Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘พ่อน้องเตย’ เผย เหตุไม่ได้ส่งเสียลูก เพราะรายได้ไม่พอ ยืนยันไม่เคยทิ้งลูก ลั่น!! ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเงินบริจาค

‘พ่อน้องเตย’ เปิดใจ!! เหตุที่ไม่ได้ส่งเงินไปให้ เพราะรายได้ไม่พอ ดีใจลูกได้รับการช่วยเหลือ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเงินบริจาค เตรียมกลับไปหาลูกสาววันหยุดยาว เดือน ส.ค.

จากกรณี ‘น้องเตย’ เด็กหญิง วัย 4 ขวบ ชั้นอนุบาล 2 ดูแลนางเสา จินดาศรี อายุ 68 ปี ย่าที่พิการตาบอดทั้งสองข้างตามลำพัง หลังเป็นข่าวออกไป มีธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยเหลือ ยอดเงินบริจาคทะลุล้าน รองผู้ว่าฯ รุดช่วย รวมถึงพิธีกรดังอย่าง ‘นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ประกาศขอส่งเสียน้องจนจบปริญญาเอก นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานเตรียมซ่อมแซมบ้านให้ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 14 มิ.ย. 66 นายศักดิ์สยาม (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี พ่อของน้องเตย อายุ 4 ขวบ ได้ให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันตนทำงานอยู่ในบริษัทผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่ง ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง โดยแม่ของน้องเตยก็ทำงานและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน กรณีที่เสนอข่าวออกไปว่า ตนไม่เคยกลับไปเยี่ยมลูกสาวและแม่เลย ซึ่งความจริงแล้ว ตนและแม่ของน้องเตย เพิ่งเดินทางกลับไปหาน้องเตย ในช่วงเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

ส่วนเรื่องการส่งเงิน ตนยอมรับว่า ไม่ได้ส่งเงินไปช่วยเหลือเลย เพราะมีภาระทั้งค่าผ่อนรถ ค่าเช่าบ้าน จึงไม่พอต่อการส่งไปช่วยเหลือ แต่ก็เตรียมจะส่งเงินไปช่วยเหลือในเดือน ต.ค.นี้ หลังผ่อนรถหมดแล้ว และเตรียมเดินทางกลับไปเยี่ยมน้องเตยกับแม่ในเดือน ส.ค.นี้ ในช่วงวันแม่ เพราะเป็นวันหยุดยาว ที่ผ่านมาแม่ของตนจะมีเงินช่วยเหลือจากภาครัฐไว้ใช้จ่ายกัน 2 คน เป็นรายได้ทางเดียว

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ตนมีลูก 2 คน อีกคนให้ยายเป็นคนเลี้ยง ส่วนน้องเตยให้ย่าเป็นคนช่วยเลี้ยงตั้งแต่อายุ 8 เดือน จนถึงปัจจุบัน เพราะตนและภรรยาต้องเดินทางมาทำงานที่ จ.ระยอง ดีใจที่ลูกสาวได้รับความช่วยเหลือ พร้อมทั้งขอขอบคุณ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ที่เสนอตัวขอเป็นคนออกค่าใช้จ่าย ส่งน้องเตยเรียนเท่าที่เรียนไหว รวมถึงขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การช่วยเหลือลูกสาวและแม่

“ผมกับภรรยาขอสัญญาว่า จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับยอดเงินบริจาคทั้งหมด แค่เห็นแม่และลูกสาวมีคนช่วยเหลือ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว โดยเฉพาะน้องเตยที่จะได้เรียนสูงๆ ส่วนผมเองกับภรรยาก็จะขอทำงานอยู่ที่จ.ระยองต่อไป จึงวอนขอให้สังคมเข้าใจด้วย เพราะรายได้ไม่เพียงพอ จึงทำให้ไม่สามารถส่งเงินไปให้น้องเตยและแม่ได้ ผมและภรรยา ก็เหมือนกับพ่อแม่ทุกคน ที่ต้องรักลูกและเป็นห่วงลูกอยู่แล้ว แต่ด้วยความยากจน เงินเดือนที่ได้ก็แค่มีใช้เพียงเดือนชนเดือนเท่านั้น จึงขอให้สังคมเข้าใจด้วย” พ่อน้องเตย กล่าว

