Wednesday, 7 May 2025
NewsFeed

‘วอลเลย์บอลชายไทย’ รวมพลังตบ!! เอาชนะ ‘บาห์เรน’ 3 เซตรวด คว้าแชมป์ ‘เอวีซี ชาเลนจ์ คัพ 2023’ นับเป็นครั้งแรกในระดับเอเชีย!!

ทีมหนุ่มไทยภายใต้การคุมทัพของ ‘พัค กี วอน’ เฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้ สำหรับผลงานของทีมชาติไทย แข่งมาทั้งหมด 5 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 ได้แก่ แพ้เกาหลีใต้ 0-3 เซต, ชนะซาอุดิอาระเบีย 3-0 เซต ในรอบแรก, รอบสองเอาชนะฮ่องกง 3-1 เซต ทั้งสามารถเอาชนะทีมอินโดนีเซีย 3-2 เซตในรอบ 8 ทีม ส่วนรอบรองชนะเลิศ เอาชนะเวียดนามมา 3-1 เซต 

ผลปรากฎว่า ทีมชาติไทย เอาชนะ บาห์เรน ไปได้ 3-0 เซต 25-20, 25-20, 25-18 คว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในระดับเอเชีย พร้อมได้สิทธิ์ไปแข่งศึกชาเลนเจอร์ คัพ ที่โดฮาร์ ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 26-30 ก.ค.นี้

โดยทีมที่คว้าโควต้าไปแข่งแล้ว 7 ทีมประกอบด้วยตุรกี (อันดับโลก 12), ยูเครน (13), ตูนีเซีย (18), กาต้าร์ (21), ชิลี (24), จีน (25) ซึ่งตกชั่นจากเนชั่นส์ลีกปีนี้, สาธารณรัฐโดมินิกัน (31), ทีมเจ้าภาพกาตาร์ และไทย เป็นทีมที่ 8 จากการคว้าแชมป์ เอวีซี ชาเลนจ์ คัพ

โดยนัดแรกไทยจะต้องเจอกาตาร์เจ้าภาพ รอบน็อกเอาท์ จากกติกาเกณฑ์จับคู่แข่งขันพิจารณาจากอันดับโลกของทุกทีม โดยทีมเจ้าภาพกาตาร์ได้สิทธิ์เจ้าภาพในฐานะทีม 1 จะเจอทีมอันดับโลกต่ำสุดในฐานะทีม 8, ทีมอันดับ 2 เจอ ทีมอันดับ 7, ทีมอันดับ 3 เจอ ทีมอันดับ 6 และ ทีมอันดับ 4 เจอ ทีมอันดับ 5

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ฟันธง!! ไทยควรถึงเวลาปฏิรูปภาษี ขยายฐานภาษีเงินได้นิติบุคคล-เก็บภาษีปล่อยคาร์บอน

(16 ก.ค. 66) ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ ‘Easy Econ’ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็นการปฏิรูปการคลัง (Fiscal Reform) ของไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร

โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า นโยบายการคลัง คือนโยบายที่ว่าด้วยการใช้จ่ายเงินภาครัฐที่มาจากการเก็บภาษีอากร และการก่อหนี้สาธารณะหากเก็บรายได้ได้ไม่เพียงพอ นโยบายการคลังอยู่ในอำนาจของฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่าความต้องการของประชาชนได้รับการสะท้อนผ่านการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย

จึงไม่น่าแปลกใจว่าภาวะการคลังของเกือบทุกประเทศทั่วโลกอยู่ในฐานะขาดดุล เพราะฝ่ายการเมืองชอบที่จะใช้จ่ายมากกว่าหารายได้ โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิด 19 ทุกประเทศรวมทั้งไทย ที่มีฐานะการคลังที่อ่อนแอลงอย่างมาก รัฐบาลไทยขาดดุลการคลังปีละ 5-6% ของ GDP และมีหนี้สาธารณะที่ระดับ 62% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในประวัติศาสตร์การคลังไทย

ในสถานการณ์ปกติ ฐานะการคลังดังกล่าวถือว่าบริหารจัดการได้ แต่ในภาวะที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับสูง สังคมสูงอายุ ความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายด้านการทหารและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับมาตรการลดภาวะโลกร้อน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยความเสี่ยงทางการคลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นจังหวะเหมาะสมที่จะทำการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง

ในด้านรายได้ ถึงเวลาที่จะต้องทำการปฏิรูปภาษีอากรครั้งใหญ่ หลังจากที่ทำครั้งสุดท้ายเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว รายได้ภาษีอากรมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับเพียง 13% ของ GDP เพราะฐานภาษีสึกกร่อนจากการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอล (Digitalization) แนวโน้มดังกล่าวยังความจำเป็นต้องเพิ่มรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (โดยปรับอัตรา) ขยายฐานภาษีเงินได้นิติบุคคล ยกเลิกการยกเว้นลดหย่อนภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุน และเก็บภาษีจากการปล่อยคาร์บอน

