Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

“ชื่ออาคาร OAI Tower ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ชื่อนี้มีที่มาจาก โอ๊ค เอม อิ๊งค์ Oak Aim Ing เป็นตัวย่อ คุณพ่อคิดตั้งแต่สมัย 30 ปีก่อน”

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง)
หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์ในรายการ 'พรรคนี้เป็นไงบ้าง?' 
ดำเนินรายการโดย คุณฟาโรส ยูทูบเบอร์ชื่อดัง

กองทัพบก ร่วมกับ สวนนงนุชพัทยา ฝึกอบรมกำลังพลของกองทัพบก  โครงการฝึกอบรม หลักสูตรโลกสีเขียว 

ตามที่กองทัพบก ร่วมกับ สวนนงนุชพัทยา ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตร โลกสีเขียว ให้กำลังพลของกองทัพบกจำนวน 22 นาย ระยะเวลาการฝึกอบรม 10 วัน วัตถุประสงค์ เพื่อให้กำลังพลของกองทัพบก ได้นำความรู้ทักษะไปปรับใช้ในการประกอบสัมมาอาชีพของตนเอง ซึ่งฝึกอบรบระหว่างวัน 6 - 15 มิถุนายน 2565 ในการจัดอบรมหลักสูตรดังกล่าวได้ครบตามวันเวลา
           
วันนี้ นายกัมพล ตันสจจา  ประธานสวนนงนุชพัทยา และ ผู้แทนท่านผู้บัญชาการทหารบก พลโท นิรันดร ศรีคชา รองเสนาธิการทหารบก  ได้จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรให้กับกำลังพลของกองทัพบกที่เข้าฝึกอบรมจบหลักสูตรดังกล่าว  จำนวน 22 นาย  จากการฝึกอบรมนำไปใช้ประกอบอาชีพให้กับตนเอง และครอบครัวสามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์และเผยแพร่ในองค์กรและต่อยอดในด้านการเกษตรทฤษฎีใหม่ให้กับทหารกอง ประจำการที่กำลังจะปลดประจำการในรุ่นต่อไป
              
นายกัมพล กล่าวว่า ผมมีความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเป็นประธาน ในการมอบใบประกาศนียบัตร แก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรโลกสีเขียว สำหรับกำลังพลของกองทัพบก ที่มาทำการฝึกอบรม ผมหวังว่าทุกท่านจะนำแนวทางไปปฎิบัติในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปเผยแพร่ในองค์กรได้

สวนนงนุชพัทยา ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและยังเป็นแหล่งเรียนรู้ในด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ สวนนงนุชพัทยาจึงมีความพร้อมในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดประชุม ฝึกอบรม และ สถานที่ในการลงมือปฏิบัตงานจริง และรองรับเด็กนักเรียน บุคคลทั่วไป รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาใช้บริการ

ตม.จว.เชียงราย เปิดยุทธการ Lanna Force Check ตรวจสอบคนต่างด้าวขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เพื่อศึกษาในสถานศึกษามูลนิธิและองค์กรสาธารณะในพื้นที่รับผิดชอบของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

วันที่ 15 มิถุนายน 2566ที่ผ่านมา  พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม.จว.เชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวระดมตรวจสอบคนต่างด้าวขออยู่ต่อในสถานศึกษามูลนิธิและองค์กรสาธารณะตามยุทธการ “Lanna Force Check” ของ บก.ตม.5 โดยบูรณาการร่วม

กับ  ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย ,หน.ฉก.ตชด.327 (ชป.แม่สาย) , สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2 , สภ.แม่สาย , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สาย ,กองบังคับการควบคุมผาทมิฬหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ทั้งนี้เพื่อให้การป้องกันปราบปรามบุคคลต่างด้าวที่อาจเข้ามาแล้วก่ออาชญากรรม กระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจ

สอบตามวงรอบแผนมาตรการควบคุมตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาขออยู่ต่อในราชอาณาจักรด้วยเหตุผลเพื่อการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน มูลนิธิหรือสมาคม ณ บริเวณหน้าที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’


‘Kim Ung-Yong’ เด็กชายอัจฉริยะที่ทำให้โลกต้องตะลึง!!


‘Kim Ung-Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ ชายชาวเกาหลีใต้ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่’ โดย Guinness World Records นั้นได้บันทึกสถิติว่าชายผู้นี้เป็น ‘คนที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย IQ ของเขาสูงถึง 210 เลยทีเดียว


คุณจะทำอย่างไร? ถ้าคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่คำถามนี้เป็นสิ่งที่คิม อุงยอง ต้องเผชิญอยู่เสมอมา

คิม อุงยอง เกิดมาพร้อมกับความถนัดโดยกำเนิด และเป็นความถนัดด้านการเรียนรู้ที่ไม่สามารถหาตัวจับได้ ความสามารถทางสติปัญญาของเขาเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ความอัจฉริยะของเขาเริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะเดินได้ด้วยซ้ำ เรื่องราวของเขานั้น นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขามีความสามารถที่เหนือความคาดหมายที่สุดของคนปกติ และประสบความสำเร็จทางสติปัญญาอย่างน่าทึ่ง น่าแปลกที่วันนี้แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับ ‘คิม อุงยอง’ เด็กอัจฉริยะจากเกาหลีใต้คนนี้? 


