Friday, 9 May 2025
NewsFeed

พ่อเจ้าสาว กล่าวสุนทรพจน์สุดซึ้ง  ทำคนทั้งงาน น้ำตาไหล จนกลายเป็นไวรัลบน TikTok

วันหนึ่งถ้าเปลี่ยนใจ ไม่รักลูกสาวของพ่อแล้ว ขออย่าทำร้ายเธอเลยนะ แค่พาเธอกลับมาหาพ่อ มาคืนให้พ่อก็พอ 

นี่คือเหตุการณ์จริงที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ 

คุณพ่อรายหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่น่าประทับใจ จนกลายเป็นไวรัลบน TikTok คำพูดของเขาทำเอาทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าว และแม้แต่แขกที่มาร่วมงานยังน้ำตาซึม

คลิปเผยให้เห็นภาพคุณพ่อพาเธอเดินมาตามทางเดินเพื่อส่งตัวให้กับเจ้าบ่าว เมื่อไปถึงเจ้าบ่าว พ่อของเธอก็เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ว่า

"ผมส่งลูกสาวที่มีค่าของผมไปให้คุณแล้ว ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวของผมมาก ผมจึงอยากให้คุณรักเธอ ดูแลเธอ ให้ความสำคัญกับเธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ใด ขอให้รักลูกสาวผมตลอดไป ขอให้มีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ขอให้ทุกอย่างสมหวังดั่งที่ต้องการ ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง"

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ทำเอาคนทั้งงานน้ำตาไหลไปตามๆ กัน เมื่อคุณพ่อของเจ้าสาว กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า "ถ้าหากวันไหนคุณไม่รักลูกสาวของผมแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอ แค่พาเธอกลับมาคืนให้ผม"

ซึ่งเจ้าบ่าวตอบรับทั้งน้ำตาว่า "ตกลงครับ มันจะไม่เกิดขึ้น" คุณพ่อจึงตกลงประกาศว่า "โอเค ลูกสาวที่ล้ำค่าของผมเป็นของคุณแล้ว"

เจ้าบ่าวกล่าวว่า "ขอบคุณครับพ่อ" ก่อนที่จะร้องไห้โฮเข้าไปกอดคุณพ่อเจ้าสาวที่จังหวะนั้นก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ขณะที่แขกที่อยู่ในงานต่างพากันร้องไห้น้ำตาไหลตาม

คุณแม่น้องอินเตอร์ ขอแจง ส่งงานตรงเวลาทุกครั้ง  ตั้งใจและทุ่มเท เวลาพักในกองถ่าย คือเวลาทบทวนหนังสือ

โดนดรามาอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นทำให้คุณแม่ของ “น้องอินเตอร์ รุ่งลดา รุ่งลิขิตเจริญ” ดาราเด็กมากความสามารถ ออกมาโพสต์ชี้แจง หลังถูกชาวเน็ตจับผิดว่าน้องอินเตอร์หยุดเรียนบ่อย แต่กลับได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น โดยคุณแม่น้องอินเตอร์ ชี้แจงประเด็นดังกล่าวในอินสตราแกรม inter_rungrada ระบุว่า

“ขอบคุณทุกๆ กำลังใจจากทุกคนที่มอบให้อินเตอร์มากๆ และเสมอมานะคะบอกกับลูกทั้ง 2 คนเสมอว่าถ้าทำอะไรให้ตั้งใจทำให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด สุดความสามารถทั้งเรื่องเรียนและทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้จะดีหรือไม่อยู่ที่ตัวเราเอง ผลการเรียนปีที่ผ่านมาลูก 2 คนได้ใบ Certificate เรียนดีและอินเตอร์ก็ได้คะแนนรายวิชาสูงสุด 4 ใบ มาเป็นกำลังใจ

แต่ก็มีบางคนมาถามว่าได้มาได้ยังไง?...ขาดเรียนก็บ่อย บางคนพูดว่า ที่ได้ก็เพราะเป็นอินเตอร์ไง ก็เลยได้...ลูกมาเล่าให้ฟัง

พอได้ยินตัวเราเป็นพ่อเป็นแม่ แว๊บแรก ห่วงความรู้สึกของอินเตอร์มากที่สุด ถามว่าลูกรู้สึกยังไงที่มีคนมาถามแบบนั้น ลูกยอมรับว่าเสียใจกับคำพูดเหล่านั้น...แต่ก็อธิบายไป ว่าเขาต้องขยัน อดทน และพยายามในการอ่านหนังสือมากขนาดไหน แต่เหมือนคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะช่วยตอบให้ ใช่ค่ะ...อาจจะไม่ได้ไปเรียนทุกวันเพราะต้องไปถ่ายละครและทำงานที่เขารัก แต่เขาก็ตามงานกับเพื่อนๆ และคุณครูที่โรงเรียนทุกวัน และพยายามส่งงานตรงเวลาทุกครั้ง ช่วงสอบเก็บคะแนนและสอบปลายภาคก็อ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดเยอะมากๆ แม้แต่ช่วงใกล้สอบ เวลาพักในกองถ่าย คือเวลาทบทวนหนังสือ อินเตอร์ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำมากๆ จนวันนี้สิ่งที่เขาพยายาม

