Thursday, 8 May 2025
NewsFeed

‘พิมรี่พาย’ จัดโปรฯ ขาย ‘น้ำปลาร้า’ 15 นาที ได้ 3 แสนขวด ปัดตอบคำถามดรามา ลั่น!! “เล่าแน่ แต่จะเล่าในชั้นศาล”

(7 ก.ค. 66) จากกรณี ‘คุณกบ’ เจ้าของโรงงานน้ำปลาร้า ออกมาร้องสื่อ ระบุถูก ‘พิมรี่พาย พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์’ แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง สั่งผลิตน้ำปลาร้า จนต้องกู้เงินมาสร้างโรงงานเพื่อรองรับการผลิตน้ำปลาร้า แต่สุดท้ายพิมรี่พายไม่รับของ มูลค่าความเสียหายนับ 10 ล้านบาท ทุกวันนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร้องไห้ทุกวัน ขณะที่พิมรี่พายไลฟ์สดโต้ ยกเลิกเพราะคู่กรณีผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานเอง

หลังจากเกิดกระแสดรามา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำของวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา ‘พิมรี่พาย’ ได้ไลฟ์สดขายน้ำปลาร้า โดยระบุว่า โปรโมชันดรามาซึ่งเป็นราคาพิเศษ และเธอลั่นไว้ว่า…

“ขาดทุนก็ให้ขาดไป เพราะราคานี้เป็นโปรโมชันดรามา”

ซึ่งผ่านไปไม่ถึง 1 นาที ยอดขายถล่มทลายขายได้ 5 หมื่นขวด และขายไปได้ไม่ถึง 15 นาที ยอดขายทะลุ 3.5 แสนขวด และเธอได้หยุดการขาย พร้อมถอนสายบัวขอบคุณลูกค้า

ทั้งนี้ พิมรี่พาย ระบุในไลฟ์สดว่า “ทุนไม่ใช่ 13 บาท เพราะว่าไม่ได้ทำ และไม่ทำ ถ้าไม่ได้คุณภาพ มาตรฐานที่แบรนด์ตั้งไว้ ด้วยความเป็นแบรนด์ของแม่อิพิม ที่ขายตั้งแต่ปี 2564 ปีนี้เข้าปีที่ 3 ความเป็นแบรนด์แม่อีพิม สี กลิ่น เนื้อ รส ความเข้มข้น ต้องเป๊ะ”

หลังจากจบการขายน้ำปลาร้าไปแล้ว เธอก็ไลฟ์ขายของต่อ โดยระบุว่า “ขายก่อน เดี๋ยวค่อยพูด”

ทั้งนี้ แม้จะขายของไปจำนวนมากแล้ว แต่ยังไม่ชี้แจงประเด็นดังกล่าว ทำให้คนเข้ามาถามเธอจำนวนมากในประเด็นดรามาดังกล่าว จนเธอพูดว่า “กูเล่าแน่ แต่จะเล่าในชั้นศาล ไปแล้วบ๊ายบาย” ก่อนจะปิดไลฟ์ไป

‘นิพนธ์’ ร่วมเปิดงาน ‘MONEY EXPO HATYAI 2023’ ครั้งที่ 13 ชี้!! เป็นช่องทาง ‘SME-เกษตรกร’ เข้าถึงแหล่งทุนต่อยอดธุรกิจ

(7 ก.ค. 66) นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 13 MONEY EXPO HATYAI 2023 โดยมีนายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo Hatyai 2023 นางสาวภาคนี ประธานจัดงานร่วม ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน ผู้ประกอบการภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมในพิธีเปิด ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 และหาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่  อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

นายนิพนธ์กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 13 MONEY EXPO HATYAI 2023 ที่ วารสารการเงินธนาคาร ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Green Finance for Green Living’ การเงินสีเขียว เพื่อชีวิตสีเขียว”

“ปัจจุบันความมั่นคงและความมั่งคั่งทางการเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากที่เราได้ฟื้นตัวจากภาวะที่ได้ชะลอตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เราต้องเจอกับสภาวะของเศรษฐกิจ ดังนั้นการที่จะให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงในภาวะเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงินในช่วงต่าง ๆ ที่สำคัญการที่จะให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจเราเริ่มฟื้นตัว” นายนิพนธ์ กล่าว

นายนิพนธ์กล่าวต่อว่า “งานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ในครั้งที่ 13 ที่วารสารการเงินได้จัดขึ้น จึงเป็นโอกาสดี ที่จะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางได้มีโอกาสพบกับแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งถือว่ายังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ ทั้งยางพารา ปาล์ม และพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่คิดว่าพืชเศรษฐกิจที่จะเป็นดาวรุ่งตัวหนึ่ง เพราะพื้นที่ในจังหวัดสงขลาเริ่มมีการปลูกทุเรียนกันมากขึ้น ซึ่งจังหวัดยะลาเริ่มที่จะนำร่องไปก่อนแล้ว และก็จะทำให้ยะลาเป็นฮับ หรือศูนย์กลางการของทุเรียนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรามีสินค้าทุเรียนส่งออกไปยังจีน มูลค่าแสนกว่าล้านในขณะนี้ ฉะนั้นพืชเศรษฐกิจเหล่านี้จะเป็นรายได้หลักในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ฉะนั้นการที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ ของเกษตรกรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะมีโอกาสมากขึ้น ดังนั้นการจัดงานครั้งนี้จึงส่งผลดีให้เกิดรายได้ในทุกภาคทั้งเกษตร อุตสาหกรรม เพราะหลาย ๆ พื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นพื้นที่ภาคเกษตร ดังนั้นการกระจายแหล่งเงินทุนเข้าระบบอย่างนี้ จะทำให้เศรษฐกิจในภาคใต้มีความเข้มแข็งมากขึ้น การกระจายรายได้ การกระจายเงินเข้าสู่ภาคต่าง ๆ ก็จะทำให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น”

