Wednesday, 7 May 2025
NewsFeed

‘เศรษฐา’ รับ!! หนักใจผลโหวต ‘พิธา’ หลังคะแนนต่ำเกินคาด แต่ยืนยันขอหนุนเป็นนายกฯ สุดกำลัง รอ 8 พรรคเคาะเข็นต่อ

(14 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีข้อบังคับการประชุมไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ต้องมีการเปลี่ยนชื่ออื่นหรือไม่ ว่า ตนไม่ทราบข้อกฎหมายต้องถามฝ่ายกฎหมายดูก่อน ส่วนผลการโหวตก็มีความหนักใจ และไม่สบายใจ เพราะนึกว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ตนขอเข้าประชุมกับกรรมการบริหารพรรคก่อน

เมื่อถามว่า หากข้อบังคับมีการให้เสนอชื่อบุคคลอื่นขึ้นมาประกบ จะมีการเสนอชื่อคนของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบและยังไม่ได้คุยกับใครเลย

เมื่อถามว่าการโหวตครั้งนี้มีอุปสรรคมากมีการเสนอให้ปิดสวิตซ์ ส.ว.เพื่อให้การโหวตนายกฯราบรื่น นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้คุยมานานมากและสุดทางแล้ว คงคุยกันลำบาก คำว่าปิดสวิตซ์ก็ฟังดูไม่ดีเท่าไร แต่เห็นว่าคงลำบากเพราะโหวตครั้งที่ 1 ไปแล้ว คงต้องรอฟังความเห็นจากพรรคร่วม 8 พรรคไปก่อน

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาแข่งด้วยนายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะมีการเสนอชื่อตรงนี้หรือไม่ แต่หากดูตามคณิตศาสตร์ก็ลำบาก เพราะพรรคมีแค่ 40 กว่าเสียงเอง คิดว่าความเป็นไปได้คงลำบาก

เมื่อถามต่อว่า 8 พรรคร่วมจะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตพรรคก้าวไกลจนถึงที่สุดหมายความว่ากี่รอบ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบต้องรอดูก่อนเพราะคะแนนมารอบแรกต่ำไปหน่อย ขอปรึกษากับกรรมการบริหารพรรคก่อนว่าคิดอย่างไร ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนขึ้นหลังจากประชุม 8 พรรคร่วม

เมื่อถามย้ำว่า ควรเสนอชื่อนายพิธา โหวตนายกฯ ต่อหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า กล่าวย้ำว่าต้องขอไปคุยกันก่อน แต่เรายืนยันว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ ขอบคุณ 324 เสียง

เมื่อถามว่า มีแนวทางจะไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคขั่วรัฐบาลเดิมให้หนุนโหวตนายกฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเป็นยุทธศาสตร์ของ 8 พรรคร่วมที่จะคุยกันส่วนตนไม่ได้อยู่ในวงเจรจาคงต้องถามอีกครั้งก่อน

ตำรวจไซเบอร์จับเจ้าของบัญชีหลอกลงทุน exchange อ้างแค่ให้เพื่อนยืม ทำเหยื่อสูญกว่า 1.2 ล้าน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1  เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ภายใต้การอำนวยการของ  พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงส์  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  ชุดจับกุมนำโดย  พ.ต.ท.สุรพล เห็มไธสง  สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้ร่วมกันจับกุม น.ส.สมฤทัย อายุ 26 ปี  ผู้ต้องหา ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรี

สืบเนื่องจากพฤติกรรมของคนร้ายรายนี้จะใช้บัญชีเฟสบุ๊ก สร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือ ติดต่อเข้าคุยกับผู้เสียหาย โดยจะชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ผ่านทางแพลตฟอร์มชื่อ C.P.GROUP (https://www.cp-group.cc) อ้างว่าได้กำไรดี และเพื่อที่จะติดต่อส่งข้อมูลกันได้สะดวกขึ้น และต่อมาคนร้ายได้เปลี่ยนช่องทางการสื่อสารไปผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งผู้เสียหายเห็นว่ามีความน่าสนใจ จึงหลงเชื่อและร่วมลงทุนเทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยโอนเงินไปร่วมลงทุน เข้าบัญชีคนร้าย จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมด จำนวน 1,196,999 บาท แต่ภายหลังไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ จึงเชื่อว่าถูกหลอกลองทำให้ได้รับความเสียหาย จึงเข้าพบพนักงานสอบสวนร้องทุกข์ดำเนินคดีคนร้ายให้ได้รับโทษตามกฎหมาย

ต่อมาตำรวจไซเบอร์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 สืบสวนทราบว่าคนร้าย คือ  น.ส.สมฤทัย ได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ อพาร์ทเม้นท์ ในเขตพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร จึงสั่งการให้  พ.ต.ท.สุรพล เห็มไธสง  สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ติดตามไปจับกุมตัว โดยชุดสืบสวนได้ประสานให้บิดาของ น.ส.สมฤทัยฯ นำ น.ส.สมฤทัยฯ เข้ามามอบตัวที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ (อาคารบี) แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 10.00 น. และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้าน  พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงส์  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.สมฤทัย มีหมายจับติดตัวค้างเก่า ที่ยังมีผลบังคับใช้อีกจำนวน ๒ หมายจับ คือ หมายจับ  ศาลจังหวัดระนอง ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “สนับสนุนผู้อื่นให้ฉ้อโกงประชาชน และสนับสนุนผู้อื่นให้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ หมายจับ ศาลจังหวัดระนอง ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนฉ้อโกง” รวมทั้งหมดเป็น 3 หมายจับ และเมื่อนำชื่อ น.ส.สมฤทัย บุคคลตามหมายจับ มาตรวจสอบในระบบ Blacklistseller.com (https://www.blacklistseller.com/) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ตรวจสอบคนโกง เช็คบัญชีมิจฉาชีพ รู้ทันกลโกง พบว่า น.ส.สมฤทัย มีชื่อเป็นบุคคลเฝ้าระวัง เป็นมิจฉาชีพ เป็นผู้ที่หลอกขายสินค้า หลอกให้โอนเงิน โกงเงิน โกงการส่งสินค้า หลายรายการ และได้ตรวจสอบในระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (https://thaipoliceonline.com/) ยังพบอีกว่า มีความเชื่อมโยงในระบบแจ้งความออนไลน์ 9 CaseID จากการตรวจสอบพบมีผู้เสียหายจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติฯ กล่าวว่า ขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนระมัดระวังการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพลักษณะดังกล่าว ขอความร่วมมือผู้พบเห็นข้อความชักชวนลงทุนต่าง ๆ ไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมเตือนบุคคลที่สนใจการลงทุน ให้รู้เท่าทันกลลวงในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการอ้างผลการลงทุนได้ค่าตอบแทนที่สูงเกินจริง และข้อสำคัญเพื่อป้องการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ต้องไม่เร่งรีบตัดสินใจเชื่อเมื่อพบเห็นข้อมูลเชิญชวนต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย ขอให้ตรวจสอบตัวตนผู้มาเชิญชวนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังในการโอนเงิน ตามหลักการ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” ของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโจรออนไลน์ทุกรูปแบบ

ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ ตรวจยึดและอายัดทรัพย์สิน มูลค่าร่วมกว่า 30 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา  ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบและดำเนินการจับกุม การกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ในทุกรูปแบบ ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สอท.3 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ประชาชนแจ้งการกระทำผิดกฎหมาย กรณีกรณีมีเว็บไซต์พนัน https://www.richawinvip.com/ซึ่งได้เปิดให้มีการเล่นการพนันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้เข้าตรวจสอบเว็บไซต์ดังกล่าวปรากฏว่าเว็บดังกล่าว ได้มีการเปิดให้เล่นพนันออนไลน์จริง จึงได้ส่งสายลับเข้าไปทำการไปเล่นการพนันในเว็บดังกล่าวจนได้ทราบถึงข้อมูล บัญชีที่ใช้ในการ ฝาก-ถอน ของเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว จากการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.3  จึงได้ขออนุมัติศาลจังหวัดขอนแก่น ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวนหลายราย รวมทั้งได้สืบสวนหาข่าว เพื่อจับกุมบุคคลในขบวนการและผู้เกี่ยวข้อง โดยในปฏิบัติการครั้งนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 ราย ดังนี้