ตั้งใจและทุ่มเท มันก็ประสบความสำเร็จ เขาควรมีความสุข แต่ก็ต้องมาโดนกับพลังงานด้านลบ แบบนี้มันก็นอยด์นิดนึง คนเป็นพ่อแม่อดสงสารไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร คอยช่วยซัปพอร์ตจิตใจเค้า และบอกให้เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำ ภูมิใจกับมัน และชื่นชมตัวเองมากๆ เราคงบอกให้คนอื่นเข้าใจในตัวเราทุกอย่างไม่ได้ แต่เรารู้ดีว่าเราทำอะไร แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสุดท้ายอยากบอกว่า

คุณอย่าสงสัยในความสำเร็จของคนอื่นเลย จงสนใจในความสำเร็จของเขาจะดีกว่า สนใจว่าว่าเขาทำยังไง ทำอะไรบ้างจึงสำเร็จ และถึงไม่ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของเขา ก็อย่าใช้ความคิดด้านลบมาทำร้ายคนอื่นเลย มันบาป

กฎจักรวาล เถียงยังไงก็แพ้ทุกที แต่มีเคล็ดลับ  Happy Wife Happy Life ขอให้เมียมีความสุข แล้วชีวิตเราจะมีความสุข

ผู้ใช้ Instagram ที่ชื่อ srisiamzzz ได้โพสต์คลิปสั้น เกี่ยวกับ ‘เมีย’ โดยมีใจความว่า ...

ทำไมเวลาทะเลาะกับเมีย แล้วไม่เคยเถียงชนะเมียเลย ก็ไม่เห็นจะต้องงงนะ อันนั้นคือกฎของจักรวาล เถียงชนะกับเขาแล้วเราได้อะไร ถึงเวลาก็ต้องไปตามง้อเขาอยู่ดี ถ้าเถียงชนะเขาแล้วเขานอนหันหลังให้ หรือไม่ให้เราเข้าไปในห้องนอน แล้วเราจะทำอย่างไร มีเคล็ดลับที่สำคัญอยู่ข้อนึง ก็คือ Happy Wife Happy Life ขอให้เมียมีความสุข แล้วชีวิตเราจะมีความสุข แค่นั้นเอง นี่คือกฎจักรวาล

นักเขียนดังค่ายพระอาทิตย์ ชวนรู้จักตัวตน ‘ไพศาล พืชมงคล’  ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ชู ‘ชัยธวัช’ เป็นประธานสภาฯ ดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

แน่นอนว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ย่อมจะต้องเป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีจะต้องได้เสียงจากรัฐสภา 376 เสียงขึ้นไป ส่วนใครจะเป็นไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะพูดถึงไม่ว่าจะเป็นพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือแพทองธาร ชินวัตร หรือเศรษฐา ทวีสิน หากว่าคนนั้นได้การยอมรับจากเสียงข้างมากของรัฐสภ

ภาพของไพศาลที่เคยแสดงออกมาโดยตลอดนั้นเหมือนจะเป็นคนที่ยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ หากว่าคำพูดและการแสดงออกที่ผ่านมานั้นไม่ใช่น้ำกลิ้งบนในบัว

ไพศาลยังพยายามแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า มีสายสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในรัฐบาลจีน แสดงให้เห็นชัดว่าตัวเองยืนอยู่ข้างจีน รัสเซีย อิหร่าน และต่อต้านยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกาและต่อต้านรัฐไทยที่จะเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับอเมริกา หากที่เห็นไม่ใช่เป็นการเล่นละครในบทบาทของสายลับสองหน้า นั่นคือไพศาลที่เราเห็นผ่านตัวอักษรและการแสดงความเห็นในวาระต่างๆ

แต่วันนี้การแสดงออกของไพศาลนั้นทำให้เกิดคำถามว่าแท้จริงแล้วไพศาลมีตัวตนที่แท้จริงอย่างไร

เพราะไพศาลแสดงตัวตนชัดเจนว่า สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล มันอาจจะไม่ผิดอะไรที่คนคนหนึ่งจะเลือกจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง หากคนนั้นไม่ใช่ไพศาล

ถ้าไพศาล เป็นไพศาลคนเดียวกับคนที่มีจุดยืนเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่มีหูตากว้างไกลอย่างไพศาลก็ต้องรู้ว่า พรรคก้าวไกลและแกนนำพรรคทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังนั้น ล้วนแล้วมีจุดยืนที่ท้าทายต่อการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง

นอกจากนั้นนโยบายของพรรคก้าวไกลเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าหมายในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ที่จัดขึ้นในไทย รวมไปถึงการร่วมมือในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก และพรรคก้าวไกลได้แสดงให้เห็นในหลายบทบาทอย่างชัดแจ้งว่ามีจุดยืนที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา ทำไมคนที่เขาตั้งฉายาว่า “กุนซือสมองเพชร” อย่างไพศาลที่สร้างภาพให้คนเชื่อมาตลอดว่าต่อต้านสหรัฐอเมริกาจึงไปยืนอยู่ข้างพรรคก้าวไกลไปได้