‘Kim-Ung Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ เป็นลูกชายของ ‘Kim Soo-Sun’ บิดาผู้เป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์ของ Hanyang University และ ‘Yoo Myung-Hyun’ มารดาผู้เป็นอาจารย์ที่ Seoul National University เพราะเหตุนี้ เขาจึงดูเหมือนจะถูกลิขิตให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ทางวิชาการตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าสติปัญญาของเขาจะพัฒนาไปจนถึงขีดสุดได้อย่างไร


เขาเกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2505 ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ คิมไม่เสียเวลาเติมพลังสติปัญญาเลย เมื่อคิมอายุเพียง 4 เดือน เขาก็เริ่มพูดได้ พอ 6 เดือน เขาก็สามารถพูดจาสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เมื่ออายุ 1 ขวบ เขาก็มีความเชี่ยวชาญทั้งอักษรเกาหลีและอักษรจีนมากกว่า 1,000 ตัวแล้ว จากการเรียน Thousand Character Classic ซึ่งเป็นบทกวีจีนในศตวรรษที่ 6 ความสามารถทางสติปัญญาของเขามีความโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก เขาสามารถอ่านและเขียนได้หลายภาษา อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ตอนอายุ 3 ขวบ เขาสามารถแก้โจทย์แคลคูลัสได้แล้ว นอกจากนี้ เขายังจัดพิมพ์หนังสือเรียงความ คัดลายมือ พร้อมภาพประกอบความยาว 247 หน้า ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขาได้อย่างน่าประหลาดใจ!!


สติปัญญาที่เหลือเชื่อของ คิม อุงยอง ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด และถึงแม้จะอายุน้อย แต่พรสวรรค์ของคิมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เด็กอัจฉริยะชาวเกาหลีใต้คนนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างรวดเร็ว เมื่อเอายุได้ 5 ขวบ เขาก็สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วถึง 5 ภาษา อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เขาได้เข้าเรียนเป็นนักศึกษาพิเศษของภาควิชาฟิสิกส์ที่ Hanyang University ซึ่งมีบิดาของเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นอีกด้วย เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มแรกว่า ความสามารถอันโดดเด่นของคิมนั้นจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา และอาจเปลี่ยนกระทั่งความเป็นมนุษย์ไปตลอดกาล


Terence Tao บุคคลที่มี IQ 230 สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน


‘บุคคลที่มีไอคิวสูงที่สุดในโลก’ ความเฉลียวฉลาดอันน่าทึ่งและความสามารถพิเศษของคิมนั้น เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดความสนใจมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุ 4 ขวบ คิมสร้างความประหลาดใจด้วยการทำคะแนนแบบทดสอบ IQ ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบได้อย่างน่าทึ่งถึง 210 คะแนน ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า ‘เป็นผู้ที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย Guinness Book of World Records (Terence Tao เป็นเจ้าของสถิติ IQ ที่สูงที่สุดในโลกที่ 230 คะแนนในปัจจุบัน)


ชื่อเสียงของเขาเผยกระจายอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาได้แสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์ทางโทรทัศน์ช่อง ‘Fuji TV’ ของญี่ปุ่น ขณะที่เขาอายุได้เพียง 4 ปี 8 เดือน คิมเคยออกรายการโทรทัศน์ แสดงความสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง ที่เรียกว่า ‘สมการดิฟเฟอเรนเชียล’ (Differential Equation) ที่ซับซ้อนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว (ซึ่งปกติจะมีเรียนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3) จนบรรดาผู้ชมต่างประหลาดใจ

ในที่สุดสติปัญญาที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของคิม ก็ได้ดึงดูดความสนใจขององค์กรอวกาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ธรรมดาของ ‘คิม อุงยอง’ ทำให้เขาได้รับคัดเลือกจาก ‘NASA’ องค์การอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้เข้าร่วมงานเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวเขาจึงคว้าโอกาสนั้นไว้ เขาทำงานให้กับ NASA ประมาณหนึ่งทศวรรษ ในช่วงเวลานี้ เขาทำให้เพื่อนร่วมงานประหลาดใจอย่างต่อเนื่องด้วยความจำอันยอดเยี่ยม และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน


อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ NASA นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเท่านั้น และชีวิตใหม่ของเขาก็ไม่ง่ายเลย เขารู้สึกโดดเดี่ยวและเดียวดาย ไม่มีเพื่อนนอกจากผู้ใหญ่ที่เขาทำงานด้วย ซึ่งอายุมากกว่ามาก และยุ่งเกินกว่าจะมาสังสรรค์กับเขา แม้จะยังไม่ใช่วัยรุ่น แต่เขาก็ทำงานหนักอย่างเหลือเชื่อ และทำประโยชน์อันมีค่ามากมายให้กับองค์กร แต่ในที่สุดเขาก็ท้อแท้กับงานที่ทำอยู่ คิมรู้สึกว่างานวิจัยของเขาถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายล้าง และบรรดาเจ้านายของเขาต่างก็ได้รับเครดิตจากการทำงานหนักและความคิดของเขา คิมรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ซ้ำยังถูกตีราคาเป็นมูลค่า และไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งในที่สุด คิมและครอบครัวตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี และได้เข้าเรียนต่อจนจบ เขาสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมด และได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่ามัธยมปลายในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้น เขาสมัครเข้าเรียนใน Chungbuk National University ในสาขาวิศวกรรมโยธาจนจบปริญญาเอก


Kim Ung-Yong ในวัยหนุ่ม

การตัดสินใจออกจากองค์การ NASA ของคิมนั้น ทำให้สังคมเกาหลีใต้เต็มไปด้วยความสงสัยและมีคำวิจารณ์จากผู้ที่เห็นว่า การออกจากองค์การ NASA ของเขาเป็นการเสียพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้จะประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ชีวิตที่เหลือ (หลังจากออกจากองค์การ NASA) ของเขาก็จะเต็มไปด้วยคำวิจารณ์ประเภทนี้ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในฐานะ ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’