นอกจากนี้ ยังกล่าวอีกว่า “ผมเชื่อว่าวันนี้เรา มีคนที่เข้าสู่วัยแรงงาน มากขึ้น มีคนที่จบการศึกษาเข้าสู่แรงงานมากขึ้น แต่คนที่เป็นแรงงานใหม่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดังนั้นทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากขึ้น ผมเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ ที่เข้ามาก็จะให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ คน จบจากสถาบันต่าง ๆ ลดความต้องการที่จะไปเข้ารับราชการ มีแนวโน้มที่จะทำงานในกิจการของตนเองมากขึ้น ดังนั้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เอสเอ็มอีต่างๆจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเหล่านี้ และก็สร้างโอกาสให้กับแรงงาน หรือกิจการใหม่ ๆ ซึ่งการที่วารสารการเงินการธนาคารได้จัดกิจกรรมเหล่านี้ จึงเป็นประโยชน์ในพื้นที่อย่างยิ่งในการอำนวยความสะดวกทั้ง แหล่งเงินทุน และคนที่คิดจะหาที่อยู่อาศัย ซึ่งก็จะใช้โอกาสนี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ”

“ผมขอขอบคุณ คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ได้จัดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณ ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐ สถาบันการเงินทุกท่าน ที่เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ในครั้งนี้ ที่ได้ร่วมกันสร้างความตื่นตัวแก่ธุรกิจและประชาชนในภาคใต้ ซึ่งจะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ให้ก้าวหน้าต่อไป” นายนิพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการจัดงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 13 MONEY EXPO  2023 HATYAI จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2566 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 และ หาดใหญ่ ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ ภายใต้แนวคิด ‘Green Finance For Green Living การเงินสีเขียว เพื่อชีวิตสีเขียว’ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชน และธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการภาครัฐ และเอกชน สามารถเข้าถึง Green Financing มากที่สุด เพื่อร่วมกันฟื้นฟูโลกของเราให้กลับคืนมาเป็น ‘โลกสีเขียว’ ที่ยั่งยืนตลอดไป โดยผู้เข้าชมงานจะได้เลือกใช้บริการอย่างครบวงจรจากธนาคาร สถาบันการเงินที่เข้าร่วมงาน ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต สินเชื่อเอสเอ็มอี สินเชื่อเพื่อการส่งออก และนำเข้า เงินฝากทุกประเภท ประกันชีวิต ประกันภัย ประกันสุขภาพ รวมถึงการลงทุนในหุ้น พร้อมด้วยแคมเปญโปรโมชันพิเศษสุดในรอบปี สิทธิประโยชน์ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ และผลตอบแทนที่คุ้มค่าอีกมากมาย

‘ท่านทองล้น’ ท้าวเวสสุวรรณทรงราหู วัดเขาช่องลม ลองไปกราบไหว้ ไม่แน่เศรษฐีใหม่อาจเป็นคุณ

วัดเขาช่องลม จังหวัดชลบุรี เป็นวัดราษฎร์ในตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย สร้างโดยนายเชาวน์ จิตต์อารีย์ ให้ที่ดินแก่พระอธิการเหลือ ปัญญฺวโร (เจ้าอาวาสรูปแรก) ในปี พ.ศ. 2532

ภายในวัดเขาช่องลม มีท้าวเวสสุวรรณทรงราหู (ท่านทองล้น) ความสูง 9.9 เมตร และพระอุโบสถที่ตั้งบริเวณตีนเขา วัดนี้เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านและผู้คนนิยมไปไหว้ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อขอพร โชคลาภ และคาถาบูชา โดยมีการจุดประทัดแก้บนอย่างสม่ำเสมอ ในปี พ.ศ. 2565 ได้มีการเบิกเนตรและจัดงานบวงสรวงพระเกจิชื่อดังให้กับท้าวเวสสุวรรณ

ในช่วงนี้จะมีประชาชน นักท่องเที่ยวเดินทางไปสักการะองค์ท่านทองล้น กันอย่างหนาแน่นทุกวัน เป็นอีกหนึ่งพิกัดยอดฮิตของสายมูเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก มีข่าวว่าท่านทองล้น ได้ให้โชคมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 ได้รับเงินถึง 30 ล้านบาท 3 งวดติดด้วยกัน หลังจากที่ไปกราบไหว้สักการะ ท้าวเวสสุวรรณ (ท่านทองล้น)

การเดินทางมาที่ วัดเขาช่องลม จังหวัดชลบุรี นั้นก็ง่ายมาก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ เพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น วัดเขาช่องลม ตั้งอยู่ในตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ห่างจากทางหลวงหมายเลข 7 (แยกแม่กิมบ๊วย) ประมาณ 25 กิโลเมตร และห่างจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว 20 กิโลเมตร ที่วัดแห่งนี้ มีที่จอดรถให้บริการภายในวัดด้วย สะดวกสบายมาก 

‘น้องอีฟ BK Idol’ จิกส้นสูง เดินรันเวย์แบบสับ หน้าเป๊ะ-จริตปัง-เสียงหวาน ครบเครื่องจนมงลง!!

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 66 โลกออนไลน์แห่แชร์คลิปวิดีโอสุดปังที่สร้างความฮือฮาอย่างมากในขณะนี้ จากผู้ใช้ TikTok ชื่อ ‘alexaroy_d888’ ที่ได้โพสต์คลิปของ น้องธนพัชร์ แฮร์ริส หรือ ‘น้องอีฟ’ นักเรียนลูกครึ่งไทยออสเตรเลีย ผู้เข้าประกวดโครงการ ‘BK Idol’ ของโรงเรียนบึงกาฬ ที่มาในชุดเสื้อ-กางเกงนักเรียน ปล่อยผมยาวสลวย จิกส้นสูง เดินเปิดตัวด้วยจริตนางงามตัวลูก แบบแซ่บ แบบสับ อินเนอร์มาเต็มแบบพร้อมชิงมง

โดยนอกจากจริตการเดินแบบสับของน้องอีฟจะสร้างความฮือฮาแล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ความสวย หน้าเป๊ะ แบบลอยมาของเธอ ที่หลายคนชมเป็นเสียงเดียวกันว่า “น้องสวยมากกกก” ลุคอินเตอร์สุด อยากให้มีแมวมองปั้นน้องประกวดนางงามต่อถึงมงใหญ่อย่างเวทีมิสทิฟฟานี่เลย

สำหรับการประกวด BK Idol ในครั้งนี้ น้องอีฟได้รางวัลรองชนะเลิศมาครอง โดยนอกจากจริตเดินสุดปังของน้องแล้ว ยังมีคลิปที่น้องโชว์ความสามารถในการร้องเพลงด้วย ซึ่งคนที่ได้ชมต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเสียงหวานมาก ครบเครื่องมากจริงๆ พร้อมเชียร์ให้น้องสู้ในเส้นทางการประกวดต่อไป

‘เวสป้า’ แถลงปมถูกอดีตต้นสังกัดฟ้อง 12 ลบ. หลังฟ้องเรียกค่าลิขสิทธิ์แต่งเพลง 18 เพลง 5 ลบ.