1.นายดนุพงษ์ อายุ 41 ปี ชาวตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
2.นายสถาพร อายุ 33 ปี ชาวตำบลโคกสูง อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์
3.น.ส.ขจีวรรณ อายุ 32 ปี ชาวตำบลแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม
4.น.ส.บุษกร อายุ 27 ปี ชาวตำบลหนองแวง อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์

โดยเมื่อวันที่ 12 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 1 ได้มาพักอาศัย
ในพื้นที่ หมู่บ้านพฤกษานารา ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้นำหมายค้นของศาลอาญา เข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏว่าพบ ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น และบุคคลภายในบ้านอีก 2 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 กำลังนั่งทำงานอยู่ภายในบ้าน จากการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ในบ้านหลังดังกล่าว พบว่าผู้ต้องหาที่ 2 ทำหน้าที่เป็นแอดมิน คอยตอบคำถามทางแอบพลิเคชันไลน์ และ ผู้ต้องหาที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีการเงิน และจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1 ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ถูกจับทั้ง 3 คน ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต” , “ ร่วมกันหรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปช่วยเหลือหรือสนับสนุน ในการกระทำความผิดอันเป็นการฟอกเงิน”

และในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 4  
ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ 238/2566  ลงวันที่ 27 เม.ย.66 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันกับผู้ต้องหาข้างต้น มาปรากฏตัวที่บริเวณริมถนนสาธารณะหน้าธนาคารธนาคารทหารไทยธนชาต ต.ในเมือง อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่บริเวณดังกล่าว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแสดงบัตรข้าราชการและได้แสดงหมายจับพร้อมอ่านข้อความในหมายจับ รวมทั้งได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบหมายจับและอ่านหมายจับเอง ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต” , “ร่วมกันหรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปช่วยเหลือหรือสนับสนุน ในการกระทำความผิดอันเป็นการฟอกเงิน” จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง พนักงานสอบสวน บก.สอท.3 (ส่วนภูมิภาคขอนแก่น) เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการปฏิบัติการครั้งนี้สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินที่ต้องสงสัยว่าได้มาจากการกระทำความผิด อาทิเช่น เงินสด,ทองคำ,โฉนดที่ดิน,บัญชีธนาคาร,บ้าน,ยานพาหนะ มูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท จึงได้ทำการตรวจยึดและนำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.3 เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ธีระ เชื้อสุวรรณ ผกก.4 บก.สอท.3 ได้ฝากเตือนพี่น้องประชาชนกลุ่มผู้เล่นการพนัน นอกจากจะมีความผิดตามกฎหมายแล้ว ยังเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงข้อมูล Privacy Data (ข้อมูลส่วนตัว) ที่ให้กับเว็บไซต์การพนันซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรม และถูกโกงเงินไม่สามารถถอนเงินคืนจากเว็บไซต์พนันได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.ธีระ เชื้อสุวรรณ ผกก.4 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.วริศพันธ์ เขมสิริเมธีกุล รอง ผกก4 บก.สอท.3 พ.ต.ท.ภูวสิษฐ์  เจริญธนะฐิตฺโชติธเนตร สว.กก.4 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

ผบ.ตร. ลงใต้ ตรวจเยี่ยม บำรุงขวัญ เร่งรัดคดีสำคัญ จังหวัดชายแดนใต้ ย้ำขวัญกำลังใจ ความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ภาคสนาม พร้อมติดตามโครงการชุมชนยั่งยืน ชื่นชมความร่วมมือเข้มแข็งทุกฝ่าย จนประสบความสำเร็จ ส่งต่อความยั่งยืนให้ชุมชน

วานนี้ (13 ก.ค. 66)  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ณัฐ สิงห์อุดม ผบช.ตชด., พล.ต.ท.นพดล ศรสำราญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร., พร้อมคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ประชุมติดตามสถานการณ์ความมั่นคงและคดีสำคัญของตำรวจภูธรภาค 9 (ภ.9) ณ ศปก.ตร.ส่วนหน้า จ.ยะลา โดยมี พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 , รอง ผบช.ภ.9 ,ผบก.ในสังกัด ภ.9 และเจ้าหน้าที่เข้าร่วม 

ผบ.ตร.ได้ติดตามคดีสำคัญที่เกิดขึ้นในห้วงที่ผ่านมา ติดตามสถานการณ์ความมั่นคง การปราบปรามอาชญากรรม การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ พร้อมรับฟังข้อมูลปัญหา  สถานภาพกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ความต้องการสนับสนุนด้านต่างๆของจังหวัดชายแดนได้

ผบ.ตร.ได้กำชับการฝึกทางยุทธวิธีที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่อลดการสูญเสีย ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม อบรมความรู้งานสืบสวนสอบสวน และการขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เน้นย้ำให้ความสำคัญกับกำลังผู้ปฏิบัติ ให้มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังตามความเหมาะสม ฝึกทบทวนยุทธวิธี แผนเผชิญเหตุ เตรียมความพร้อมสมรรถนะด้านต่างๆ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมจะสนับสนุนช่วยเหลือขวัญกำลังใจการทำงานอย่างเต็มที่

จากนั้น ผบ.ตร.พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ ชุมชนทุ่งยามู ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา  โดยมี นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ผู้นำท้องถิ่น ชุมชน เข้าร่วม

สำหรับชุมชนบ้านทุ่งยามู มี 234 ครัวเรือน ประชากร 694 ราย มีการเอ็กซเรย์ 100% สามารถค้นหาพบผู้เสพยาเสพติดเป็นจำนวน 10 คน นำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดฟื้นฟู  มีกิจกรรมบำบัดแบบผสมผสาน บำบัดทางการแพทย์ อาชีพบำบัด และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์บำบัด มีการฝึกอาชีพกิจกรรมดนตรี เลี้ยงไก่ ปลาดุก หลังการบำบัดฟื้นฟู เจ้าหน้าที่ได้ส่งต่อความยั่งยืน มอบสมุดประจำตัวให้ผู้เข้ารับการบำบัด โดยจะมีการตรวจสารเสพติดและติดตามอย่างสม่ำเสมอ ส่วนชุมชนจะต่อยอดความยั่งยืนโดยการสร้างชุมชน ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เหมาะสม ติดกล้อง CCTV เพิ่มแสงสว่าง และให้ผู้นำชุมชนร่วมติดตามแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง  ส่วนมิติการปราบปราม ตำรวจได้ดำเนินการปราบปรามจับกุมดำเนินคดีผู้ค้า และคดียาเสพติด 12 คดี จนปัญหายาเสพติดลดน้อยลง
 
ต่อมาในช่วงบ่าย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ ชุมชนสถานี 2 ต.หาดใหญ่ จ.สงขลา  ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมากถึง  817 ครัวเรือน 2,873 คน สภ.หาดใหญ่ ได้ร่วมกับเทศบาลหาดใหญ่ ทำการตรวจสารเสพติดเอ็กซเรย์ 100% พบผู้เสพและสมัครใจเข้ารับการบำบัด  39 คน นำเข้าสู่โครงการบำบัดฟื้นฟูจนประสบความสำเร็จ  ส่วนมิติการป้องกันปราบปรามยาเสพติด ตำรวจได้ส่งชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด เข้ากดดันจับกุมผู้ค้า ผู้จำหน่ายยาเสพติด จนกระทั่งออกนอกพื้นที่ไปหมด  และเพิ่มมาตรการป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้จำหน่ายในพื้นที่อื่นเข้ามาด้วยการร่วมกันตั้งจุดสกัดบริเวณรอบๆ ชุมชน