โดยหลังจากจบปริญญาเอกแล้ว คิม อุงยองเข้าทำงานอย่างเงียบๆ ในบริษัทเกาหลีใต้ที่ชื่อ ‘Chungbuk Development’ โดยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง แม้ว่า อดีตเด็กอัจฉริยะคนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางคนว่าเป็น ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’ เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตตามสติปัญญาอันน่าทึ่งที่เขามี ถึงกระนั้น เขายังคงมองโลกในแง่ดีและค่อนข้างพอใจกับชีวิตของเขา


Kim Ung-Yong เป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University

ในปี พ.ศ. 2550 เขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ในที่สุดเขาก็สมหวัง เพราะความฝันตลอดชีวิตของเขาคือ ‘การเป็นอาจารย์’ เขาออกจากบริษัท Chungbuk Development เข้าเป็นอาจารย์ของ Shinhan University ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557 และยังรับตำแหน่งรองประธานของ North Kyeong-gi Development Research Center หลังจากเริ่มงานใหม่ คิมได้บอกกับสื่อต่างๆ ว่า เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ โดยกล่าวว่า “ผมจะอุทิศตัวเองเพื่อสอนคนรุ่นต่อไป” แม้ว่า ประวัติของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่า คิม อุงยอง จะตัดสินใจตั้งแต่อายุยังน้อยที่จะให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘สถิติโลก’ ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับ IQ ที่สูงมากๆ และ ‘ความสำเร็จ’ ในวัยเด็กของเขา


ปัจจุบัน Kim Ung-Yong เป็นศาสตราจารย์ของ Chungbuk University

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากชายที่ฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองชีวิตของคิม อุงยอง ว่า น่าผิดหวัง หรือล้มเหลว แต่มีบทเรียนที่ดีกว่าให้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันและน่าสนใจของเขา การตัดสินใจของ คิม อุงยอง เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเลือกชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขมากกว่าความรุ่งโรจน์ ความสำเร็จ หรือความมั่งคั่ง แม้ว่าเขาจะมีความสามารถพิเศษทางปัญญาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่เขากลับไม่พบความสุขกับบทบาทของเขาในฐานะ ‘เด็กอัจฉริยะ’ จนกระทั่งเขาใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายขึ้น เขาจึงพบว่า “ตัวเองมีความสุข”


Kim Ung-Yong สรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า 
“ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

คิม อุงยอง มีส่วนในการช่วยเหลือสังคมมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย บางทีหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้จากเขาคือ การตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกความสุข เขากล่าวว่า “ชีวิตของเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่คนรอบข้าง หรือวิสัยทัศน์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานของพวกเขา” และเขายังกล่าวสรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า “ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

หวังว่าเรื่องราวของ คิม อุงยอง จะช่วยให้พ่อ-แม่ในสังคมไทยได้เข้าใจลูกๆ และปล่อยให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากเป็น เพียงแต่พ่อ-แม่ช่วยดูแลให้ลูกอยู่ในแนวทางที่มีความเหมาะสมและพอดี โดยพิจารณาด้วยเหตุและผลที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งพ่อ-แม่ และลูกๆ ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้

‘วรวุฒิ อุ่นใจ’ ชี้ ทางออกผู้ประกอบการไทย ในวันที่ Crisis ทั้งใน-ต่างประเทศล้อมชิด 

เศรษฐกิจจะไปอย่างไรต่อ? ผู้ประกอบการไทยควรต้องระวังอะไรในช่วงที่สถานการณ์โลกและในเมืองไทยยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ? อะไรคือความเสี่ยง? อะไรคือทางรอดที่จะทำให้ไปต่อได้?

หลากคำถามที่กล่าวมาข้างต้น คุณวรวุฒิ อุ่นใจ อดีตผู้ก่อตั้งบริษัทออฟฟิศเมท และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL ได้ให้มุมมองแนะนำต่อผู้ประกอบการไทยถึงการปรับตัวในยุคที่วิกฤติต่างๆ เริ่มถาโถมก่อนที่ธุรกิจนั้นๆ จะปิดตัวไปอย่างน่าเสียดายผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 และ THE STATES TIMES ไว้ว่า...

“ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเปราะบาง เหมือนกับคนเพิ่งฟื้นไข้ เราป่วยเป็นโควิด ปิดบ้าน-ปิดเมือง ค้าขายไม่ได้ ค้าขายฝืดเคืองมา 3 ปี นักท่องเที่ยวไม่เข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของไทยตอนนี้ เหมือนคนที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นไข้ เพราะฉะนั้นการผ่าตัดระบบเศรษฐกิจไทยด้วยเรื่องใหญ่ๆ อันตรายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบโครงสร้างการขึ้นค่าแรงต้องระวังให้มาก เพราะมันเหมือนกับร่างกายยังไม่แข็งแรง ดังนั้นหากให้ผมมองแล้ว การเลือกอัดฉีดเงินเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน จึงน่าจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่ต้องทำก่อน”

คุณวรวุฒิ กล่าวต่อว่า “ไม่ว่าจะต้องผ่านเข้าสู่ยุครัฐบาลใด ผู้ประกอบการ ก็ต้องอยู่ให้ได้ทุกสภาวะ ฉะนั้นการปรับปรุงตัวเอง ปรับธุรกิจตัวเอง จึงเป็นทางเลือกและทางรอดที่หนีไม่พ้น พูดง่ายๆ ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะมา รัฐบาลไหนจะไปเราก็ต้องดูแลตัวเอง”

ทั้งนี้ คุณวรวุฒิ ได้เปิดเผยถึงความเสี่ยงในโลกที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเหล่าผู้ประกอบการไทยในยุคที่ต้องเท่าทันต่อสถานการณ์โลก ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้...

