Wednesday, 7 May 2025
NewsFeed

‘ตร.สภ.ร่อนพิบูลย์’ พลาดท่าถูกแทงคอเสียชีวิต ขณะเข้าระงับเหตุหนุ่มเมายาอาละวาด

(8 ก.ค. 66) เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ร.ต.ต.บุญธรรม แก้วรัตน์ รอง สวป.สภ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ทำหน้าที่ร้อยเวร 20 ได้รับแจ้งว่ามีเหตุลูกเมายาบ้าเกิดอาการอาละวาดคลุ้มคลั่ง ที่บ้านเลขที่ 254/1 บ้านป่ากล้วย หมู่ 3 ต.ควนชุม อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ร.ต.ต.บุญธรรม จึงนำกำลังตำรวจสายตรวจในปกครองเดินทางไปบ้านที่เกิดเหตุเพื่อระงับเหตุ

เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านปูชั้นเดียว ภายในบ้านพบนายรพีพัฒน์ ช่วยสวัสดิ์ อายุ 28 ปี ลูกชายเจ้าของบ้านมีอาการเมายาเสพติดกำลังอาละวาดส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ในบ้าน ซึ่งเมื่อ ร.ต.ต.บุญธรรม มาถึงได้สั่งวางกำลังตำรวจตามยุทธวิธีเพื่อเข้าระงับเหตุ โดยมีอุปกรณ์เป็นไม้ง่ามเตรียมพร้อมเข้าระงับเหตุ ปรากฏว่าขณะที่ ร.ต.บุญธรรม กำลังเจรจาได้พยายามเจรจาเข้าพูดคุยโดยตัวนายรพีพัฒน์ซึ่งกำลังแอบอยู่ในบ้าน ปรากฏว่าทันใดนั้นนายรพีพัฒน์ได้วิ่งออกจากบ้านพุ่งเข้าหา ร.ต.ต.บุญธรรม และใช้มีดเดือยไก่ยาวประมาณ 24 ซม. แทงเข้าไปที่ลำคอของ ร.ต.ต.บุญธรรม จำนวน 1 แผลฉกรรจ์ แผลกว้าง 2 ซม. ยาว 2.5 ซม. และลึก 4 ซม. ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอจนทำให้ ร.ต.ต.บุญธรรม ล้มฟุบจมกองเลือดหมดสติทันที ก่อนที่กำลังตำรวจทั้งหมดจะรุมบุกเข้าชาร์ทจับกุมตัวนายรพีพัฒน์ ไว้ได้ทันควัน พร้อมอาวุธมีดเดือยแก่ยาว 24 ซม. ของกลางที่ใช้ก่อเหตุและค้นตัวพบยาบ้าจำนวน 4 เม็ดด้วย

ส่วนร่างของ ร.ต.ต.บุญธรรม ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รีบนำส่ง รพ.ร่อนพิบูลย์ และส่งต่อ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือชีวิตเป็นการด่วน ซึ่งมีอาการยังไม่รู้สึกตัว เสียเลือดมาก เส้นเลือดใหญ่ที่คอขาด ได้ทำการต่อห้ามเลือด และยังมีเส้นเลือดเส้นเล็กที่ขาดอีก หัวใจหยุดเต้นหลายรอบ หมอทำการ CPR กลับมามีชีพจร หัวใจกลับมาทำงาน ความดันเพิ่มขึ้น หมอได้ให้ยาเต็มจำนวนที่ร่างกายจะรับได้ แต่ยังไม่ได้ผ่าตัดเนื่องจากยังไม่ตอบสนอง ไม่สามารถให้ยาสลบได้ ได้ย้าย ร.ต.ต.บุญธรรมฯ จากห้องผ่าตัด มาอยู่ห้อง ICU ล่าสุด ร.ต.ต.บุญธรรม ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเช้าวันนี้ (8 ก.ค.) ที่ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนตำรวจและญาติๆ สำหรับ ร.ต.ต.บุญธรรม ปัจจุบัน อายุ 54ปี

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปยังสภ.ร่อนพิบูลย์ เพื่อสอบสวนปากคำนายรพีพัฒน์ ด้วยตนเอง แต่นายรพีพัฒน์ยังให้การวกไปวนมา เนื่องจากยังไม่ส่างจากยาเสพติด พร้อมทั้งประชุมตำรวจสภ.ร่อนพิบูลย์ เพื่อดำเนินคดีนายรพีพัฒน์อย่างเต็มที่ต่อไป

'หมออั้ม' โพสต์ ไม่ขอดู 'มาตาลดา' หลังรู้ 'เหมี่ยว ปวันรัตน์' กำกับ

(8 ก.ค. 66) ถือเป็นละครน้ำดีอีกหนึ่งเรื่องที่ฮีลใจสุดๆ จนหลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสนุกมาก สำหรับละคร 'มาตาลดา' ทางช่อง 3 ของผู้จัด 'จ๋า ยศสิณี ณ นคร' ที่ตอนนี้เรตติ้งพุ่งกระฉูด