ยังไม่ต้องพูดถึงสามจังหวัดใต้และ 4 อำเภอในสงขลาบ้านเกิดของไพศาล ต่อจุดยืนของพรรคก้าวไกล ที่แสดงออกถึงความเข้าอกเข้าใจฝ่ายที่เรียกร้องสันติภาพในรัฐปาตานี และล่าสุดมีคนออกมาเคลื่อนไหวอย่างเหิมเกริมภายหลังชัยชนะของพรรคก้าวไกลเพื่อเป้าหมายไปสู่การทำประชามติแบ่งแยกดินแดน แต่ไพศาลที่มักจะแสดงตนว่ารักชาติบ้านเมืองไม่เคยมีความเห็นต่อเรื่องนี้ออกมาเลย

ที่ไพศาลมีจุดยืนนี้อาจจะอ้างว่า เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามาเป็นอันดับ 1 ก็มีความชอบธรรมที่พรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำรัฐบาล ที่ไพศาลมักจะใช้คำว่าฉันทมติของประชาชนเพื่อออกมาสนับสนุนพรรคก้าวไกลเสมอ

เมื่อเร็วๆ นี้ไพศาล โพสต์เฟซบุ๊กว่า นอนฝันไปหรือไรหนอ เมื่อคืนวันที่ 23 มิถุนายนเวลา 2.00 น. นายพิธาโพสต์ว่า ผมพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้ว!!! ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะละเมอตื่นขึ้นมาโพสต์ การโพสต์นี้ย่อมมีนัยความหมายแน่นอน!!! นายพิธา คุยอะไรกับใครหนอ และคุยว่าอย่างไร จึงมาโพสต์อย่างนี้!!!

เข้าไปดูเพจพิธาว่าพิธาโพสต์อย่างนั้นจริงไหม ก็ไม่มีหรอก เป็นไพศาลนี่แหละที่สร้างฝันขึ้นมาเอง

เราต้องรู้นะว่า น้องชายของไพศาลคือ พิชัย พืชมงคล นั้นตอนนี้เป็นกุนซืออยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ผมถึงบางอ้อว่าที่มาของโพสต์นั้นของไพศาล เพราะไพศาลเพิ่งจะพาชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล คนสงขลาบ้านเดียวกันไปพบกับบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงขอบฟ้าได้ ก็เลยมีความเชื่อว่าตอนนี้สวรรค์เปิดทางให้กับรัฐบาลพิธาแล้ว

“นายพิธาคุยอะไรกับใครหนอ และคุยว่าอย่างไร จึงมาโพสต์อย่างนี้” ถ้อยคำที่ไพศาลโพสต์นั้น เพื่อต้องการบอกนัยว่าคนที่ไพศาลพาชัยธวัชไปพบนั้นสามารถจะแผ้วทางให้พิธาไปสู่เป้าหมายได้

ถ้าเราติดตามการโพสต์ของไพศาลเขามักจะใช้วิธีการดังนี้ คือ โพสต์เรื่องหนึ่งขึ้นมาให้คนอ่านหลงเชื่อ แล้วสื่อมักจะเอาไปเล่นข่าว พอไม่เป็นความจริง ไพศาลก็จะโพสต์ว่าแผนนั้นล้มไปแล้ว คือ เป็นการโพสต์เองปฏิเสธเองแบบนี้หลายครั้ง

ต่อมาไพศาลยังโพสต์เฟซบุ๊กว่า การประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีจะมีขึ้นช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 66 เป็นอำนาจของประธานในการกำหนดวิธีการเลือกและ ณ วันนี้แนวทางคือจะเปิดให้เสนอชื่อแคนดิเดตพร้อมกันทีเดียวและกำหนดให้ ส.ส.ลงคะแนนโดยเปิดเผยด้วยวิธีขานชื่อก่อน ครบจำนวนแล้วจึงให้ ส.ว.ลงคะแนนโดยเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อเช่นเดียวกันใครได้คะแนนเสียง 376 ก็เป็นนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภาก็จะนำความกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในวันนั้น อีก 2 วัน นายกรัฐมนตรีก็จะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หลังจากนั้นราว 3 วัน คณะรัฐมนตรีก็จะเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ เข้ารับหน้าที่ คอยจับตาดูการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ “รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในครั้งนี้!!! อาจจะได้เห็นปรากฏการณ์พิเศษที่ประดุจดังแสงอรุณยามฟ้าสาง แห่งการสร้างความสามัคคีในชาติ

ไพศาลต้องการสื่อให้เห็นว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่จะมีคนเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จะสำเร็จลงอย่างง่ายดายในการลงมติครั้งแรกเท่านั้น

และไพศาลเพิ่งจะโพสต์เฟซบุ๊กว่า ในช่วงการสมโภชศาลพระหลักเมือง เมื่อ 180 ปีก่อน พระหลักเมืองสงขลาพยากรณ์ว่า ในอนาคต จะมีคนสงขลา 3 คน มีบุญญาธิการมากมีอำนาจมากในบ้านเมือง จะได้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข

คนสงขลาคนที่ 1 คือเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและประธานองคมนตรี คนที่ 2 คือพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ และประธานองคมนตรี