‘Dogen City’ เมืองลอยน้ำทนทานต่อ Climate Change รองรับคนได้มากถึง 1 หมื่นคน คาด!! เปิดใช้งานปี 2030

‘เมืองลอยน้ำ’ หรือ ‘Dogen City’ ของบริษัทสตาร์ตอัปญี่ปุ่นที่มีคอนเซ็ปต์ ‘Floating sustainable city’ เพื่อรองรับ Climate Change สึนามิ และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่งเมืองนี้สามารถรับผู้อยู่อาศัยได้ประมาณ 10,000 คน แถมยังสามารรับนักท่องเที่ยวได้นับหมื่นคนอีกด้วย

‘Dogen City’ หรือ ‘เมืองลอยน้ำ’ เป็นแบบเมืองในอนาคตอันใกล้ที่ออกแบบโดยบริษัทสตาร์ตอัปด้านสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่น ชื่อ ‘N-ARK’ ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบให้คำปรึกษาอสังหริมทรัพย์ของญี่ปุ่น ได้เปิดภาพแบบเมืองลอยน้ำ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันสึนามิและทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รายละเอียดคร่าวๆ ของเมืองลอยน้ำนี้มีขนาดเส้นรอบวง 4 กิโลเมตร รองรับผู้อยู่อาศัยได้ประมาณ 10,000 คน และรับนักท่องเที่ยวได้อีกนับหมื่นคน Dogen City มีรูปร่างทรงกลมออกแบบมาให้ทนทานกับ Climate Change ได้มากขึ้น

เมืองลอยน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีทั้งพื้นที่ผลิตอาหาร โรงพยาบาล โรงเรียน สนามกีฬา สำนักงาน สวนสาธารณะ และโรงแรม ฯลฯ

เท่านั้นยังไม่พอบริษัท N-ARK ยังวางแผนออกแบบให้เมืองลอยน้ำ Dogen City เป็นสถานที่ปล่อยและจอดจรวด และการบริการด้านสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง เช่น ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์

นอกจากนี้ เมืองลอยน้ำยังเป็นมิตรกับโลกด้วยการใช้ food waste หรือขยะอาหารประมาณ 7,000 ตัน นำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ Dogen City ผู้ออกแบบได้ทำการคำนวณน้ำที่จะใช้ประมาณ 2 ล้านลิตร/ปี และการกำจัดขยะ 3,288 ตัน/ปี

ส่วนการก่อสร้างเมืองลอยน้ำนี้จะเริ่มดำเนินการเมื่อไร ยังไม่มีรายละเอียดเปิดเผยมากนัก แต่มีการคาดการณ์ตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 จะเปิดใช้งาน
 

บก.สส.สตม. รวบสมุนแก๊งคลองหาด ลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้าไทย

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมนายธันยพงศ์ (นามสมติ) อายุ 27 ปี และนายสุเทพ   (นามสมมติ) อายุ 44 ปี  สัญชาติไทย ในข้อหา ช่วยเหลือซ่อนเร้นด้วยประการใดให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง พ้นการจับกุม จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 19 คน ยึดรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด 3 คัน นำส่ง สภ.เขาหินซ้อน ดำเนินการตามกฎหมาย

พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม. ได้สืบสวนหาข่าว และขยายผลการกระทำผิดของขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวกัมพูชา ลักลอบเข้าเมืองในพื้นที่ชายแดนด้านตะวันออกของประเทศไทย จังหวัดสระแก้ว ฉะเชิงเทรา

พบขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวเรียกว่า แก๊งคลองหาด มีพฤติการณ์ลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศโดยมีการนำแรงงานต่างด้าวเดินเท้าข้ามชายแดน พาขึ้นรถจากป่าติดชายแดน เอาตัวมาหลบซ่อนไว้ในพื้นที่ชั้นในบริเวณ อ.พนมสารคาม จากนั้นจะมีรถมารับแรงงานจากจุดซ่อนตัวเข้าไปส่งที่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี หรือระยอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ลงพื้นที่สืบสวนเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณจุดซ่อนตัวแรงงานต่างด้าว

