Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมแม่บ้านตำรวจ เดินหน้าสร้างความรู้ ทางการเงินและบริหารจัดการหนี้แก่ข้าราชการตำรวจต่อเนื่อง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินและการบริหารจัดการหนี้ โดยปี 2566-2569 เดินหน้าความร่วมมือภายใต้กรอบ 3 C คือ Cure แก้ไขเยียวยา Caution ป้องกัน และ Cultivate ปลูกฝังทักษะ มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้อย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งนักเรียนนายสิบตำรวจ นักเรียนนายร้อยตำรวจ ข้าราชการตำรวจ คู่สมรส และบุคคลในครอบครัวทั่วประเทศ หลังประสบความสำเร็จในการร่วมกันส่งเสริมความรู้ทางการเงินจนเกิดเป็นบุคคลต้นแบบการพัฒนาทักษะบริหารการเงินและจัดการหนี้

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เห็นพ้องที่จะดำเนินการขยายผลและสร้างพื้นที่เรียนรู้ด้านการวางแผนการเงิน การออมต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ร่วมกันส่งเสริมความรู้มาตั้งแต่ปี 2564 ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยแผนดำเนินการในปี 2566-2569 จะทำภายใต้กรอบ 3 C ได้แก่ 1. Cure การแก้ไขเยียวยา โดยให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงินและการบริหารจัดการหนี้ แก่กลุ่มข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ 2. Caution การป้องกัน โดยให้ความรู้ทั้งก่อนและระหว่างการเป็นผู้กู้ แก่กลุ่มสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ โดยใช้ SET e-Learning series 'รู้สู้หนี้' 3. Cultivate การปลูกฝังทักษะด้านการเงินและการลงทุนที่ถูกต้อง ให้แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนนายสิบตำรวจ ข้าราชการตำรวจ คู่สมรส และบุคคลในครอบครัว รวมถึงการสร้างบุคคลต้นแบบระดับกองบัญชาการ 1 โรงพัก 1 บุคคลต้นแบบ โดยใช้โมเดล 'Happy Money in Action' เพื่อนำไปสู่วัฒนธรรมด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนทั้งในระดับบุคคลและองค์กรได้อย่างยั่งยืน

ผู้ตรวจฯ ก.แรงงาน ติดตามผลการปฏิบัติงานการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวจังหวัดลำพูน

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น. นางดรุณี นิธิทวีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลำพูน เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานและการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในจังหวัดลำพูน โดยมี นายวิชิต อินทรเจริญ ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางาน นายสมชาย เอื้อจารุพร ผู้ตรวจราชการกรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3B ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดลำพูน ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน

‘โรม’ ยื่นหนังสือ แจ้ง ป.ป.ช. สอบ ‘ส.ว.อุปกิต’ ปมแสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ - ฝักใฝ่พรรคการเมือง

(23 ก.พ. 66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ยื่นเอกสารหลักฐานต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ กรณีการขายอัลลัวร์รีสอร์ท สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 และขอให้สอบพฤติการณ์ที่อาจฝ่าฝืนต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมถึงตรวจสอบว่า อุปกิต ที่ดำรงตำแหน่ง ส.ว. อันเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 28 (1) หรือไม่  

รังสิมันต์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน พบว่าอุปกิตเป็นเจ้าของที่ดิน 1 งาน 47.7 ตารางวา  ซึ่งเป็นของบริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 และยังพบว่า บริษัทยูไนเต็ดฯ ได้รับโอนโฉนดดังกล่าวมาจาก ภาวิณี พินัยนิติศาสตร์ ซึ่งต่อมาใช้เป็นที่ทำการของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยตามเอกสารหลักฐาน แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ก่อสร้างอาคารตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 โครงการก่อสร้างดังกล่าวเป็นของบริษัทยูไนเต็ดฯ และต่อมามีการโอนที่ดินดังกล่าวให้อุปกิต จากนั้นเมื่ออาคารสร้างเสร็จ ก็เป็นที่ตั้งของพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 ดังนั้น อุปกิตจึงมีพฤติการณ์ที่ควรสงสัยหรือไม่ว่า ได้รับรู้อย่างต่อเนื่องถึงการสร้างอาคารสำนักงานนั้น ว่าเป็นการสร้างเพื่อเตรียมให้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมือง เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่พบเอกสารการเช่าอาคารดังกล่าว 