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอผลการดำเนินการของโครงการชุมชนยั่งยืนฯ ชุมชนทุ่งแม่บัว ของ สภ.คลองหอยโข่ง ที่ทาง อบจ.สงขลา ให้การสนับสนุน ดำเนินการค้นหาผู้มีสารเสพติด ทำการเอ็กซ์เรย์ 100% จำนวน 154 ครัวเรือน ประชากร 449 คน ค้นพบผู้เสพและสมัครใจบำบัด รวม 22 ราย ขณะนี้ได้ผ่านการบำบัดประสบความสำเร็จ ซึ่งปัจจัยในความสำเร็จของโครงการบ้านทุ่งแม่บัวเกิดจากตัวผู้เสพที่เปิดใจยอมรับในการแก้ไข ครอบครัวเข้าใจเอาใจใส่ ชุมชนให้โอกาส รัฐให้ความสำคัญ ส่วนมิติการปราบปราม สภ.คลองหอยโข่ง ได้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังร่วมกับภาคส่วนต่างๆ จนผู้ค้าถูกจับ หลบหนีออกจากพื้นที่ไปหมด ได้รับคำชื่นชมจากชาวบ้าน ที่สามารถคืนลูกหลานเป็นคนดี และส่งต่อความยั่งยืนให้ชุมชน

โมเดลความสำเร็จของชุมชนทุ่งแม่บัวดังกล่าว ทำให้ อบจ.สงขลา สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมให้ สภ. คลองหอยโข่ง ขยายโครงการไปอีก 2 หมู่บ้าน คือ  บ้านโคกพยอม และ บ้านพรุกง ซึ่งเป็นหมู่บ้านพื้นที่ติดกับหมู่บ้านทุ่งแม่บัว โดยบ้านโคกพยอม มีประชากร 268 ครัวเรือน 913 ราย และบ้านพรุกง มีประชากร 130 ครัวเรือน 415 ราย ซึ่งได้เริ่มโครงการฯ และลงนามความร่วมมือร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติด เมื่อ 10 ก.ค.66 ที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ผู้ค้า ผู้เสพยาเสพติดหมดไปจากพื้นที่ ครอบคลุมทั้งอำเภอคลองหอยโข่ง 

ผบ.ตร. กล่าวว่า “ขอขอบคุณ และชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ร่วมดำเนินการโครงการชุมชนยั่งยืน ทั้งชุมชนยั่งยืนทุ่งยามู อ.เมือง จ.ยะลา ชุมชนสถานี 2 ต.หาดใหญ่ และ ชุมชนทุ่งแม่บัวอ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ที่มีความเข้มแข็ง แสดงถึงความพร้อมเพียง ร่วมมือร่วมใจ มีศักยภาพ จนโครงการประสบความสำเร็จ พร้อมให้กำลังกำลังใจผู้เข้ารับการบำบัด และครอบครัว ที่ส่วนใหญ่เลิกได้ สำหรับส่วนที่ยังเลิกไม่ได้ เจ้าหน้าที่จะช่วยในการลดการเสพให้น้อยลง จนเลิกได้ในที่สุด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทุกฝ่าย สิ่งที่ตำรวจได้ดำเนินการควบคู่การบำบัดฟื้นฟู คือ การป้องกันปราบปราม จับกุมกดดันผู้ค้าดำเนินการตามกฎหมาย บางส่วนหลบหนีออกพื้นที่ พร้อมกับร่วมกันตั้งจุดตรวจป้องกันไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่อีก เพื่อส่งต่อความยั่งยืนให้ชุมชน 

ทั้งนี้ สำหรับโครงการ โครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 3 ปี มีชุมชน/หมู่บ้าน ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 ปีละ 1,483 ชุมชน/หมู่บ้าน รวม 4,449 ชุมชน/หมู่บ้าน ปัจจุบันสามารถค้นหาผู้เข้ารับการบำบัดกับโครงการฯ สะสมได้ จำนวน 52,209 คน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินโครงการฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เม.ย. – มิ.ย.66)  สามารถค้นหาผู้เข้ารับการบำบัดกับโครงการฯ ได้จำนวน 25,822 คน”

BLC แต่งตัวเข้าตลาดฯ ผงาดรุกต่างประเทศ หนุนรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี

สำนักข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ซึ่งได้นำพาองค์กรผู้ผลิตยาของคนไทยโลดแล่นสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทมหาชนเป็นที่เรียบร้อย สร้างความภาคภูมิใจในแวดวงอุตสาหกรรมยาเป็นอย่างมาก

โดย ภก.สุวิทย์ กล่าวในภาพรวมว่า อุตสาหกรรมยาในปัจจุบันยังเป็นเรื่องน่าสนใจ เนื่องจากเป็นเรื่องความมั่นคงทางด้านสุขภาพ โดยอุตสาหกรรมยาเมืองไทยในปัจจุบัน มีมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท โดยมากกว่าครึ่งเป็นบริษัทยาข้ามชาติ ที่เหลือเป็นบริษัทยาไทย

ทั้งนี้สัดส่วนทางการตลาดสามารถแบ่งได้ดังนี้ 60% เป็นตลาดของโรงพยาบาลรัฐ / 20% เป็นตลาดของโรงพยาบาลเอกชน และอีก 20% เป็นตลาดของร้านขายยา โดยปัจจุบันมีการทำตลาด Modern Trade รวมถึง e-Commerce มากขึ้น จนส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้มีศักยภาพสูงและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้ หากลงไปในรายละเอียด จะพบว่า ยาแผนปัจจุบัน กลุ่มยาสามัญประจำบ้าน เช่น พาราเซตามอล มีการแข่งขันสูง รองลงมาคือ ตลาดยาใหม่ ได้แก่ ยาที่บริษัทข้ามชาติจะหมดสิทธิบัตร ซึ่งหากใครสามารถพัฒนายาใหม่เหล่านี้ได้ ก็สามารถครองตลาดได้ไม่ยากนัก 

ส่วนกลุ่มยาสามัญใหม่ก็มีมูลค่าการตลาดค่อนข้างสูง เช่น ยาเบาหวาน ซึ่งบริษัทข้ามชาติมีการพัฒนายาตัวใหม่ หรือที่เรียกว่า ยา Original ซึ่งจะมีราคาแพง ขณะที่บริษัทยาในประเทศส่วนใหญ่นั้น หากหมดสิทธิบัตรเมื่อไหร่ แล้วสามารถพัฒนาได้ก็จะกลายเป็นผู้นำตลาดได้เช่นกัน ซึ่ง BLC มองเห็นประเด็นนี้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว จึงตั้งศูนย์วิจัยขึ้นมาเพื่อพัฒนา ยา Original โดยปัจจุบันสามารถผลิตได้ 2-3 ผลิตภัณฑ์ เนื่องจาก BLC มีความพร้อมทุกด้านอยู่แล้ว แต่ถ้ามีเงินทุนเข้ามามากขึ้น ก็สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ได้มากถึงปีละ 10 ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มยาสมุนไพรนวัตกรรมมีโอกาสเติบโตสูงมาก

สำหรับส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทยา ทาง BLC มองว่าเป็นเรื่องที่แปลก เพราะยังไม่มีใครเป็นเจ้าตลาด ซึ่ง BLC เอง มียอดขายในปี พ.ศ. 2565 อยู่ที่ประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังน้อยมากในตลาดภาพรวม โดย BLC มีความชำนาญอย่างมากในด้านการผลิตยากลุ่มกระดูกและข้อ และกลุ่มยาผิวหนัง 