แต่งานนี้ก็ไม่วายเกิดดรามาขึ้นจนได้ เมื่อในโลกโซเชียลบอกจะแบนและไม่ดูละคร 'มาตาลดา' หลังรู้ว่าผู้กำกับละครเรื่องนี้คือ 'เหมี่ยว ปวันรัตน์' เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่ 'เหมี่ยว' เคยขึ้นไปแสดงจุดยืนทางการเมืองสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน

ล่าสุดทางด้าน 'อั้ม อิราวัต' ก็ได้ออกมาเกาะกระแสโพสต์ภาพละคร 'มาตาลดา' พร้อมระบุแคปชันว่า...

"ผมไม่เคยลืมนะ หลังจากเหตุการณ์ปีนั้น ทำให้ผมไม่อินกับอะไรที่คนๆ นี้ทำอีกเลย เลิกติดตามผลงานทุกๆ อย่าง และไม่สนับสนุนอะไรคนๆ นี้ อีกเลย เพราะรู้สึกได้ถึงความไม่จริงใจ"

‘ลูกชายผู้บาดเจ็บ’ จาก ‘ทางเลื่อนดอนเมือง’ เผย!! คุณแม่เดินได้ไกลกว่า 15 เมตร - มีกำลังใจดีขึ้น

(8 ก.ค. 66) ส่งกำลังใจให้ ‘ลูกชายผู้บาดเจ็บ’ จากเหตุทางเดินเลื่อนสนามบินดอนเมือง อัปเดตอาการแม่ เผย เดินได้ไกลกว่า 15 เมตรแล้ว ยังต้องฝึกการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดินเข้าห้องน้ำ การขึ้นนอนบนเตียง ระบุ แม่แอบบ่นว่า เหมือนกลับมาเป็นเด็กใหม่เลย

จากกรณี ทางเดินเลื่อนสนามบินดอนเมือง ทรุดทำให้ น.ส.สุพรรณี ผู้โดยสารหญิงได้รับบาดเจ็บขาขาดนั้น ล่าสุดนายกฤตย์ กิตติรัตนา ลูกชายของ น.ส.สุพรรณี ผู้บาดเจ็บ โดยระบุว่า วันนี้ 8 กรกฎาคม 2566 แม่ลงมากายภาพที่ยิมของโรงพยาบาล และสามารถเดินได้ไกล กว่า 15 เมตรแล้ว แต่ยังคงต้องฝึกการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดินเข้าห้องน้ำ การขึ้นนอนบนเตียง

สำหรับในขณะนี้ แม่กำลังใจดีมากๆ ตั้งใจทำกายภาพ ไม่มีอิดออด แม้จะมีอาการเจ็บแผล และ Phantom Limb Pain (กลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่) ซึ่งคนในครอบครัวเป็นกองเชียร์ช่วยคุณแม่ศึกษาข้อมูลอุปกรณ์ขาเทียม เพื่อเป็นทางเลือกในอนาคต ตอนนี้มีความหวังมากมายรอบตัว และแม่แอบบ่นว่า.. เหมือนกลับมาเป็นเด็กใหม่เลย แต่ไม่เป็นไรให้คุณพ่อและน้องๆ ช่วยกันดูแล อีกแป๊บนึงคุณแม่ต้องวิ่งไวกว่าแน่ๆ

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายและการสืบสวน ปล่อยให้ตนเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการต่อไป

บัตรคอนเสิร์ต 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ในสิงคโปร์ขายหมดเกลี้ยงทุกรอบ ส่วนราคาเที่ยวบิน-ที่พักพุ่ง!! ด้านนักเศรษฐศาสตร์หวั่นเกิด 'เงินเฟ้อ'

(8 ก.ค.66) บัตรคอนเสิร์ตของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ นักร้องสาวชาวอเมริกัน ซึ่งเตรียมมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 6 รอบในเดือนมีนาคมปีหน้า จำหน่ายหมดแล้ว หลังเปิดขาย 2 วัน

เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้อง และนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน เตรียมลัดฟ้าบินมาเปิดคอนเสิร์ต ‘ดิ อีราส์ ทัวร์’ (The Eras Tour) ที่สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์ 6 รอบ ในวันที่ 2-4 และ 7-9 มีนาคม ปี 2024

โดย เออีจี พรีเซนต์ส เอเชีย (AEG Presents Asia) ผู้จัดคอนเสิร์ต เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า บัตรเข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตดังกล่าว “จำหน่ายหมดแล้ว” หลังจากเปิดขายรอบพรีเซลเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) และรอบทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้รับโค้ดกดบัตรเมื่อวานนี้ (7 ก.ค.)