รวมถึงขอให้ ป.ป.ช. พิจารณาว่าอุปกิตดำรงตำแหน่งเป็น ส.ว. ซึ่งมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ประกอบกับมีมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่ต้องไม่กระทำการใดให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง แต่อุปกิตกลับมีพฤติการณ์เป็นการจัดเตรียมให้ได้มาซึ่งที่ดินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อเตรียมไว้ให้พรรคการเมืองใช้ประโยชน์โดยไม่มีเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมเข้าข่ายการแสดงออกถึงความฝักใฝ่พรรคการเมืองซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ เป็นลักษณะต้องห้ามของคุณสมบัติสมาชิกวุฒิสภาในมาตรา 111 (7) อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนมาตรา 113 หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 184 หรือ 185 ย่อมเป็นเหตุให้ความเป็น ส.ว. สิ้นสุดลง จึงเป็นเรื่องร้ายแรงที่แสดงให้เห็นว่ากระทบต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

'โครงการฝึกอบรมครูฝึก (ครู ก.)' สำหรับการฝึกทักษะยิงปืนให้แก่ข้าราชการตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานป้องกันปราบปราม สืบสวน และ จราจร ใน 'สถานีตำรวจ'

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 66 ที่สนามยิงปืน ศูนย์ฝึกอบรมยุทธวิธีตำรวจกลาง อ.หนองสาหร่าย จ.นครราชสีมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฝึกอบรมครูฝึก (ครู ก.) สำหรับการฝึกทักษะยิงปืนให้แก่ข้าราชการตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานป้องกันปราบปราม สืบสวน และ จราจร ในสถานีตำรวจ”

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากนโยบายของทางพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ที่ให้ ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะ ศักยภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนการได้รับการฝึกทบทวนการใช้อาวุธปืนประจำกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ สายงานป้องกันปราบปราม  สืบสวน และจราจร ซึ่งล้วนแล้วแต่มีภารกิจหน้าที่ที่จะต้องเข้าระงับยับยั้งเหตุซึ่งหน้าต่างๆ รวมถึงการปราบปราม และสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความชำนาญในการใช้อาวุธปืนประจำกาย สามารถดูแลความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเกิดความปลอดภัยต่อตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น

โดยโครงการดังกล่าวจะมีการฝึกอบรมครูฝึกทั้งหมด จะประกอบด้วยกัน 3 ระยะ เรียกว่า ครู ก. , ครู ข. และ ครู ค. โดยครู ก คัดเลือกจากหน่วยระดับ กองบัญชาการ ประกอบด้วย บช.น. และ ภ.1-9 หน่วยละ 30 นาย รวมจำนวน 300 นาย,ครู ข คัดเลือกจากหน่วยระดับ กองบังคับการ และ ตำรวจภูธรจังหวัด ทุกจังหวัด  ทั่วประเทศ หน่วยละ 30 นาย รวมจำนวน 2,550 นาย และครู ค คัดเลือกจากสถานีตำรวจทั่วประเทศ 1,484 สถานีๆ ละ 2 นาย รวมจำนวน 2,968 นาย ซึ่งการฝึกอบรมในครั้งนี้ มีระยะเวลา 3 วัน จะเป็นการฝึกให้กับ ครู ก. ก่อน จากนั้น ครู ก. จะนำความรู้และทักษะไปขยายผลถ่ายทอดให้กับ ครู ข. และ ครู ค. ตามลำดับ ทั้งนี้หลังจากอบรมครูฝึกทั้ง 3 ระยะเสร็จสิ้น และนำไปฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจแล้ว จะเริ่มทำการฝึกทักษะการยิงปืนให้กับตำรวจทั่วประเทศได้พร้อมกัน ในช่วงเดือน พฤษภาคม ที่จะถึงนี้