จนกระทั่งเวลาประมาณ 02.30 น. ของวันที่ 12 มิถุนายน 2566 พบรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว  รถยนต์เชฟโรเลต สีเทา และรถยนต์โตโยต้า รีโว่ สีขาว ขับเข้ามารับแรงงานต่างด้าว ขณะรับแรงงานต่างด้าวขึ้นรถเสร็จ กำลังจะขับออกจากชายป่า เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม พบแรงงานต่างด้าวจำนวน 19 คน

และพบตัวนายธันยพงศ์ฯ และนายสุเทพฯ เป็นคนขับรถ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปยัง สภ.เขาหินซ้อน นายธันยพงศ์ฯ และนายสุเทพฯ ให้การรับว่าทำมาแล้วหลายครั้ง ได้ค่าจ้างขับรถประมาณ 1,500 บาทต่อแรงงานหนึ่งคน ส่วนแรงงานต่างด้าวให้การว่าต้องจ่ายทั้งหมดคนละประมาณ 5,000 - 8,000 บาท
 

บก.สส.สตม. จับจีนใช้วีซ่านักท่องเที่ยวลักลอบทำงาน

ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งการให้กองบังคับการในสังกัด ออกสืบสวนตรวจสอบจับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และเข้ามาลักลอบทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จากการสืบสวนของ กองกำกับการ 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ทราบว่า  มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใน ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี จว.ปราจีนบุรี จะมีคนต่างด้าวสัญชาติจีนเข้ามาทำงานภายในโครงการจำนวนหลายสิบคน จึงได้ประสานงานกับ ตม.จว. ปราจีนบุรี และ สภ.วังตะเคียน จว.ปราจีนบุรี ร่วมกันไปตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบคนจีนทำงานอยู่ภายในสถานที่ก่อสร้างดังกล่าว จำนวน 35 คน จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางและข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

ตม.พบว่า คนจีนดังกล่าวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยด้วยวีซ่า นักท่องเที่ยว จำนวน 32 คน วีซ่าคนอยู่ชั่วคราว 2 คน และ    คนประจำพาหนะ จำนวน 1 คน และพบว่าอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) จำนวน 2 คน โดยทั้ง 35 คน ไม่มีใบอนุญาตทำงาน จึงแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.วังตะเคียน     จว.ปราจีนบุรี ดำเนินคดี ดังนี้

1. ข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จำนวน 33 คน
2. ข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน 2 คน

นอกจากนี้ ยังได้จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 9 คน ดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

และได้เปรียบเทียบปรับเจ้าบ้านในข้อหา เจ้าบ้าน เจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถานซึ่งรับคน   ต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัย ไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่คนต่างด้าวเข้าพักอาศัย จำนวน 3 ราย
เปรียบเทียบปรับคนต่างด้าวในข้อหา คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเกินเก้าสิบวัน ไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบถึงที่พักอาศัยของตนโดยมิชักช้าเมื่อครบระยะเก้าสิบวัน จำนวน 1 คน
 

บก.สส.สตม. เปิดปฏิบัติการยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย ครั้งที่ 2

บก.สส.สตม. เปิดปฏิบัติการยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย ครั้งที่ 2

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาดำเนินการกรณีเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย แจ้งข้อมูลผู้ต้องหาตามหมายจับของ สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 9 ราย ซึ่งได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และมีความประสงค์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการจับกุมและส่งผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย กลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคน     เข้าเมือง นำข้อมูลคนต่างด้าวทั้ง 9 ราย ไปตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. จากการตรวจสอบพบข้อมูลว่า มีผู้ต้องหาเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จำนวน 7 ราย การอนุญาตสิ้นสุดแล้ว (OVERSTAY) จำนวน 2 ราย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของคนต่างด้าวที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จำนวน 7 ราย และได้เปิดปฏิบัติการ ยุทธการกวาดล้าง มังกรซ่อนกาย ครั้งที่ 2/2566 ขึ้น ผลการปฏิบัติได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 9 ราย ดังนี้