ส่วนทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมยา BLC มองว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อาจโตไม่มากนัก ประมาณ 7% 

"เรามองการเติบโตเป็นช่วงๆ อย่างในยุคแรก ช่วงปี ค.ศ. 1990-2000 เรามองในเรื่องระบบคุณภาพ ว่าทำอย่างไรให้โรงงานยาเป็นที่ยอมรับ มีมาตรฐานสูงสุด ส่วน 10 ปีต่อมา เรามองว่า BLC จะเป็นบริษัทยาที่แข่งขันกับบริษัทข้ามชาติได้อย่างไร โดยมีมุมมองในรูปแบบของ Business Model สร้างความเชี่ยวชาญตอบรับกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นโมเดลที่ทำให้ BLC เจริญเติบโตมาถึงปัจจุบัน ส่วนอีก 10 ปีต่อมา BLC เราเน้นเรื่องการพัฒนานวัตกรรม มีการตั้งศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนายาต้นแบบ ซึ่งเรานำงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาศึกษาพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตยาแผนปัจจุบัน ไปพัฒนายาจากสมุนไพร ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาที่พัฒนามาจากสมุนไพร เทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน และมีการส่งออกไปต่างประเทศมากมาย ส่วนปัจจุบัน BLC เรามองเรื่องสร้างการเจริญเติบอย่างยั่งยืนอย่างไร โดยเน้นสร้างพันธมิตรธุรกิจยาระหว่างประเทศมากขึ้น" ภก.สุวิทย์ กล่าว

เมื่อถามถึง BLC กับเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วจะมีกลยุทธ์อย่างไร? ภก.สุวิทย์ กล่าวว่า ธุรกิจยาเป็นธุรกิจกระแสหลักของโลก BLC มีกลยุทธ์ดังนี้...

1. สร้างโรงงาน 2. พัฒนาสินค้าใหม่ 3. หาพันธมิตรทางการค้า จากต่างประเทศ และสร้าง Business Model ที่สร้างการเจริญเติบโตได้ พร้อมผลิตยาให้กับบริษัทยาจากต่างประเทศได้

"ตอนนี้ประเทศไทยเรายังไม่สามารถผลิตตัวยาสำคัญได้ เราควรที่จะมียาของตนเอง โดยการนำสมุนไพรมาพัฒนา ส่วนเคมีคอลจะทำอย่างไรให้เมืองไทยผลิตตัวยาสำคัญได้ หรือผลิตวัตถุดิบหลักทางยาได้ ภาครัฐควรให้การสนับสนุน และสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศมากขึ้น โดยเราให้ความสำคัญ Trusted Solutions for Lifelong Well-Being หมายถึง การดำเนินธุรกิจเริ่มตั้งแต่วัตถุดิบหลัก ผลิต พัฒนาและวิจัย แล้วทำการตลาดให้แพทย์และเภสัชกรเป็นที่รู้จัก" ภก.สุวิทย์ เสริม

ด้านการทำตลาดของ BLC หลังเข้าตลาดฯ ได้วางแผนไว้ 2 ระยะ คือ ระยะแรก จะขยายช่องทางจำหน่ายไปยังต่างประเทศ โดยวางเป้าหมายการเติบโตปีหนึ่งมากกว่า 200 ล้านบาท ส่วนระยะต่อมาจะมีการสร้างโรงงานที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ เพื่อให้ผลิตยาที่มีคุณภาพในต้นทุนที่ถูก ซึ่งขณะนี้โรงงานได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพื่อให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมยาในไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทต่างชาติได้แล้ว

สำหรับยอดขายของ BLC ในปัจจุบันนั้น 60% -70% เป็นกลุ่มยา รองลงมาคือกลุ่มเวชสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหารเสริมตามลำดับ ซึ่งในส่วนของ BLC มีการทำตลาดด้านเวชสำอาง อาหารเสริม ที่มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร เนื่องจากนำสมุนไพรที่มีการจดสิทธิบัตรของบริษัทฯ มีงานวิจัยรองรับ มาพัฒนาและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดความแตกต่างและมีประสิทธิภาพสูงด้วยนวัตกรรม

ส่วนเป้าหมายของ BLC ต่อจากนี้ ภก.สุวิทย์ เชื่อว่า จะโตอย่างน้อยเฉลี่ย 10% ภายใน 3 ปีนี้ เป็น Organic Growth และจากนั้นก็จะเป็น New S-Curve หลังจากโรงงานเราเสร็จ คาดยอดขายแตะ 2,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี คิดเป็นกำไรเติบโต 10-20%

ท้ายสุด ภก.สุวิทย์ กล่าวว่า "ในฐานะที่จบเภสัชกรมาก็อยากสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ เภสัชกร ว่าเราสามารถทำอย่างไรให้ยาของเมืองไทย เป็นที่ยอมรับอย่างน้อยก็ใน CLMV ระดับอาเซียน หรือระดับสากล โดยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน BLC เป็นที่ฝึกงานของน้อง ๆ เภสัชกร กว่า 15 สถาบัน มาร่วม 20 ปีแล้ว เนื่องจากโรงงานผลิตยาในเมืองไทยมีไม่มาก และ BLC เห็นความสำคัญตรงนี้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมยาของไทยอย่างยั่งยืนต่อไป"

'มัมดิว' ผู้ต้องหาคดี 112 กรณีโฆษณาลาซาด้า โพสต์อัปเดตหลังทำเรื่องลี้ภัยไปประเทศเยอรมนี

วันนี้ (14 ก.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายกิตติคุณ ธรรมกิติราษฎร์ หรือ มัมดิว แอดมินเพจที่ชื่อว่า มัมดิวไดอารี่ ผู้ต้องหาคดีอาญาตามมาตรา 112 ได้โพสต์วิดีโอคลิประบุว่า "แม่เองก็ลำบาก ชีวิตอันเรียบง่ายในต่างแดน" เป็นการรีวิวอาหารที่อ้างว่าเป็นอาหารเย็นในค่ายผู้ลี้ภัยวันแรก สิ่งที่ได้มามีขนมปัง เชดดาร์ชีส เนยก้อน น้ำแร่บรรจุกล่อง และมะเขือเทศ พร้อมมีดไม้ และกล่าวว่า ชีวิตการเป็นผู้ลี้ภัยก็ลำบาก วันแรกก็มากักตัวในตู้คอนเทนเนอร์ อยู่บ้านก็สบายกว่านี้ ก็ต้องทนเพื่อความสบายในอนาคตข้างหน้า ก็จะไปได้ฉิวไปอีก

ด้านชาวเน็ตกล่าวว่า "โถ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ออกช่องทางธรรมชาติ" มัมดิวก็ตอบกลับว่า "ออกโดยสายการบินไทย ของ..." นอกจากนี้ยังโพสต์ภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่ต่างประเทศ

ขณะที่เฟซบุ๊ก ‘จอมไฟเย็น’ ของนายนิธิวัต วรรณศิริ นักร้องนำวงดนตรีที่ชื่อว่าไฟเย็น และผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ซึ่งลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความระบุว่า "ยินดีต้อนรับมัมดิว ผู้ยื่นขอลี้ภัย 112 คนล่าสุดที่เยอรมนี แกพาป้าสมจิตรมาทัวร์ยุโรป" ท่ามกลางความยินดีของเหล่าแฟนคลับ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 ได้เป็นโจทก์ฟ้อง นายกิตติคุณ ธรรมกิติราษฎร์ หรือ ‘มัมดิวไดอารี่’, น.ส.สุภัคชญา ชาวคูเวียง หรือ ‘หนูรัตน์’ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ บริษัท อินเตอร์เชคท์ ไชน์ แฟคทอรี่ จำกัด พร้อมพวก ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กรณีเมื่อช่วงเดือน พ.ค. 65 พวกจำเลยทำแคมเปญโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดัง (ลาซาด้า) ร่วมกับ นายอนิวัต ประทุมถิ่น หรือ ‘นารา เครปกะเทย’ เน็ตไอดอลชื่อดัง โดยพวกจำเลยทั้งสอง แต่งกายเลียนแบบบุคคลเบื้องสูง