ส่อง ‘13 พรรคการเมือง’ ที่ส่งผู้สมัคร ส.ส. มากกว่า 40 จังหวัด

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 22 ก.พ.66 ระบุว่า พรรคกการเมืองที่ส่งผู้สมัคร ส.ส. มากกว่า 40 จังหวัด มีด้วยกันทั้งหมด 13 พรรค ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติ 77 จังหวัด, พรรคก้าวไกล 76 จังหวัด, พรรคประชาธิปัตย์ 75 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย 75 จังหวัด, พรรคเพื่อไทย 75 จังหวัด, พรรคเสรีรวมไทย 68 จังหวัด, พรรคคลองไทย 59 จังหวัด, พรรคเศรษฐกิจไทย 56 จังหวัด, พรรคไทยสร้างไทย 47 จังหวัด, พรรคโอกาสไทย 45 จังหวัด, พรรคพลังประชารัฐ 44 จังหวัด, พรรคไทยภักดี 42 จังหวัด และพรรคยุทธศาสตร์ชาติ 42 จังหวัด

'เพื่อไทย' เตรียมปราศรัย เชียงใหม่-เชียงราย 24-25 ก.พ.นี้ แง้ม!! ประกาศ 'นโยบายชุดใหญ่' หลังจากยุบสภาฯ

(23 ก.พ. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย แถลงข่าวการลงพื้นที่ปราศรัย จ.เชียงรายและเชียงใหม่ในวันที่ 25-26 ก.พ.นี้ว่า ในวันที่ 25 ก.พ. พรรคเพื่อไทยจะลงพื้นที่พบปะประชาชนและเปิดปราศรัยใหญ่ที่จ.เชียงราย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ และตน โดยในช่วงเช้าจะไปพบปะผู้ประกอบการในพื้นที่ และประชาชนที่จุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากนั้นจะเปิดปราศรัยใหญ่ที่รร.ปล้องวิทยาคม อ.เทิง จ.เชียงราย โดยเวทีจะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. - 18.30 น. โดยหลังจากปราศรัยเสร็จสิ้น พรรคเพื่อไทยจะลงพื้นที่ถนนคนเดิน อ.เมือง จ.เชียงรายด้วย

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 26 ก.พ.เดินทางไปยังจ.เชียงใหม่ โดยในช่วงเช้าจะไปพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวและพี่น้องชาวชาติพันธุ์ที่ม่อนแจ่ม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และในช่วงบ่ายจะเดินทางไปที่ศูนย์เฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5  ช่วงเย็นจะเป็นการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 

ทั้งนี้ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การตอบรับอย่างเนืองแน่นล้นหลาม จากการลงพื้นที่ปราศรัยใหญ่ในหลายจังหวัดที่ผ่านมา มีผู้คนที่มาเข้าร่วมรับฟังการปราศรัยจำนวนมาก ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพผู้คนจำนวนไม่มากหน้าเวที หรือพี่น้องออกจากเวทีขณะที่เวทียังไม่จบนั้น ขอเรียนให้ทราบว่าเราเล็งเห็นและเข้าใจความพยายามนี้ แต่ความจริงต้องเป็นความจริง ทุกเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทย แม้กระทั่งในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี มีตัวชี้วัดหลายประการ เช่น ผลการสำรวจของสำนักโพลที่ได้มาตรฐาน ชี้ตรงกันว่าแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพท.ยกระดับสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ พรรคพท.เชื่อมั่นว่าหลังยุบสภาเมื่อประกาศนโยบายชุดใหญ่ คะแนนนิยมของทั้งพรรคและว่าที่แคนดิเดตนายกฯ จะพุ่งทะยานสูงขึ้นมากขึ้นไปกว่านี้

ก.แรงงาน เยี่ยมสถานประกอบการ จ.ลำพูน ติดตามการตรวจคุ้มครองคนต่างด้าวป้องกันค้ามนุษย์ด้านแรงงาน