1.) การถดถอยทางเศรษฐกิจโลก วันนี้เราก็ทราบกันดีว่าโลกกำลังเผชิญผลกระทบจากสภาวะของสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงเรื่องของแทรกแซงตลาดจีนโดยสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจ และก่อเป็นสงครามการรบในโลกยุคใหม่ ที่มีทั้งสงครามทางเศรษฐกิจ ผสมผสานกับสงครามจริง ต่างจากสงครามยุคก่อนที่มุ่งรบกันด้วยอาวุธและไทยซึ่งเป็นประชาคมโลกก็ยากที่จะหลีกหนีจากภัยสงครามรูปแบบนี้ (สงครามเศรษฐกิจ)

2.) ภัยจากโรคระบาด วันนี้โควิด-19 ยังไม่หายไป และเราก็ไม่แน่ใจจะมีโควิดภาค2 กลายพันธุ์ไปอีกหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่ประเทศเราต้องจับตาดู
.
3.) ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ จะเห็นว่าวันนี้โลกกำลังประสบกับสภาวะ Global Warming หรือโลกร้อน ที่ส่งผลกระทบให้เกิดสารพัดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ยิบกว่าในอดีตเมื่อเทียบกับ30-40 ปีก่อน สังเกตได้ว่าตอนนี้ภัยธรรมชาติหนักหนามากและเกิดถี่มากและเกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก ไม่ว่าเรื่องของน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เรื่องของไฟป่า เรื่องของฝุ่นควัน หมอกควัน ฝุ่นพิษ PM 2.5” 

4.) ความเสี่ยงที่กล่าวมา คุณวรวุฒิ มองว่า เป็นตัวกดดันให้การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากกว่าในอดีต เพราะทุกความเสี่ยงโยงใยต่อการกำหนดทิศทางธุรกิจ การบริหารจัดการต้นทุน รายได้ และกำลังซื้อเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากผู้ประกอบการจะอยู่ให้รอดภายใต้ความเสี่ยงเหล่านี้ จะเป็นต้อง 1.ปรับตัว 2.ใช้นวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์กับธุรกิจ 

“ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด คือ ในยุคนี้ถ้าใครไม่ใช้ออนไลน์ บอกเลยว่าธุรกิจของคุณจะเดินต่อได้ยาก เช่น ในเรื่องของยอดขาย จากสถิติล่าสุดออนไลน์มีสัดส่วนเท่ากับ 16% ของระบบการค้าไปแล้ว นี่ยังน้อยนะ อนาคตอันใกล้น่าจะเห็น 30-40% และมันจะยังเติบโตไปได้อีกเรื่อยๆ ฉะนั้นธุรกิจในภาคค้าปลีก ก็ต้องสวิตช์ตัวเองไปเป็นออนไลน์มากขึ้น แต่ถ้าผู้ประกอบการยังหวังพึ่งการขายแบบเดิมๆ โดยที่ยังไม่มีส่วนผสมของออนไลน์มาช่วย การแข่งขันในระยะยาวลำบากแน่นอน นี่คือตัวอย่างแรก

“ต่อมา คือ Innovation หรือ ‘นวัตกรรม’ เป็นสิ่งที่ขาดจากชีวิตไม่ได้อีกต่อไป เพราะผมเชื่อว่าวันนี้ทุกคนคงยอมรับถึงตัวแปรที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไวในรอบ 20 ปี จากอินเตอร์เน็ต ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ตามมา (Smart Device) จนเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค เปลี่ยนการกินอยู่ เปลี่ยนการบันเทิง เมื่อก่อนใครจะไปคิดว่าทีวีจะถูกทิ้งร้างแล้วหันมานั่งดูหนังผ่าน Steaming แทน เมื่อก่อนใครจะคิดว่าแผ่นซีดีหนัง เพลง จะสูญพันธุ์ 

“ใครจะคิดว่าโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook / YouTube / Twitter / TikTok และในอนาคตอีกมากมาย จะเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต ทั้งการเสพข่าวสาร เปิดโลกไลฟ์สไตล์ รสนิยมใหม่ๆ รวมถึงซื้อขายสินค้าในแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้แค่นิ้วคลิก นี่คือ สิ่งที่ผมอยากจะฝากผู้ประกอบการวันนี้ให้ตระหนัก” 

“ถ้าเราไม่เปลี่ยนหรือไม่ปรับตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เดินตามนวัตกรรมที่มาช่วยขับเคลื่อนชีวิตพวกเขา ธุรกิจของเราก็จะตายไปโดยปริยาย” คุณวรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย

‘นพ.รุ่งเรือง’ ขึ้นศาล จ.นนทบุรี เอาผิดคนป่วน กระทรวงสาธารณสุข ทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า

เพจเฟซบุ๊ก โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ ข้อความเกี่ยวกับที่  นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง ได้ไปขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อเอาผิดกับคนที่มาป่วนกระทรวงสาธารณสุข และทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า โดยมีใจความว่า ...