มีคำร่ำลือกันว่า คนสงขลาคนที่ 3 ตามคำพยากรณ์นั้นได้อุบัติแล้ว มีบุญญาธิการมาก จะทำให้มณฑลปักษ์ใต้ทั้งหลาย กลับคืนสู่ความสามัคคีและเป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง!!! คนสงขลาและชาวภาคใต้ กำลังรอชมบารมีนั้นให้เป็นมิ่งขวัญแก่ราษฎรสืบไป

ไม่รู้ว่า ไพศาลต้องการบอกว่า คนสงขลาผู้มากบารมีคนที่ 3 คนนั้นคือ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการของพรรคก้าวไกลหรือไม่

ไพศาลนั้นเป็นนักกฎหมายใหญ่และมีสำนักกฎหมายใหญ่หนุนหลัง แต่หลายครั้งความรู้ทางกฎหมายที่แสดงออกมาของไพศาลก็เป็นที่กังขา เช่นบอกว่า การยุบสภาฯ นั้นจะต้องทำเป็นมติคณะรัฐมนตรีเป็นต้น และการใช้กฎหมายแบบตัดตีนให้กับเข้าเกือกหลายครั้ง หรือว่าจริงๆ แล้วอาจไม่ใช่เพราะไพศาลสับสนในข้อกฎหมายหรอก แต่ต้องการใช้ความเป็นผู้รู้ทางกฎหมายของตนเพื่อเป้าหมายที่ซ่อนเร้นของตัวเองนั่นเอง

ย้อนดู พฤติกรรม ว่าที่ประธานสภาฯ ‘หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ ไม่ผูกเนคไท เข้าสภาฯ อภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

‘หมออ๋อง’ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก อดีตนายสัตวแพทย์ ที่พรรคก้าวไกล ส่งชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร สู้กับพรรคเพื่อไทย หากเราลองย้อนดูพฤติกรรมที่ผ่านมาของหมออ๋องแล้ว ก็จะพบว่ามีพฤติกรรมหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะสม

หมออ๋องไม่ผูกเนคไท เข้าสภาฯ 
ซึ่งประเด็นนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เคยกล่าวอภิปรายในร่างข้อบังคับฯ ในประเด็นการแต่งกายของส.ส. แล้วว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ การแต่งกายไม่เรียบร้อยนั้นเป็นการไม่เคารพต่อประธานสภาและเพื่อนสมาชิก

หมออ๋อง ขึ้นอภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
โดยเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2563 นายปดิพัทธ์อภิปรายว่า "นี่เป็นคำถามแห่งยุคสมัย ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า จากบทสนทนาที่เราคุยกันในโต๊ะอาหาร วงเหล้า หรือในกลุ่มเพื่อนสนิท ตอนนี้กลับมาเป็นประเด็นทางสาธารณะ มันหมายความว่านี่คือคำถามแห่งยุคสมัย แทนที่ผู้ใหญ่จะใช้วิธีปิดปากปิดตา ปิดหู ทำไมเราไม่ทำหน้าที่ในการตอบ ในการถามกลับ” 

ในปี 2565 นายปดิพัทธ์ ยังได้เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของมาตรา 112 ที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน ในช่วงที่นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวังไม่ได้รับการประกันตัวจากการถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระหว่างเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565

นายปดิพัทธ์ เคยกล่าวถึงบทบาทของอนุ กมธ. ชุดนี้ว่า ต้องการสร้างกระบวนการที่สามารถให้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลและหาทางออกร่วมกันได้ โดยได้มีการเรียกให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี ม.112

ซึ่งในขณะนี้ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้เตรียมจะส่งนายสุชาติ ตันเจริญ หรือพ่อมดดำ ส.ส.ฉะเชิงเทรา หลายสมัย ผู้มากประสบการณ์ ในการเดินเข้าสภาฯสมัยที่แล้ว ก็ยังได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

ถ้าเปรียบเชิงมวยกันแล้วก็ดูเหมือนว่า พ่อมดดำ นั้นจะได้เปรียบหมออ๋องอยู่ไม่น้อย เพราะมีเสียงสนับสนุนทั้งจากทางพรรคเพื่อไทยเอง และจากทางพรรคการเมืองอื่น

จากกำหนดการไทม์ไลน์ก็คงจะได้เปิดสภาฯกันเร็วๆนี้ ถึงตอนนั้นก็ไปลุ้นกันว่าหมออ๋อง จะได้นั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ หรือว่าจะได้กินแห้ว

การประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง ประธานสภาฯ ‘พิธา’ บอกยังมีเวลา ขอทำงานเป็นขั้นเป็นตอน

การประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 2 ชั่วโมง น่าจะจบลงแบบไม่ราบรื่นนัก
ที่ประชุม 8 พรรคร่วม ยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง #ประธานสภา จะเป็นของพรรคใดระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย พิธาบอกว่า ยังมีเวลา ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน อย่าเปิดประเด็นใหม่ 

ดูจากสีหน้าของทุกคู่ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนแถลงจับมือ ส่งรอยนิ้ว จับมือรูปหัวใจ แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่มีรอยยิ้มให้เห็น