ในด้านรายจ่าย มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปรับโครงสร้างการใช้จ่ายเพื่อดูแลสังคมสูงอายุทั้งในด้านความเพียงพอ ตรงเป้า และยั่งยืน การลงทุนภาครัฐ ซึ่งมีความล่าช้าและการรั่วไหลในการดำเนินการและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ก็จะต้องมีการรื้อกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการร่วมลงทุนในลักษณะ PPP (Public Private. Partnership) มากขึ้น

โดยสรุปแล้ว นโยบายการคลังด้านภาษีมีความสำคัญในการปรับโครงสร้าง เพื่อให้ภาครัฐมีรายได้สอดคล้องกับนโยบายในการบริหารประเทศที่ต้องนำไปพัฒนาในด้านต่างๆ ต่อไป 

'Mission Impossible 7' ได้คะแนน Rotten Tomatoes สูงถึง 99% นับเป็นคะแนนวิจารณ์ที่ดีที่สุดในอาชีพนักแสดงของ ‘ทอม ครูซ’

เมื่อไม่นานมานี้ แม้จะยังไม่เข้าฉายอย่างเป็นทางการ และได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์เพียง 147 คนเท่านั้น แต่ Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One ก็ได้รับการการันตีมะเขือสดหรือ Certified Fresh บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เป็นที่เรียบร้อยด้วยตัวเลข 99% พร้อมด้วยคะแนนเฉลี่ยที่สูงถึง 8.10 คะแนน 

ด้วยเปอร์เซนต์ที่สูงถึง 99% จึงทำให้ Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One กลายเป็นผลงานที่ได้รับเปอร์เซนต์ฝั่งนักวิจารณ์สูงที่สุดในแฟรนไชส์ และเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในอาชีพการแสดงของ Tom Cruise ในทันที นับตั้งแต่เจ้าตัวเริ่มมีผลงานตั้งแต่ยุค 80 ผ่านภาพยนตร์มากกว่า 45 เรื่อง ซึ่งแชมป์เก่าก็คือผลงานภาคก่อนหน้าอย่าง Mission: Impossible - Fallout ที่ตัวเลข 97% ตามมาด้วยผลงานในปีที่แล้วอย่าง Top Gun: Maverick ที่ทำไว้ได้ถึง 96% นั่นเองครับ

แต่ถึงกระนั้น แม้ความชอบของนักวิจารณ์จะสูงเกือบร้อยเปอร์เซนต์ แต่ด้วยคะแนนเฉลี่ยที่ 8.10 ของ Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One นั้นยังน้อยกว่าผลงานภาคก่อนหน้าอย่าง Mission: Impossible - Fallout ซึ่งทำได้ที่ 8.40 คะแนนและ Top Gun: Maverick ที่มีคะแนนเฉลี่ย 8.20 คะแนน

Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One แสดงนำโดย Tom Cruise, Rebecca Ferguson, Simon Pegg, Ving Rhames, Hayley Atwell, Vanessa Kirby, Henry Czerny, Esai Morales, Pom Klementieff และ Cary Elwes ภายใต้การกำกับของ Christopher McQuarrie ได้วางกำหนดฉายเอาไว้วันที่ 11 กรกฎาคม

‘น็อต วิศรุต’ เล่นใหญ่!! เหมาโรงหนังเพื่อ ‘ชมพู่ อารยา’ ยกทัพพนักงานมาดูหนังที่ภรรยาคนสวยเล่นเป็นนางเอก

(16 ก.ค. 66) เผลอแป๊บเดียว ซุป'ตาร์สาวอย่าง ‘ชมพู่ อารยา’ ก็แต่งงานใช้ชีวิตครอบครัวกับสามีนักธุรกิจ ‘น็อต วิศรุต’ มาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกหนึ่งครอบครัวที่สุดแสนเพอร์เฟค แถมครองใจแฟน ๆ กันได้ทั้งบ้านเลย ด้วยความน่ารักและเจื้อยแจ้วของพี่แฝด ‘สายฟ้า-พายุ’ และความน่าเอ็นดูของน้องสาวคนสุดท้อง ‘แอบิเกล’ ที่มาเพิ่มเติมสายใยความผูกพันให้อบอุ่นมากยิ่งขึ้น รวมถึงความเป็นแฟมิลี่แมนของ ‘พ่อน็อต’ ที่ทำให้หลายคนอดชื่นชมไม่ได้ บอกเลยครอบครัวนี้ทั้งอบอุ่นและน่ารักมากจริง ๆ