ไม่มีใครอยากจะขึ้นศาลหรือเป็นคดีความ 

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (15 มิถุนายน 2566) หมอมาขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี ในคดีที่มีกลุ่มคนมาทำลายพระบรมรูปอนุสาวรีย์ สมเด็จพระราชบิดา สมเด็จย่า กรมหลวงชัยนาทนเรนทร ด้วยการสาดสีแดง เอาเชือกดึงอนุสาวรีย์ท่านให้พังลงมา  และท่านเป็นศูนย์รวมดวงใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคน นอกจากนี้กลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน และมีแกนนำ รวมถึงกลุ่มคนที่จัดตั้งขึ้นได้มาประท้วงทำลายข้าวของ ทำลายสถานที่กระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสาดสีแดง

ในวันนั้น หมอออกไปรับม็อบพยายามเจรจาด้วยสันติวิธีแต่ไม่เป็นผล กลุ่มบุคคลดังกล่าวทั้งด่ากระทรวงสาธารณสุข ด่าผู้บริหารระดับสูง โจมตีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงพี่น้องประชาชนให้หลงเชื่อ รวมถึงใช้คำหยาบคาย ด่าบิดามารดาของหมอ ด้วยคำหยาบคายมากๆ เช่น อวัยวะเพศ ซึ่งคดีดังกล่าว หมอได้ติดตามทำงานร่วมกับตำรวจ จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด และส่งฟ้องศาล เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน และพี่น้องประชาชน 

ในตอนนี้ สามารถบังคับใช้กฎหมายจนผู้กระทำผิดถูกลงโทษ (น่าจะถึงขั้น “จำคุก”) แม้ว่าจะเหนื่อยมากๆ นับตั้งแต่วันที่เริ่มรวบรวมพยานหลักฐาน ตามจับกุมผู้ต้องหา จนถึงส่งฟ้องศาล แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรปล่อยให้คนผิดลอยนวล ต่อไปจะเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไรหมอขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยให้กับทางกระทรวงสาธารณสุข จนถูกทำร้ายร่างกายไปด้วย จนถึงการทำงานอย่างจริงจังของตำรวจ การรวบรวมพยานหลักฐาน และจับตัวผู้กระทำผิดส่งฟ้องศาลจนศาลลงโทษผู้กระทำผิด

แต่สำหรับหมอแล้ว การปราบคนพาล อภิบาลคนดี ดูแลส่งเสริมคนดี และอย่าให้คนชั่ว คนพาล มีอำนาจหรือลอยนวลจากการกระทำความผิดเป็นเรื่องที่ระลึกและต่อสู้มาโดยตลอดชีวิตข้าราชการตั้งแต่เป็นตำรวจจนมาเป็นหมอในปัจจุบัน ครับ

หมออยากฝากถึงทุกๆ ท่าน ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หมอยึดมั่นปฏิบัติเสมอมา พระองค์ทรงพระราชทานไว้ว่า 

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”

ทร. สวธ. และ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมชมการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 49  พ.ศ 2566  แสงทิพย์แห่งอาภากร เสียงทิพย์จากราชนาวี” เทิดพระเกียรติองค์บิดาของทหารเรือไทย รายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่าย โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ช่วยเหลือการพยาบาลผู้ป่วย 

(เมื่อ 14 มิถุนายน 66 ) เวลา 10.10 น. ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ) กองทัพเรือ (ทร.) จัดการแถลงข่าว การจัดการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 49 ปี พ.ศ.2566 เพื่อเทิดพระเกียรติ องค์บิดาของทหารเรือไทย  “แสงทิพย์แห่งอาภากร เสียงทิพย์จากราชนาวี” โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย พลเรือโท ชาติชาย ทองสะอาด รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน ในฐานะประธานคณะกรรมการเตรียมการจากการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต นายโกวิท  ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และ นาวาเอก พฤทธิธร สุมิตร ผู้บังคับกองดุริยางค์ทหารเรือ ฐานทัพเรือกรุงเทพ พร้อมผู้แทนองค์และหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุน บริจาคเงินสบทุนสภากาชาดไทย 

“กาชาดคอนเสิร์ต” นี้ กองทัพเรือได้จัดให้มีขึ้นตามพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ได้ทรงมีพระราชปรารภกับผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น ให้กองทัพเรือจัดแสดงดนตรีโดย วงดุริยางค์ราชนาวี เพื่อเป็นการเผยแพร่ดนตรีแนวคลาสสิกให้เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวไทย และจัดหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย โดยไม่หักค่าใช้จ่าย  ในการช่วยเหลือรักษาพยาบาลเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยทั้งมวลให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งกองทัพเรือก็ได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา และได้จัดแสดงเป็นประจำทุกปี  จะมีเว้นบ้างตามสถานการณ์ ที่ไม่เอื้ออำนวย โดยวงดุริยางค์ราชนาวี นับได้ว่าเป็นวงซิมโฟนีออเคสตร้าแนวคลาสสิคชั้นนำวงหนึ่งของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้มีโอกาสบรรเลงในงานพระราชพิธี  รัฐพิธี ตลอดจนงานสำคัญต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ 
 
ในปี 2566 เป็นวาระครบรอบ 100 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  กองทัพเรือ ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อกองทัพเรือเป็นอเนกอนันต์  โดยพระองค์ทรงริเริ่มวางรากฐานกิจการทหารเรือไทยให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง สามารถทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติทางทะเลได้อย่างดีตลอดมา

ส่งผลให้กองทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐานทัดเทียมนานาอารยประเทศตราบจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ในด้านการดนตรี พระองค์ได้ทรงพระนิพนธ์เพลงที่มีเนื้อหาปลุกใจให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ โดยเพลงปลุกใจของพระองค์ นับว่าเป็นเพลงอมตะของทหารเรือ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือทุกนาย และต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างมิรู้ลืม โดยพร้อมใจกันถวายสมัญญานามพระองค์ท่านว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย" 
 