ยังมีเวลา ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าพิจารณากันตามข้อเท็จจริง คือมีเวลาแค่วันนี้ เพราะพรุ่งนี้ทุกพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะมีการประชุม ส.ส.ของพรรค ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องแจ้งเรื่องทิศทางในการเลือกประธานสภาว่าจะเป็นอย่างไร จะต้องเลือกใครจากพรรคไหน

พรุ่งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมสภา จากนั้นวันที่ 4 กรกฎาคม ก็จะเป็นการประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภา และรองประธานสภาสองตำแหน่ง

หรือการโหวตเลือกประธานสภาจะย่างเข้าสู่โหมตฟรีโหวตจริงๆ แต่ถึงแม้นจะฟรีโหวต และพรรคก้าวไกลเสนอชื่อคนของพรรค ก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ ยังจะยกมือให้คนของพรรคก้าวไกลเป็นประธานสภา เพื่อให้การจัดตั้งเดินหน้าต่อไปได้ แบะทอดเวลาไปสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมือง เพราะเมื่อโหวตเลือกประธานสภาแล้ว มีเวลาอีก 10 วัน ในการกำหนดวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

เกมต่อไปคือเกมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงวันนี้ ทำไมพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไทย ว่าที่นายกรัฐมนตรี ถึงยังไม่บอกกล่าวกับใครว่า “ตกลงซาวเสียง สว.แล้ว เขาจะเลือกพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีสักกี่คน”

ทำให้สงสัยได้ว่า “หรือ 1 เดือนของความพยายามในการกล่อม สว.ให้กลับใจมาเลือกพิธา ยังย่ำอยู่ที่เดิม ที่เดิมที่ 6-7 เสียง หรือ 19-20 เสียง ยังไม่ขยับเข้าไปใกล้ 64 เสียง เพื่อให้ได้ 376 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา

หรือใจมันสั่นๆที่จะพูดความจริง ความจริงที่ว่า “เรามีเสียง ส.ส.อยู่ 312 เสียง และมีสว.ใจเต็มร้อยให้พิธาแค่ 6-7 เสียง ที่เหลือรับปาก แต่ไม่ยืนยัน แน่นอนว่าทางการเมืองใครไปหาเขาก็รับปากหมดแหละ ไม่มีใครปฏิเสธต่อหน้าหรอก

เหมือนเวลา ผู้สมัคร ส.ส.ไปพบหัวคะแนน ไปคุยกับชาวบ้าน ทุกคนรับปากจะช่วยรับปากจะเลือกทุกคน จนทำให้ผู้สมัครหลงตัวเองว่า “เสียงดี-กระแสตอบรับดี”

แต่ผลคะแนน ผลโหวตจะเป็นตัวขี้วัด ระบอบประชาธิปไตย คือระบอบการมีส่วนร่วม ทั้งทางตรง และทางอ้อม ทางตรงผ่านขบวนการเลือกตั้ง ทางอ้อม คือตัวแทนที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ทำหน้าที่แทน

14 ล้านเสียงนั่นคือทางตรงที่ประชาชนออกไปเลือกพรรคก้าวไกล และเป็น 14 ล้านเสียงที่ทรงพลัง หนุนก้าวไกล หนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความอ่อนด้อยในประสบการณ์ในการเจรจา ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ด้อยกว่าเพื่อไทยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัย

วันนี้ก้าวไกล 151 เสียง จึงตกเป็นรองต่อเพื่อไทย 141 เสียง ทำนอง “ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” ซึ่งข้อเท็จจริงก้าวไกลขาดเพื่อไทยก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หันซ้ายก็เห็นศัตรู หันขวา เราก็เคยตั้งป้อมจะปลดล็อคเขา เดินไปข้างหน้าก็เห็นป้อมปราการที่มีอายุหนักเล็งอยู่

โอ้…ก้าวไกลจะเดินต่ออย่างไรดี หรือปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ บอกได้เลยครับว่า “เจ๊ง” การเมืองไม่มีธรรมชาติ มีแต่การล็อบบี้ ต่อรองทั่งนั้น

ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เชื่อได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลเดิมจะเสนอคนลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย และชื่อคนลงชิง ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ ก็จะเป็นชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ถ้าพรรคพลังประชารัฐเสนอก็จะเป็นชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

พีระพันธุ์ ยอมสละเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับทิ้งประโยคเด็ด “ไม่ทิ้งลุงตู่ จะอยู่ช่วยจนคนสุดท้าย” มีความหมายโดยนัยยะทางการเมืองอย่างไม่น่ามองผ่าน

วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า ซีก 188 เสียงต้องโหวตให้พีระพันธุ์ แล้วดันมี สว.200 คนโหวตเลือกพีระพันธุ์ จะทำให้เสียงพีระพันธุ์มี 388 เสียง “ส้มก็จะหล่น”ใส่ พีระพันธุ์แบบเต็มตีน

ไม่ใช่เชียร์พีระพันธุ์ แต่ถ้าก้าวไกลไม่ชัด คำตอบของโจทย์ยาก อาจจะมาในรูปนี้ก็เป็นได้

“New Chapter ของผมก็คือ สร้างคนเป็นหลัก ไม่ได้สร้างเวลธ์ ไม่ได้เน้นสร้างเวลธ์เหมือนก่อนแล้ว”