ก่อนหน้านี้ ที่นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง ‘เวสป้า วงสเตอ’ หรือ ‘อิทธิพล เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา’ ออกมาไลฟ์เปิดเผยว่า ตอนนี้ตนถูกอดีตต้นสังกัดฟ้อง 12 ล้าน เหตุละเมิดลิขสิทธิ์เพลงที่ตัวเองแต่ง โดยเป็นเจ้าของผลงานเพลงดังอย่าง ร้อยเหตุผล, ไม่อาจเปลี่ยนใจ, ทุกวินาที, โลกทั้งใบให้นายคนเดียว, เจ็บแปลบ และอีกมากมาย

ล่าสุด วันนี้ (7 ก.ค. 66) เวสป้า พร้อมด้วยทีมทนาย ได้ตั้งโต๊ะแถลงปมถูกอดีตต้นสังกัดฟ้องร้อง ว่า "ผมเขียนเพลงให้กับทุกค่าย ประมาณ 500 เพลง ตั้งแต่อายุ 12 ไม่เคยเซ็นสัญญาที่เป็นขายขาดกับใคร 

ศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงาน จะมีกฎหมายสร้างสรรค์และคุ้มครองสิทธิ์ให้กับศิลปินตามมาตรา15 ศิลปินเพลงจะมีสิทธิ์อยู่ 50 สิทธิ์ที่ 1. คือมีสิทธิ์ทำซ้ำ ดัดแปลง สิทธิ์ที่ 2. คือ สิทธิ์เผยแพร่ต่อสาธารณะชน สิทธิ์ที่ 3. คือให้เช่าต้นฉบับสำเนา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เราจะเห็นว่าหลัง ๆ บางค่ายซื้อเอ็มวีของบางค่ายไปเปิด พอหมดสัญญาก็จบกัน สิทธิ์ที่ 4. ก็คือลิขสิทธิ์ก็เป็นต่อของผู้อื่น สิทธิ์ที่ 5.ก็เป็นสิทธิ์อนุญาตตามข้อ 123

ผมจะให้ดูสัญญาเพลงที่แท้จริง ที่คนสงสัยว่าผมเซ็นอะไร กับทางบริษัท จริง ๆ ไม่ใช่บริษัทเดียว แต่ทุกบริษัทก็เป็นแบบนี้ สัญญายุคนั้นจะมีแค่หน้าเดียวเท่านั้น ดูว่าเอกสารนี้ทำขึ้นโดยบริษัทอาร์เอส กับผม อิทธิพล เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา มาดูที่ว่ามีเพลงอะไรบ้าง คือนี้ผมเซ็นสองเพลงคือ ด้วยไอรัก กับ ไม่อาจเปลี่ยนใจ ผมไม่เคยขายลิขสิทธิ์ขาดนะครับ ผมย้ำอีกครั้งนึง เรามาดูข้อที่สองก่อนนะครับผู้ขาย ตกลงขายลิขสิทธิ์เนื้อร้อง ดังกล่าวตามข้อหนึ่ง อัตราเพลงละ 5,000 บาท

ข้อที่สองคือการซื้อขายนี้ ผู้ซื้อมีสิทธิ์จะนำ เนื้อร้องทำนองดังกล่าวไปผลิตเป็นแผ่นเสียง และนำไปทำโสตทัศนวัสดุ ขึ้นมาจำหน่ายในนามของผู้ซื้อเอง และข้อ 4 คือนำสัญญาว่าจ้าง จะไม่นำสิทธิ์เนื้อลองนี้ไปขายใครอีก ถ้าผิดสัญญาผมก็ต้องเสีย 100,000 บาท 

เห็นไหมว่าลิขสิทธิ์ที่ผมเปิดให้ดู 5 สิทธิ์บริษัทได้จากผมไปแค่ 2 สิทธิ์ดัดแปลง คือสิทธิ์ทำซ้ำดัดแปลง โสตทัศนวัสดุ เพื่อออกจำหน่ายเท่านั้นและมิหนำซ้ำนะครับ ยังมีข้อตกลงตอนท้ายอีกว่าหากผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เนื้อร้องตามสัญญานี้นำเพลงหนึ่งเพลงใดไปให้คนอื่นร้อง เพื่อไปบันทึกเสียงโสตทัศนวัสดุ จะยินยอมตอบแทนให้แก่อีกเป็นจำนวนครั้งละ 5,000 บาท แต่ผู้ขายมีหน้าที่มารับค่าตอบแทนด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าถ้าผมไม่ไปรับด้วยตัวเองก็จะไม่ได้ แล้วก็มีลายเซ็นถูกต้อง จะเห็นได้ว่าอีก 3 สิทธิ ยังอยู่กับผม

เราถูกละเมิดการจัดเก็บลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ผับบาร์ คาราโอเกะ ห้องอาหาร สตรีมมิ่ง ผมจะบอกว่าสตรีมมิ่งจะกันค่าลิขสิทธิ์เอาไว้ ที่บอกให้รู้ ผมเป็นกรรมการบริษัทเอ็มซีที ลิขสิทธิ์ดนตรีแห่งประเทศไทยมาหลายสมัยด้วยการเลือกตั้ง

ผมอยากโดนฟ้อง เพราะปกติค่ายเพลงจะฟ้องคนที่ร้อง แต่ผมเขียนเพลงด้วย ผมโดนฟ้อง เพราะผมฟ้องเขาก่อน เรารวมตัวกัน 30 กว่าคน เราพยายามยื่นเรื่องไปที่ต่าง ๆ กรมทรัพย์สินทางปัญญา

โดน 12 ล้าน จากต้นสังกัด 3 คดี คืองานไหลที่ชลบุรี งานนั้นร้อง 10 กว่าเพลง ถ้าจำไม่ผิดโดนปรับเพลงละ 4 แสน ละมีไปร้องที่ปลาทูแช็ก เขาลงคลิปเต็มในยูทูบ อันนี้โดนไป 2 กรณี ร้องที่ร้านด้วย และไปเผยแพร่ และอีกคดีไม่แน่ใจ 

