Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

วงเสวนา ย้ำ 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยลดผลกระทบทางสังคม ยกงานวิจัยเปรียบเทียบก่อนและหลังบังคับใช้กฎหมาย นักดื่มลดลง 2% เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยให้แก้กฎหมายเรื่องตราเสมือน ห้ามใช้สัญลักษณ์เดียวกัน

ส่วนการให้โฆษณาได้ยังเห็นต่าง หวั่นส่งผลให้คนดื่มมากขึ้น สื่อมวลชนเสนอห้ามข้าราชการเกษียณที่ทำงานด้านกำกับและจัดเก็บภาษีเป็นเจ้าหน้าที่ธุรกิจแอลกอฮอล์ เท่าพิภพย้ำ พร้อมผลักดันการแก้กฎหมายในสภา

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงแรมเอเซีย พญาไท มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับเครือข่ายสื่อสร้างสรรค์เพื่อการขับเคลื่อนสังคม ได้มีการจัดประชุมเสวนาระดมความเห็นเรื่อง “มองหลากมุม 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง” เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยมีนักวิชาการ ภาคีภาคประชาสังคมและนักการเมืองรวมทั้งสื่อมวลชน เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า ข้อมูลการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลกระทบเปรียบเทียบช่วงก่อนและหลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บังคับใช้ พบว่า สัดส่วนผู้บริโภคแอลกอฮอล์ในปี 2550 อยู่ที่ 30.0% ส่วนปี 2564 อยู่ที่ 28.0% ลดลง 2% โดยเพศชายลดจาก 52.3% เหลือ 46.4% หรือลดลง 5.9% ส่วนเพศหญิงกลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.7% เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มอายุ 15-19 ปี และอายุ 60 ปีขึ้นไป มีการดื่มลดลง ส่วนกลุ่มอายุ 20-49 ปี มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักคือน้อยกว่า 1% ในขณะที่ผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์เช่นเมาแล้วขับช่วงเทศกาลปีใหม่ ลดลงจาก 37.8% ในปี 2551 เหลือ 25.6% ในปี 2565 หรือลดลง 12.2% ส่วนเมาแล้วขับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ลดลงจาก 35.5% ในปี 2551 เหลือ 26.0% ในปี 2565 หรือลดลง 9.5%

นักวิจัยจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรากล่าวต่อว่าการมีกฎหมายฉบับนี้ส่งผลให้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงและยังช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการเมาแล้วขับด้วย  ทั้งนี้ในการสำรวจความเห็นของประชาชนต่อมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใต้ พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยและสนับสนุนให้จำกัดสถานที่จำหน่ายถึง 94.5% จำกัดช่วงเวลาจำหน่าย 93.1% และจำกัดการโฆษณา 91% มีเพียง 5.5% ที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการจำกัดสถานที่จำหน่าย อีก 6.9% ไม่เห็นด้วยกับการจำกัดเวลาจำหน่าย และ 9% ไม่เห็นด้วยกับการจำกัดการโฆษณา อย่างไรก็ตามควรจะมีการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะปัจจุบันมีการเติบโตของโซเชียลมีเดียและการเกิดขึ้นของทุนขนาดเล็ก ซึ่งควรให้โอกาสได้เติมโต แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการในการควบคุมทุนแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่ให้มากขึ้น

ด้านนายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เมื่อ 15 ปีที่แล้ว แม้จะมีกลุ่มทุนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่เคลื่อนไหวคัดค้านการออกพ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ภาคประชาชน รวมถึงประชาชนกว่า 13 ล้านคน ได้ร่วมกันผลักดันจนกฎหมายออกมาบังคับใช้เมื่อปี 2551 เจตนารมณ์สำคัญคือการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ คุ้มครองสุขภาพประชาชน และลดผลกระทบทางสังคม สาระสำคัญนอกจากมีกลไกรับผิดชอบระดับนโยบายและปฏิบัติรวมทั้งมีสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วกฎหมายได้กำหนดสถานที่ห้ามขาย ห้ามขายให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและคนเมาครองสติไม่ได้  การจำกัดวิธีการขายและห้ามส่งเสริมการขาย การควบคุมการโฆษณา รวมถึงการบำบัดฟื้นฟูผู้ที่ติดสุราด้วย ส่งผลให้ลดจำนวนนักดื่มและจำกัดการดื่มให้อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม รวมทั้งการจำกัดการเข้าถึงทำให้เพิ่มพื้นที่ปลอดภัยต่อสังคมโดยรวม