“คนที่จะเข้ามาเรียนรู้จากผมต้องปฏิญาณ 3 ข้อ
อันนี้เป็นข้อกำหนดที่ผมกำหนดขึ้นเอง คิดขึ้นเอง”

นายวิชัย ทองแตง
นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ 
กล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ ประชาชาติธุรกิจ

‘ลุงป้อม’ ลั่น จะขออยู่ ‘พลังประชารัฐ’ จนวันตาย ติวผู้แทนใหม่ ยึดประโยชน์ชาติ ไม่ยึดประโยชน์ตัวเอง 

วันนี้ (2 ก.ค. 2566) เวลา 14.15 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ กล่าวมอบแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ว่า ก่อนอื่นตนขอแสดงความยินดีกับ ส.ส.ใหม่ รวมไปถึงคณะกรรมการบริหารพรรค คณะกรรมการยุทธศาสตร์ คณะกรรมการนโยบาย รวมไปถึงสมาชิกของพรรค พปชร.ทุกคน ตนและคณะกรรมการบริหารพรรคขอแสดงความยินดีกับ ส.ส.ใหม่ทุกท่านด้วยความยินดียิ่งที่ท่านได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมามีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นมากกว่าทุกครั้ง จากข้อมูลการเลือกตั้งมีพรรคการเมืองมาเสนอให้กับพี่น้องประชาชนเลือกถึง 67 พรรค และมากกว่า 4,000 หน่วย 400 เขตเลือกตั้ง ซึ่งมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งกว่า 75% สูงที่สุดในประวัติการณ์ แม้ว่าพรรค พปชร.จะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับ 4 ก็ตาม แต่ก็ได้รับเลือกตั้งมาเป็นตัวแทนประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาค ยกเว้นกรุงเทพมหานคร จึงถือได้ว่า พวกเราได้รับความศรัทธาจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะ ส.ส.ที่ได้นั่งอยู่ในห้องนี้ผ่านการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมาก แต่ก็เอาชนะมาได้ เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะต้องนำผลการเลือกตั้งไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

หัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า ตนได้แถลงขอบคุณประชาชนทั้งประเทศที่ให้ความไว้วางใจในพรรค พปชร. ไปแล้วตั้งแต่ในวันที่เสร็จสิ้นการเลือกตั้ง และตอนนี้ตนขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับพรรค พปชร.ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่ทำงานอยู่ร่วมกันอย่างเหน็ดเหนื่อย รวมไปถึงผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกคน ทุกเขตที่ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำงาน และมีส่วนร่วมสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นอย่างดี

“ถึงวันนี้พรรคพลังประชารัฐของเราจะต้องเดินไปข้างหน้าตามอุดมการณ์ ตามเจตจำนงของพรรคที่ขออาสาเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมขอยืนยันว่าจะดูแลพรรคพลังประชารัฐไปตลอดชีวิตของผม เท่าที่ผมมี เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าผมจะลาออกหรือไปที่ไหน อย่างไรก็จะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐตลอดไป”พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า หลังจากพิธีเปิดประชุมรัฐสภา 3 ก.ค.จะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธาน สภาฯในวันที่ 4 ก.ค. จากนั้นจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ไม่ว่าผลการจัดตั้งรัฐบาลจะออกมาในรูปใดก็ตาม พรรค พปชร. ยังจะเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อรับใช้ประชาชนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

หัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า การปฐมนิเทศวันนี้ ตนอยากให้เป็นจุดเริ่มต้นที่รวมบุคลากรคนสำคัญของพรรค ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม จะต้องร่วมกันทำงานเพื่อให้พรรค พปชร.เป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป โดยเฉพาะ ส.ส.ใหม่หรือคนเก่า ไม่ว่าสมัยที่แล้วอยู่พรรคใด แต่วันนี้จะต้องมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวของพรรค พปชร. จะต้องทำหน้าที่ทั้งในและนอกสภาฯอย่างเต็มที่ จะต้องทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม เมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนพวกเรา เราต้องทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ อยากจะให้ข้อคิดกับ ส.ส.ทุกท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติว่า การทำหน้าที่ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติข้อบังคับของพรรค อย่างเคร่งครัด รวมถึงจะต้องมีจริยธรรม โดย ส.ส. พรรค พปชร.จะต้องเป็นเอกภาพ ไม่มีการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทุกอย่างที่ตนพูดในวันนี้ไม่ใช่ว่าจะก่อประโยชน์ให้กับคนใดคนหนึ่ง แต่จะก่อให้เกิดประชาชนและประเทศชาติ ส.ส.ของพรรคเราจะยึดประเทศชาติเป็นที่ตั้งไม่ใช่ผลประโยชน์ของพรรค และจะต้องรักษาผลประโยชน์ของพรรค ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว หากทุกคนปฎิบัติตามนี้แล้ว เชื่อมั่นว่าพรรค พปชร.จะเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และจะเป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป การปฐมนิเทศวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ ส.ส.จะได้ทำหน้าที่เป็น ส.ส.ของพรรค พปชร.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ขอให้กำลังใจแก่ทุกท่านให้ปฎิบัติหน้าที่ ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกประการ

‘ทนายเชาร์’ ขย่ม ‘เฉลิมชัย’ รักพรรคจริงเลิกกินรวบ  เสนองดใช้ข้อบังคับพรรค เลิกใช้สัดส่วน 70 % ของ ส.ส.ชี้ขาดใครนั่ง หน.พรรค 

อีกรอบแล้วที่เชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (Chao Meekhuad ) หัวเรื่อง "1 เสียง 1 โหวต ทางออก ฟื้น ปชป. " อันเป็นข้อเสนอที่แหลมคมยิ่ง หวังให้เป็นทางออกจากวิกฤติของประชาธิปัตย์ และทิ่มแทงตรงๆไปยัง “ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน”อดีตเลขาธิการพรรค ที่ถูกมองว่า แม้นจะประกาศเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต หากประชาธิปัตย์ได้น้อยกว่าเดิม แต่เงาดำทมึนยังคลุมงำประชาธิปัตย์อยู่

การเลือกตั้งปี 2562 ประชาธิปัตย์เริ่มปรากฏชัดถึงความถดถอย ได้ ส.ส.มาแค่ 52 ที่นั่ง จากเดิมที่เคยได้เป็น 100 เริ่มถดถอยในช่วงที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”เป็นหัวหน้าพรรค และมี “จุติ ไกรฤกษ์” เป็นเลขาธิการพรรค อันเกิดจากสารพัดปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะการชุมชุมของกลุ่ม นปช.จนไม่มีเวลามาบริหารราชการแผ่นดิน และอภิสิทธิ์ ต้องหอบหิ้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหนีม็อบครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด 

เฉลิมชัยก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในยุค “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” การเลือกตั้งปี 2566 เฉลิมชัยลั่นวาจาครั้งแล้วครั้งล่าว ถ้าประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต วันนั้นมาถึงแล้ว ประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มาเพียง 25 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา “เฉลิมชัย”จึงน่าจะวางมือทางการเมือง และจัดวางตัวเองให้เป็นอาจารย์ใหญ่ เหมือน “เนวิน ชิดชอบ” ผู้อยู่เบื้องหลังภูมิใจไทย

เชาร์ระบุว่า พรรคประชาะปัตย์ มีกำหนดประชุมใหญ่ วาระสำคัญคือการเลือกผู้บริหารชุดใหม่ มาแทนชุดเดิม ที่พ้นตำแหน่งไป จากการลาออกของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เพื่อรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในคราวนี้ แตกต่างไปจากอดีตที่เคยมีมา แทบจะไม่มีใครเสนอตัวออกมาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเลย ยกเว้น นายอลงกรณ์ พลบุตร สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนในพรรครู้ดีแก่ใจว่า ตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวมถึงผู้บริหารทั้งหมด ในตอนนี้ อยู่ในอาณัติของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคฯ ที่กุมเสียง สส.ในมือราว 20 คน จากทั้งหมด 25 คน สั่งให้ใครเป็นหัวหน้าพรรคคนนั้นก็จะได้เป็น 

เชาร์ อธิบายว่า เนื่องจากข้อบังคับพรรคให้น้ำหนัก ส.ส.เป็นสัดส่วนถึง 70 % ขององค์ประชุมที่ประชุมใหญ่ในการลงคะแนน ข้อบังคับพรรคไม่ได้ผิดอะไร ที่ให้ความสำคัญกับ ส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน แต่ในอดีตก็มีการแก้ไขสัดส่วนคะแนนเสียง ส.ส. มาตลอดเพื่อให้สมดุลเข้ากับสถานการณ์แต่ละยุค ซึ่งตอนแก้ข้อบังคับเมื่อปี 61 ก่อนหน้านี้พรรคมีส.ส.เกินหลักร้อยมาตลอด และใครก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะตกต่ำเหลือแค่ 25 คนในยามนี้ จากพรรคขนาดใหญ่ กลายเป็นพรรคขนาดกลาง และกำลังเป็นพรรคขนาดเล็ก ถือเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จึงไม่สมควรที่จะให้ส.ส. 25 คน มากุมชะตากรรมพรรคเพียงลำพัง 

เชาร์เสนอให้ที่ประชุมใหญ่ลงมติสามในห้าขององค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่ให้ยกเว้นข้อบังคับข้อ 87 (1),(2) ที่ให้ถือเกณฑ์คำนวณคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสัดส่วน สส. 70 % และสมาชิกอื่นที่เป็นองค์ประชุม 30 % เสีย โดยให้ใช้เสียงข้างมากของผู้ลงคะแนนเสียง เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงขององค์ประชุมที่ประชุมใหญ่ มีหนึ่งเสียง หนึ่งโหวตเท่ากันในการกำหนดชะตาครั้งสำคัญของพรรค

"ถ้ารักพรรคจริง ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมตัดสิน ไม่ใช่ใช้ข้อได้เปรียบจากข้อบังคับพรรคมาจ้องกินรวบพรรคอย่างที่เป็นอยู่ คนชอบพูดว่าผมเป็นคนของนายกฯอภิสิทธิ์ ผมไม่ปฏิเสธว่าเคารพรักท่าน แต่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคสำหรับผม จะชื่ออะไรก็ได้ สำคัญที่คน ๆ นั้น ต้องมีบารมี มีเจตจำนงค์ทำ พรรคให้เป็นพรรค ไม่ใช่คิดแต่ใช้พรรคเป็นบันไดในการแสวงหาอำนาจ เรามีบทเรียนมามากพอแล้วกับการละทิ้งคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน”