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก มนุษย์ตุ๊ด ได้เผยโมเมนต์ที่ ‘พ่อน็อต’ ทั้งรักและซัพพอร์ตเมียแบบทุ่มสุดตัว ลงทุนเหมาโรงหนังพาพนักงานในบริษัทไปดูภาพยนตร์ Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์ ที่นำแสดงโดยแม่ชม และพระเอกหนุ่ม ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

พร้อมแคปชันว่า "ผัวที่ดีคือผัวที่ซัพพอร์ตเมีย ล่าสุดพ่อน็อตเหมาโรงหนังให้พนักงานที่โรงงาน
มาดูหนังที่แม่ชมเล่น แบบฉ่ำ ๆ ช่วยเมียทำมาหากินแล้วหนึ่ง!! น่ารักกกก"

‘ตร.ไซเบอร์’ ร่อนหมายเรียก ‘4 อินฟลูเอนเซอร์’ รับทราบข้อหา เหตุชักชวนเล่นพนันออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

(16 ก.ค. 66) มีรายงานว่า พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สพฐ.ตร. ปฎิบัติราชการบช.สอท และพล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ผบก.สอท.2 ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนบช.สอท.สืบสวนหาข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกี่ยวกับความผิดในเรื่องของการพนันออนไลน์ เบื้องต้นพบมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ได้ประกาศโฆษณาชักชวนบุคคลทั่วไปให้เข้าเล่นการพนันออนไลน์ ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ในลักษณะการประกาศจูงใจเพื่อให้มีผู้เข้าไปเล่น จัดโปรโมชันให้เครดิตต่าง ๆ 

ทางพนักงานสอบสวนบช.สอท. ได้ออกหมายเรียกอินฟลูเอนเซอร์ มาแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งประกอบไปด้วย นายนิพนธ์ หรือ ปอน จิตกล้า ศิลปินเจ้าของเพลงดัง Timemachine ซึ่งมียอดวิวในยูทูปกว่า 129 ล้านวิว หลังโพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @sboteam และ @sbopremier, น.ส.จิรนันท์ หรือ ปู ทองเกลี้ยง แฟนปอน นิพนธ์ อินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีผู้ติดตามเฟซบุ๊กกว่า 4 แสนคน และยังมียอดวิวติดตามการคัฟเวอร์เพลงหลายล้านวิว หลังโพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @sure999 และ @htk999 

นอกจากนี้ยังมี น.ส.ปภาวี ชัยมงคล หรือ ออย รอยจูบ หลังโพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @htk999 และ @bz888 รวมทั้งนายกฤษดา ชนะขันธ์ ผู้จัดการของ น.ส.ลฎาภา รัชตะอมรโชติ หรือ เชอร์รี่ สามโคก ซึ่งได้ดูแลเฟซบุ๊ก ‘เชอร์รี่ สามโคก official’ โพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @sbopremier 

อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนบช.สอท.ได้ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา ม.12 พรบ.การพนัน พ.ศ.2478 "ผู้ใดช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันฯ ระวางโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" ที่ บช.สอท. ในเวลา 10.00 น. 

‘สุวินัย’ ชี้!! ‘เพื่อไทย’ อยู่ในสถานะได้เปรียบ ‘ก้าวไกล’ ทุกประตู เชื่อ!! หากจับมือ ‘ขั้วรัฐบาลเดิม’ จะเป็นผลดีในระยะยาว

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย นักเขียน นักวิชาการสถาบันทิศทางไทยและผู้บำเพ็ญในวิถีบูรณาการ ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Suvinai Pornavalai’ โดยระบุว่า…

‘เศรษฐา’ : ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากเพื่อไทย?

ข้อมูลล่าสุดที่ผมทราบจาก ‘แหล่งข่าว’ จากพรรคเพื่อไทย คือ
1.) คุณอุ๊งอิ๊ง ยังไม่พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์นี้ และครอบครัว คุณทักษิณก็เห็นตรงกัน
2.) แต่คุณเศรษฐาเองก็ไม่ได้เป็นที่พอใจของคนในพรรคเพื่อไทยนัก แถมเจ้าตัวยังไม่มี สส.ในมือเลยสักคนเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องทุกครั้งคุณเศรษฐาที่ออกมาพูดจะดึงเรตติ้งของพรรคตกเสมอ
3.) ถึงกระนั้นพรรค​เพื่อไทยก็จำเป็นต้องเสนอชื่อ​ ‘เศรษฐา’ แต่เจ้าตัวกลับมีเงื่อนไขว่า ถ้าเป็นเขาจะต้องมี ‘ก้าวไกล’​ ร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของจตุพร พรหมพันธุ์ (แต่ล่าสุดเขาออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้ทางทวิตเตอร์แล้ว)