โดยในส่วน การแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ในปีนี้ นับเป็นครั้งที่ 49  ใช้ชื่อการแสดงว่า “แสงทิพย์แห่งอาภากร เสียงทิพย์จากราชนาวี” เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ที่ทรงเป็นองค์บิดาของทหารเรือไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินรายได้จากการบริจาคโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ภานายิกาสภากาชาดไทย  โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย  ทั้งนี้ สภากาชาดไทย จะนำเงินดังกล่าวไปช่วยเหลือประชาชนในโครงการและกิจการต่าง ๆ อาทิ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติและสาธารณภัย  โครงการศูนย์มะเร็งเต้านม กิจการอาสายุวกาชาดเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต  ศูนย์รับบริจาคอวัยวะต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์  และโครงการมอบชีวิตใหม่แด่เพื่อนมนุษย์ด้วยการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดโลหิต  เป็นต้น   

สำหรับรายการแสดง กาชาดคอนเสิร์ตครั้งที่ 49 ในครั้งนี้ วง Symphony orchestra ดุริยางค์ราชนาวี กองดุริยางค์ทหารเรือ ฐานทัพเรือกรุงเทพ จะบรรเลงเพลงคลาสสิค และเพลงร่วมสมัย ขับรองโดยนักร้องรับเชิญ อาทิ  ธงไชย แมคอินไตย์  สหรัถ  สังคปรีชา   ปิยนุช เสือจงพรู (จิ๋ว  เดอะสตาร์/ จิ๋ว  นิวจิ๋ว) กิตตินันท์  ชินสำราญ (กิต The voice )  กรกันต์  สุทธิโกเศศ   สรวีย์  ธนพูนหิรัญ (ผิงผิง  Golden song season 2 ) และ วศิน  พรพงศา  (วิน   Golden song  season 3 )  ร่วมด้วย นักร้องประสานเสียงดุริยางค์ราชนาวี  ในวันอังคารที่ 27 และวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 เวลา 19.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย  

ในการนี้ จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย  โดยไม่หักค่าใช้จ่าย  สามารถร่วมบริจาคเงินโอนเงินผ่านบัญชี ธนาคารไทยธนชาติ บัญชีเลขที่  115 - 1 - 07541 -1 และ บัญชีธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี  662 - 3 - 43960 - 9  ชื่อบัญชี “กาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 49”  และ ส่งสำเนาใบโอนเงิน ไปที่ กรมการเงินทหารเรือ หมายเลขโทรสาร 024755557 หรือ LINE ID : FINN97531

ทั้งนี้ ผู้บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ จากสภากาชาดไทย และกองทัพเรือ  นอกจากนั้น ใบเสร็จรับเงิน ยังสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า (ดูรายละเอียดได้ที่ facebook fanpage  กองทัพเรือ royal thai navy และ กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ) หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมการเงินทหารเรือ โทร.  024755683

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีขายปันส่วนสัตว์น้ำ ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐ-พลเรือนร่วมทุจริตรวม 7 ราย

จากกรณีที่ผู้แทนสหภาพยุโรป ได้ดำเนินการประเมินมาตรการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานในภาคประมงของประเทศไทย และได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีตรวจพบเรือประมงซึ่งมีพฤติการณ์ในการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ไว้ได้นำเข้าปลาที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายมาจำหน่ายที่ประเทศไทย และถูกกรมศุลกากรตรวจยึดและดำเนินการขายปันส่วนเมื่อปี 2562 นั้น เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้รับทราบปัญหาดังกล่าวเพื่อดำเนินการตรวจสอบและแจ้งผลให้ทราบ

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่สืบสวนชุดเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในภาคประมง เข้าตรวจสอบการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวโดยละเอียด โดยให้ไล่ตรวจสอบตามลำดับเวลาการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนโดยละเอียด และทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็ว หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 

พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.62 กรมศุลกากรได้มีการตรวจยึดปลาแช่แข็งนำเข้าจำนวน 7 ตู้ ซึ่งนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ผ่านท่าเรือศุลกากรพระสมุทรเจดีย์ 1 ตู้ น้ำหนัก 26 ตัน และสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพจำนวน 6 ตู้ น้ำหนัก 147 ตัน โดยเป็นปลาที่ได้มาจากเรือประมงที่มีพฤติการณ์ต้องสงสัยในการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ซึ่งกรมศุลกากรได้สั่งให้ผู้นำเข้าปลาดังกล่าวมาดำเนินพิธีการขาเข้า แต่ทำไม่ได้เพราะผู้นำเข้าไม่สามารถขอใบอนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำจากกรมประมงได้ เนื่องจากปลาดังกล่าวได้มาจากเรือ WADANI 2 ซึ่งไปทำการประมงที่น่านน้ำประเทศโซมาเลีย แต่ทางรัฐบาลโซมาเลียไม่ยืนยันเอกสารรับรองแหล่งที่มาสัตว์น้ำดังกล่าว เนื่องจากเรือประมงลำดังกล่าวมีพฤติการณ์ในการชักธงเรือ 2 สัญชาติ ทำให้ต้องสงสัยว่าจะมีการทำประมงโดยผิดกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.62 กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการขายปันส่วนปลาแช่แข็งดังกล่าวไปทั้งหมด 

ต่อมาช่วงเดือน พ.ค.63 ก่อนการประชุมร่วมกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานในภาคประมงของประเทศไทย สหภาพยุโรปได้มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ปลาแช่แข็งซึ่งต้องสงสัยว่าได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย และได้ดำเนินการขายปันส่วนออกไปนั้น  ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ดังนั้น กรมประมงจึงได้สอบถามข้อมูลการดำเนินการจากกรมศุลกากร กรมศุลกากรจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการในการขายปันส่วน และสรุปผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.63 โดยเสนอให้มีการลงโทษ นายกีรติ หัวหน้าฝ่ายของกลางและของตกค้าง กรมศุลกากร กรณีผิดวินัยไม่ร้ายแรงจากการไม่ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการทำประมงและแรงงานในภาคประมง (อ.2) พิจารณา พร้อมรายชื่อผู้ซื้อปันส่วนจำนวน 98 ราย