ศาลพิจารณาแล้วประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา เป็นคดีหมายเลขดำ อ.1405/2566 และสอบคำให้การจำเลยแล้วให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่าย เพื่อนัดตรวจพยานหลักฐาน และสืบพยานวันที่ 24 ก.ค. 66 เวลา 09.00 น. ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสอง โดยตีราคาประกันคนละ 9 หมื่นบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันที่อาจทำให้เสื่อมเสีย และห้ามชุมนุมที่อาจทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

‘ก้าวไกล’ ยื่นร่างแก้ ม.272 คืนอำนาจเลือกนายกฯ ให้ ปชช. ชี้!! เป็นทางออกที่ดีที่สุด เชื่อ!! ‘ส.ส. - ส.ว.’ พร้อมสนับสนุน

(14 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส. พรรคก้าวไกล เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยมี วันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับเอกสาร สาระสำคัญของร่างคือ การยกเลิกมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจ ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

ชัยธวัชกล่าวว่า ส.ส. พรรคก้าวไกลได้เข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ เสนอร่างฉบับนี้เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกฯ ให้แก่ประชาชน เนื่องจากการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ปรากฏชัดว่ามี ส.ว.งดออกเสียงถึง 159 คน ไม่มาประชุมอีก 43 คน หลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ประสงค์ใช้อำนาจทำหน้าที่เลือกนายกฯ ขอให้เป็นเรื่องของ ส.ส. ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะนำไปสู่ทางตันทางการเมือง

ส.ส.พรรคก้าวไกลในฐานะสมาชิกรัฐสภา จึงเสนอทางออกให้ ส.ว.ในเมื่อท่านไม่ประสงค์จะใช้อำนาจนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนใจหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม ในการโหวตพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ทางนี้จึงจะเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ทั้ง ส.ว.ทั้งระบบรัฐสภาของประเทศ ทำให้การเมืองไทยเดินหน้าต่อไปได้ และมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด

เลขาธิการพรรคก้าวไกลชี้แจงต่อคำถามของผู้สื่อข่าวด้วยว่า คาดว่าระยะเวลาที่รัฐสภาพิจารณาร่างฉบับนี้ ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพราะเสนอแก้ไขเพียงมาตราเดียว และการพิจารณาสามารถดำเนินการคู่ขนานกับการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ได้ โดยหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะดำเนินการขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ต่อไป

พร้อมกับย้ำว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิก ม.272 ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการเสนอหลายครั้งในสภาชุดที่แล้ว และ ส.ส. พรรคที่เป็นฝั่งรัฐบาลในเวลานั้น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ก็เคยออกเสียงสนับสนุน รวมถึง ส.ว. มากกว่า 60 คนก็เคยเห็นชอบ จึงเชื่อว่าครั้งนี้ไม่น่ามีปัญหา

ทั้งนี้ ได้แจ้งการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อพรรคเพื่อไทยเป็นการเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากพรรคก้าวไกลต้องการให้กระบวนการนี้ใช้เวลาสั้นที่สุด จึงไม่สามารถรอให้สมาชิกจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลพรรคอื่นๆ มาร่วมเซ็นด้วย ดังนั้น การที่พรรคก้าวไกลยื่นร่างนี้เพียงพรรคเดียว ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยและอีก 6 พรรค จะไม่เห็นด้วยหรือขัดข้องแต่อย่างใด

“ในเมื่อ ส.ว.มีมโนธรรมสำนึกว่าท่านไม่สามารถโหวตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น เพื่อให้ท่านไม่ต้องทำอะไรที่ขัดกับมโนธรรมสำนึก ก็แก้ไขยกเลิกมาตรานี้เสีย เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกให้ประชาชน และเมื่อประชาชนตัดสินใจไปแล้ว จะถูกจะผิดอย่างไรท่านก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะท่านอ้างว่าถ้าตัดสินใจก็ต้องรับผิดชอบ ท่านจึงไม่ตัดสินใจ หนทางนี้จึงเป็นการหาทางออกให้ทุกฝ่าย เป็นทางออกที่ดีที่สุด และต้องถามไปยัง ส.ว.หลายท่านที่ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้ว่าตนเองไม่อยากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯ ท่านยินดีหรือไม่ที่จะช่วยกันเอาอำนาจของท่านออกไป และคืนอำนาจนี้ให้ประชาชน” ชัยธวัช กล่าว

ด้านประธานรัฐสภากล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่สภาตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของเอกสาร โดยจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นเรื่องด่วน

‘ต่าย ชุติมา’ เล่าถึงความรักครั้งเก่าสุดโรแมนติก อดีตคนรัก ‘จูบเท้า’ ด้วยความรักทะนุถนอม

ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนหรือทำอะไร ก็ถูกจับตามองอย่างหนัก สำหรับนักแสดงลูกหนึ่ง ‘ต่าย ชุติมา’ ที่ถูกโฟกัสความสัมพันธ์กับอดีตสามี ‘ทิม พิธา’ ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้มีโมเมนต์ครอบครัวสุดน่ารักร่วมกัน พร้อมหน้าลูกสาวสุดที่รัก ‘น้องพิพิม’ ทำให้แฟนๆ หลายคนต่างส่งเสียงเชียร์คู่ ‘ทิม-ต่าย’ กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง แม้ว่าทั้งคู่จะออกมายืนยันสถานะในตอนนี้ว่า เป็นเพียงพ่อแม่ที่ดีของลูกสาวเท่านั้น

ล่าสุดสาว ต่าย ชุติมา ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘ซานิเบาได้เบา’ ของ ‘ซานิ นิภาภรณ์’ งานนี้เปิดเรื่องราวรักครั้งเก่า แม้จะจบลงไม่สวย แต่ตอนนี้ทั้งคู่ก็สามารถเจอหน้า ทักทายกันได้ตามปกติ 

>>ช่วงที่ต้องทำหน้าที่แม่และภรรยาที่ดี จนหายหน้าไปจากวงการ เป็นอย่างไรบ้าง 

ต่าย : “10 ปีที่ผ่านมา กิจวัตรประจำวันคือ ทำอาหารเช้า ดูแลลูก ดูแลบ้าน เราต้องอยู่ในระบบระเบียบ เพราะเขาอยากให้เป็นอย่างนั้น กลับบ้านต้อง 6 โมงเย็น เราเคยคิดว่าน่าจะเกิดจากความหึงหวง เรื่องรับงาน พวกบทมองตากันก็ไม่ได้ ทำให้เรารับเล่นไม่ได้อีก คือเราเป็นคนตามใจแฟนไง เลยตัดสินใจไม่รับงานเลย”

>>เรียกว่ากับอดีตสามี ไม่มีทางรีเทิร์นเลย

ต่าย : “ไม่มี มั้ง (หัวเราะ) ถามว่ามีขอคืนดีไหม มีแนวแบบชวนไปเที่ยว ครอบครัวพร้อมหน้า แต่ไม่น่ามีอะไร”

>> ข่าวที่ผ่านมา อาจมองว่าเราไม่น่าคุยกันได้แล้ว แต่วันนี้กลับมาคุยกันได้
ต่าย :  “เราเป็นคนโกรธง่ายหายเร็วมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เล่าหรือวันนี้มานั่งเล่าอะไร คือเล่าด้วยความไม่รู้สึกอะไรแล้ว ถามว่าเขาเคยเห็นที่เราพูดออกไปแล้วโกรธ น้อยใจ แล้วเคยพูดบ้างไหม เขาไม่เคยพูด แต่ลึก ๆ เรารู้ เพราะรู้นิสัย”