ขณะที่ก่อนหน้านี้ แฟนๆบางส่วนในสิงคโปร์ ตั้งแคมป์ปักหลักต่อคิวนานข้ามวัน บริเวณด้านหน้าที่ทำการไปรษณีย์สิงคโปร์สาขาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อรอซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเทย์เลอร์ สวิฟต์ โดยนักศึกษามหาวิทยาลัย วัย 22 ปี รายหนึ่งเปิดเผยว่า มาต่อแถวตั้งแต่ช่วงเย็นวันพุธ หลังจากพลาดบัตรรอบพรีเซล จึงตัดสินใจรีบมาตั้งแคมป์ที่จุดจำหน่ายบัตร เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ตั๋ว

สิงคโปร์เป็นจุดหมายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักร้องสาวชาวอเมริกันรายนี้จะมาเปิดการแสดงสดเป็นเวลา 6 คืนต่อหน้าแฟนๆ ที่โชคดีกว่า 3 แสนคน แต่ ‘สวิฟตี้’ จำนวนมากทั่วภูมิภาคที่มีประชากรกว่า 500 ล้านคน พลาดโอกาสสุดพิเศษนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการคอนเสิร์ตและความบันเทิงที่พุ่งสูงหลังวิกฤตโรคระบาด และอุปสงค์ที่พุ่งสูง ทำให้ราคาบัตร

คอนฯ ปรับตัวขึ้นสูงตาม จนนักเศรษฐศาสตร์บางคนเรียกปรากฏการณ์เงินเฟ้อลักษณะนี้ว่า ‘สวิฟต์เฟลชัน’ (Swiftflation)

ขณะที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์ถูกตั้งคำถามว่า คอนเสิร์ตครั้งนี้จะทำให้ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศรุนแรงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า ราคาเที่ยวบินและโรงแรมทั่วเกาะพุ่งสูงขึ้นมากในสัปดาห์ที่ ‘เทย์เลอร์’ จะมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 

'โฆษก ปชป.' ซัด 'ธาริต' บิดเบือนคดี 99 ศพ ทั้งที่ 'ศาล-ป.ป.ช.' ตัดสิน 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' ไร้ความผิด

(8 ก.ค.66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงข่าวพาดพิงบิดเบือนก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนยุติธรรม และเสียหายต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ว่า...

หลักการสำคัญในเรื่องนี้ ขอย้ำว่าสิ่งที่นายธาริต ออกมาพูดกล่าวหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้น ได้มีการพิสูจน์ความจริงจนสิ้นกระแสความแล้วจากกระบวนการยุติธรรม จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) การพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมนั้น เนื่องจากมีการยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ ต่อศาลอาญา ในข้อหาเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยต่าง ๆ สลายการชุมชุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรง แต่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ โดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน

นายราเมศ กล่าวว่า อำนาจการพิจารณาคดีจึงตกไปอยู่กับ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจโดยตรง โดยผลการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. รับฟังเป็นที่ยุติว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผล “อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553” และศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีเลขที่ 1699/2560 “ว่าการกระทำของ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องต้องกัน ยุติด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะได้ผ่านการค้นหาความจริงด้วยกระบวนการยุติธรรม

นายราเมศ กล่าวต่อว่า การที่นายธาริตแถลงมาทั้งหมดทำไมไม่เอาไปสู้คดีในชั้นศาล ทำไมไม่เอาข้อเท็จจริงไปเข้าสู่กระบวนการของศาลในคดีที่เคยสั่งให้ดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ส่วนที่นายธาริต กล่าวว่า "จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งมีตน เป็นอธิบดีในขณะนั้น จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความยุติธรรม ด้วยการดำเนินคดีต่อผู้ออกคำสั่งให้ทำร้ายประชาชน ในข้อหาตามมาตรา ป.อาญา มาตรา 288 – 289" 

ในประเด็นนี้ เคยย้ำมาตลอดเวลาว่า ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาและคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช ว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ได้กระทำความผิดเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย นายธาริตถูกฟ้องกลับในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสืบเนื่องมาจากการดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก ขณะนี้รอฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งนายธาริตเลื่อนฟังคำพิพากษามาหลายครั้ง ทำไมไม่เอาสิ่งที่แถลงเข้าสู่สำนวนคดีที่นายธาริตถูกฟ้อง แล้วต่อมาทำไมถึงต้องให้การรับสารภาพ แสดงว่านายธาริตยอมรับว่าได้ดำเนินกระบวนการดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนานสุเทพโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถ้ายืนยันว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วจะรับสารภาพทำไม กลับมากล่าวหาบุคคลอื่น แสดงว่าที่ให้การรับสารภาพต่อศาลคือคำให้การเท็จใช่หรือไม่