ทางเลือกของพรรคก้าวไกล ตามทฤษฎีเกม

- ถ้ายังยืนกรานจะชูพิธาเป็นนายกฯ อีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม ผลลัพธ์น่าจะเหมือนเดิม มิหนำซ้ำคะแนนที่โหวตให้น่าจะน้อยลงกว่าครั้งก่อนแน่นอน ดีไม่ดีพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่โหวตให้ด้วยซ้ำ

- แต่ถ้าพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะขอเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยจะชิงเสนอชื่อ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ ค่อนข้างแน่ แต่จะจับขั้วกับพรรคไหนเพื่อตั้งรัฐบาล อันนั้นยังไม่แน่

แต่มีแนวโน้มว่าเพื่อไทยไม่อยากจับมือกับก้าวไกลตั้งรัฐบาล เพราะก้าวไกลยังยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่า จะชูนโยบายแก้ ม. 112 เป็นนโยบายหลักของพรรค ซึ่งอาจทำให้เหล่า สว.ไม่โหวตให้เศรษฐาเป็นนายกฯ ถ้าเศรษฐายังยืนกรานว่าจะดึงก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลด้วย

- พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายเสนอ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ เสียเอง ความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ ถ้าพิจารณาจากอัตตาและตัวตนของก้าวไกลที่เป็นประเภท ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’

‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย

- ตอนนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานะที่ ‘ได้เปรียบ’ พรรคก้าวไกลทุกประตู แถมยังถือ ‘หมากมือนำ’ ในการกำหนดเกมอำนาจ เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ในระยะยาวต่อจากนี้ได้ พร้อมกับ ‘ทางเลือกทางการเมือง’ มากมาย

- พรรคเพื่อไทยรู้แก่ใจตนเองดีที่สุดว่า พรรคก้าวไกลคือคู่แข่งคนสำคัญที่สุดของตน และน่าจะเป็น ‘ว่าที่ศัตรูหลักในอนาคต’ ของพรรคเพื่อไทยด้วย การเดิน ‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย จึงควรเป็นการเดินหมากที่ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น รวมทั้ง ‘ทำลายพิษสง’ ของพรรคก้าวไกลไปพร้อม ๆ กัน

- ม็อบด้อมส้มที่จะลงถนนเพื่อต่อต้าน ‘รัฐบาลพรรคเพื่อไทย’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยน่าจะไม่รู้สึกหนักใจหรือวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะในอดีตเพื่อไทยเคยเจอทั้งม็อบพันธมิตรฯ และม็อบกปปส. มาแล้ว ซึ่งทั้งอึดกว่าและทรงพลังกว่าม็อบด้อมส้มมาก

- เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘การร่วมจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม’ น่าจะเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยในระยะยาวมากกว่า ในแง่การทำงานบริหารประเทศ ที่พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่องทางการเมือง

- ขณะที่พรรคก้าวไกลจะกลายมาเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ทรงพลังในรัฐสภาอย่างแน่นอน ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ข้างต้น เป็นบทวิเคราะห์ของผม ถูกผิดประการใด ผมขอน้อมรับคำชี้แนะด้วยจิตคารวะ

‘สถานีกลางบางซื่อ’ นำเก้าอี้คลาสสิกกลับมาใช้ใหม่ งานนี้ชาวเน็ตเสียงแตก มอง!! สวยแบบผิดที่ผิดทาง

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) งานนี้คอมเมนต์กันสนั่น! เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพในกลุ่ม ‘รถไฟไทย TrainThailand’ เผยให้เห็นเก้าอี้ไม้สุดคลาสสิกสีน้ำตาล ถูกวางเรียงรายไว้ให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการ โดยผู้โพสต์ได้ระบุแคปชันอธิบายไว้ว่า…

"สถานีกลางบางซื่อ วันนี้นำเก้าอี้ Classic มาปรับปรุงใช้ใหม่ ไม่ทิ้งเสียเปล่า สร้างบรรยากาศที่คุ้นเคย มาติดตั้งลงที่สถานี ถ้าสังเกตดี ๆ แต่ละตัวจะไม่เหมือนกันเป๊ะครับ แล้วแต่ช่างแต่ละที่ทำ แต่แบบจะเหมือนกัน แต่ละตัวน่าจะผ่านผู้คนและความทรงจำดี ๆ มาเยอะมากและทรุดโทรม (มาจากยะลาครับ) ตอนนี้ช่วยเขาให้มีชีวิตใหม่มีค่ากลับมา (คล้ายพลายศักดิ์สุรินทร์) ขอบคุณ ภาพจาก คุณ ..... ครับ"