>>โมเมนต์สุดโรแมนติก อดีตสามีคลั่งรักไม่แพ้กัน 

ต่าย : “เห็นเราคลั่งรักแบบนี้ แต่ตอนที่อยู่คนละประเทศ เราก็คุยกันวันละชั่วโมงเองนะ แต่ตื่นมาถ้ามีข้อความทิ้งไว้ว่าไปไหน ทำอะไร เราก็โอเค สิ่งที่เขาทำแล้วรู้สึกว่าโรแมนติก เป็นการ ‘จูบเท้า’ จูบด้วยความทะนุถนอมนะ ไม่ใช่แนว 18+ เราก็ลูบหัวกลับ เราชอบดูการ์ด แต่ก็ไม่รู้อีกว่าเขียนจากใจหรือเปล่า ประมาณเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า เวลาที่ฉันคิดถึงเธอ จะมีดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง ตอนนี้ดอกไม้มันคงเป็นสวนแล้ว เหมือนมีครั้งหนึ่ง ให้การ์ดปกเดียวกัน คนหนึ่งซื้ออังกฤษ อีกคนซื้อไทย แล้วมาแลกในวันเดียวกัน แบบใจตรงกัน อันนี้น่ารัก

ส่วนเรื่องแย่ ๆ เราลืมเก่งมาก แต่ก็มีคนบอกว่าแบบนี้มันคือควาย แบบกินหญ้าอะ ในตอนนั้นเขาก็พยายามทำให้ครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม ส่วนเราคือไม่ เพราะรู้สึกว่าสุดแล้ว ทุกวันนี้เราแบ่งกันเลี้ยงลูกชัดเจน ซึ่ง ต่าย เป็นคนเสนอเรื่องโมเมนต์พ่อแม่ลูก เพราะอยากทำให้ลูกตั้งนานแล้ว ซึ่งตอนแรกเขาอาจจะยังไม่พร้อม ถามว่าจะมีให้เห็นอีกไหม น่าจะเป็นวันสำคัญ ๆ เช่นวันเกิดลูก คนเชียร์ให้กลับมาเยอะมาก เยอะจนคนไม่กล้าเข้ามาอะ

แต่กว่าเราจะมูฟออนได้ก็ 3 ปีนะ คนที่เรียกว่าแฟนเลย มีคนเดียว คนคุยที่ผ่านมาก็ประมาณ 5 คน คนที่เป็นแฟน เพราะเขาทำให้เราลืมอดีตได้เลย อันนี้คือรู้สึกว่าใช่ หน้าตาก็สเปกอยู่นะ ขาวๆ ตี๋ๆ อ้วนผอมได้หมด”

‘Adolf Eichmann’ นาซีตัวเป้งแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หนุนการสังหารหมู่ ‘Holocaust’ กับปฏิบัติการล่าตัวข้ามโลก

‘Operation Eichmann’ ปฏิบัติการล่านาซีข้ามโลก

หนึ่งในเรื่องราวที่สุดโหดและสุดสยอง ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป’ โดยกองกำลังของพลพรรค Nazi ภายใต้การนำของ ‘Adolf Hitler’ ผู้ที่เป็นผู้นำของเยอรมนีในขณะนั้นด้วย ทั้งยังเป็นผู้ก่อสงครามในยุโรปด้วยการรุกรานประเทศต่าง ๆ จนกลายเป็นมหาสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

‘Holocaust’ เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตชาวยิวในยุโรปไปมากกว่า 6 ล้านคน และ ‘Adolf Eichmann’ ก็เป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการสังหารหมู่ในครั้งนั้นด้วย Eichmann ชาวเยอรมันเชื้อสายออสเตรีย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค Nazi และสมาชิกของกองกำลังติดอาวุธของพรรค Nazi คือ ‘Schutzstaffe’ (SS) โดยได้เข้าร่วมในปี ค.ศ.1932 ขณะที่อยู่ในออสเตรีย และเมื่อเขากลับมาเยอรมนีในปี ค.ศ.1933 เขาก็ได้เข้าร่วมกับ ‘Sicherheitsdienst’ (SD) อันเป็นหน่วยข่าวกรองของ SS เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบกิจการเกี่ยวกับชาวยิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งพรรค Nazi ใช้ความรุนแรงและใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจกับชาวยิวในเขตยึดครอง หลังจากการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ในเดือนกันยายน ค.ศ.1939 Eichmann และเจ้าหน้าที่ของเขาได้จัดให้ชาวยิวไปรวมกันอยู่ในสลัมตามเมืองใหญ่ ๆ ด้วยความคาดหวังว่า พวกเขาจะส่งชาวยิวทั้งหมดไปทางยุโรปตะวันออก หรือออกไปจากประเทศ

อาคารเลขที่ 56–58 Großen Wannsee ซึ่งเป็นสถานที่จัด Wannsee Conference
ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์

20 มกราคม ค.ศ.1942 Eichmann ได้ประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค Nazi และ SS ใน Wannsee Conference ใกล้กรุงเบอร์ลิน เพื่อจุดประสงค์ในการวางแผน ‘ทางออกสุดท้ายสำหรับคำถามของชาวยิว’ (The Final Solution to the Jewish Question) โดย Hermann Göring แกนนำสำคัญของพรรค Nazi กล่าวว่า พรรค Nazi ตัดสินใจที่จะกำจัดประชากรชาวยิวทั้งหมดในยุโรป Eichmann ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ประสานงานในการระบุตัวตน การรวบรวม และการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนจากพื้นที่ถูกยึดครองในยุโรปไปยังค่ายมรณะต่าง ๆ ของพรรค Nazi ซึ่งชาวยิวถูกสังหารด้วยการรมแก๊ส ยิงทิ้ง ให้อดอาหาร หรือให้ทำงานจนตาย เขาทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวประมาณ 3 ถึง 4 ล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกัน และอีกราว 2 ล้านคนถูกประหารชีวิตในที่ต่าง ๆ รวมชาวยิวที่เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ราว ๆ 6 ล้านคน

สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ ซึ่งมีเยอรมนีเป็นแกนนำหลัก Eichmann ถูกกองทหารสหรัฐฯ จับตัว แต่เขาใช้เอกสารปลอมแปลงที่ระบุว่า เขาคือ ‘Otto Eckmann’ เขาหนีออกจากค่ายคุมขังในปี ค.ศ.1946 ก่อนที่จะต้องขึ้นศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศที่ Nuremberg มีการสันนิษฐานเขาเดินทางจากยุโรปไปตะวันออกกลาง และในปี ค.ศ.1950 ก็มาถึงอาร์เจนตินา (โดยมีข่าวว่า เขาหายตัวไปและถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งตอนนั้นระบบการตรวจคนเข้าเมืองยังคงหละหลวม และกลายเป็นที่หลบภัยสำหรับอาชญากรสงคราม Nazi จำนวนมาก เขาใช้หนังสือเดินทางกาชาดในชื่อว่า ‘Ricardo Klement’*

*Nansen passports : หนังสือเดินทาง Nansen หนังสือเดินทางสำหรับผู้อพยพลี้ภัย และคนไร้สัญชาติแบบแรกของโลก https://thestatestimes.com/post/2021042408