สัญญาเพลงเหมือนกันแต่ละปี ไม่เคยเหมือนกันเลย ในยุคที่อยู่อาร์เอส ไม่มีสิทธิ์เผยแพร่ แต่ยุคที่อยู่อาร์สยาม มีระบุว่ามีสิทธิ์เผยแพร่ สัญญาในแต่ละปีค่ายเพลงก็จะปรับตัว จากหน้าเดียวก็จะเป็นสองหน้า สามหน้าเพื่อให้มีการรัดกุมมากขึ้น เพราะว่ามันก็จะมีการฟ้องกันของครูเพลงต่าง ๆ พอบางคดีแพ้เขาก็จะมีการปรับขึ้นมา เราไม่ได้คู่สัญญานะ หลาย ๆ ค่ายที่เราไปเซ็น ไม่ได้คู่สัญญาเลย เขาจะเก็บเป็นฝ่ายเดียว แต่บังเอิญว่าผมไปแอบถ่ายเอาไว้ ผมเลยมีสัญญา 

ความคืบหน้าคดีที่เป็นของตัวเอง จะเป็นเดือนกันยายน ฟ้องเขา เรืองละเมิดสิทธิ์เผยแพร่ต่อสาธารณะชน 18 เพลง คือทนายเราก็เก่ง ไม่ต้องฟ้องทั้งหมด เพราะงานผมมีกว่า 200 กว่างาน จะได้ขึ้นความกันง่ายหน่อย พยานต่าง ๆ ก็จะขึ้นกัน ก็จบเร็วหน่อย คือถ้าผมหลุดก็หมายความว่าพี่น้องเราหลุด เรียกค่าเสียหาย 18 เพลง 5 ล้านบาท นี่เป็นเหตุผลให้เขาฟ้องกลับ

ถามว่ามีไกล่เกลี่ยกันบ้างหรือยัง ตอนนี้ก็มีพี่ชายคนนึง เป็นคนกลางได้ติดต่อมาแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกันจริงจัง คำว่าเรียกร้องอยากได้ส่วนแบ่ง ไม่ใช่สักทีเดียว เพราะเป็นสิ่งที่เราควรได้ ค่ายเพลงละเมิดนักแต่งเพลง แต่เราไม่เคยรู้ จนมีคนที่เก่ง ๆ มาชี้ทาง เพราะเราไม่ได้เซ็นขายขาด เรารู้ว่าเราได้ด้วยกัน เราได้มาตลอดตั้งแต่เทปซีดี พอเป็นดิจิทัลทำไมเราไม่ได้ 

ถามว่าที่ฟ้องมีโอกาสชนะยังไง มันเป็นของผมแน่นอน รอให้ศาลตัดสิน ผมยินดีเจรจาพูดคุย แต่ให้พี่น้องผมทุกคนยอมรับได้ ผมไม่ขอเอาตัวรอดคนเดียว ผมอยากให้มีผู้ใหญ่รับรอง"

ด้านทนาย เผยว่า "ทีมกฎหมายมองว่าเขามีสิทธิ์มากกว่านั้น เวลาศาลท่านพิจารณาหรือพิพากษาคดี ไม่ได้มองที่หัวสัญญา ว่าสัญญานี้ขายสิทธิ์ขาด หรือเป็นแบบไหน ถ้าจะต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ คู่สัญญาว่ามีประสงค์อย่างไร ที่เราดูจากข้อเท็จจริง มันไม่ได้เป็นการขายสิทธิ์ขาด ไม่ได้เป็นการโอนสิทธิ์ไปทั้งหมด

จริง ๆ สิทธิ์เขามีมากกว่านั้น ส่วนประเด็นที่สองในฐานะนักกฎหมาย ลิขสิทธิ์เจตนาของเขาคุ้มครอง ศิลปิน สร้างสรรค์ แต่วันนี้ทุกท่านจะเห็นเลยว่า ศิลปิน กลับถูกเอากฎหมายที่คุ้มครองเขา มาทำร้ายตัวเขาเอง นักกฎหมายไม่ได้ต่างกับศิลปิน ศิลปินผมคุยกับพี่ครั้งแรก พี่เวสป้าบอกว่า เพลงมันเหมือนเป็นเหมือนลูกพี่ แต่วันนี้พี่ถูกลูกพี่มาทำร้ายเอง นักกฎหมายก็เช่นกันกฎหมายมีเจตนาคุ้มครอง ความยุติธรรมแต่วันนี้สิงหาโดนเราใช้กฎหมายไม่ได้มันเกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้"

‘ตำรวจ ปส.’ สกัดจับยาบ้ากว่า 22 ล้านเม็ด-ไอซ์ 620 กก. ทลาย 7 เครือข่าย รวบ 17 ผู้ต้องหา จ่อขยายผลจับคนสั่งการ

(7 ก.ค. 66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ตามนโยบาย ตร. ประกอบกับการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. อย่างเข้มข้น

ล่าสุดตำรวจ ปส. (NSB) สามารถทลาย 7 เครือข่าย ผู้ต้องหา 17 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 22 ล้านเม็ด ไอซ์ 620 กก. รถยนต์ 12 คัน ยึดทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องจากการค้ายาเสพติด 8 ล้านบาท

คดีที่ 1 ตำรวจ ปส. (NSB) โดยตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. 66 กลุ่มเครือข่ายยาเสพติดในภาคอีสาน จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นจำนวนมาก จาก อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อไปส่งในพื้นที่ตอนใน โดยมีนายสุวิทย์ ใช้รถกระบะยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นโคโลราโด สีเทา หมายเลขทะเบียน บร 75xx มหาสารคาม เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ ตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้เฝ้าติดตามในพื้นที่ จนพบรถกระบะเป้าหมายดังกล่าวที่บริเวณสี่แยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร จึงได้ติดตามไป จนรถเป้าหมายรู้ตัวว่าถูกติดตามและได้หลบหนีเข้าไปในซอยบ้านพักแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ก่อนจะจับกุมตัวได้พร้อมของกลางยาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่ในท้ายกระบะ และในห้องโดยสารรถ 5 กระสอบ รวม 2 ล้านเม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 2 จากการสืบสวนขยายผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ทางภาคเหนือ ทราบว่านายพีรวัฒน์ กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงในการลำเลียงยาเสพติด โดยจะลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ ไปส่งให้กับผู้รับช่วงต่อในพื้นที่ภาคกลาง ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. จึงวางกำลังติดตาม