ทำให้โพสต์นี้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นแบ่งเป็นสองฝ่ายว่าเห็นด้วยที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟ, เก๋ไปอีกแบบ มี story, สวยดี ชอบ ร่วมสมัย ไม่ทิ้งกลิ่นการรอคอยใครแบบในอดีต คือยังไม่มาก็นอนรอได้, สวย ชอบ มองมาแล้วรู้สึกถึงวัยเด็ก 

ขณะที่หลายคอมเมนต์ที่ไม่เห็นด้วยกับบอกว่า มันไม่เข้ากับสถานีกลางบางซื่อที่ใหญ่โต มันไม่เข้าอะ สร้างสถานีใหญ่โต อันเก่าน่าจะเอาไปให้สถานีรายทาง, เก้าอี้มันดีก็จริง แต่อยู่ผิดที่ไปหน่อย, อะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก, เหมือนปลูกบ้านใหม่ทรงโมเดิร์น แล้วใครสั่งตั่งมาตั้งในบ้านอะ มันไม่สวยก็คือไม่สวย ไม่ต้องมาคลาสสิกอะไรหรอกค่ะ เป็นต้น

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ ชี้ ควรให้ระบบรัฐสภาจัดระเบียบโหวตนายกฯ ลั่น!! อยากเห็น 14 ล้านเสียงที่เลือก ‘ก้าวไกล’ ลงถนน

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก เป็นนักวิชาการทางกฎหมาย และพิธีกรรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับประเด็นทางบ้านเมือง สังคม ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คมชัดลึก’ ทางช่อง Nation online เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น รศ.ดร.เจษฎ์ได้กล่าวถึงความคิดเห็นต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยเมื่อถามว่า รศ.ดร.เจษฎ์ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับการเคลื่อนไหวของมวลชน หลังผลโหวตนายกรัฐมนตรีออกมาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านด่าน ส.ว.ในรอบแรก รศ.ดร.เจษฎ์ ตอบว่า…

“ผมคิดว่า มีความน่าใจ และผมอยากเห็นคนทั้ง 14 ล้านคนที่เลือกคุณพิธา ลงถนนเพื่อสนับสนุนพรรคก้าวไกล และผมก็อยากเห็นคนอีก 27-28 ล้านคน ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล มาลงถนนด้วยกัน”

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่อว่า หากบอกว่าประชาธิปไตยคือการเดินเข้าสภาฯ คือการไปเลือก คือการ ‘บังคับ’ ให้ ส.ว. ต้องลงมติให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งได้คะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง จากประชาชนที่มาเลือกตั้งกว่า 41-42 ล้านคน การที่ไปรวบรวมเอาคะแนนจากพรรคเพื่อไทยมาด้วย แล้วบอกว่าเป็นคะแนนของตัวเอง ตนก็ยังมีความแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าสิ่งนี้คือประชาธิปไตยแบบไหน การลงถนนก็ถือเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตย ก็ลงถนนได้ และหากจะเรียกร้องเสรีภาพ โดยอ้างว่าต้องการใช้เสรีภาพ การจะด่ากันก็ถือเป็นเสรีภาพนะ การฆ่ากันก็เป็นเสรีภาพ แต่หากพูดในแง่ของกรอบสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องพูดในแง่ของกฎหมาย ก็อาจทำให้เสรีภาพถูกตัดรอนด้วยเสรีภาพซึ่งกันและกันได้

“ถ้าเราใช้คำว่า ‘เสรีภาพ’ มาอ้างในการทำสิ่งต่างๆ อาจได้เกิดการฆ่ากันตายแน่นอน แต่ถ้าหากเรามาพูดในกรอบสิทธิ มันจึงมีหน้าที่เข้ามาด้วย แล้วเรามีหน้าที่อะไรล่ะ? เรามีหน้าที่ต่อประเทศชาติร่วมกัน ถูกไหมครับ ท่านจะเชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน หรือท่านจะไม่เชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ การที่ท่านเอาความชัง เอาความชอบส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง มันย่อมเป็นปัญหาแน่นอน การกดดันกัน และใช้วิธี ‘บังคับให้เลือก’ อย่างเช่น การบอกว่า พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14 ล้านเสียง แต่จะมามาบังคับให้ทุกคนเลือกตัวเองให้หมด เพราะตัวเองได้คะแนนเสียงมากที่สุด” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทย เคยได้คะแนนเสียง 377 เสียง แต่สุดท้ายพรรคไทยรักไทยกลับถูกกดดันให้ยุบสภาฯ และเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารในที่สุด