1. ข้อหาฉ้อโกง จำนวน 3 ราย ได้แก่
1.1 นายเกาชิง (นามสมมติ) อายุ 48 จีน สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
1.2 นายเจียนกุน (นามสมมติ) อายุ 48 จีน สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
1.3 นางยงหง (นามสมมติ) อายุ 41 จีน สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร

โดยทั้ง 3 คน มีพฤติการณ์กระทำผิดคือ ได้ร่วมกันกับพวกพัฒนาเว็บไซต์เอซีอี เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์หุ้น "ACE King" โดยอ้างว่าเป็นหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสูง และดึงดูดสมาชิกให้เข้าร่วมลงทุน รวมทั้ง ทำโปรโมชั่นต่าง ๆ จนมีสมาชิกกว่า 250,000 บัญชี จนมีผู้หลงเชื่อเข้าร่วมลงทุนซื้อหุ้น "ACE King" ในราคาที่ สูงกว่าราคาตลาดมาก

สร้างความเสียหายมูลค่ารวม 2.3 พันล้านหยวน (ประมาณ 11,500 ล้านบาท)

2. ข้อหาฉ้อโกงสัญญา จำนวน 2 คน ได้แก่
2.1 นายเหลียง (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
2.2 นายลิห่าว (นามสมมติ) อายุ 34 ปี สัญชาติจีน ถูกจับกุมในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยทั้ง 2 คน มีพฤติการณ์กระทำผิดคือ ในระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2565 ผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ใช้บริษัทแห่งหนึ่ง หลอกลวงผู้เสียหายให้ทำสัญญาซื้อขายเหล้า Maotai โดยผู้เสียหายได้จ่ายเงินซื้อเหล้า Maotai เป็นจำนวนเงิน 6.75 ล้านหยวน (ประมาณ 33.7 ล้านบาท) ตามที่ตกลงไว้ในสัญญา แต่ผู้ต้องหาไม่มีเหล้า Maotai และไม่ได้ส่งมอบสินค้าให้กับผู้เสียหาย

3. ข้อหาฟอกเงิน จำนวน 2 คน ได้แก่

3.1 นายเหว่ย (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พฤติการณ์กระทำผิด คือ นายเหว่ยได้นำเงินที่ได้จากการทำผิดกฎหมายมาซื้อทองคำหลายครั้ง เพื่อปกปิดการกระทำผิดและฟอกเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย
3.2 นายกัง (นามสมมติ) อายุ 28 ปี สัญชาติจีน ถูกจับกุมในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย พฤติการณ์กระทำผิด คือ นายกังได้ทรัพย์สินมาจากการฉ้อโกงคนอื่น ต่อมาช่วงเดือน ธันวาคม 2564 ได้นำทรัพย์สินที่ได้จากการฉ้อโกงไปเข้าบัญชีธนาคารของผู้อื่นและโอนซื้อสินค้าต่าง ๆ เพื่อฟอกเงิน
4. ข้อหาใช้อำนาจหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว จำนวน 1 คน ได้แก่ นายต้าลิน (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พฤติการณ์กระทำผิด คือ ตั้งแต่ปี 2564 - 2565 นายต้าลิน ได้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของเขา ในฐานะหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อและการตลาดของร้านขายของชำใน Carrefour (China) Management  Co., LTD. ฉ้อโกงทรัพย์สินของบริษัทกว่า 15 ล้านหยวน (ประมาณ 75 ล้านบาท)
5. ข้อหาดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย จำนวน 1 คน ได้แก่ นายจงเหว่ย (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พฤติการณ์กระทำผิด คือ นายจงเหว่ยสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นเพื่อแสวงหากำไรที่ผิดกฎหมายและโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐ โดยได้พัฒนาและสร้างแพลตฟอร์มการชำระเงิน Oneda Pay เพื่อให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 280 ล้านหยวน (ประมาณ 1,400 ล้านบาท)

