคนดิเดตนายกฯ ตนขอบอกว่าทุกคนที่แต่ละพรรคเสนอมีความเหมาะสมตามเหตุผลของพรรคนั้น ถ้าเราไปบอกคนนู้นไม่เหมาะคนนี้ไม่เหมาะ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพูด ถ้าเราไปบอกไม่เหมาะเดี๋ยวเขาจะบอกว่าเราฝั่งเราไม่เหมาะก็ยุ่งตาย

เมื่อถามว่า โดยส่วนตัวพร้อมชิงตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เอาไว้ให้มีความชัดเจนก่อน ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมสนับสนุนให้พรรคที่กำลังจัดตั้งรัฐบาลทำได้สำเร็จ

‘ธงทอง’ อธิบายชัด โหวตนายกฯ ไม่ใช่ญัตติ  เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าข้อบังคับฯ

(19 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเพจ ‘Tongthong Chandransu’ ระบุว่า…

“รัฐธรรมนูญมีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่าข้อบังคับการประชุมของรัฐสภาอย่างแน่นอน

การเสนอชื่อบุคคลเพื่อให้รัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 ประกอบมาตรา 272 นอกจากนั้นข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 เอง ในหมวดเก้าว่าด้วยเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ได้แยกเรื่องนี้ออกไว้เป็นการเฉพาะ และกำหนดไว้เป็นการพิเศษว่าการเสนอชื่อดังกล่าวต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถ้าคำนวณจากจำนวนเต็ม 500 ก็จะพบว่าการเสนอชื่อนี้ต้องมีผู้รับรองถึง 50 คน

โปรดสังเกตว่าบทบัญญัติมาตรา 157 และมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญก็ดี บทบัญญัติของข้อบังคับการประชุมรัฐสภาหมวด 9 ก็ดี ไม่ปรากฏคำว่า “ญัตติ” อยู่ในที่ใด

ในขณะที่การเสนอญัตติทั่วไปตามข้อ 29 แห่งข้อบังคับการประชุมรัฐสภาพ.ศ. 2563 กำหนดว่าต้องมีสมาชิกรัฐสภารับรองไม่น้อยกว่าสิบคน จึงเห็นการแยกแยะความแตกต่าง และความสำคัญของสองเรื่องนี้ออกจากกันโดยชัดเจน

ดังนี้จึงเห็นได้ว่า การเสนอชื่อบุคคลเพื่อให้รัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภาหมวดเก้า ซึ่งกำหนดวิธีการขั้นตอนไว้โดยเฉพาะ ไม่มีเหตุผลทางกฎหมายใดที่จะนำบทบัญญัติ จากข้อบังคับการประชุมรัฐสภากรณีการเสนอญัตติทั่วไปมาปรับใช้แก่กรณี”

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 คืบหน้า 82.5%  คาด!! พร้อมเปิดให้บริการ ภายในปี 2567

(19 ก.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยทั้ง 4 มิติ (บก ราง น้ำ และอากาศ) ให้เชื่อมโยงการเดินทางสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงการเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ด้วยระบบการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงได้เร่งขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5  เชื่อมระหว่างบึงกาฬ และแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ซึ่งมีความคืบหน้ามาโดยลำดับ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากวิกฤติโควิด แต่ล่าสุด โครงการมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 82.550% คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการประชาชนของทั้งสองประเทศได้ในปี 2567

สำหรับโครงการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ได้มีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ในปี 2562 

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5  ที่อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ และแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว

รูปแบบการก่อสร้างของโครงการนี้ กรมทางหลวงออกแบบเป็นสะพานขึงคอนกรีตอัดแรงรูปกล่อง ขนาด 2 ช่องจราจร ความยาว 1,350 เมตร พร้อมอาคารด่านพรมแดนสำหรับกระบวนการข้ามแดน และถนนเชื่อมต่อโครงข่ายของทั้งสองฝั่ง โครงการมีระยะทาง 16.18 กม. วงเงิน 4,010.067 ล้านบาท โดยฝ่ายไทยมีกรมทางหลวง (ทล.) เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ วงเงิน 2,630 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 2,553 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้าง 77 ล้านบาท) ฝั่ง สปป.ลาว โดยกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง (MPWT) เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ วงเงิน 1,380.067 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 1,256 ล้านบา ท ค่าที่ปรึกษา 44 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการ 15 ล้านบาท ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 63 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมบริหารของ สพพ. 2.067 ล้านบาท)