“มันดีไหม การปฏิวัติ รัฐประหาร มันไม่ดีหรอก มันไม่ควรทำ ไม่มีใครเห็นชอบหรอก แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อย่างในกรณีที่คุณอานนท์ นำภา บอกว่า หากพรรคก้าวไกล ถอยจากมาตรา 112 เมื่อไร ตนจะลุยพรรคก้าวไกลทันที และคนจำนวนหนึ่งก็เห็นด้วย ในขณะที่อีกจำนวนก็บอกว่า หากแตะมาตรา 112 เมื่อไร ก็จะลุยพรรคก้าวไกลเหมือนกัน และหากพรรคก้าวไกลก็ยังดึงดัน ยืนยันที่จะผลักดันให้แก้ไขมาตรา 112 เพราะมีเสียงสนับสนุน… หากสังคมยังอยู่กันแบบนี้ ผมว่าบ้านนี้ก็คงจะมีแต่การสู้กันตาย อาจเกิดสงครามการเมืองแบบสหรัฐอเมริกา หรือเหมือนฝรั่งเศสอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เราต้องถอยกลับมาที่ระบบรัฐสภา ระบบรัฐสภา คือการหาทางออกร่วมกัน และไม่ได้เป็นการบังคับกัน และตามที่ผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ระบบรัฐสภา ที่เอา ส.ส.มาลงมติให้ ส.ส. เป็นระบบสากลที่ทั่วโลกใช้ ตรงนี้ผมไม่เถียง แต่พอเป็นประเทศไทย ซึ่งมีการเกิดคำถามเพิ่มเติมมา แล้วประชาชนก็ไปลงมติ โดยเสียงข้างมากบอกให้มีคำถามเพิ่มเติม มันก็ต้องยอมรับว่านี่คือระบบของประเทศไทย” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากจะบอกว่าในตอนนั้นไม่สามารถที่จะออกมาผลักดันได้ ว่าให้เห็นต่างในเรื่องของคำถามเพิ่มเติม ให้เห็นต่างในเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อคนที่สนับสนุน สามารถพูดได้มากกว่า ตนมองว่า โดยรวมแล้วประชาชนที่ไปใช้สิทธิ เป็นคะแนนบริสุทธิ์มากกว่าด้วยซ้ำไป ประชาชนที่จะเอาแบบนี้ก็จะไปว่าแบบนั้น ประชาชนที่จะเอาแบบนั้นก็จะไปว่าแบบนี้ จนท้ายที่สุด ต้องนำกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา ว่าจะต้องมี ส.ว.มาลงมติด้วย ส่วนเหล่า ส.ว.จะฟังเสียงกดดันหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัว ส.ว.เอง หรือเสียงกดดันจะยิ่งทำให้เขาอยากที่จะลงมติอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้

“ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ หากใช้การลงถนนแล้วบอกว่า จะยกระดับ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะฆ่ากันตาย แล้วเอามาข่มขู่กัน ผมคิดว่าแบบนี้จะอยู่กันลำบาก และก็ไม่ใช่เพียงแค่ 14 ล้านคน เพราะหาก 14 ล้านคน สามารถลงถนนได้ อีก 27-28 ล้านคนก็ทำได้เช่นกัน มันก็กลายเป็นว่าเกิดการฆ่ากันตายทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วทำไปเพื่ออะไร? ทำเพื่อกลุ่มหนึ่งที่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ คนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าไม่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ เพียงแค่นี้ก็อาจทำให้บ้านเมืองพังได้” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

โดยสรุปแล้ว รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า สมควรให้ระบบรัฐสภามาจัดการในตัวของมันไป หากพรรคอันดับ 1 ไม่ได้ จะสลับอันดับ สลับขั้ว หรือเลือกแคนติเดตใหม่ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินกันต่อไปได้ ก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาพลังมวลชนจากท้องถนนมากดดัน

“อีกประเด็นหนึ่งคือ ใครจะชนะก็แล้วแต่ โปรดย่าลืมว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ปี 2535 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ได้ทรงเตือน พลตรีจําลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร ถ้าพวกท่านชนะ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ใครจะเป็นคนพ่ายแพ้ ผมมองว่าต้องมานั่งคิดในประเด็นนี้ด้วย จะรักใคร ชังใคร มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘นักเขียน-นักแสดง’ นับแสนประท้วงหยุดงาน เรียกร้องขึ้นค่าตอบแทน เดือดขึ้นอีก!! หลัง CEO ‘Disney’ จุดประเด็นต่อต้านการประท้วงครั้งนี้