ในปี ค.ศ.1957 ‘Simon Wiesenthal’ ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งอุทิศตนเพื่อตามหา Eichmann และนาซีคนอื่น ๆ Wiesenthal ทราบจากจดหมายฉบับหนึ่งที่ระบุว่า ในปี ค.ศ.1953 มีผู้พบเห็น Eichmann ในกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหวงของปะเทศอาร์เจนตินา เขาจึงได้ส่งต่อข้อมูลนั้นไปยังสถานกงสุลอิสราเอล ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียในปี ค.ศ.1954 เมื่อพ่อของ Eichmann เสียชีวิตในปี ค.ศ.1960 และ Wiesenthal ได้ให้นักสืบเอกชนแอบถ่ายรูปสมาชิกในครอบครัว กล่าวกันว่า Otto น้องชายของ Eichmann มีความคล้ายคลึงกับ Eichmann เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีรูปถ่ายขณะนั้นของ Eichmann เลย เขาได้มอบภาพถ่ายเหล่านั้นให้กับเจ้าหน้าที่ของ Mossad ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์

‘บิชอป Alois Hudal’ บาทหลวงชาวออสเตรีย 
ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือด้านเอกสารต่าง ๆ แก่ Otto Adolf Eichmann

เจ้าหน้าที่จาก Mossad และ Shin Bet หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลถูกส่งไปยังอาร์เจนตินา และในที่สุดต้นปี ค.ศ.1960 พวกเขาก็หา Eichmann เจอ โดยเขาอาศัยอยู่ในเขต San Fernando ของกรุงบัวโนสไอเรส ภายใต้ชื่อ ‘Ricardo Klement’ ซึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือด้านเอกสารต่าง ๆ ผ่านองค์กรการกุศลในอิตาลีที่ดูแลโดย ‘บิชอป Alois Hudal’ บาทหลวงชาวออสเตรีย และเป็นผู้ที่ให้ความเห็นอกเห็นใจต่อพลพรรค Nazi เอกสารเหล่านี้ทำให้เขาได้รับหนังสือเดินทางเพื่อมนุษยธรรมของคณะกรรมการกาชาดสากล และใบอนุญาตเข้าเมืองที่เหลืออยู่ในปี ค.ศ.1950 ช่วยให้สามารถอพยพไปยังอาร์เจนตินาได้ เขาเดินทางข้ามทวีปยุโรปโดยพำนักอยู่ในอารามหลายแห่งที่ได้ถูกจัดเป็นบ้านปลอดภัย (Safe houses) เขาออกเดินทางจากเมืองเจนัวโดยเรือ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ.1950 และมาถึงกรุงบัวโนสไอเรสในวันที่ 14 กรกฎาคมในปีเดียวกัน เริ่มต้น Eichmann อาศัยอยู่ในจังหวัดทูคูมัน ซึ่งเขาได้ทำงานให้กับผู้รับเหมาของรัฐบาลอาร์เจนตินา เขาได้อพยพครอบครัวมาอาร์เจนตินาในปี ค.ศ.1952 แล้วพวกเขาก็ย้ายไปยังกรุงบัวโนสไอเรส เขาทำงานหลายอย่างซึ่งค่าตอบแทนต่ำ จนกระทั่งได้งานทำที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเขาได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ครอบครัว Eichmann สร้างบ้านที่ 14 Garibaldi Street (ปัจจุบันคือ 6061 Garibaldi Street) และย้ายเข้าไปในช่วงปี ค.ศ.1960

‘Ben-Gurion’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล 
ผู้สั่งให้จัดการลักพาตัว Adolf Eichmann

หลังจากมีเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลมีการยืนยันตัวตนว่า Ricardo Klement คือ Adolf Eichmann ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1960 ขณะที่อาร์เจนตินากำลังฉลองครบรอบ 150 ปี ของการปฏิวัติต่อต้านสเปน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมากเดินทางมายังอาร์เจนตินา เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลอง อิสราเอลจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการลักลอบส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาในประเทศอาร์เจนตินาเพิ่มมากขึ้น ด้วยอิสราเอลรู้ว่าอาร์เจนตินามีประวัติการปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และน่าจะไม่ยอมจะไม่ส่งตัว Eichmann ให้เป็นผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อให้อิสราเอลดำเนินคดีได้ ‘Ben-Gurion’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอลจึงตัดสินใจสั่งให้ ‘Isser Harel’ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง Mossad จัดการลักพาตัว Eichmann เพื่อพาตัวเขามายังอิสราเอล แม้จะผิดกฎหมายของอาร์เจนตินาก็ตาม

เครื่องบินโดยสารแบบ Bristol Britannia ของสายการบิน El Al
แบบเดียวกับที่พา Eichmann ออกจากอาร์เจนตินา

ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ.1960 เจ้าหน้าที่ของ Mossad และ Shin Bet เข้าประจำจุดที่ถนน Garibaldi ในเมือง San Fernando หลังจากเฝ้าสังเกตกิจวัตรของเขาเป็นเวลาหลายวัน โดยสังเกตว่า เขากลับจากที่ทำงานโดยรถประจำทางทุกเย็นในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลวางแผนที่จะจับเขา ตอนที่เขากำลังเดินอยู่ข้างทุ่งโล่งจากป้ายรถเมล์ไปที่บ้านของเขา แผนเกือบถูกยกเลิกในวันที่กำหนดเมื่อ Eichmann ไม่ได้อยู่บนรถบัสที่เขามักจะกลับบ้าน แต่เขาลงจากรถบัสอีกคันในครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลปล้ำ Eichmann ลงกับพื้น และย้ายเขาไปยังรถ แล้วพาตัว Eichmann ไปยังบ้านปลอดภัยแห่งหนึ่งที่เตรียมขึ้นโดยทีมเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล Eichmann ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 9 วัน ในช่วงเวลานั้น ตัวตนของเขาได้รับการตรวจสอบและยืนยันซ้ำอีกครั้ง ใกล้เที่ยงคืนของวันที่ 20 พฤษภาคม Eichmann ถูกนพ.Yonah Elian วิสัญญีแพทย์ชาวอิสราเอลที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมภารกิจฉีดยาสลบ โดย Eichmann ถูกจับปลอมตัวให้เป็นพนักงานสายการบิน El Al ของอิสราเอลซึ่งถูกจัดฉากว่า ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ พาตัวออกจากกรุงบัวโนสไอเรสด้วยเครื่องบินโดยสารแบบ Bristol Britannia ของสายการบิน El Al แล้ว 3 วันต่อมา นายกรัฐมนตรี Ben-Gurion ประกาศว่า “Eichmann อยู่ในการควบคุมตัวของรัฐบาลอิสราเอลแล้ว”

Adolf Eichmann ระหว่างการพิจารณาคดี

อาร์เจนตินาเรียกร้องให้อิสราเอลส่ง Eichmann กลับ แต่อิสราเอลแย้งว่า สถานะของเขาอยู่ในฐานะอาชญากรสงครามระหว่างประเทศ อิสราเอลจึงมีสิทธิที่จะดำเนินการพิจารณาคดี วันที่ 11 เมษายน ค.ศ.1961 การพิจารณาคดีของ Eichmann ได้เริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นการทดลองออกอากาศการพิจารณาคดีทางโทรทัศน์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Eichmann เผชิญกับ 15 ข้อหา รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมต่อชาวยิว และอาชญากรรมสงคราม เขาอ้างว่า เขาแค่ทำตามคำสั่ง ในวันที่ 15 ธันวาคม ผู้พิพากษาอิสราเอลตัดสินว่า เขามีความผิดในข้อหาทั้งหมด และลงโทษให้ประหารชีวิตเขา ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.1962 เขาถูกแขวนคอที่เรือนจำในเมืองรัมลา ไม่ไกลจากกรุงเทลอาวีฟ การประหารชีวิตของเขามีเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็ก ๆ เป็นสักขีพยาน ประกอบด้วย นักข่าว 4 คน และ ‘William Lovell Hull’ บาทหลวงชาวแคนาดา ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของ Eichmann ขณะอยู่ในเรือนจำ และคำพูดสุดท้ายของเขา คือ