ทั้งนี้เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม และมณฑลกว่างสีของประเทศจีน เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทย กับ สปป.ลาว ทำให้การขนส่งสินค้าจากไทยไปสู่ตลาดในจีนตอนใต้ เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากภาคกลางของ สปป.ลาว สู่ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังของไทย เพื่อส่งออกทางทะเลต่อไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

‘ดร.ทมิตา’ เล่าถึงพระเมตตาของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ หลังทรงพระราชทานสัญชาติไทยแก่ชาวกะเหรี่ยง-ชาวมอญ

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘dr.tammytiktok’ หรือ ‘ดร.ทมิตา วนาพิทักษ์กุล’ ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานสัญชาติไทยให้แก่ชาวกะเหรี่ยง และชาวมอญในอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ โดย ดร.ทมิตา กล่าวว่า…

“โอชุงลาไซค่ะ (แปลว่า สวัสดีค่ะ) ดิฉัน ‘ดร.ทมิตา วนาพิทักษ์กุล’ สาวกะเหรี่ยงบ้านๆ คนหนึ่ง ที่ได้รับ ‘สัญชาติไทย’ จากสถาบันพระมหากษัตริย์ เด็กกะเหรี่ยงที่ไม่มีสัญชาติ เด็กกะเหรี่ยงที่ไม่มีทุนการศึกษา พ่อแม่ยากลำบากจนไม่มีคำไหนที่จะสามารถบรรยายได้ แต่สิ่งที่เราบรรยายจากหัวใจของเราได้ คือ กราบขอบพระคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 และราชวงศ์ทุกๆ พระองค์ ที่ยังสานต่อด้วยการดูแลประชาชน คนที่ไร้สัญชาติในอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์อีกมากมาย และจนถึงทุกวันนี้ทั้งนายอำเภอ ทั้งผู้ใหญ่ที่ใจดีทุกท่าน ก็ยังคงสานต่อสิ่งเหล่านี้อยู่ ทั้งชาวกะเหรี่ยง ชาวมอญ ก็ยังคงได้รับโอกาสดีๆ เหมือนที่ ดร.คนนี้ได้รับเช่นกัน

สิ่งสำคัญที่น้องๆ คนรุ่นหลังอาจจะไม่รู้ เพราะหนูโตขึ้นมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกหนูหมดแล้ว แต่คนรุ่นก่อนอย่างพี่ที่ผ่านการใช้ชีวิตที่ยากลำบากมา ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีทีวีดู แต่มีหนึ่งสถาบันฯ ที่เข้ามาช่วยซัพพอร์ต คือ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ วันนี้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เราไม่ว่า… แต่ขออย่ามาเหยียบ อย่ามาย่ำสถาบันฯ นี้เลยค่ะ เพราะยังมีคนอีกมากมายที่รักและยังคงธำรงไว้ เทิดเกล้า เทิดกระหม่อม ขออย่าไปยุ่งเลยค่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้น ทำดีเพื่อพ่อหลวงของเรา รับผิดชอบตัวเองตามรอยพระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีคำว่าเศรษฐกิจไม่ดีค่ะ ถ้าหากว่าวันนี้เรารับผิดชอบตัวเอง ขอบคุณค่ะ”

‘นาย ณภัทร’ เคลียร์ชัด!! ปม ‘แม่หมู’ อันฟอลไอจี เผย เพราะเครียดสะสม ด้านความสัมพันธ์ ‘ใบเฟิร์น’ ยังรักกันดี