จนกระทั่งวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลาประมาณ 12.50 น. พบรถยนต์ต้องสงสัย ทะเบียน บว 54XX สระบุรี ขับขี่ไปถึงเส้นทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนายพีรวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ และมีนายพงษ์ นั่งข้างคู่คนขับ จากการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กก. ซุกซ่อนอยู่บริเวณที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังคนขับ และซุกซ่อนอยู่ภายในท้ายกระบะ ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา และสามารถสกัดจับกุมนายรักชาติ ผู้ขับขี่รถยนต์ หมายเลขทะเบียน บห 19XX สระบุรี และนายวิชัย (นั่งคู่คนขับ) ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ในการลำเลียงยาเสพติดครั้งนี้ ได้ที่ บริเวณลานจอดรถตลาดนัด ในพื้นที่ ต.กุดนกเปล้า อ.เมือง  จ.สระบุรี จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายและออกหมายจับติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนี และบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 18 – 19 มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส.2 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายนักค้ายาเสพติด รายสำคัญ จนทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.บึงกาฬ โดยใช้รถยนต์ขับผ่านเส้นทาง จ.บึงกาฬ, จ.สกลนคร, จ.อุดรธานี, จ.ขอนแก่น, จ.ชัยภูมิ จึงติดตามความเคลื่อนไหว ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายวิ่งผ่านถนนหมายเลข 201 ถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว บริเวณหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นรถที่มีการบรรทุกสิ่งของอย่างหนัก ก่อนจะจอดรถนานผิดปกติ ตำรวจ ปส.2 จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบนายธนพัฒน์หรือเฟส เป็นผู้ขับขี่ พบไอซ์ บรรจุในถุงชาสีเขียวอ่อน 3 กระสอบ จำนวน 120 ก้อน น้ำหนัก 120 กก. ซุกซ่อนในห้องโดยสารด้านหลังคนขับ สอบสวนนายธนพัฒน์ รับว่า ลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 5 ครั้ง โดยได้รับค่าจ้างล่วงหน้าบางส่วน เงินที่เหลือจะได้รับเมื่องานสำเร็จ จากนั้นจึงจับกุมและนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภาคกลาง จนสามารถจับกุมนายปกรณ์ และนายฉัตรชัย โดยจากการสืบสวนพบว่านายฉัตรชัย จะนำยาเสพติดจากพื้นที่ จ.สุโขทัย ไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้เฝ้าติดตามจับกุม จนกระทั่งเมื่อวันที่  28 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บม 35XX สุโขทัย กำลังลำเลียงยาเสพติด ที่บริเวณถนนในพื้นที่ จ.อยุธยา จึงได้ทำตรวจค้นจนสามารถ จับกุมนายฉัตรชัย ได้บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขาโก่งธนู  จ.ลพบุรี พร้อมยาบ้าที่ถูกซุกซ่อนไว้บริเวณที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ และท้ายกระบะโดยมีผ้าใบสีดำคลุมปิดอำพรางไว้ รวม 3 ล้านเม็ด และสามารถสกัดจับกุมนายปกรณ์ ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บน 66XX ตาก ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจด่าน ได้ที่บริเวณริมถนนในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สำพะเนียง อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส. 3 จับกุม นายเจษฎากร และนายอภิเษก พร้อมยาบ้า 6 ล้านเม็ด โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.3 สืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดจะลำเลียงยาบ้าจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เข้ามาซุกซ่อนไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ก่อนจะส่งมอบให้กับเครือข่าย โดยใช้รถกระบะในการลำเลียง จึงนำกำลังเฝ้าติดตามรถเป้าหมาย พบรถกระบะ บว-66XX สระบุรี จอดอยู่บริเวณท้ายถนนบ้านน้ำลัดซอย 16 หมู่ 3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย จนกระทั่งเวลา 23.00 น. พบนายอภิเษก ขับขี่รถจักรยานยนต์และมีนายเจษฎากร ซ้อนท้ายก่อนลงรถจักรยานยนต์ แล้วขับรถกระบะเป้าหมายออกไป ตำรวจ ปส.3 จึงติดตามไปจับกุมได้ที่ บริเวณแยกห้วยปลากั้ง ถ.เลี่ยงเมืองเชียงรายตะวันตก ตรวจค้นในรถพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณในห้องโดยสารและท้ายรถกระบะ รวม 6 ล้านเม็ด และได้ติดตามไปจับกุมนายอภิเษก ได้ที่บริเวณแยกขัวแคร่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส.1 ร่วมกับ บก.ขส. และ ปส.2 จับกุม 6 ผู้ต้องหา คือ นายเจริญชัย หรือโจ, น.ส.เกศินี หรือแกล้ม, นายสุพรรณ หรือเบ็นซ์, น.ส.รัฐชิตา หรือเบ็นซ์, นายโยธณัฐ หรือดรีม และ น.ส.ธิติมา หรือทิพย์ โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.1 สืบสวนทราบว่าเครือข่ายของนายสุพรรณ หรือเบนซ์ จะใช้รถยนต์ 3 คัน ลำเลียงยาเสพติดมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขงด้าน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ขับรถมุ่งหน้า จ.นครราชสีมา จึงได้สะกดรอยติดตาม และสามารถสกัดจับได้บริเวณสถานีน้ำมัน ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องบริเวณสถานีน้ำมัน (ขาเข้า) ต่อเนื่องบริเวณถนนมิตรภาพ ตรวจค้นภายในห้องโดยสารรถพบยาบ้า 9 กระสอบ และอีก 3 กระสอบ อยู่ด้านท้ายกระโปรงรถยนต์ รวมยาบ้า 5 ล้านเม็ด เบื้องต้นได้ขยายผลตรวจยึดทรัพย์สิน มูลค่ารวมกว่า 8 ล้านบาท จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน ปส.1 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันสืบสวนขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภารอีสาน ทราบว่า เครือข่ายนี้จะขนยาเสพติดล็อตใหญ่ไปส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ตอนใน จึงร่วมกันสืบสวนจับกุม จนกระทั่งวันที่ 5 ก.ค.66 เวลาประมาณ 08.00 น. พบรถกระบะต้องสงสัย ทะเบียน ผว xxxx ขอนแก่น ขับขี่ผ่าน จ.มุกดาหาร มุ่งหน้าไป จ.มหาสารคาม และ จ.นครราชสีมา น่าเชื่อว่ามีการลำเลียงยาเสพติดไปส่งให้ลูกค้าตามข้อมูลที่มี จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณริมถนนมิตรภาพ ต.โตนด อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา โดยมี นายอิสระ เป็นผู้ขับขี่ จากการตรวจค้นพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะติดตั้งตู้ทึบ จำนวน 15 กระสอบ จำนวน 6,000,000 เม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดของกลาง รถกระบะ 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสืบสวนขยายผล เพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่ายมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับเดือน มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ 18 คดี  ผู้ต้องหา 30 คน ของกลาง ยาบ้า 18 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,983 กก., เฮโรอีน 46 กก. และ ยาอี 5,865 เม็ด โดยยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้นพนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส.,กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป

‘ยู่ยี่ อลิสา’ ขอโอกาสหวนกลับวงการบันเทิง อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต - เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก

อดีตนางแบบในตำนาน ‘ยู่ยี่ อลิสา อินทุสมิต’ เปิดใจหลังเผชิญชีวิตหลังกำแพงเรือนจำ ในวันนี้เธอพร้อมหวนกลับคืนสู่วงการอีกครั้ง พร้อมเปิดใจความหมายของชีวิตหลังจากผ่านเรื่องหนัก ๆ ทุกเรื่องราว ผ่านรายการ โต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกรมากฝีมือ ‘หนูแหม่ม สุริวิภา’ งานนี้ใจพร้อมกายพร้อม อยากกลับมารับงานละครอีกครั้ง 

>>ความหมายของชีวิตหลังจากนี้ ตั้งใจอยากทำอะไร?

ยู่ยี่ อลิสา: ยี่พยายามจะให้มันเป็นไป เราไม่พยายามเปลี่ยนใครที่ไหน หรือว่าให้มันเป็น ไม่อยากเปลี่ยนสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มันผ่านมา อยากอยู่กับมันให้ได้ อยู่กับทุกอย่างให้ได้ คือมีสติอยู่กับปัจจุบัน มันพูดแล้วอาจจะดูตลก แต่ว่ามันช่วยให้เราได้เปิดรับความสุขด้วย ให้อยู่ได้กับความทุกข์ด้วย คืออยู่กับทุกสิ่งให้ได้ แล้วให้คิดว่ามมันคือปกติ นี่คือมนุษย์นี่คือชีวิต มันไม่มีอะไรที่แน่นอน ยั่งยืน ความทุกข์ของเราก็เป็นอย่างนั้น ความสุขของเราก็เป็นอย่างนั้น ให้เห็นว่ามันเข้ามาแล้วมันออกไป นี่คือความสุขของชีวิตของยี่คือการได้ดูตัวเอง ได้พัฒนาตัวเอง มันทำให้ยี่มีความมสุขแล้ว

>>มีอะไรที่อยากทำและไม่อยากทำตอนนี้?

ยู่ยี่ อลิสา: ยี่คิดว่าสิ่งยี่ไม่อยากทำ คือไม่อยากเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับลูกๆ และที่ยี่อยากทำก็คือเป็นแบบอย่างที่ดีๆ ให้กับลูกยี่ค่ะ และเป็นแบบอย่างให้เขา

>>จะกลับมารับงาน หรือเล่นละครมั้ย?

ยู่ยี่ อลิสา: ถ้ามีคนติดต่อมาก็สนใจ ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้เจอพี่ฉอด แล้วพี่ฉอดน่ารักมาก ฝากเนื้อฝากตัวไป อยากร่วมงานนะคะ จริง ๆ มีคนบอกยี่ว่าถ้ามีงานติดต่อเข้ามาให้รับไว้ก่อน เพราะเชื่อว่ายี่ทำได้ และยี่ทำได้ดี ซึ่งยี่ก็คิดว่ายี่มีตัวตนที่ชัดเจน ยี่ออกกำลังกายหนักมากเพื่อมีสุขภาพที่ดี ต้องทั้งภายนอกและภายใน และสุขภาพจิตต้องสำคัญ และความคิดเราก็สำคัญมาก

นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ผ่าธุรกิจ MASTER ศูนย์ความงามระดับ ‘มหาชน’ โตไวเพราะ ‘เชี่ยวชาญ+แผนการตลาดขั้นเซียน’

ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมความงาม ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนมากลูกค้าหน้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น มักมาจากการบอกต่อ และการใช้บริการซ้ำๆ จากลูกค้าเดิมในธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ’ หรือ MASTER ศูนย์บริการด้านศัลยกรรมครบวงจรอันดับ 1 ก็ได้รับอานิสงส์นี้ด้วยเช่นกัน โดยในช่วงต้นปีมานี้ ได้โกยรายได้แตะ 435 ล้านบาท เติบโต 83% เทียบจาก Q1/65 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 237 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้นความน่าสนใจของธุรกิจความงามระดับมหาชนรายนี้ ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นไปอีก โดยเรื่องนี้ นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล หรือ ‘หมอเส’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ ได้ให้มุมมองถึงทิศทางดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า... 

แนวทางในการขายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของ MASTER นั้น จะนำรูปแบบกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มาประยุกต์ โดยวางหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ 1.ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีแพชชัน เจ้าของเดิมยังบริหารต่อ และเติบโตไปด้วยกัน 2.เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ และ 3.มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ 

เบื้องต้นในปีนี้ ทาง MASTER ได้เข้าไปร่วมลงทุนกับ บริษัท มีแพลนดี จำกัด ผู้ดำเนินกิจการคลินิกเสริมความงาม WIND Clinic ซึ่งมีประสบการณ์ในยกกระชับและปรับรูปหน้ายาวนานกว่า 10 ปี และมีผลิตภัณฑ์ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและฐานลูกค้าหนาแน่นอย่างมากในโซนภาคอีสาน โดยปัจจุบัน WIND Clinic มีอยู่ด้วยกัน 2 สาขา ทั้งที่อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ ซึ่งแต่ละสาขาก็มีความโดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งแบบรีสอร์ตหรูหรา ให้บรรยากาศอันผ่อนคลาย ด้วยจุดเด่นนี้ ทำให้ WIND Clinic กลายเป็นพาร์ตเนอร์สุดล้ำค่าที่ตอบโจทย์การจับมือร่วมธุรกิจกับ MASTER เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับการร่วมมือกันระหว่าง MASTER กับ WIND Clinic นั้น จะเป็นรูปแบบของการร่วมลงทุนกับพันธมิตร (มีการซื้อหุ้น) ซึ่งหมอเสเอง ก็ไม่มีนโยบายที่จะควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) แต่จะเป็นการทำ Merger & Partnership (M&P) หรือการร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตร และไปช่วยเติมเต็มศักยภาพให้กับพาร์ตเนอร์ที่ไปร่วมลงทุน