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) กลายเป็นการประท้วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวฮอลลีวู้ดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ SAG-AFTRA ทำการสไตรค์หยุดงาน ซึ่งกลายเป็นการผนึกกำลังกับสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา Writers Guild of America ที่ประท้วงหยุดงานยืดเยื้อมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว เพื่อเรียกร้องรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรม รวมถึงเรื่องข้อกำหนดในการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ผลงาน แต่การเจรจาหาข้อตกลงกับทางสตูดิโอและผู้ให้บริการระบบสตรีมมิ่งเซอร์วิสไม่เป็นผล จนทำให้เกิดการหยุดงานของทั้ง WGA ที่มีสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกกว่า 11,000 คน และนักแสดงสมาชิกของ SAG-AFTRA จำนวนกว่า 160,000 คน หยุดงานจนการถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ต่าง ๆ ในตอนนี้ต้องหยุดชะงัก

Fran Drescher ประธานของ SAG-AFTRA ได้นำทีมนักแสดงเดินประท้วงหน้าสตูดิโอ Paramount Pictures ใน Los Angeles และยังมีสมาชิกอีกหลายกลุ่มที่กระจายตัวไปประท้วงตามสตูดิโอต่าง ๆ โดยชูป้ายข้อความประท้วงมากมาย เช่น “บีบแตรถ้าคิดว่าเจ้านายของคุณได้เงินเยอะเกินเหตุ”, “ AI ไม่ใช่ศิลปะ” และ “รวมพลังสไตรค์ครั้งใหญ่” 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ประท้วงออกอาการเดือดก็คือ การให้สัมภาษณ์ของ ‘Bob Iger’ CEO ของ Disney ที่วิจารณ์การประท้วงหยุดงานว่าเป็นการเรียกร้องในสิ่งที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะวงการยังอยู่ในช่วงที่บอบช้ำหนักจาก COVID และอยู่ในช่วงที่ต้องการการฟื้นฟู การประท้วงหยุดงานในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ทำให้ป้ายประท้วงบางส่วนได้เขียนข้อความโจมตี ‘Bob Iger’ ด้วย

โดย Fran Drescher ได้ประณาม ‘Bob Iger’ ว่าไม่ควรออกมาพูดอะไรแบบนี้ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารที่มีรายได้มหาศาล แต่เขากลับมองไม่เห็นปัญหาของกลุ่มคนที่ทำงานหนักแต่กลับได้รายได้ที่ไม่มีวันที่จะเทียบเท่าเขาได้เลย

การประท้วงหยุดงานทำให้นักแสดงส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมการถ่ายทำรวมถึงการร่วมงานอีเวนต์ต่าง ๆ จนกว่าจะมีการเจรจาเสร็จสิ้น ซึ่งทำให้กองถ่ายภาพยนตร์และซีรีส์ทั้งหลายหยุดชะงักรวมถึงการโปรโมทภาพยนตร์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ด้วย เช่น Mission : Impossible :
Dead Reckoning PART ONE ซึ่ง Tom Cruise มีกำหนดเดินทางไปโปรโมทที่ประเทศญี่ปุ่นวันที่ 17-18 กรกฎาคม นี้ก็ต้องประกาศยกเลิก

แต่มีกองถ่ายหนึ่งที่ยังคงถ่ายทำได้อยู่ก็คือ ‘House of the Dragon’ ซีรีส์ฮิตที่นักแสดงส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ และได้รับการคุ้มครองโดย Equity องค์กรนักแสดงของ สหราชอาณาจักร เนื่องจากสมาชิกนักแสดงที่มีจำนวนกว่า 47,000 คนนั้นไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้เข้าร่วมการประท้วง ที่จัดขึ้นโดยองค์กรของสหรัฐอเมริกา โดยทาง Equity ได้ประกาศสนับสนุน SAG-AFTRA ในกิจกรรมที่ถูกกฎหมาย เพียงแต่ว่าหากนักแสดงที่สมาชิกของ Equity เข้าร่วมการหยุดงานประท้วงจะไม่ได้รับการคุ้มครองในกรณีถูกเลิกจ้างหรือถูกฟ้องร้องเนื่องจากละเมิดสัญญา โดยสรุปคือองค์กร Equity ไม่สามารถเข้าร่วมการประท้วงร่วมกับ SAG-AFTRA ได้ เพราะจะเป็นการผิดกฎหมายของประเทศอังกฤษ ซึ่งทางองค์กรได้ย้ำกฎการทำงานให้นักแสดง เข้าใจตรงกันว่า สมาชิกของ Equity ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ SAG-AFTRA สามารถทำงานต่อไปได้ เพราะไม่ได้รับการคุ้มครองใด ๆ จาก SAG-AFTRA อยู่แล้ว ส่วนนักแสดงที่เป็นสมาชิก SAG-AFTRA ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ Equity ก็ต้องดำเนินการตามกฎของ SAG-AFTRA ที่ต้องหยุดงานไม่สามารถปฏิบัติงานใด ๆ บนโลกนี้ในขณะที่เกิดการสไตรค์ได้ 