จากนั้น ได้นำตัวคนต่างด้าวที่ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราอาณาจักร จำนวน 7 ราย ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อรอผลักดันส่งกลับออกนอกราชอาณาจักรไทย ส่วนคนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) ได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ประชาชนต้องรับรู้ เคาะ!! ทุก ‘บล.’ ต้องเผย ‘ข้อมูล-งบการเงิน’ ผ่านทุกช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ 16 มิ.ย.นี้

📌เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 66 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ.9/2566 เรื่อง หลักเกณฑ์และระยะเวลาในการประกาศ รายการและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหลักทรัพย์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.2566

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 108 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 สำนักงานออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 4/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์และระยะเวลาในการประกาศรายการและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหลักทรัพย์ ลงวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2544 

ข้อ 2 ให้บริษัทหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลโดยวิธีการที่กำหนดดังต่อไปนี้ ในลักษณะที่พร้อมให้สำนักงานหรือประชาชนเรียกดูหรือตรวจสอบได้โดยพลัน ณ สำนักงานทุกแห่งของบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้ติดต่อกับประชาชน ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต้องถูกต้องครบถ้วน ชัดเจน เป็นปัจจุบัน และตรงต่อความเป็นจริง

(1) ใบอนุญาต สำเนาใบอนุญาต หรือเอกสารหลักฐานที่แสดงถึงสถานะการได้รับใบอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของสำนักงาน โดยปิดประกาศหรือแสดงผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือช่องทางอื่นใดที่สามารถเชื่อมโยงหรือเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นต้น 

(2) งบการเงินและรายงานของผู้สอบบัญชี พร้อมหมายเหตุประกอบงบการเงินของงวดการบัญชีหลังสุด โดยปิดประกาศหรือแสดงข้อมูลบนหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งติดตั้งไว้ที่บริษัทหลักทรัพย์

ข้อ 3 ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ต้องเปิดเผยตามข้อ 2 ให้บริษัทหลักทรัพย์ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลนั้นให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นปัจจุบัน และตรงต่อความเป็นจริงโดยพลัน

ข้อ 41 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566
นายธวัชชัย พิทยโสภณ
รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
 

‘ดีอีเอส’ – ‘ดีป้า’ แถลงผลสำเร็จโครงการ The Smart City Ambassadors รุ่นที่ 2 สร้าง 'นักดิจิทัลพัฒนาเมือง' เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

(วันนี้) 14 มิ.ย. 66 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ดีป้า โดย สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย พร้อมเครือข่ายพันธมิตร ร่วมประกาศผลสำเร็จจากโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 ยกระดับทักษะดิจิทัลและทักษะสำคัญในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ

และเตรียมความพร้อมเยาวชนคนรุ่นใหม่สู่การเป็น 'นักดิจิทัลพัฒนาเมือง' ก่อนนำองค์ความรู้ที่ได้มาพัฒนาเป็นระบบบริการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาของเมืองในแง่มุมต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุดและเป็นรูปธรรม เผยช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาแผน Smart City มากกว่า 120 พื้นที่ทั่วประเทศ โดยประเมินว่าจะสามารถสร้างมูลค่าการลงทุนตามแผนฯ ได้กว่า 66,000 ล้านบาท

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่นักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ กัปตันเมืองท้องถิ่น และผู้นำเมืองร่วมขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ ผลสำเร็จจาก "โครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2" (The Smart City Ambassadors 2 (SCA#2)) โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า คณะผู้บริหาร ผู้นำเมือง และหน่วยงานพันธมิตรร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า โครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่เป็นสิ่งที่ภาครัฐดำเนินการผลักดันมาอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกการพัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้คนในพื้นที่สามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์การดำเนินชีวิต พร้อมยกระดับบริการจากหน่วยงานท้องถิ่นผ่านโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างเป็นรูปธรรม

"โครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ กัปตันเมือง และผู้นำเมืองได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตนเองด้วยความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ได้รับ อีกทั้งช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในระดับภูมิภาคให้เกิดขึ้น เพื่อกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในทุกระดับ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

ขณะที่ ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า โครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ 446 คน จาก 170 หน่วยงาน 57 จังหวัดทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับการยกระดับทักษะดิจิทัลและทักษะสำคัญในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจากวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมเยาวชนคนรุ่นใหม่เพื่อก้าวสู่การเป็น 'นักดิจิทัลพัฒนาเมือง' ก่อนนำองค์ความรู้ที่ได้มาพัฒนาเป็นระบบบริการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาของเมืองในแง่มุมต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุดและเป็นรูปธรรม

"โครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 ยังสามารถขับเคลื่อนให้เกิดแผน Smart City ใหม่ 126 พื้นที่ โดยได้รับการประกาศเป็นเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะเพิ่มขึ้นกว่า 50 พื้นที่ ประเมินมูลค่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้นตามแผนฯ กว่า 66,000 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงการนำร่องต่อยอดระบบบริการเมืองอัจฉริยะและเป็นนวัตกรรมต้นแบบการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่มากกว่า 10 พื้นที่ สามารถส่งต่อความรู้ความเข้าใจเรื่องการพัฒนาเมืองแก่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานที่ร่วมโครงการฯ จำนวน 5,813 คน อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้เรื่องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะแก่ประชาชนในพื้นที่กว่า 10,000 คน ซึ่งถือเป็นการสร้างระบบนิเวศที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ และนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ต่อไป" ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ประชาชนต้องรับรู้ เคาะ!! ทุก ‘บล.’ ต้องเผย ‘ข้อมูล-งบการเงิน’ ผ่านทุกช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ 16 มิ.ย.นี้

ถึงเวลาโกยกำไร!! เมื่อยักษ์ใหญ่ด้าน Tech Company ในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม พร้อมใจลดแคมเปญการตลาด แต่หันไปโฟกัสที่การสร้างรายได้มากขึ้น ส่งผลให้หลายบริษัทเริ่มเห็นผลกำไรเป็นบวกหลังติดลบมานานนับ 10 ปี นำโดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง ‘Lazada’ ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่พลิกทำกำไรได้เมื่อปี 2564 โดยมีกำไรสุทธิ 226 ล้านบาท 

จากนั้น ในปี 2565 Shopee และ Grab สามารถพลิกฟื้นจากที่มีตัวเลขผลประกอบการขาดทุน กลับมาทำกำไรได้เป็นครั้งแรกเช่นกัน 

ในขณะที่ Robinhood แพลตฟอร์มสัญชาติไทย ในเครือ SCB X แม้จะมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องมาตลอด 3 ปี แต่ทางบริษัทมั่นใจว่า จะพลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2568 
 

ตำรวจไซเบอร์ รวบตำรวจเก๊หลอกเอาเงินหมอ

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 66 แพทย์หญิงจากโรงพยาบาลในจังหวัดกำแพงเพชร ได้มาแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกำแพงเพชร ว่าได้มีโทรศัพท์แอบอ้างว่าเป็นตำรวจ สภ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย แจ้งว่า ตนเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินยาเสพติด อีกทั้งมีการพูดจาโน้มน้าวจนแพทย์หญิงคนดังกล่าวหลงเชื่อ และโอนเงินไปเพื่อตรวจสอบบัญชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ตามที่คนร้ายกล่าวอ้าง โดยโอนไปยังหมายเลขบัญชี ธนาคารออมสิน ชื่อบัญชี นางสาวกัลญาณี ซึ่งได้โอนไปทั้งหมด จำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วเป็นยอดเงินจำนวน 819,100 บาท หลังจากตนได้โอนเงินไปแล้วมาทราบทีหลังว่าถูกหลอก จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