"ทั้งนายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ไม่เคยปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมให้กับตนเอง ต่อสู้คดีจากข้อกล่าวหา จนผ่านกระบวนการตรวจสอบการพิสูจน์ด้วยกระบวนการยุติธรรมว่าไม่ได้ทำผิดตามที่กล่าวหา การที่นายธาริต ออกมาแถลง คำแถลงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม บิดเบือนให้สังคมสับสน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมาไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี นายธาริตอย่าพยายามยกเรื่องนี้มาลบล้างการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบในการดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ คนจริงเขาไปสู้ในศาล ไม่ใช่มาพูดนอกศาลให้ตนเองดูดี ควรเคารพกระบวนการ ยืนกรานต่อสู้ตามหลักกฎหมาย และอย่าอายต่อความจริง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้จะไม่มีข้อยุติและจะนำเหตุการณ์นี้มาบิดเบือนเพื่อทำลายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา" นายราเมศ กล่าว

‘คนไทยในต่างแดน’ เผย ยุคเสื่อมโทรมของซานฟรานซิสโก  จากเมืองน่าอยู่สู่แดนสวรรค์ของเหล่า ‘อาชญากรรม-คนไร้บ้าน’

เมื่อไม่นานมานี้ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ‘มัสลา สนศิริ’ หรือที่ในโลกโซเชียลรู้จักกันในชื่อ ‘คุณมอร์ส’ เจ้าของช่องยูทูบ ‘MOSSALA101’ ที่มียอดผู้ติดตามในช่องยูทูบมากกว่า 951,000 คน โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่คุณมอร์สทำนั้น คือการบอกเล่าและตีแผ่เรื่องราวหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งเรื่องอาหาร การใช้ชีวิต แฟชัน รวมถึงอาชีพของคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

ล่าสุด คุณมอร์สได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในช่องยูทูบของเธอ เกี่ยวกับการได้พูดคุยกับคนไทยในเมืองซานฟรานซิสโก โดย ‘คุณกอล์ฟ’ 1 ในคนไทยที่ได้มาทำธุรกิจเปิดร้านอาหารอยู่ในซานฟรานซิสโกนั้น ได้เล่าว่า ตนนั้นเป็นพาร์ทเนอร์ของร้าน ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกมากว่า 17 ปีแล้ว และได้เคยย้ายไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่รัฐเท็กซัส 1 ปี แต่สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเหมือนเดิม โดยคุณกอล์ฟได้เล่าว่า…

“เมื่อก่อนนี้ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่ สวยงาม ดูสะอาด และสามารถเดินเที่ยวได้ทุกๆ ที่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะ ‘อาชญากรรม’ ที่เกิดขึ้นในซานฟรานซิสโกตอนนี้นั้นมีเยอะมาก เนื่องจากที่นี่เคยออกกฎหมายฉบับหนึ่งว่า หากราคามูลค่าของค่าเสียหายนั้น ไม่เกิน 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตำรวจจะไม่สนใจหรือทำอะไรทั้งนั้น”

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้อาชญากรรมในซานฟรานซิสโกนั้นพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง จนเมืองที่เคยสวยงาม มีสภาพที่เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไร้ความระเบียบ และเป็นอันตรายต่อชีวิต รวมถึงทรัพย์ของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนชีวิตนักท่องเที่ยวเองด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่า ทางร้านอาหารของคุณกอล์ฟเคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “ร้านโดนทุบปีละ 4 ครั้ง มีคนเข้ามาขโมยของในร้าน หรือบางครั้งก็มีลูกค้าที่กินแล้วไม่จ่ายเงิน และเหตุการณ์ล่าสุดคือ ไปซื้อของแล้วถูกปล้น ซึ่งในตอนนั้นเรื่องเกิดขึ้นหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ในขณะที่กำลังจะขับรถออกไป ก็มีคนมาเปิดประตูรถออก เพราะเราไม่ได้ล็อกรถ และเขาก็กระชากขโมยเอากระเป๋าไป โดยที่พวกเรายังไม่ทันได้ตั้งตัว” 

เมื่อถามว่า เมืองซานฟรานซิสโกยังน่าอยู่หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “เอาตรงๆ เลยนะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ในตัวเมืองของซานฟรานซิสโกนั้น ไม่น่าอยู่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แต่คิดว่าร้านค้า การขายสินค้า รวมถึงกิจการต่างๆ อาจจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ แต่คงจะต้องตกต่ำจนจมดิ่งให้สุดก่อน ถึงจะกลับมาดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 10-20 ปีเลยก็ได้” 

นอกจากนี้ คุณกอล์ฟ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงผลกระทบ จากความเสื่อมโทรมของตัวเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งทำให้กิจการร้านอาหารของเขานั้นต้องเผชิญวิกฤตอย่างหนัก เพราะยอดขายอาหารตกต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยเดิมที่เริ่มย้ายออกจากตัวเมืองกันมากยิ่งขึ้น เพราะทนกับความเสื่อมโทรม และอาชญากรรมที่พุ่งสูงไม่ไหวอีกต่อไป