“MASTER มีองค์ความรู้ในเรื่องของการจัดการบริหาร, การตลาด, การขาย และความเชี่ยวชาญในด้านศัลยกรรมที่ได้รับการยอมรับของในวงการและแพทย์ ฉะนั้นเราตั้งใจจะนำประสบการณ์ที่มีของ MASTER เข้ามาช่วยให้ธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้ว เติบโตไปได้ยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการที่ MASTERเลือกโฟกัสมายังจังหวัดอุบลราชธานีเพราะเราต้องการเปิดตลาด ต้อนรับกลุ่มลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันต้องบอกว่าประเทศเพื่อนบ้านรอบไทยมาใช้บริการกับ MASTER เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย, สิงคโปร์, กัมพูชาและลาว ที่เป็นกลุ่มลูกค้าศักยภาพ ฉะนั้นจังหวัดอุบลราชธานีจึงเป็นชัยภูมิที่ดี ในการขยายโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้ง MASTER และ WIND Clinic ภายใต้แนวทาง ‘การกินแบ่ง ไม่กินรวบ’ ไม่ต้องวางตัวแข่งกับทุกคนทั่วประเทศ นี่คือคีย์สำคัญสำหรับการร่วมพาร์ตเนอร์ในครั้งนี้” หมอเส กล่าว

สำหรับรายได้ของ MASTER ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1,490 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปีนี้ (2566) Q1 มีรายได้แตะ 435 ล้านบาท เติบโต 83% เทียบจาก Q1/65 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 237 ล้านบาท นอกจากนี้ทาง MASTER ยังได้สร้างห้องผ่าตัดใหม่เพิ่มขึ้นอีก 10 ห้อง จากเดิมมีอยู่ 7 ห้อง เป็น 17 ห้อง จากเงินไอพีโอ มั่นใจ Q3 - Q4 จะเห็นการเติบโตที่สดใสรออยู่

มั่นใจ!! ‘เสาตอม่อสะพานพระราม 3’ แข็งแรง แม้ดูบาง หลักวิศวกรรมต่างประเทศ ก็ยังใช้เสาแบบนี้

กลายเป็นเรื่องดรามาหลังจากที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถ่ายภาพ ‘เสาตอม่อ สะพานพระราม 3’ พร้อมวิจารณ์ถึงว่า เสาตอม่อสะพานพระราม 3 ทำไมดูบางขนาดนี้ ดูไม่แข็งแรงทนทานเลย เพิ่งได้เห็นกับตาดูน่ากลัว ความปลอดภัยอยู่ที่ไหนหลังจากนั้นก็มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก ภาพที่ถูกแชร์ออกไปก็เล่นเอาคนไทยตกอกตกใจ เพราะหากเทียบกับเสาตอม่อของสะพานอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่า เสาตอม่อ สะพานพระราม 3 จะเล็กจริงๆ   

ทว่า แท้จริงแล้ว ‘สะพานพระราม 3’ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีรูปแบบ ‘อสมมาตร’ ที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยสะพานพระราม 3 ก่อสร้าง วันที่ 29 สิงหาคม 2539 และเปิดให้สัญจรในวันที่ 30 มี.ค. 2543  

สำหรับ ‘สะพานพระราม 3’ สร้างขนานกับสะพานกรุงเทพ เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร เนื่องจาก สะพานกรุงเทพยังคงต้องเปิด-ปิดสะพานอยู่ จึงต้องสร้าง ‘สะพานพระราม 3’ ให้สูง เพื่อให้เรือสินค้าแล่นผ่านได้ ปัจจุบันเปิดใช้งานมาแล้ว 23 ปี โดยมีกรมทางหลวงชนบทเป็นผู้ดูแลและก่อสร้าง 

‘สะพานพระราม 3’ ถูกออกแบบการก่อสร้างเป็นแบบ สะพานคานรูปกล่อง (Box Girder) 6 ช่องจราจร 2 ทิศทาง 23 เมตร ยกเว้นเชิงสะพานทั้งสองฝั่ง มี 4 ช่องจราจร เนื่องจากช่องจราจรด้านซ้ายสุดทั้งสองช่องเป็นสะพานเชื่อมต่อกับถนนเจริญกรุงและถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน) ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 411,489,540 บาท และจากกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งญี่ปุ่น (OECF) 2,481,181,265 เยน หรือราวๆ 607 ล้านบาท 

ด้าน รศ.เอนก ศิริพานิชกร กรรมการควบคุมอาคาร ที่ปรึกษาสาขาวิศกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) อธิบายว่า หากมองตามความรู้สึกขนาดของเสาตอม่อ ‘สะพานพระราม 3’ อาจจะดูไม่มั่นคงแข็งแรง เพราะมีขนาดที่บางมาก โดยภาพเสาตอม่อที่แชร์กันนั้นเป็นเสาตอม่อช่วงบริเวณเชิงสะพานยกระดับเชื่อมกับสะพานใหญ่ (Approach Rlevated Bridge) แม้ว่าเสาจะมีขนาดเล็กแต่ในทางวิศกรรมมีการวางตอม่อต่อเนื่องกัน 4 ช่วงคาน ดึงรวดอัดแรงที่ละ 4 ช่วง มีรอยต่อน้อย หากเสามีขนาดใหญ่จะส่งผลต่อการดึงรวดอัดแรงหรือการเสริมกำลังในสะพาน เพราะจะเสริมแรงได้น้อยลง โดยทางวิศวกรรมเรียกว่าให้การออกแบบเชิงโครงตั้งฉากอาศัยการถ่ายแรงจากพื้นมายังเสา เนื่องจากเป็นช่วงเชิงสะพานการออกแบบจึงไม่ได้ใช้เสาตอม่อขนาดใหญ่ 2 ต้น เหมือนโครงสร้างสะพานอื่นๆ อาทิ เสาตอม่อของทางด่วน ประกอบการต้องมีการความคุมการยืดหยุ่นของ สะพานในช่วงเชิงคานสะพาน การออกแบบเสาตอม่อให้เล็กจึงหมาะสมมากกว่า 