เชาร์ย้ำว่า ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เปราะบาง ประชาธิปัตย์ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้กับบ้านเมือง ส่วนจะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ ชี้วัดกันที่การเลือกหัวหน้าพรรควันที่ 9 ก.ค. ที่ผมยืนยันว่า ต้องยกเว้นข้อบังคับ เลิกสัดส่วน 70 % ของสส. เป็นให้ทุกคะแนนมีค่าเท่ากัน 

อย่างที่เชาร์กล่าวไว้ ทำไมการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งคราวนี้ถึงเงียบเชียบ ที่ปรากฏตัวชัดแล้วมีแค่ “อลงกรณ์ พลบุตร” รองหัวหน้าพรรค 4 สมัย และ 30 ปี ยึดมั่นอยู่กับอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะแพ้การเลือกตั้งชิงหัวหน้าพรรค ที่บางคนพอแพ้ก็ทิ้งพรรคไป ไม่ว่าจะเป็น “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” ออกไปตั้งพรรคไทยภักดี พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ออกไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ กรณ์ จาติกวณิชย์ ออกไปตั้งพรรคกล้า 

หันซ้ายมองขวาในประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นคนเก่า หรือคนใหม่ ยังไม่เห็นใครว่าจะนำพาพรรคประชาธิปัตย์กลับไปยืนอยู่แถวหน้าได้ แต่พอจะเห็นเค้าอยู่บ้างสำหรับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แม้ว่าจะไม่ใหม่นัก แต่ไม่เก่าจนเกินไป และเป็นคนมีบารมี มีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ และมีจุดยืนชัดเจน และแม้จะลาออกจาก ส.ส.คราวนั้น ก็ยังเป็นสมาชิกประชาธิปัตย์อยู่ และเชื่อว่า ถ้าอภิสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็จะมีแรงสนับสนุนจาก “ชวน หลีกภัย”บัญญัติ บรรทัดฐาน-นิพนธ์ บุญญามณี” รวมถึงโหวตเตอร์สายอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ประธานสาขา และตัวแทนพรรคอยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้ายกเว้นข้อบังคับตามข้อเสนอของทนายเชาร์ โหวตเตอร์สาย ส.ส.อาจจะเหวี่ยงหลุดแห มาทางอภิสิทธิ์บ้างก็ได้

แม้บนบกจะดูคลื่นลมเงียบสงบ แต่เชื่อว่าใต้น้ำ ประชาธิปัตย์กำลังเกิดภาวะน้ำวน มีการเคลื่อนไหวที่พอเห็นร่องรอยอยู่บ้าง

‘วันนอร์’ เตรียมชิงตำแหน่งประธานสภา ยุติปัญหาขัดแย้ง ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’

(3 ก.ค. 66) รายงานข่าวจากที่ประชุม 8 พรรคการเมืองเสียงข้างมาก ระบุว่า ในการประชุมหัวหน้า และตัวแทน 8 พรรคการเมืองเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 66 ที่ทำการพรรคก้าวไกล ได้มีการหยิบยกปัญหาในส่วนของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยต่างต้องการผลักดัน ส.ส.ของตัวเองให้ดำรงตำแหน่ง ขึ้นมาพูดคุยนอกรอบ โดยตัวแทนพรรคอื่นๆ ได้พยายามโน้มน้าวให้ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ถอยคนละก้าว เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยสามารถเดินหน้าได้ เพราะเกรงว่าหากปล่อยให้เกิดความไม่ชัดเจนจนมีปัญหาในการลงมติเลือกประธานสภา ซึ่งเป็นการลงคะแนนลับ ย่อมส่งผลถึงการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในส่วนของการเจรจาของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยนั้น ทางคณะเจรจาของ 2 พรรค มีการสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากทั้ง 2 พรรคต่างยืนกรานที่จะต้องได้ตำแหน่งประธานสภา โดยไม่สามารถถอยหรือปรับเพดานลงได้ เนื่องจากถือเป็นมติของที่ประชุมพรรคของทั้ง 2 พรรค

อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้ง รวมถึงหาทางลงให้กับทั้ง 2 พรรค จึงมีการเสนอให้คนกลางที่เป็นที่ยอมรับ อย่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่มีความอาวุโส และมีประสบการณ์เคยเป็นประธานสภา และประธานรัฐสภามาแล้ว เป็นผู้รับตำแหน่งประธานสภา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยที่ พรรคก้าวไกล จะได้ตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 และพรรคเพื่อไทย จะได้ตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 2

เบื้องต้นคณะเจรจาของพรรคเพื่อไทย ขอนำข้อเสนอดังกล่าวไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ของพรรค ในช่วงสายของวันนี้ ก่อนจะแจ้งผลตอบรับมายัง พรรคก้าวไกล และแถลงข่าวในช่วงเที่ยงของวันเดียวกัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top