อย่างไรก็ตามนายธีรภัทร์ ยอมรับว่า 15 ปีที่ผ่านมาแม้กฎหมายจะมีข้อดีหลายอย่างแต่ก็พบปัญหาในทางปฏิบัติที่ทุกฝ่ายต้องหาทางป้องกันแก้ไขต่อไป เช่น ธุรกิจแอลกอฮอล์ใช้ตราสัญลักษณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปโฆษณาสินค้าประเภทอื่นเช่นน้ำดื่ม โซดาหรือที่เรียกกันว่าตราเสมือน ทำให้คนนึกถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ดี  การขาดแนวปฏิบัติหรือเกณฑ์พิจารณาลักษณะผู้ซื้อที่เข้าข่ายเมาครองสติไม่ได้ การขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ยังพบได้ทั่วไปในร้านค้ารายย่อยและผับบาร์ รวมทั้งการเข้าถึงการบำบัดฟื้นฟูของผู้ติดสุรายังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ทันกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ยังคงรักษาเจตนารมณ์เดิมไว้อย่างเคร่งครัดไม่ทำให้กฎหมายอ่อนแอลง ซึ่งจากการพูดคุยกับกลุ่มผลักดันพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ก็พบจุดร่วมในหลายประเด็น เช่น การลดทุนผูกขาด การจัดการเรื่องตราเสมือนซึ่งเป็นความฉ้อฉลที่ทุนสุรารายใหญ่ได้เปรียบ รวมทั้งการอบรมผู้ขายให้มีทักษะมากขึ้น
 

ม.อ. เปิดหลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ ที่แรกของภาคใต้ตอนล่าง มุ่งผลิตกำลังคนรองรับตลาดแรงงานด้านสปา

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ร่วมกับ ชมรมธุรกิจบริการสุขภาพภาคใต้ (ตอนล่าง) จัดงานแถลงข่าวเปิดหลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ 100 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกของภาคใต้ตอนล่าง เพื่อผลิตบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการบริการสปาและส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานด้านสปาของประเทศ โดยมี รศ. ดร.ศิริลักษณ์ บางโชคดี ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมด้วย ผศ. ดร.เชิดชัย อุดมพันธ์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ คุณภารรัฐ กรัณย์สุกสี รองประธานชมรมธุรกิจบริการสุขภาพภาคใต้ (ตอนล่าง) ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องประชุมใหญ่ 210 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ร่วมกับ ชมรมธุรกิจบริการสุขภาพภาคใต้ (ตอนล่าง) ได้จัดทำหลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ 100 ชั่วโมง (Spa manager) และยื่นหลักสูตร ไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และได้รับการรับรองหลักสูตรดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการบริการสปาและส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานด้านสปาของประเทศ โดยจะเปิดการอบรมหลักสูตร รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกของภาคใต้ตอนล่างในเดือนมีนาคม 2566 ณ อาคารศูนย์ศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ชั้น 8 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

หลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ 100 ชั่วโมง เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่บัดนี้ – 3 มีนาคม 2566 โดยจะอบรมตั้งแต่วันจันทร์ – เสาร์ (ระยะเวลา 15 วัน) ในรูปแบบ on-site ระหว่างวันที่ 13 – 18, 20 – 25 และ 27 – 29 มีนาคม 2566 ณ อาคารศูนย์ศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ชั้น 8 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

สำหรับคุณสมบัติของผู้เรียนต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือ สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งมีประสบการณ์ในการดำเนินงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ไม่น้อยกว่า 2 ปี และเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายและจิตใจไม่เป็นอุปสรรคต่อการอบรมและการปฏิบัติงาน

สภาอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา จัดพิธีมอบรถวีลแชร์ให้กับคนพิการและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน115คัน