‘โด่ง อรรถชัย’ ชี้!! แก้ ม.112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.6 ชัดเจน แนะ ‘ก้าวไกล’ หยุดฝืน เพราะไม่มีใครหนุนหลังแน่นอน

(16 ก.ค. 66) นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักแสดง พิธีกร นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย อดีตข้าราชการทางการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นการแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ซึ่งมีความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ โดยนายอรรถชัย ได้กล่าวว่า…

“เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากจะพูดให้เข้าใจโดยทั่วกัน ความจริงคือ มันไม่มีอยู่จริงในรัฐบาลนี้ คุณจะดื้อรั้นดันทุรังสร้างภาพแก้ไขมาตรา 112 ไปเพื่ออะไร? มันไม่มีจริง เพราะถึงแม้วันนี้คุณจะยื่นเข้าไปในสภาฯ ผมขอถามว่ามันขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ไหม?” 

นายอรรถชัย ยังกล่าวต่อว่า “หากถามว่าแล้วมันขัดกับมาตรา 6 อย่างไร? มาตรา 6 ถ้าหากจะพูดให้ชัดเจน คือ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หากดูฉบับที่พรรคก้าวไกลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะของพระมหากษัตริย์จากเดิมที่เคยอยู่ ‘หมวดความมั่นคง’ มาอยู่ในหมวดของ ‘คนธรรมดา’ อย่าว่าแต่มาตรา 6 เลยครับ จะโดนมาตรา 112 หรือเปล่า? เพราะว่าคุณลดสถานะของพระมหากษัตริย์ ในทางกฎหมายเหมือนเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็เหมือนกับโทษคนธรรมดา สิ่งนี้เขาตีความได้นะครับ เพราะฉะนั้น ถึงสามารถพูดได้ว่าเรื่องนี้ขัดกับมาตรา 6 อย่างไร อันนี้ผมไม่ได้พูดเข้าข้างใคร แต่ผมพูดตามเนื้อหาของตัวกฎหมาย ไม่ได้พูดตามใจใคร เพียงแค่กลไกทางกฎหมายมันเป็นเช่นนี้”

“เพราะฉะนั้น คุณคิดว่าการแก้ไขมาตรา 112 มันเหมือนกับการแก้ พรบ.เมาแล้วขับหรือครับ? ไม่ใช่นะ เพราะมาตรา 112 เป็นกฎหมายความมั่นคง และเชื่อมโยงรัฐธรรมนูญ ซึ่งถึงแม้จะมีไม่กี่บรรทัดก็จริง แต่คุณคิดว่าการแก้ไขมีแค่การยกมือแล้วก็ผ่าน และถือว่าจบหรือครับ มันต้องแก้กันไปจนถึงมาตรา 6 แล้วมาตรา 6 อยู่ในไหนล่ะ? ก็หมวดพระมหากษัตริย์ไง คุณจะแก้มาตรา 6 แค่ในรัฐบาลนี้ได้ไหม? ผมรับรองว่าไม่มีใครยอมให้คุณแก้ไขหรอกครับ เพราะการที่คุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้เสียงของ ส.ว. ถึงแม้ปีหน้าพวกเขาจะหมดวาระ แต่อย่างไรก็ตาม ส.ส.ในสภาฯ วันนี้ถ้าคุณไปแตะหมวดพระมหากษัตริย์ พรรคภูมิใจไทยเขาว่าอย่างไร หรือแม้แต่ 8 พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคคุณหญิงหน่อยเขาจะว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทยนะ พรรคเพื่อไทยเฉย ๆ อยู่แล้ว คุณลองคิดดูนะว่า ถ้าคุณไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์ คุณจะได้แนวร่วมสักแค่ไหน มันยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะฉะนั้น คุณแก้ไขมาตรา 6 ไม่ได้ และที่ยื่นมาตรา 112 ไปแก้ในสภาฯ แล้วไม่ผ่านครั้งที่แล้วก็ไม่พูดข้อมูลให้หมด ไปโทษคุณชวน หลีกภัยกันบ้าง และยังรวมไปถึงคุณสุชาติ ตันเจริญ พ่อของคุณมดดำอีก แต่จริง ๆ คือมันมาจากคณะกรรมการที่พิจารณากฎหมายของสภาฯ ซึ่งมีหลายคนที่ชี้ลงมาว่าสิ่งนี้ขัดต่อมาตรา 6 ไม่สามารถยื่นเข้าสภาฯ ได้ ไม่เช่นนั้นประธานต้องรับผิดชอบ” นายอรรถชัย กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top