รศ.เอนก อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเสาจะมีขนาดเล็ก และบางกว่าเสาตอม่อที่เราคุ้นเคยกัน แต่มีความแข็งแรงไม่น้อยไปกว่าสะพานที่ใช้เสาตอม่อขนาดใหญ่ 2 ต้น เพราะมีการวางเสาต่อเนื่องกัน และในการถ่ายเทน้ำหนัก ซึ่งปัจจุบันการ ออกแบบเสาตอม่อให้เล็กมีความนิยมกันมาก เพราะประหยัดพื้นที่ ให้พื้นที่ด้านล่างน้อย โดยเฉพาะในต่างประเทศมีการใช้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศญี่ปุ่น การทำโครงตั้งฉากในลักษณะดังกล่าวจะลดรอยต่อให้น้อยลง ทำให้ดังนั้นจึงมั่นใจไดว่าเสาตอม่อ ‘สะพานพระราม 3’ มีความแข็งแรงมั่นคงพอ และที่สำคัญจุดดังกล่าวเป็นเชิงสะพานก่อนเข้าถึงตัวสะพานกลางแม่น้ำเท่านั้น แต่พอไปถึงช่วงกลาง สะพานการออกแบบเสาตอม่อก็ให้เสาตอม่อขนาดใหญ่เหมือนสะพานอื่น ๆ อีกทั้งการออกแบบลักษณะดังกล่าว จะทำให้สะพานขยับตามแนวทิศทางการวิ่งของรถ ลดรอยแตกร้าวได้ดี 

‘เอมี่’ เม้าท์ ‘ซี ศิวัฒน์’ ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะสุดๆ ออกงานหนึ่งครั้ง จ้างช่างแต่งหน้าทำผมถึง 4 คน

(7 ก.ค. 66) รายการ ‘กินลีอยู่ลี’ โดยหนุ่ม ‘ลี ฐานัฐพ์’ พามาพบกับพี่สาวคนสนิท ‘เอมี่ กลิ่นประทุม’ ชวนมาคุยเรื่องราวชีวิตที่ทั้งขำทั้งฮา และเม้าท์มอยวีรกรรมสุดแสบของคุณสามีสุดที่รัก ‘ซี ศิวัฒน์’ เรื่องความเป๊ะแบบสุด ๆ ทั้งหน้าทั้งทรงผมต้องหล่อพร้อมเสมอ ถึงขนาดใช้ช่างหน้าช่างผมถึง 4 คน พร้อมเผยถึงชีวิตที่เป็นคนปล่อยวางอะไรยากมาก

>>เคล็ดลับวิธีครองรักกัน ?

เอมี่: คือคนอาจเห็นว่าเราจิกกัดด่ากัน แต่จริง ๆ เวลาเราอยู่ด้วยกันที่บ้าน เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นขนาดนั้นหรอก อาจจะด้วยความที่พื้นฐานเป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่ก่อนคบกันคือเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แล้วยิ่งนานเข้ามันก็เป็นตัวของตัวเองสุด ๆ มันไม่ต้องแอ๊บ แต่เวลาทำรายการเราก็อยากให้มันตลกโบ๊ะบ๊ะ

>>แต่เห็นว่า พี่ซี เขาให้รางวัลพี่เอมี่ ‘สุราอวอร์ด’ มันเป็นยังไง ?

เอมี่: เดี๋ยวนี้นางไปออกรายการอะไรก็คือแบบชอบเม้าท์เรื่องการปาร์ตี้ของฉัน ซึ่งเราก็ไม่ได้เป็นคนปาร์ตี้หนัก กินแค่นิด ๆ หน่อย ๆ (หัวเราะ) คือแบบเราเป็นคนติดเพื่อน ติดความสนุก

>>ได้ข่าวว่าปีนโต๊ะด้วย พีกสุด ๆ ทำอะไรนอกจากนอนกรนที่พี่ซีบอก?

เอมี่: ว๊าย! ฉันโกรธมากเรื่องนี้ เรื่องกินเหล้าไม่ค่อยเท่าไหร่ หาว่าฉันกรน หลังไมค์นี่คือแบบถ้าทำอีกทีหนึ่งนะ โกรธมาก เพราะว่าซีเป็นผู้ชายที่นอนนิ่งมาก

>>เผาคุณสามีเรื่องความเป๊ะแบบสุดๆ ?

เอมี่: เวลาเราจะไปทำงานใช่ไหม ปกติเอมี่กับซีถ้าทำงานด้วยกัน ช่าง 1 คู่ แล้วก็ทำด้วยกัน คือช่างหน้า 1 คน ช่างผม 1 คน แล้วก็แบ่งกันสามีภรรยา แต่เขาเป็นคนแบบอันนั้นอันนี้ ผมเขาต้องเป็นแบบเป๊ะ ๆ จนเราก็ต้องแยกช่าง ทีนี้คือจะไปไหนที 2 คนผัวเมียใช้ช่าง 4 คน ช่างผม 2 คน ช่างหน้า 2 คนอะไรอย่างนี้ เพราะว่าด้วยเขาเป็นคนเยอะ แล้วก็ไม่ใช่ช่างผมที่ไหนก็ได้ที่จะมาทำผมเขา บางงานที่แบบไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ใช่งานยิ่งใหญ่อะไรก็ต้องมีช่างหน้าช่างผม บางทีเราไม่แต่งหน้าแบบปัดคิ้วเองก็ได้นิด ๆ หน่อย ๆ หันไป เอ้า! ทำไมสามีมีช่างหน้าช่างผมมา เยอะกว่าเราอีก หลัง ๆ เราก็เลยต้องจ้างช่างหน้าช่างผมตลอด ไอ้บทจะไม่แต่งก็ไม่แต่งอะไรเลยอยู่ดี ๆ ก็เดินเข้ารายการ คือแบบตาโบ๋ดำอะไรอย่างนี้ เป็นความขัดแย้งกับตัวเองแบบสุด ๆ แล้วอ่ะ 

>>มีเรื่องเครียดอะไรในชีวิตบ้างไหม ?

เอมี่: มี เป็นคนปล่อยวางอะไรในชีวิตยากนะ ถึงชอบอยู่กับเพื่อนอยู่กับอะไร มันจะเป็นการคลายเครียด คืออยู่คนเดียวแล้วบางทีมันคิดอะไรค่อนข้างเยอะ หรือว่าวันไหนที่เราทำงานเยอะ ๆ แล้วเราเหนื่อย การที่ไปนั่งคุยกับเพื่อนนี่คือผ่อนคลาย ช่วงไหนที่เราเครียดเรื่องงาน มีปัญหาครอบครัว หรืออะไรก็แล้วแต่ถ้าเราไปนั่งกับเพื่อนก็จะหายเลย แต่ถ้าเครียดแล้วอยู่คนเดียวก็จะออกกำลังกาย วันไหนที่อารมณ์ไม่ดีจะออกกำลังกายได้นานมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top