วันนี้ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา นางสาวฉัตรประอร นิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานพิธีมอบรถวีลแชร์ให้กับคนพิการและกลุ่มเปราะบางในจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นายจีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราและคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา

ผบ.ตร.ร่วมพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง กว่า 20,000 กระบอก หลังคดีถึงที่สุด สั่งกำชับตำรวจเข้มมาตรการอาวุธปืนต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

วันที่ 23 ก.พ.66 เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานในพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์. ผบช.สกบ. พล.ต.ต.พงษ์พันธ์ วงศ์มณีเทศ ผบก.ภ.ระยอง เข้าร่วมพิธีเป็นสักขีพยาน ณ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง

การจัดพิธีในครั้งนี้ สืบเนื่องจากตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินมาตรการปราบปรามอาวุธปืนผิดกฎหมายทุกมิติ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว ได้สั่งการหน่วยระดมกวาดล้างจับกุม ขยายผล ทลายเครือข่ายอาวุธปืนผิดกฎหมาย รวมทั้งการลักลอบค้าปืนออนไลน์ พร้อมกำชับการจำหน่าย ทำลายอาวุธปืนของกลาง เพื่อป้องกันมิให้มีการนำเอาอาวุธปืนดังกล่าวกลับมาใช้ก่อเหตุในคดีอาญา หรือลักลอบจำหน่ายไปยังบุคคลไม่หวังดี ตกอยู่ในมือของคนร้าย รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนด้วย 

ผบ.ตร.จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบการทำลายอาวุธปืนของกลางซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ สำนักงานส่งกำลังบำรุง โดยกรมสรรพาวุธ สำรวจอาวุธปืนของกลางที่เก็บรักษาไว้ตามคำสั่งศาลเพื่อรอทำลาย  และให้สถานีตำรวจทั่วประเทศสำรวจอาวุธปืนของกลางตามระเบียบที่หน่วยงานระดับสถานีสามารถทำลายได้เองเพิ่มเติมอีกด้วย

โดยพิธีทำลายอาวุธปืนของกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นการนำเอาอาวุธปืนของกลางซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ริบเป็นของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว โดยถูกเก็บรักษาไว้ที่กองสรรพาวุธ แล้วขออนุมัติเพื่อจัดพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยจะใช้วิธีการทำลายผ่านเครื่องจักรบดอัดให้เสียสภาพ แล้วนำไปหลอมในเตาหลอมอุณหภูมิสูง เพื่อให้อาวุธปืนของกลางทั้งหมดสิ้นสภาพที่จะนำมาใช้งานได้ โดยในครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) สนับสนุนเครื่องจักรคุณภาพสูงในการหลอมโลหะด้วยอุณหภูมิสูง

เจ้ากรมแพทย์ทหารบก และคณะ ตรวจเยี่ยมหน่วยสายแพทย์ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 พลโท วุฒิไชย อิศระ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก พลตรี ชูสิทธิ์ ศรีอุทโยภาส รอง เจ้ากรมแพทย์ทหารบก และคณะ ตรวจเยี่ยมหน่วยสายแพทย์ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน โดยมี พันเอก ชินวิช เจริญพิบูลย์ รอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมให้การต้อนรับ มี พันเอก สุรังค์ วิทยาวงศรุจิ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน กล่าวรายงาน พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ให้การต้อนรับ พันเอก สุรังค์ วิทยาวงศรุจิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน กล่าวว่าที่ผ่านมา โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ได้รับการสนับสนุน ดูแล ให้คำแนะนำในทุกด้านอย่างดียิ่ง จากมณฑลทหารบกที่ 25 แพทย์ใหญ่ กองทัพภาคที่ 2 ทั้งนี้ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน มีความมุ่งมั่น ที่จะปฏิบัติตาม นโยบาย ของกองทัพบก และกรมแพทย์ทหารบก ซึ่งส่งผลให้ ผลการดำเนินการของหน่วย มีแนวโน้มดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ถึงแม้จะพบปัญหาอุปสักบ้าง 