กระทั่งวันที่ 14 มิ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.๒ บก.สอท.๔ นำโดย พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์ พร้อมชุดสืบสวนนำกำลังเข้าจับกุม นางสาวกัลญาณี อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดมหาสารคาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกำแพงเพชร ในความผิดฐาน “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน” โดยจับกุมได้ที่ถนนสาธารณะ หน้าร้านอู๋แซ่บเวอร์ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

เบื้องต้น ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าตนเองได้เปิดบัญชีธนาคารออมสิน ที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด มาประมาณ 8 ปี แล้ว และเมื่อเดือน พ.ค.66 ที่ผ่านมาตนตกงาน และได้ค้นหาแอปกู้เงินออนไลน์ และได้พบแอปหนึ่งซึ่งมีหน้าโปรไฟล์เป็นรูปโลโก้ของธนาคารหนึ่ง ตนเองหลงเชื่อว่าเป็นแอปของธนาคารจริง จึงได้ทำการติดต่อไปเพื่อขอกู้เงินและเจ้าของแอปดังกล่าวก็ได้ให้ตนทำตามขั้นตอนต่าง ๆ เช่นการ แสกนใบหน้า ส่งรูปบัตรประจำตัวประชาชนหน้าหลังและให้ตนส่งหมายเลขบัญชีให้ หลังจากที่ทำรายการเสร็จแอปดังกล่าวแจ้งว่ารอการอนุมัติเงินกู้จากธนาคารจากนั้นไม่นานตนได้รับแจ้งธนาคารว่ามีเงินว่าได้มีเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนแบบผิดปกติให้ตนตรวจสอบหลังจากที่ตนเองตรวจสอบพบว่ามีเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของเป็นเงินเกือบ 2 ล้านกว่าบาท และได้มีการกดเงินออกจากบัญชีของตนเช่นกัน โดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนทำธุระกรรมดังกล่าวเลย และหลังจากนั้นก็มีเงินเข้ามาในบัญชีดังกล่าวของตนเรื่อยมา จนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งกับธนาคารเพื่อทำการอายัติบัญชีของตน จากการตรวจสอบบัญชีทราบว่าตอนนี้มียอดเงินที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งอายัติกับธนาคารไว้เป็นเงินในบัญชีกว่า 2 ล้านบาท

เตือนภัย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อการโทรมาหลอกว่าว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่างๆ อาทิเช่น ตำรวจ ศาล อัยการ สรรพกร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ธนาคารต่างๆ เป็นต้น ว่าตนเองได้มีการกระทำความผิดกฎหมายต่างๆ และให้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ ซึ่งตอนนี้มีแก็งมิจฉาชีพจำนวนมากซึ่งคอยหาวิธีการต่างๆเพื่อมาหลอกลวงพี่น้องประชาชน ก่อนที่จะโอนเงิน หรือทำธุระกรรมต่างๆ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน เพื่อที่จะไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของแก็งมิจฉาชีพต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.วิวัฒน์ 
คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พ.ต.อ.อนุชา  ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4,พ.ต.ท.วีระพล กันธวงศ์ สั่งการ พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์  สว.กก.2 บก.สอท.4 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘นิพนธ์’ ควง ‘สรรเพชญ’ ร่วมพิธีสถาปนา สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  ย้ำจุดยืน เชื้อชาติไหนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มุ่งเน้นทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  พร้อมด้วยนายสรรเพชญ บุญญามณี ว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 สงขลา ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมฯ ร่วมในพิธีสถาปนากรรมการบริหารสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา ปีบริหาร 2566-2568  มี นายไพโรจน์ สุวรรณจินดา นายกสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา สมัยที่ 15  นายอนุสรณ์ โค่ยสัตยา รองนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมฯฮกเกี้ยนสงขลา ประจำปีบริหาร 2566-2568 ร่วมให้การต้อนรับ  ณ โรงแรมกรีนเวิล์ด พาเลช สงขลา