“ขอให้เยอรมนีจงเจริญ ขอให้อาร์เจนตินาจงเจริญ ขอให้ออสเตรียจงเจริญ นี่คือ 3 ประเทศที่ผมผูกพันด้วยมากที่สุด และผมจะไม่ลืม ผมขอลาภรรยา ครอบครัว และเพื่อนของผม ผมพร้อมแล้ว เราจะได้พบกันอีกในเร็ว ๆ นี้ เช่นเดียวกับชะตากรรมของมนุษย์ทุกคน ผมจะตายกับศรัทธาในพระเจ้า”

Adolf Eichmann ขณะอยู่ในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ร่างของเขาถูกเผาในเวลาต่อมา และเถ้าถ่านของเขาถูกโปรยลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนอกน่านน้ำอิสราเอล โดยเรือลาดตระเวนของกองทัพเรืออิสราเอล

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

สวธ.เปิดแหล่งเรียนรู้มีชีวิต ณ “บ้านพิพิธภัณฑ์” นายเอนก นาวิกมูล ศิลปินแห่งชาติ

“เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า” คือ จุดเริ่มต้นแนวคิดการเป็นนักสะสมของนายเอนก นาวิกมูล  ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2563 ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณศิลป์โดยเฉพาะงานด้านสารคดี และหลงใหลในการเป็นนักสะสมของเก่า ที่คนในสังคมอาจหลงลืมหรือคนทั่วไปมักมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นของเล่นวัยเด็ก ภาพถนนหนทาง ยวดยานพาหนะ สถาปัตยกรรมบ้านเรือน จิตรกรรมฝาผนัง เอกสารสิ่งพิมพ์ หนังสือเก่า ใบแจ้งโฆษณา ย้อนยุค ร้านทอง ร้านกาแฟโบราณ ร้านขายยา ร้านตัดผม ร้านตัดเสื้อ ร้านถ่ายรูป ห้องครัวและ โรงหนัง ฯลฯ 

เพื่อกระตุ้นให้อนุชนรุ่นหลังเกิดความรักและหวงแหนในมรดกของชาติอันนำไปสู่การอนุรักษ์ เพื่อความเป็นชาติอันมีรากเหง้าสมบูรณ์ สามารถต่อยอดพัฒนาไปในอนาคต  ในโอกาสอันดีนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้จัดงานเปิดบ้านพิพิธภัณฑ์มีชีวิตหลังนี้ให้ผู้รักงานวรรณศิลป์ รวมถึงเหล่าผู้ที่ชื่นชอบของสะสมได้เข้ามาสัมผัสและย้อนวันวาน ณ บ้านศิลปินแห่งชาติ นายเอนก นาวิกมูล เลขที่ 170/17 หมู่ที่ 17 ซอยศาลาธรรมสพน์ 3 ถนนศาลาธรรมสพน์ แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒน กรุงเทพมหานคร โดยมี นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานฯ โอกาสนี้ ศิลปินแห่งชาติ สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลธรรมศาลา ผู้แทนสำนักงานเขตทวีวัฒนา ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมงานเพื่อแสดงความยินดี       

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566  เวลา 10.00 น. นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม มอบหมายให้ นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธาน เปิดบ้านศิลปินแห่งชาติฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 “บ้านพิพิธภัณฑ์” ได้เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน  วันนี้จึงถือเป็นโอกาสครบรอบ 22 ปี ของการเปิดบ้านพิพิธภัณฑ์จากแนวคิดของนายเอนก นาวิกมูล ศิลปินแห่งชาติ ที่ว่า “เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า” และความร่วมมือของกลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกันร่วมกันจัดตั้งขึ้น เพื่อทำให้บ้านพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานที่รวบรวมของเก่าโบราณที่หาดูได้ยาก โดยได้มาทั้งจากการบริจาคและซื้อเพื่อเก็บรวบรวมไว้เป็นประวัติศาสตร์และความทรงจำร่วมกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาซึ่งแสดงถึงวิถีชีวิต ความเป็นมา และการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ชาวเมือง ชาวตลาด ในห้วงเวลายุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีกลิ่นอายบรรยากาศสมัยก่อนที่ไม่สามารถหาดูได้ที่ไหนในปัจจุบัน ตามแนวทางการออกแบบเป็นเหมือนห้องแถวในตลาด เพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนที่สนใจได้ศึกษาเรียนรู้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม มุ่งหวังว่าบ้านศิลปินแห่งชาติหลังนี้ จะเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน ชาวตลาด ชาวเมืองที่จะเล่าประวัติศาสตร์สังคม (Social History) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทางสังคม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน     

จากนั้น นายอนุกูล ใบไกล ผู้อำนวยการกองกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่ากองกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมและขับเคลื่อนการดำเนินงานวัฒนธรรมของศิลปินแห่งชาติ ได้ดำเนินกิจกรรมเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติและผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมไปแล้ว จำนวน 31 แห่ง วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีของบ้านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จึงได้จัดพิธีเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ นายเอนก นาวิกมูล ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง นับเป็นบ้านหลังที่ 32 ที่ได้รับการเปิดเป็นบ้านศิลปินแห่งชาติ บ้านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของชุมชนที่เก็บสั่งสมองค์ความรู้ทั้งเครื่องมือทำมาหากินภูมิปัญญาชาวบ้าน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ภาพถ่ายต่าง ๆ มากมาย ที่จะพาเราย้อนเวลาไปสัมผัสกับอดีตผ่านภาพและห้องจำลองที่จัดแสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คน และประวัติศาสตร์อันล้ำค่าจากของสะสมที่ซ่อนเรื่องราวน่าสนใจเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เรียนรู้ให้แก่เด็กและเยาวชนในชุมชนจนก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจและภาคภูมิใจในรากเหง้ามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมต่อไป     

สำหรับบรรยากาศในบ้านพิพิธภัณฑ์ ได้จัดแสดงผลงานเขียนและของสะสมต่าง ๆ ของนายเอนก 
นาวิกมูล ประกอบด้วย บริเวณชั้น 1 จัดเป็นร้านของเล่น ร้านขายยา ร้านขายของจิปาถะ มุมหนังสือ และร้านขายของที่ระลึก ส่วนชั้น 2 จัดเป็นโรงหนัง โรงพิมพ์ ร้านตัดผม ร้านตัดเสื้อ ร้านให้เช่าหนังสือนิยาย ร้านถ่ายรูป ห้องครัว บ้านสุวัตถี และห้องจัดแสดงของทั่วไป และชั้น 3 จัดเป็นห้องเรียน ห้องนายอำเภอ  ร้านขายแผ่นเสียง ร้านทอง และร้านสรรพสินค้า ซึ่งรอให้ทุกคนไปเยี่ยมชมและร่วมเพลิดเพลินกับบรรยากาศของวันวานที่หลายคนอาจโหยหาถึงความเรียบง่าย ความสงบ และความสนุกสนานของวงสนทนาสภากาแฟยามเช้าในอดีต

โอกาสนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจและชื่นชอบของสะสมมาร่วมย้อนวันวาน ณ บ้านพิพิธภัณฑ์ 1 แหล่งเรียนรู้ของชุมชนที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์  เปิดให้ชมเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-17.00 น. ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็กโต 10 บาท ผู้พิการ นักบวช เด็กเล็กและผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เข้าชมฟรี ณ บ้านเลขที่ 170/17 หมู่ที่ 17 ซอยศาลาธรรมสพน์ 3 ถนนศาลาธรรมสพน์ แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร และบ้านพิพิธภัณฑ์ 2 แหล่งเรียนรู้ใหม่ที่ตำบลงิ้วราย ซอยงิ้วราย 4 อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เปิดให้บริการทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ สามารถติดต่อนัดหมายก่อนเข้าชมได้ที่ 089 200 2801 (อ.เอนก) หรือ 089 666 2008 (คุณวรรณา)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top