“โดยปกติแล้ว ยอดขายอาหารของร้านเราในเมืองซานฟรานซิสโกนั้นไม่เคยแพ้ใคร เรามีร้านอาหารอยู่ทั้งหมด 2 ร้าน คือ ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ กับ ‘Son & Garden San Francisco’ ซึ่งปกติแล้วยอดขายของเราจะสูงที่สุดตลอด ถึงแม้จะว่าร้านอาหารของเราจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ยอดขายก็ยังคงถือว่าสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้ยอดขายของเรานั้นดิ่งพสุธามาก” 

คุณกอล์ฟ ยังเล่าต่อว่า ตนนั้นมีธุรกิจร้านอาหารอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกก็จริง แต่บ้านที่อาศัยอยู่จริงๆ นั้น ได้ย้ายมาอยู่ที่ ‘เมืองปาซิฟิกา’ (Pacifica) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างออกมาจากซานฟรานซิสโก และเมืองปาซิฟิกานั้นยังเป็นเมืองที่กำจัด ‘กลุ่มคนไร้บ้าน’ (Homeless) อีกด้วย หากพบเจอที่ไหน กลุ่มคนเหล่านั้นจะถูกนำชื่อออกจากระบบของเมืองทันที ในขณะที่เมืองซานฟรานซิสโกไม่มีมาตรการเหล่านี้

“บางครั้งเราก็รู้สึกว่า เราไม่ได้โหดร้ายนะ แต่ว่ามันไม่เหมาะสมจริงๆ อย่างเช่น ปล่อยปะละเลย หรืออ้าแขนรับสำหรับเรื่องพวกนี้มากจนเกินไป มันจะทำให้คนเป็นง่อย ไม่รู้จักทำมาหากิน ขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดอย่างนี้ ในขณะที่พวกเราเป็นคนต่างเชื้อชาติที่ต้องจากบ้านจากเมืองมา ต้องมาทำงานสู้ฟัดกันฟัน ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ล้างจาน หั่นผัก ทำทุกอย่าง หรือต้องส่งเสียตัวเองเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างเราสู้จนสุดใจ แต่คนพวกนี้ดันไม่ทำอะไรเลย และยังได้รับเงินช่วยเหลือ หรือช่วยในเรื่องของความเป็นอยู่อย่างดีจากรัฐบาล แต่ก็ยังก่ออาชญากรรม ซึ่งเมื่อถูกจับได้ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัว เพื่ออะไร? สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพวกเราลำบากมากจริงๆ” คุณกอล์ฟ กล่าวทิ้งท้าย

สหรัฐฯ ยืนยันส่ง 'ระเบิดพวง' ให้ยูเครนไล่ยึดดินแดนคืน ด้าน 'ไบเดน' ให้เหตุผล เพราะกระสุนในยูเครนกำลังจะหมด

(9 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวสหรัฐฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราทนไม่ได้ หากยูเครนไม่มีกระสุนปืนใหญ่มากเพียงพอในการปกป้องตนเอง โดยในการแถลงข่าวเมื่อวันก่อน (7 ก.ค.) ยืนยันตามข่าวที่ปรากฏในสื่อว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งระเบิดพวง (cluster munitions) ให้แก่ยูเครน เป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครน มูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 28,000 ล้านบาท

ซัลลิแวน ย้ำว่า การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่จะต้องทำ สหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้ยูเครนอยู่ในสภาพป้องกันตัวเองไม่ได้ ก่อนการตัดสินใจนี้ สหรัฐฯ ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศพันธมิตรหลายประเทศ และบางประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาออสโล สนับสนุนการตัดสินใจนี้ 

ซัลลิแวน ยืนยันด้วยว่า ทางยูเครนได้รับประกันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่า จะใช้ระเบิดพวงด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และจะลดอันตรายที่จะเกิดกับพลเรือนให้น้อยที่สุด และจะไม่ใช้ในดินแดนต่างชาติ จะใช้ปกป้องประเทศเท่านั้น

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวปกป้องการตัดสินใจส่งระเบิดพวงให้ยูเครนว่า "กระสุนในยูเครนกำลังจะหมด" ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ถามว่าเหตุผลใดสหรัฐฯ จึงตัดสินใจจะส่งระเบิดพวงให้แก่ยูเครน

สหรัฐฯ หวังว่า ระเบิดพวงจะช่วยยูเครนสามารถยึดดินแดนที่ถูกยึดไปในความขัดแย้งกับรัสเซียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 กลับคืนมาได้