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ม.ค.65 หลังจากคณะอนุกรรมการ อ.2 ได้ตรวจสอบตามรายงานที่ได้จากกรมศุลกากรแล้ว ได้มีการส่งประเด็นให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายชื่อผู้ซื้อปันส่วนทั้ง 98 รายและขั้นตอนการปันส่วน เนื่องจากพบว่า มีบางรายชื่อที่ถูกกล่าวอ้างแต่ไม่ได้มีการลงชื่อปันส่วนจริง กรมศุลกากรจึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง แต่การตรวจสอบในครั้งนี้กลับไม่นำเอาผลการตรวจพบรายชื่อที่ไม่ได้ลงชื่อปันส่วนมาตรวจสอบด้วย และเร่งสรุปผลกลับมายังคณะอนุกรรมการ อ.2 ในวันที่ 8 มิ.ย. 65 โดยเสนอให้มีการลงทัณฑ์ภาคทัณฑ์ นายกีรติฯ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ในขณะนั้น หลังได้รับทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในภาคประมง ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการสืบสวนพบว่า หลังจากที่กรมศุลกากรได้อนุมัติให้มีการขายปันส่วนปลาแช่แข็งทั้งหมด 7 ตู้นั้น ได้ดำเนินการขายปันส่วนตามขั้นตอนจริงจำนวน 1 ตู้ ซึ่งดำเนินการโดยด่านศุลกากรพระสมุทรเจดีย์ ในส่วนอีก 6 ตู้ ที่ถูกตรวจยึดที่สำนักศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ รวมน้ำหนัก 147 ตันนั้น ก่อนจะมีการเปิดตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขายปันส่วนปลาดังกล่าวในวันที่ 7 พ.ย.62 นั้น ได้มีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์กันหลายฝ่าย โดยได้มีวางแผนการถ่ายภาพจัดฉากให้เสมือนว่า มีการจำหน่ายปันส่วนจริงจำนวน 15 ตัน ให้กับนายบุญมา ผอ.ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯในขณะนั้น จำนวน 10 ตัน และนายกีรติฯ จำนวน 5 ตัน แต่กลับไม่มีการจ่ายเงินแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ในส่วนของปลาแช่แข็งที่เหลืออีก 132 ตันนั้น ได้มีการจัดหาผู้เหมาซื้อปลาแช่แข็งดังกล่าวเพียงรายเดียวคือ น.ส.ชญาภรณ์ เอเย่นรับซื้อขายปลา เพื่อจำหน่ายปลาให้แต่เพียงเจ้าเดียวทั้งหมด และได้จัดทำรายชื่อผู้ขอซื้อปันส่วนปลาจำนวน 98 รายขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบให้ครบกระบวนการ โดยน.ส.ชญาภรณ์ฯ ได้นำเงินมาชำระค่าปลาแช่แข็งเพื่อเข้าตามระบบจำนวน 1.859 ล้านบาท และมีการมอบเงินให้กับนายกีรติฯ ส่วนตัวอีก 871,000 บาท จากนั้นจึงรับปลาแช่แข็งดังกล่าวไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปจนหมด

นอกจากนี้ จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงที่มีการตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวของกรมศุลกากร พบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีพฤติการณ์เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือให้นายกีรติฯ รับโทษทางวินัยน้อยลงจากพฤติการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด นำเสนอผู้บังคับบัญชาทราบ และได้มอบหมายให้ชุดปฏิบัติการคณะทำงานฯ ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรที่เป็นผู้ตรวจสอบกรณีของนายกีรติฯ ที่ สน.ท่าเรือ แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมายซึ่งเป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรับผิดชอบคดีดังกล่าว โดยได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 7 ราย ประกอบด้วย

1. นายกีรติ หัวหน้าฝ่ายของกลางและของตกค้างฯ ทำหน้าที่หัวหน้าการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
2. น.ส.สุดารัตน์ กรรมการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
3. น.ส.ปานวาด กรรมการขายปันส่วนสัตว์น้ำ 
ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของงตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
4. น.ส.ชญากรณ์  เป็นผู้สนับสนุนการทุจริตขายปันส่วนโดยการเหมาซื้อโดยผิดขั้นตอน
5. นายบุญมา  ผอ.สง.ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯ/เป็นผู้รับซื้อปลาแต่ไม่ชำระเงินเข้าระบบ
ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของงตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และสนับสนุนการกระทำผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
6. นางนฤมล  นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมศุลกากร/ผู้ตรวจสอบนายกีรติฯ
7. นายรัฐกรณ์ นิติกร กรมศุลกากร/ผู้ตรวจสอบนายกีรติฯ
ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ทางสหภาพยุโรปให้ความสนใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการดำเนินการจัดการบังคับใช้กฎหมายในคดีดังกล่าว เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำที่มาจากเรือประมงต้องสงสัยที่มีพฤติการณ์ชักธงเรือ 2 สัญชาติ นับเป็นการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ดังนั้นทางการสหภาพยุโรปจึงให้ความสนใจกับการดำเนินการของประเทศไทยในกรณีดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างละเอียดจนพบว่า การขายปันส่วนสัตว์น้ำดำเนินการโดยทุจริตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาภายหลังแม้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าว ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากกรรมการเพื่อมิให้นำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา ดังนั้นเมื่อตรวจพบการกระทำผิดดังกล่าว จึงให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยเด็ดขาด เพื่อให้เป็นมาตรฐานในการดำเนินคดีลักษณะดังกล่าว และส่งสัญญาณให้นานาชาติเห็นว่า ประเทศไทยไม่สนับสนุนการทำประมงผิดกฎหมายในทุกกรณี และขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน หากมีเบาะแสหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทุจริตในคดีนี้ สามารถแจ้งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ผ่านหมายเลข 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติปิดโครงการห้องแล็บทางกฎหมาย (Special Law LAB) รุ่นที่ 2 พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่นิสิตที่ร่วมโครงการ พอใจผลสำเร็จของโครงการ นักศึกษากฏหมายรุ่นใหม่ตั้งใจเรียนรู้งานตำรวจเป็นอย่างดี 