ด้าน พลโท วุฒิไชย อิศระ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก กล่าวว่า การเดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ในวันนี้ ถือว่าเป็นการมาทำความรู้จักพบปะกำลังพลของโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน และได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานในการให้บริการผู้ป่วยและญาติ ทั้งมารับทราบปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานของกำลังพล ที่ผ่านมาโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน นับว่าเป็นหน่วยงานสายแพทย์ที่สำคัญ ที่ กองทัพบก และกรมแพทย์ทหารบก ได้ให้ความเชื่อมั่นตลอดมา ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ขอชื่นชมกำลังพล โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ทุกนายที่ช่วยกันพัฒนาโรงพยาบาล จนประสบผลสำเร็จ และได้รับรางวัลมากมาย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มารับบริการ รวมถึงประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ และขอให้ทุกคนจงร่วมแรงร่วมใจแสดงออก ถึงความรักความสามัคคี มีความตั้งใจในการที่จะพัฒนาโรงพยาบาลให้เจริญรุ่งเรือง มีผลการปฏิบัติงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชน สำเร็จสมความมุ่งหมายของทางราชการและตามที่หน่วยเหนือกำหนดต่อไป 

'ศิริโชค' แฉ!! จุดจบของนักการเมืองพุงหมา นักการเมืองขี้ฉ้อ ส่อติดคุก โกงกินจนพุงปลิ้น

นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

จุดจบนักการเมืองพุงหมา !!!

ฉากหน้าอ้างเป็นนักพัฒนา แต่เบื้องหลัง แตกเลือดโครงการต่างๆ จนพุงปลิ้น 
อีกไม่นานจะมีข่าวใหญ่ในแวดวงการเมืองไทย เมื่อ คณะกรรมการป.ป.ช. อยู่ในขั้นตอนการสอบสวน เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับนักการเมือง ประเภท ‘พูดแล้วฉ้อ’ ใน ข้อหา ‘กินหิน กินทราย กินถนน’

ทั้งนี้คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ทำการเรียกผู้รับเหมารายใหญ่ ทั้ง 5 ราย (ที่ได้ทำการโอนเงิน ค่าคอมมิสชั่น (แตกเลือด) เข้าบัญชีธนาคารของผู้เชี่ยวชาญ ประจำตัว ส.ส. พุงหมา เข้ามาให้การแล้ว 

ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช. มีหลักฐาน เส้นทางการเงิน (การโอนเงินเข้าบัญชี หรือออกจากบัญชี) มีรายละเอียดการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ละวัน และเวลาในการโทรหาผู้รับเหมา เอกสารการแบ่งโควตา เงินเข้าพุงหมา จาก กรมทางหลวงชนบท โดยผู้รับเหมาบางรายโอนเงินหลายครั้ง เข้าบัญชี ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ส.ส. พุงหมา เป็นเงินหลายล้านบาท 

อย่ามาโยนความผิดว่าผมเป็นผู้ร้องนะครับ ผมแค่เห็นหลักฐาน และมีพยานมาบอกเล่า ก็เลยต้องมาฟ้องพี่น้องประชาชน เพื่อให้รู้ทันนักการเมืองพุงหมา 

พ่อค้าประชาธิปไตย

เร่ค้าประชาธิปไตยไม่รู้จบ  กี่ล้านศพทบแผ่นดินสิ้นความฝัน
ยื่นมือแทรกให้แตกร้าวเข้าบีบคั้น  ใช้เชิงชั้นดันสงครามให้ลามรุก

ปักธงลงตรงไหน-ฉิบหายหมด  เลี้ยวลดคดในข้อก็ปั่นปลุก
ประชาธิปไตยปลอมเข้าย้อมคลุก  เคยวกฉุกคิดไหมในเรื่องนี้

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเร็ว หลังยอดเที่ยวบินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 105%

(24 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ที่เปิดเผยถึงปริมาณการจราจรทางอากาศของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ของ AOT มีจำนวนเที่ยวบินรวม 150,378 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 105.04%

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 66,829 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 83,549 เที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารรวมทั้งหมด 23.01 ล้านคน เพิ่มขึ้น 232.93% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 10.98 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 12.03 ล้านคน