อย่างไรก็ตาม ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ยอมรับว่า พลเรือนมีความเสี่ยงจะได้รับอันตรายจากการตกค้างของระเบิดพวงที่ไม่ระเบิด 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศไทย ระเบิดพวง หรือ Cluster Munitions ถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง (Convention on Cluster Munitions: CCM) เป็นระเบิดที่บรรจุลูกระเบิดขนาดเล็กไว้ภายในจำนวนมาก สามารถทิ้งลงจากเครื่องบิน หรือยิงโดยปืนใหญ่ จะระเบิดกลางอากาศ เพื่อปล่อยลูกระเบิดย่อยให้กระจายเป็นวงกว้าง มีอัตราการไม่ระเบิดสูง ทำให้ลูกระเบิดขนาดเล็กตกค้างบนพื้นดิน ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้ในภายหลัง

อีกศพ!! ‘นศ. ปี 1’ ขี่จักรยานยนต์อัดเสาไฟดับคาที่ ทั้งที่ไฟสว่าง ชาวบ้าน เชื่อ!! อาถรรพ์ตัวตายตัวแทน ตามฉายา ‘ยูเทิร์นร้อยศพ’ 

(9 ก.ค. 66) ร.ต.ท.ศุภกร ทุมจีน รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนเสาไฟส่องสว่าง บริเวณจุดกลับยูเทิร์น ถนนนิตโย หมายเลข 22 ขาเข้าตัวจังหวัดอุดรธานี หน้าโรงงานยางศรีตรังยางพารา ต.หนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี

หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วย กู้ภัยส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี แพทย์เวร รพ.ศูนย์อุดรธานี ถึงที่เกิดเหตุพบรถจยย. ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ 125 สีแดงดำ สภาพรถถูกชนเข้ากับเสาไฟฟ้าส่องสว่างพังยับเยิน ชิ้นส่วนของรถกระเด็นและแตกละเอียดกระเด็น ข้างๆ รถพบศพ น.ส.อภิวรรณ อายุ 19 ปี เป็นนักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรานี และมีกระเป๋าสะพายของผู้เสียชีวิตอยู่ใกล้ศพ ส่วนหมวกกันน็อคที่สวมใส่กระเด็นไปไกลถึง 20 เมตร และที่บริเวณโคนเสาไฟฟ้าส่องสว่างมีร่องรอยการชนน่าจะแรงมาก

เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและจะได้ติดต่อญาติที่ อ.หนองหาน เพื่อมารับศพต่อไป สอบถามชาวบ้านที่ขับรถผ่านมาช่วงเกิดเหตุเบื้องต้นบอกว่า ไม่เห็นตอนรถชนแต่เห็นมีรถปิคอัพ นิสสัน นาวาร่า สีดำ คาดจะขับชนน้องจนเสียหลักชนเสาไฟส่องสว่างจนเสียชีวิต มาจอดดูสักพักแล้วขับหนีไปเส้นทางเข้าตัวเมืองอุดรธานี และไม่เข้าไปช่วยเหลือหากเป็นจริงหรือว่าใจดำมาก ซึ่งตำรวจจะได้ไล่เช็คกล้องวงจรปิดใกล้ที่เกิดเหตุว่าน้อง นศ. ที่เสียชีวิตถูกรถกระบะตีนผีซิ่งชนหรือไม่อย่างไร

นายสนอง สุวรรณแสง อายุ 56 ปี หัวหน้า รปภ. โรงงานยางพารา เปิดเผยว่า หลังจากตนเองเลิกงาน รับแจ้งจากลูกน้องบอกว่ามีอุบัติเหตุตรงยูเทิร์นหน้าโรงงานยางพารา จึงรีบออกมาดู ตรวจสอบเอกสารพบว่าเป็นชาวอ.หนองหาน เป็นนศ.เพิ่งเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ขอแสดงความเสียใจของญาติด้วย

สำหรับยูเทิร์นตรงนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก ผมทำงานฯ มาเกือบ 10 ปี เกิดอุบัติเหตุตรงนี้บ่อยมาก จะมีคนเจ็บคนตายทุกเดือน จนชาวบ้านตั้งฉายาให้เป็นยูเทิร์นผีสิงหรือยูเทิร์น 100 ศพ คนขับรถที่ผ่านไปมาจะมองเห็นไม่เป็นยูเทิร์น เหมือนเป็นทางตรงไปเลยทั้งๆ ที่มีไฟส่องสว่าง ที่ผ่านมามีชาวบ้านและคนงานยางพาราออกกะงานกลางดึกบางคนพูดว่า กลางคืนจะเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่แถวยูเทิร์น บางคนก็เหมือนคนโบกรถให้จอด และบางคนรถเสียหลักลงข้างทางเหมือนผีดึงลง เชื่อว่าคนที่ตายตรงยูเทิร์นผีสิง 100 ศพตรงนี้เหมือนจะหาเอาตัวตายตัวแทน วิญญาณคนตายบางรายยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็เลยหาตัวแทน