วันนี้ (15 มิ.ย. 66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผูับัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีปิดโครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law Lab) รุ่นที่ 2 “Young Lawyers-Police Engagement (YLPE) Project (Law Chula and Royal Thai Police Season 2) ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ,พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.ทวีศิลป์  เวชวิทารณ์ นายแพทย์ (สบ8) โรงพยาบาลตำรวจ , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. , พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 , ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวริชย์ คณะบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณาจารย์ และนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1-4 ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 24 คน เข้าร่วมพิธี 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กล่าวปาฐกถา และมอบประกาศนียบัตรให้กับนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ ฯ โดยมีการรายงานผลการเรียนรู้และสะท้อนผลการดำเนินโครงการโดยครูพี่เลี้ยงซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) , สน.ลุมพินี , สน.พญาไท , สน.ห้วยขวาง และ สน.พระโขนง และมีการเสวนาประเมิน สรุปผลการดำเนินโครงการ โดย โฆษก ตร., รอง ผบช.น., คณะครูพี่เลี้ยง, คณะบดีฯ, คณาจารย์ และนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law Lab) นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้นเพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงในพื้นที่ ตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม การตรวจค้น การจับกุม การสอบสวนปากคำ ฯลฯ ได้รับทราบ เรียนรู้ ทำความเข้าใจข้อกฎหมายนำไปสู่การปฏิบัติ โดยลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปราม จราจร พื้นที่ สน.ห้วยขวาง ลุมพินี พญาไท พระโขนง และกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนศึกษาดูงานศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี, กองบัญชาการตำรวจนครบาล , สำนักงานนิติเวชวิทยา , สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.), กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, ยุทธวิธีและการยิงปืนขั้นพื้นฐาน การรับแจ้งเหตุและการควบคุม สั่งการด้านการจราจร เป็นต้น

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law LAB) รุ่นที่ 2 ประสบความสำเร็จด้วยดี นิสิตที่เข้าร่วมโครงการให้ความสนใจเรียนรู้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ถือเป็นหนึ่งผลสำเร็จที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติภาคภูมิใจ  พร้อมขอบคุณทีมงาน บช.น. ,สพฐ.ตร., โรงพยาบาลตำรวจ และคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้นิสิตมีความความเข้าใจในการทำงานของตำรวจจากประสบการณ์ตรงที่ได้ศึกษาดูงานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งจะสามารถนำไปต่อยอดการทำงานในอนาคตได้ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะขยายต่อยอดการฝึกอบรมดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดอื่น หรือมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่สนใจ อันจะเป็นการแสวงหาความร่วมมือ ความเข้าใจให้กับนักกฎหมายรุ่นใหม่ต่อไป

“อลงกรณ์” ยกบนเพลงกราวกีฬาเตือนสติสังคมไทยรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยใจนักกีฬาพร้อมเขียนคำคม”จงต่อสู้เพื่อชัยชนะ แต่อย่าต่อสู้กับชัยชนะ

ในขณะที่สถานการณ์การเมืองกำลังร้อนแรงหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่
วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีอดีตส.ส.หลายสมัยและรักษาการรองหัวหน้าพรรคเขียนเฟสบุ๊คเรื่อง”สปิริตนักกีฬา Sportsmanship 

สปิริตกีฬา Spirit of sports”โดยนำเนื้อร้องและคลิปเพลงกราวกีฬามานำเสนอเพื่อเตือนสติสังคมไทย
ต่อเนื่องจากที่เขียนในเฟสบุ๊คก่อนหน้านี้เรื่อง สปิริตประชาธิปไตย Spirit of Democracyมีผู้เห็นด้วยอย่างมากต่อจุดยืนและแนวคิดในเรื่องดังกล่าว โดยมีข้อความดังนี้

“จงต่อสู้เพื่ออนาคต
แต่อย่าต่อสู้กับอนาคต

จงต่อสู้เพื่อชัยชนะ
แต่อย่าต่อสู้กับชัยชนะ

จงต่อสู้กับความพ่ายแพ้
แต่อย่าต่อสู้เพื่อความพ่ายแพ้

การต่อสู้มีแพ้มีชนะ
ฟังเพลงกราวกีฬา
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยใจนักกีฬา

https://youtu.be/FLZQdgl5190

https://youtu.be/DhpXDosQbRg
“…. ..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง….

..ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว….”

เนื้อเพลง กราวกีฬา โดยเจ้าพระธรรมศักดิ์มนตรี
เพลงเก่ากว่า100ปีของเก่าดีๆควรรักษาไว้และใช้ประโยชน์จากสปิริตนักกีฬา สปิริตกีฬา

“พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.

( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่นกีฬาสากล
ตะละล้า ) กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า ).”
อลงกรณ์ พลบุตร
15 มิถุนายน 2566


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top