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 นางดรุณี นิธิทวีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดลำพูนตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่จ้างคนต่างด้าวทำงาน เพื่อตรวจคุ้มครองดูแลสิทธิแรงงานของลูกจ้างแรงงานต่างด้าวให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทย โดยมี นางสาวอัจฉราภรณ์ ยะสินธ์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล นายจิตติภูมิ  สัมพันธนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ไทย - นิจิ อินดัสทรี จำกัดผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลำพูน ให้การต้อนรับ ณ บริษัท ไทย - นิจิ อินดัสทรี จำกัด นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ตั้งอยู่เลขที่ 77 หมู่ 13 ต.มะเขือแจ้ อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการประเภทการผลิตขนมขบเคี้ยว ขนมกรุบกรอบ มีลูกจ้างทั้งสิ้น 464 คน เป็นแรงงานไทย 324 คน แรงงานต่างด้าว 140 คน

​นางดรุณี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน โดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย การลงพื้นที่จังหวัดลำพูนในครั้งนี้เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองเบื้องต้นการบังคับใช้แรงงาน หรือบริการและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว ตามมาตรฐานการปฏิบัติงานการตรวจคัดกรอง (SOP) รบ.1 ให้เป็นไปตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว รวมทั้งเพื่อตรวจติดตามการรายงานผลการตรวจคัดกรองเบื้องต้นจากการใช้มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ แบบ รบ.1 เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจะเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตาม NRM ตลอดจนรับทราบปัญหาอุปสรรค กระบวนการ วิธีการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน

‘พิธา’ ยัน!! เคลียร์ใจ ‘ปิยบุตร’ ทำงานร่วมกันได้ ปัด!! กุเรื่องแกล้งเกาเหลา สร้างกระแสก่อนเลือกตั้ง

(23 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุการเกิดวิวาทะกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าว่า สั้นๆ คือการถอยเพื่อที่จะก้าวกระโดด และมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน แต่เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันแล้วก็สามารถทำให้ทำงานร่วมกันต่อไปได้ มั่นใจว่าเวลาที่เหลือสามารถสู้ศึกการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ และหวังว่าเราสามารถทำงานไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ แน่นอนว่าในเรื่องของการเมืองย่อมมีอะไรที่มองไม่ตรงกันบ้าง แต่ในที่สุดเราก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้

เมื่อถามว่า ข้อความที่นายปิยบุตรโพสต์ถึงนายพิธา ค่อนข้างที่จะรุนแรง ได้มีการชี้แจงให้นายปิยบุตรฟังว่าอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิด ที่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วเขาก็เข้าใจ สิ่งที่ตนโพสต์นายปิยบุตรก็เข้าใจ ตอนนี้ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่ค้างคาใจกัน และย้ำว่าสามารถที่จะทำงานต่อไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า เรื่องสำคัญเป็นเรื่องความคาดหวังของนายปิยบุตรที่อาจจะไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่พรรค ก.ก. เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าเทียบกับสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนายปิยบุตรอย่างเดียว เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป คณะกรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิ์ไป จึงทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากเน้นได้ และกฎหมายก็ห้ามไม่ให้มีการเข้ามาครอบงำพรรค ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีความเข้าใจกันบ้าง แต่เราก็ได้ปรับความเข้าใจกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีผลกระทบกับสนามเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า เป็นการถอยที่ทำให้เราก้าวกระโดดต่อไป ทั้งทีมงานพรรคที่ได้เห็นตนและนายปิยบุตร ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความฮึกเหิมเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) ก็เทียบเท่ากับว่าสปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมา ฉะนั้น แม้อาจจะมีกรณีที่เหมือนจะมีการขัดขากันบ้าง แต่ยืนยันว่าเราไม่มีการขัดขากัน แต่เป็นการถอยหลังกันคนละก้าว และเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ยันทันที่จะเรียกความเชื่อมั่นใจกลับคืนมา ขอบคุณทุกท่านที่เป็นตัวเชื่อมให้ความเป็นปึกแผ่นของพรรค ก.ก. กลับคืนมา และทำให้เราสองคนได้พูดคุยกัน ซึ่งตัวเชื่อมที่สำคัญคือประชาชน และสมาชิกพรรคที่บอกว่าไม่อยากเห็นความขัดแย้งนี้ ปรับความเข้าใจกันเถอะ มั่นใจว่าเขาก็คงบอกนายปิยบุตรเช่นกัน ฉะนั้น ต้องขอขอบคุณทุกคน

เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนนี้จะเป็นพลังในการสู้ศึกเลือกตั้งได้อย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวเพียงสั้นๆว่า “จากสิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันว่าตอนนี้สปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมาครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมเมื่อปะทุออกมา และได้ทำความเข้าใจกัน ได้นึกถึงว่าเรามาเป็นนักการเมือง และตั้งพรรคขึ้นมาทำไม ก็ทำให้เรากลับมามีพลังมากขึ้น และเราจะใช้พลังนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งให้ได้”

เมื่อถามต่อว่า ท้อหรือไม่เพราะคนใกล้ชิดมองตัวนายพิธาในด้านลบ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีเหนื่อย ไม่มีท้อ เราตั้งใจที่จะไปสู่เป้าหมายเดียวกันให้ได้ และเราก็ลงพื้นที่อย่างหนัก รวมถึงได้การตอบรับจากการลงพื้นที่อย่างดี ซึ่งหากเราทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็จะเป็นประโยชน์ที่สุดกับการทำงานพรรค ทั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างไปจากอดีตคือการทำงานที่เข้มข้นขึ้น ก้าวไกลได้มากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น แม้จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันอีกในอนาคต เราก็จะได้พูดคุยกันอย่างฉันท์มิตร โดยที่ไม่ต้องผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดีย และนายปิยบุตรไม่ได้มาครอบงำตน แต่เมื่อมีความไม่เข้าใจตรงกัน ก็จะพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมงานเก่า

เมื่อถามถึงประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันคือประเด็นอะไร นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มารวมกัน เช่นการลงพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น

เมื่อถามว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เป็นการเรียกเรตติ้งให้พรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ พรรคเรามีวุฒิภาวะพอ ในการที่จะหาเสียง ในการทำงาน บางครั้งเมื่อมีความไม่เข้าใจกัน และโอกาสในการที่จะปรับความเข้าใจกันน้อย มีการสื่อสารไปทางโซเชียล ตรงนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันกับพี่น้องประชาชน ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก และคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะมีสมาธิในการทำงานการเมืองต่อไป ไม่มีปัญหาอะไร ”

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะได้เห็นนายปิยบุตรและนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมลงพื้นที่ด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงต้องดู เพราะตามกฎหมายสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองพร้อมสนับสนุนพรรค ก.ก. ตามที่กฎหมายกำหนดได้ ถามต่อว่า หากเป็นเช่นนี้จะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าครอบงำพรรคได้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เราสามารถแจ้งชื่อกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ เหมือนตอนที่เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่นายธนาธร ขึ้นเวทีปราศรัยให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.

เมื่อถามว่า บทบาทและอิทธิพลของแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคก.ก. มีมากแค่ไหน นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของอุดมการณ์และแนวคิด ที่แบ่งปันกันมาตั้งแต่ร่วมตั้งอนาคตใหม่ แต่เรื่องของการบริหารและการคัดเลือกผู้สมัครส.ส. เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราเจอมาตลอด 3 ปี และการเป็นบุคคลสาธารณะคงจะหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้

ขณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ในกรณีเดียวกันว่า เกิดจากความไม่เข้าใจกัน และความเห็นที่แตกต่างกันในการทำงานหลายเรื่อง เพราะหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบนายปิยบุตร ก็ไม่ได้เข้าไปร่วมขับเคลื่อนพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำงานในสภา เกิดระยะห่าง ทำให้ความเห็นไม่ตรงกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดความไม่เข้าใจกัน และความขัดแย้งตามมา แต่มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะทั้งคู่ก็จะได้เรียนรู้และเติบโตกับสถานการณ์ ซึ่งทั้งคู่ก็มีวุฒิภาวะเพียงพอ ที่จะปรับความเข้าใจกันและถอยกันคนละก้าว และการได้มานั่งคุยกัน และเห็นผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าอัตรา ก็จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ทำให้ผู้สนับสนุน คนที่เชียร์พรรค ซึ่งเราก็ดีใจที่ทั้ง 2 ท่านซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสำคัญต่อการผลักดันประชาธิปไตยในประเทศนี้ กลับมาจากมือทำงานร่วมกันเดินหน้าก้าวไปอย่างมีพลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ นายปิยบุตร จะเดินทางไปพบภรรยาที่ต่างประเทศ ถึงไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลทันหรือไม่