อย่างเคสวันนี้ของน้องนักศึกษาชนเสาไฟส่องสว่าง ตนเองไปดูก็ไม่มีรอยถูกเฉี่ยวชนแม้แต่นิดเดียว เชื่อว่าวิญญาณคนตายตรงยูเทิร์นผีสิงแห่งนี้ที่ตายไปแล้ว จะดึงเอาน้องผู้หญิงที่กำลังขับรถกลับหอไปชนกับเสาไฟฟ้า แล้วคนตายคนนั้นจะได้ไปเกิดใหม่ ไม่ให้เชื่อก็ไม่ได้ทั้งมีไฟส่องสว่าง และมีอุบัติเหตุตายทุกเดือน

อย่างไรแล้วก็ขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตรงเส้นนี้ให้ระมัดระวังกันมากเป็นพิเศษด้วย หัวหน้า รปภ. แม้จะไม่กลัวผีแต่กล่าวด้วยอาการขนลุกในตอนท้าย

‘แพท วงเคลียร์’ ลั่น!! อีก 2 อาทิตย์เตรียมสละโสด เหล่าคนบันเทิง-แฟนคลับแห่แสดงความยินดีเพียบ!!

(9 ก.ค. 66) ขึ้นแท่นว่าที่เจ้าสาวแล้วสำหรับนักร้องเสียงดี ‘แพท วงเคลียร์’ หรือ แพท รัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย ที่ก่อนหน้านี้เธอประกาศข่าวดีใกล้เวลาสละโสด ท่ามกลางคนบันเทิงและแฟนคลับต่างแสดงความยินดีล้นหลามล่าสุด สาวแพท ได้เคลื่อนไหวอินสตราแกรมส่วนตัวอีกครั้ง ‘@patklear’ โพสต์ภาพพรีเวดดิ้งกับ ‘ว่าที่สามี’ พร้อมแคปชั่นระบุว่า "การเดินทางครั้งใหม่จะเริ่มต้นในอีก 2 วีคแล้ววววว

In every darkness, in every sky, across the universe, my soul remembers you before I did You are my light, baby. @shif.samascha"

ดาวดวงใหม่แห่ง 'ลาสเวกัส' ใต้สถาปัตย์ฯ ทรงกลมสุดยิ่งใหญ่ เสริมความแกร่ง 'อุตฯ ท่องเที่ยว-บริการ' สหรัฐฯ ไม่แผ่ว

เมื่อไม่นานมานี้ MSG Sphere มีเจ้าของคือบริษัท Madison Square Garden (MSG) ในนิวยอร์ก ที่ทุ่มงบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8 หมื่นล้านบาท) ออกแบบโดย Populous สตูดิโอสถาปัตยกรรมจากรัฐมิสซูรี ตั้งตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้าของลาสเวกัส ดูคล้ายยานอวกาศขนาดมหึมา สีดำและดูลึกลับ จนกระทั่งตกกลางคืน แสงจะเรืองรองผ่องอำไพเหมือนลอยละล่องอยู่ในอวกาศ

อัครสถานบันเทิงและศูนย์กิจกรรมนานาชาติแห่งอนาคตนี้ จะใช้เป็นที่จัดงานดนตรี แสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาลภาพยนตร์ การจัดฉายภาพยนตร์จริงๆ และการแข่งขันกีฬาบางประเภท ด้วยหน้าจอสูงเกือบ 80 เมตร จากพื้นจรดเพดาน ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำและดำดิ่งไปในภาพยนตร์ได้มากกว่าเคย อีกทั้งลำโพงกว่า 160,000 ตัว ที่กระจายอยู่รอบๆ จะทำให้ไม่ว่าใครจะนั่งแถวบนหรือล่างก็ตามก็สามารถรับฟังเสียงที่มีคุณภาพได้ไม่แตกต่างกัน

ดาวดวงใหม่ของลาสเวกัส มีความจุ 20,000 คน รวมที่นั่ง 17,600 ที่นั่ง และรองรับพื้นที่ยืนอีก 2,400 คน โดย U2 วงดนตรีร็อกระดับตำนานสัญชาติไอริชจากเมืองดับลิน ถูกกำหนดให้เป็นวงแรกที่แสดงคอนเสิร์ตที่นี่ เมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2566

Guy Barnett รองประธานอาวุโสของ MSG Sphere ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจอแอลอีดีที่เป็นเอกลักษณ์นี้ว่า “Exosphere เป็นมากกว่าหน้าจอหรือป้ายโฆษณา แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีชีวิต และไม่เหมือนกับจออื่นๆ ที่มีอยู่ในโลก โดยประกอบด้วยจุดประมาณ 1.2 ล้านจุด ซึ่งแต่ละจุดมีไฟแอลอีดี 48 ดวง ที่สามารถแสดงสีต่างๆ ได้มากถึง 256 ล้านสี”