ทั้งนี้สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา ได้จัดให้มีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ในการประชุมใหญ่สามัญสมาชิกฯ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 โดยนายไพโรจน์ สุวรรณจินดา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสมาคมฯคนใหม่ เป็นสมัยที่ 15 พร้อมกับการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารของสมาคม ประจำปีบริหาร 2566-2568  ทางสมาคมฮกเกี้ยนสงขลาจึงได้จัดให้มีพิธีสถาปนาสมาคมฯขึ้น เพื่อเป็นเกียรติและแสดงความยินดีกับคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของสมาคมฯ พร้อมกับการมอบตราตั้งของสมาคมฯจากนาย คณธร รัตนปราการ นายกสมาคมฮกเกี้ยนสมัยที่ 14  

โดยได้รับเกียรติจาก นางอู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา นายดนัยธร จารุพฤกษ์พันธุ์ ประธานห้าสมาคมจีนสงขลาพร้อมคณะกรรมการสมาคมฯ นายสุรพล กำพลานนท์วัฒน์ ประธานเขตพื้นที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย   และแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธีสถาปนาสมาคมฯและแสดงความยินดีกับคณะกรรมการสมาคมฮกเกี้ยน ประจำปีบริหาร 2566-2568 

นายนิพนธ์กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ คุณคณธร รัตนปราการ  นายกสมาคมฮกเกี้ยนที่ได้ทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง และส่งมอบภารกิจของสมาคมฮกเกี้ยนให้กับท่านนายกคนที่ 15 ในวันนี้ ผมจึงถือโอกาสนี้ขอแสดงความยินดีกับท่านไพโรจน์ สุวรรณจินดา และแสดงความยินดีกับคณะกรรมการสมาคมฮกเกี้ยนทุกท่านที่ได้เสียสละ เข้ามาแบกรับภารกิจของสมาคม สิ่งหนึ่งที่พวกเราควรรักษาเอาไว้นั่นคือความรักความสามัคคีในหมู่คนไทยเชื้อสายจีนทุกตระกูลแซ่ ที่เราถือว่าเมื่อเรามาอยู่ในประเทศไทยและได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของพวกเรา จากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงรุ่นของพวกเรา แต่สิ่งหนึ่งที่สอนเรา นั่นคือความรักความสามัคคีช่วยเหลือกัน ผมอยากเห็นบรรยากาศอย่างนี้อยู่คู่กับเมืองสงขลา  หรือแม้แต่อยู่คู่ชาวหาดใหญ่ ซึ่งผมไม่อยากแบ่งสงขลาหรือหาดใหญ่ แต่อยากบอกว่าพวกเราสงขลาทั้งหมดอยากให้มีความรักความสามัคคีกัน และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม อยากเห็นพวกเราร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนพัฒนาชุมชนที่พวกเราอยู่อาศัย 

วันนี้จึงดีใจที่เห็นสมาคมฮกเกี้ยนเป็นปึกแผ่น และร่วมมือร่วมในกันที่จะพัฒนาสมาคม นำสมาคมไปสู่การทำกิจกรรมเพื่อสาธารณกุศลต่างๆในวันข้างหน้า ช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือสมาชิกด้วยกันด้วยความผูกพันในความรักความสามัคคี 

ซึ่งท่านกงสุลใหญ่ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน  ท่านได้พูดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ผมคิดว่าความสัมพันธ์อันนี้เรามีทุกระดับ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งว่า กรมสมเด็จพระเทพฯท่านได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนครบครั้งที่ 50 นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ตั้งแต่ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับราชวงศ์มาถึงระดัยฝ่ายบริหารต่างๆมีความใกล้ชิดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 

ผมจึงขอถือโอกาสนี้ให้กำลังใจทุกภาคส่วนในการที่จะช่วยกันสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน ดั่งที่พวกเราพูดกันว่าไทยจีนมิใช่อื่นไกล เราพี่น้องกัน จึงอยากให้พวกเรายึดถือสิ่งเหล่านี้ แล้วรำลึกภึงบรรพบุรุษเรามาอยู่ที่นี่ด้วยความยากลำบาก และเราผ่านพ้นวิกฤตทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นด้วยความผูกพันของพวกเรา ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่และใช้ในการสร้างสานสัมพันธ์ทุกตระกูล แซ่เข้าด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top