เมื่อถามถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างทั้ง 2 คนเป็นเรื่องอะไร นายธนาธร กล่าวว่า ขอให้ไปสอบถามนายปิยบุตรและนายพิธาเอง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของมิติการทำงาน ความคิดความอ่านของสถานการณ์​บ้านเมืองที่ไม่เข้าใจกัน

เมื่อถามว่าที่ทั้ง 2 คนดีกันได้เพราะ นายธนาธร เข้าไปเคลียร์ใจ นายธนาธรยิ้มและยักคิ้ว พร้อมกล่าวว่า ไม่ใช่ ตนไปร้องเพลง

‘ครูแก้ว’ กล่าวอำลาตำแหน่งรองประธานสภาฯ เผยยึดหลัก ‘ยุติธรรม-เป็นกลาง’ ทำหน้าที่เสมอมา

(23 ก.พ. 66) นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) กล่าวแสดงความรู้สึกในการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง เป็นครั้งสุดท้าย

นายศุภชัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง และขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ให้ความไว้วางใจเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมนั้น เจตนารมณ์ในการทำหน้าที่ของผมคือความยุติธรรมและเป็นกลาง ทั้งมุ่งหมายขับเคลื่อนงานด้านนิติบัญญัติ เพื่อให้การประชุมประสบความสำเร็จ เนื่องจากพวกเราทุกคนมีเวลาจำกัด จึงจำเป็นต้องการใช้โอกาสทุกเวลาทุกวินาที ให้เกิดคุณค่าต่อประชาชนให้มากที่สุด และเต็มความสามารถของพวกเรา ซึ่งเห็นว่าเพื่อนสมาชิกสามารถทำหน้าที่ได้เต็มกำลังความสามารถ และบรรลุเป้าหมายตามภารกิจของสภาผู้แทนราษฎร ในการแก้ไขปัญหาเยียวยาประชาชนได้เป็นอย่างดี

"การปฏิบัติหน้าที่ของผมที่ผ่านมา ในบางครั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกใจสมาชิกบางท่าน กระผมต้องขออภัยในการทำหน้าที่ของผม และผมหวังว่าสมาชิกจะเข้าใจและให้อภัย และขอให้เรายังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เพราะเราทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด" นายศุภชัยกล่าว

‘อนุทิน’ เมิน ‘ชูวิทย์’ จ่อแฉพรรคร่วม เหน็บ!! คนชี้นิ้วใส่คนอื่น อีก 4 นิ้วหันเข้าตัว

‘อนุทิน’ เมิน ‘ชูวิทย์’ จ่อแฉพรรคร่วม เหน็บ คนชี้นิ้วใส่คนอื่น อีก 4 นิ้วหันเข้าตัว ย้ำ สัมพันธ์พรรคร่วมไร้ปัญหา ขอแค่หัวไม่ทะเลาะกันพอ

(23 ก.พ.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นหนังสือต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้ตรวจสอบการทุจริตหลายโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ของกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภท.ว่า ไม่กังวล ที่นายชูวิทย์ออกมาแฉ นายศักดิ์สยามได้ชี้แจงไปแล้ว การจะกล่าวหาใครจะต้องมีหลักฐานให้ชัดเจน การคาดคะเนหรือวิเคราะห์ ไม่สามารถใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ ต้องมีหลักฐาน ถ้ามีหลักฐานก็ฟาดไม่เลี้ยง 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกมาแฉในช่วงนี้ที่ใกล้เลือกตั้ง จะมีผลกระทบในการหาเสียงของพรรคหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี เชื่อว่าประชาชนรับทราบกันดี โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้งตั้ง จะมีการสาดโคลนใส่กันได้ และที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นตลอด เป็นปกติ แต่คนสาดต้องระมัดระวัง โดยจะพูดเป็นตัวย่อ หรือพูดอ้อมไปมา และเรื่องเหล่านี้หาสาระไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top