“Exosphere ของ MSG Sphere เปรียบเสมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ 360 องศา สำหรับใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของแบรนด์สู่สายตาคนทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะลาสเวกัสเท่านั้น เพราะประสบการณ์พิเศษที่เราสร้างขึ้นจะไร้ขีดจำกัด และโลกจะรับรู้ถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของ Exosphere” David Hopkinson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ MSG Sports กล่าว

“การแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นด้วยกราฟิก Hello World ตามมาด้วยแอนิเมชั่นที่โดดเด่นมากมายตั้งแต่ดอกไม้ไฟสีสันสดใสและฉากใต้น้ำ ไปจนถึงภาพของดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าและพื้นผิวดวงจันทร์ ทำให้ผู้คนเห็นถึงพลังที่น่าหลงใหลของ Exosphere และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้สำหรับศิลปิน พันธมิตร และแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ชมในรูปแบบใหม่ๆ โดยนอกเหนือจากเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ภายนอกโครงสร้างนี้จะมีการประดับไฟทุกคืนด้วยภาพเคลื่อนไหวและภาพอื่นๆ ที่ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา รวมถึงผู้คนที่อยู่ในรัศมีที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งบางครั้งก็เชื่อมโยงกับเทศกาลสำคัญๆ ตัวอย่างเช่น มันสามารถแปลงร่างเป็นฟักทองยักษ์ในวันฮาโลวีนและลูกแก้วหิมะในวันคริสต์มาส เป็นต้น”

สำหรับ ‘ลาสเวกัส’ เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกในด้านอุตสาหกรรมบันเทิงและการบริการที่มีชีวิตชีวา ต่อไปนี้คือจุดแข็งและบทบาทสำคัญของลาสเวกัส ซึ่ง MSG Sphere จะมีส่วนสำคัญในการเติมเต็มและตอกย้ำความแข็งแกร่งของ Sin City แห่งนี้ ในการเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก และรักษาความโดดเด่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับผู้มาเยือนต่อไป

>> การท่องเที่ยวและการบริการ : ลาสเวกัสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี โดยโรงแรม รีสอร์ต คาสิโน และสถานบันเทิงระดับโลกมีส่วนสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ความสามารถของเมืองในการจัดหาตัวเลือกความบันเทิงที่หลากหลาย รวมถึงการแสดงดนตรี คอนเสิร์ต กิจกรรมกีฬา และการประชุม ทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักเดินทางเพื่อที่ต้องการอรรถประโยชน์ทั้งในด้านการพักผ่อน ความสนุกสนาน และการทำธุรกิจ

>> อุตสาหกรรมเกม (คาสิโน) และความบันเทิง : ลาสเวกัสมีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมเกม (คาสิโน) และความบันเทิง โดยเป็นที่ตั้งของคาสิโนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45% ของจีดีพีของรัฐเนวาดา ชื่อเสียงอันโด่งดังในฐานะเมืองหลวงคาสิโนโลก รวมถึงศักยภาพและความสามารถในการนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ลาสเวกัสมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัว

>> การประชุมและงานแสดงสินค้า : ลาสเวกัสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม งานแสดงสินค้า และกิจกรรมองค์กรต่างๆ จำนวนมากตลอดทั้งปี สิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์การประชุมที่กว้างขวางของเมือง เช่น ศูนย์การประชุมลาสเวกัส ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์และการประชุมทางธุรกิจขนาดใหญ่ งานเหล่านี้ดึงดูดอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ส่งเสริมธุรกิจและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

>> การจ้างงานและการสร้างงาน : ภาคการท่องเที่ยวและการบริการในลาสเวกัสเป็นนายจ้างที่สำคัญโดยจัดหางานให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งในสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ในหลากหลายตำแหน่งงาน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานโรงแรม ตัวแทนจำหน่าย ผู้ให้ความบันเทิง ผู้จัดงาน และอื่นๆ อีกมากมาย โอกาสการจ้างงานที่สร้างขึ้นจากคาสิโนและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนกว่า 315,000 ชีวิต

>> อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง : การเติบโตและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของลาสเวกัสได้นำไปสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่แข็งแกร่ง เกิดการลงทุนที่สำคัญในโครงการที่อยู่อาศัย การค้าปลีก และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จำนวนมาก

>> การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ : ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาสเวกัสได้พยายามทำให้เศรษฐกิจมีความหลากหลายนอกเหนือจากการการพึ่งพาคาสิโนและการท่องเที่ยว ด้วยการพยายามดึงดูดธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ พลังงานหมุนเวียน และโลจิสติกส์ การกระจายความเสี่ยงนี้ช่วยลดการพึ่งพาเพียงอุตสาหกรรมเดียวและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของลาสเวกัสในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top