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 กลายเป็นกระเด็นร้อนแรงที่หลายคนต่างให้ความสนใจ หลังจากที่ชาวโซเชียลตาดีเห็น ‘แม่หมู พิมพ์ผกา’ อันฟอลโล่ทั้งลูกชายสุดที่รักอย่าง ‘นาย ณภัทร’ และ ‘ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก’ จนหลายคนต่างตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ว่า ยังคงรักกันดีเหมือนเดิมหรือเปล่า? เพราะแม่หมูก็ออกมาแจงชัดแล้วว่า “ลบเอง เพราะไม่อยากยุ่งเรื่องงานลูกชาย”

ล่าสุด ทางด้านของพระเอกหนุ่ม ‘นาย ณภัทร’ ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “ขอบคุณมากๆ สำหรับความเป็นห่วง ถ้าผมพูดออกไปอาจจะทำร้ายตัวแม่ หรือผม ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใคร ตอนนี้เฟิร์น และคนรอบตัวเข้าใจ รักแม่ ทุกคนรักกันดี ไม่มีใครมีปัญหาเลย”

เรายุ่งจนไม่มีเวลาให้แม่ไหม?
นาย ณภัทร : ที่จริงผมทำงานตามปกติมานานมากครับ กลับมาก็คุยเหมือนเดิม เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากความเครียดในเรื่องงานของเขาที่สะสมมานานแล้ว และด้วยความรักเรา เลยอยากให้ทุกคนเข้าใจ ไม่อยากให้บั่นทอนจิตใจกัน

เครียดไหม?
นาย ณภัทร : ยอมรับว่า เครียด เชื่อว่า ทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่มีใครอยากให้เกิด

แม่หมูบอกในโพสต์ล่าสุด ฉันเป็นลบเอง (อันฟอลไอจีนายและใบเฟิร์น)?
นาย ณภัทร : ผมเห็นพร้อมทุกคน และเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยังอยู่ในกระบวนการ อยู่ในความดูแลของคุณหมออยู่ครับ พวกเราทุกคนอยากมีความสุข

เวลาไปทำงาน มีใครอยู่เป็นเพื่อนแม่หมูไหมหรือท่ายอยู่คนเดียว?
นาย ณภัทร : อย่างที่ทราบ มีกันอยู่ 2 คนมาโดยตลอด แต่ก็มีพี่ๆ ในวงการก็แวะเข้ามาบ้าง ตอนนี้ก็อยู่กับคุณหมอก็สบายใจครับ

ใบให้กำลังใจไหม?
นาย ณภัทร : หลังๆ มองข้ามปัญหาไปหมด เพราะเรารู้ปัญหา ใบก็ให้กำลังใจ ใบเป็นคนที่มีพลังบวกมาก ก่อนอื่นเลยผมทำทุกอย่างตามปกติ มีความเข้าใจกันกัน

นายก็ไม่ได้เปลี่ยนไป?
นาย ณภัทร : ใช่ครับ งานผมก็มีแต่ยุ่งขึ้นทุกวัน ย้ำชัดเจนว่า ผมเป็นคนบ้างาน แต่ผมมีเวลาส่วนตัวเสมอ เราใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัว อยากให้ทุกคนสนับสนุน และหวังดีต่อกันและกันมากกว่า

คุณแม่กับทุกคนยังคงไปเจอกับใบเฟิร์น บ่อยไหม?
นาย ณภัทร : ไปปกติครับ ไม่มีใครมีปัญหากันทั้งนั้นครับ

บางคอมเมนต์จากโลกโซเชียล บอกให้นายปล่อยใบเฟิร์นไปเถอะ?
นาย ณภัทร : ไม่เป็นไรครับ ถือว่า เป็นความเป็นห่วงที่ทุกคนมอบให้ เราเดินไปข้างหน้ากันดีกว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเฟิร์นยังดีเหมือนเดิมครับ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ อยากให้เวลาครับ ถ้าคนที่เป็นห่วงขอบคุณมากๆ ครับ ถ้าคนที่เจอปัญหานี่แหละครับชีวิตมนุษย์มีปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top