ครม.เคาะ!! ห้ามนำเข้าเศษพลาสติก 100% เริ่ม 68 ช่วยประเทศไทย ไม่เป็นถังขยะโลกอีกต่อไป

รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก คุมเข้ม 2 ปี สิ้นปี 67 ห้ามนำเข้าจากต่างประเทศ หวังปลดล็อกไทยเป็นที่รองรับขยะจากประเทศอื่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติกในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ (21 ก.พ.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติกในประเทศ และเพื่อมิให้ประเทศไทยเป็นที่รองรับเศษขยะจากประเทศอื่น โดยให้กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว

นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

1.) เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร

2.) การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่เขตปลอดอากร (ในช่วงปี 2566-2567) โดยจะอนุญาตเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม 14 แห่งที่กำหนด ได้แก่ โรงงานทั้งหมดที่ใช้เศษพลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร นำเข้าไม่เกินความสามารถในการผลิตจริง รวม 372,994 ตันต่อปี สำหรับปีที่ 1 (2566) ให้นำเข้าปริมาณร้อยละ 100 ของความสามารถในการผลิตจริง, ปีที่ 2 (2567) ให้นำเข้าปริมาณไม่เกินร้อยละ 50 ของความสามารถในการผลิตจริงโดยการนำเข้าจะต้องมีมาตรการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้เกิดมลพิษในประเทศ เช่น เศษพลาสติกที่นำเข้าต้องแยกชนิดและไม่ปะปนกัน สามารถนาเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด ต้องใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น เป็นต้น

3.) การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่ทั่วไป (ในช่วงปี 2566-2567) ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่ไม่มีเศษพลาสติกในประเทศหรือมีปริมาณไม่เพียงพอ โดยมีหลักเกณฑ์ เช่น ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแสดงหลักฐานว่ามีความจำเป็นในการนำเข้าและไม่สามารถหาได้ในประเทศ, นำเข้าได้ในปริมาณที่สอดคล้องกับกำลังการผลิต, นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบเท่านั้น (ไม่รวมถึงการคัดแยกหรือย่อยพลาสติก), สามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด

'บิ๊กตู่' สั่ง วางแผนทำธุรกิจฮาลาล รองรับชาวมุสลิม เพิ่มโอกาสให้ภาคธุรกิจ - ท่องเที่ยว ขยายการลงทุน

(24 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนแนวทางการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการอุปโภค-บริโภคของประชากรมุสลิม หรือผู้นับถือศาสนาอิสลาม เชื่อมั่นว่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และเป็นการเปิดโอกาสที่ดีให้กับภาคธุรกิจไทยได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต จากกำลังซื้อสินค้าฮาลาลที่เพิ่มมากขึ้น

นายอนุชา กล่าวว่า ผลสำรวจของ Pew Research Center คาดว่า จำนวนชาวมุสลิมทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 2,200 ล้านคน ภายในปี 2030 หรือคิดเป็น 26.4% ของประชากรโลก ซึ่งในปัจจุบันมีถึง 49 ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ประเมิน วางแผนแนวทางการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชากรมุสลิม ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากระเบียบข้อบังคับของศาสนา สอดคล้องกับการประเมินของ Adroit Market Research ที่คาดว่าตลาดสินค้าฮาลาลทั่วโลกจะเพิ่มจาก 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020 เป็น 11.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2028 หรือขยายตัวเฉลี่ย 5.6% ต่อปี (https://www.adroitmarketresearch.com/industry-reports/halal-market)

นายอนุชา กล่าวว่า ข้อมูลจาก Halal Focus พบว่า ชาวมุสลิมใช้จ่ายในสินค้าประเภทอาหารมากสุด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 62% ของรายจ่ายทั้งหมดในสินค้าฮาลาล รวมถึงข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์ฯ ยังพบว่า ในปี 2564 ตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตรฮาลาลมีมูลค่า 183 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือ 14 % ของตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตรฮาลาลโลก โดยประเทศไทย ซึ่งพัฒนาศักยภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาลอย่างต่อเนื่อง มีส่วนแบ่งตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตร 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 15.8%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top