Monday, 12 May 2025
NewsFeed

‘การยืนเคารพ’ จากประกาศของ ‘คณะราษฎร’ สู่ความย้อนแย้งแห่ง ‘เยาวรุ่น’ ที่ดันไม่ทำตาม

เมื่อหลายวันก่อนในงานคอนเสิร์ตของ BLACKPINK มีประเด็นดราม่าเรื่องเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่มี ‘คนบ้า’ คลั่งปฏิวัติคนหนึ่งออกมาห้อยโหนจนน่ารำคาญ พออ่านข้อความจากบุคคลท่านนั้นผมก็เลยรู้สึกถึงความย้อนแย้งที่มีอยู่อย่างสม่ำเสมอของบุคคลท่านนี้ เพราะจริงๆ คนที่บังคับให้คนต้องยืนตรงเคารพเพลงในแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คือ กลุ่มบุคคลที่ ‘คนบ้า’ คลั่งปฏิวัติคนนี้เคารพซะเหลือเกิน นั่นก็คือ ‘คณะราษฎร’ และ 1 ในผู้ก่อการที่คลั่งการให้คนอื่นยืนเคารพตนและเพลงที่แต่งเพื่อตัวเองนั่นก็คือ ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ แต่ก่อนจะไปเล่าเรื่อง ‘บ้าๆ’ ของผู้นำชาติพ้นภัย ผมขอเล่าเรื่องของเพลง ‘สรรเสริญพระบารมี’ ก่อนนะครับ 

จุดเริ่มต้นของบทเพลง ‘สรรเสริญพระบารมี’ นั้น สืบเนื่องมาตั้งแต่ในสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้มีการใช้เพลง ‘God Save the King’ ในการบรรเลงถวายความเคารพแด่องค์กษัตริย์ตามแบบอย่างธรรมเนียมการฝึกทหารจากทางฝั่งสหราชอาณาจักร 

ครั้นเมื่อถึงรัชสมัยของ ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 5 พระองค์ เสด็จฯ ติดต่อกับต่างแดนสม่ำเสมอ โดยเฉพาะชาติอาณานิคม เช่น การเสด็จประพาสเกาะชวาและเมืองสิงคโปร์ในช่วงปี พ.ศ. 2414 ทหารที่นั่นก็ได้ใช้เพลง God Save the King บรรเลงเป็นเพลงพระเกียรติเพื่อรับเสด็จเช่นเดียวกับสหราชอาณาจักร เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำซ้อนกันนี้ พระองค์จึงมีพระราชดำริแก่ครูดนตรีไทยให้แต่งเพลงรับเสด็จขึ้นใหม่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

ซึ่งในช่วงแรก เพลงสรรเสริญพระบารมีนั้นใช้ ‘เพลงบุหลันลอยเลื่อน’ ที่มีการเรียบเรียงทำนองดนตรีขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2414 ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาใช้ทำนองเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ ‘พระประดิษฐไพเราะ’ (มี ดุริยางกูร) ได้ดัดแปลงมาจากเพลงสรรเสริญนารายณ์ของเก่า ส่วนเนื้อร้องประพันธ์โดย ‘พระยาศรีสุนทรโวหาร’ (น้อย อาจารยางกูร) นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในปี พ.ศ. 2416 มีเนื้อเพลงว่า....

‘ความ สุขสมบัติ บริวาร . เจริญ พระปฏิภาณ ผ่องแผ้ว 
จง ยืนพระชนมาน . นับรอบ ร้อยแฮ . มี พระเกียรติเพริดแพร้ว . เล่ห์เพียงจันทร’

ต่อมาใน พ.ศ.2431 ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์’ ทรงคิดจัดคอนเสิร์ต ขึ้นในงานเฉลิมพระชนมพรรษาที่หน้าศาลายุทธนาธิการ (กระทรวงกลาโหม) โดยมี ‘ปโยตร์ ชูรอฟสกี้’ นักประพันธ์ดนตรีชาวรัสเซียเป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสานสำหรับดนตรีตะวันตก และ ‘สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์’ ทรงนิพนธ์เนื้อร้องประกอบทำนองดังนี้…

...ข้าวรพุทธเจ้าเหล่าพิริย์ผลผลา . สมสมัยกาละปิติกมล . รวมนรจำเรียงพรรค์สรรดุริยพล
สฤติมณฑลทำสดุดีแด่นฤบาล . ผลพระคุณะรักษาพละนิกายะสุขสานต์
ขอบันดาลธ ประสงค์ใด . จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย . ดุจถวายไชยฉนี้ ฯ

ต่อมาได้ทรงแก้และทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ในงานพระราชพิธีสรง ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ’ ดังนี้…

ข้าวรพุทธเจ้า . เอามโนและสิรกราน . นบพระภูมิบาลบุญดิเรก . เอกบรมจักริน . พระสยามินทร์
พระยศยิ่งยง . เย็นศิราเพราะพระบริบาล . ผลพระคุณ ธ รักษา . ปวงประชาเป็นศุขสานต์
ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด . จงสฤษดิ์ดังสิทธิ์ดังหวังวรหฤทัย . ดุจถวายไชย ฉนี้ ฯ

จนมาถึง ‘พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 6 เด็กๆมักจะร้อง...ฉนี้...ชะนี ไปโดยมาก จึงโปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนคำท้ายเป็น...ไชโย มาตั้งแต่บัดนั้น

ส่วนธรรมเนียมการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์หรือโรงมหรสพในประเทศไทยนั้น สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 เช่นกัน โดยในยุคหนังเงียบ ต้องมีแตรวงหรือวงเครื่องสายผสมบรรเลงประกอบการฉายอยู่แล้ว และจะบรรเลงเพลง ‘สรรเสริญพระบารมี’ ถวายความเคารพเมื่อฉายจบหรือจบการแสดง โดยถือว่าเป็นสัญญาณปิดโรง ซึ่งแรกๆ คงบรรเลงอย่างเดียว ต่อมาจึงฉายกระจกพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นบนจอด้วย จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกโรงภาพยนตร์และโรงมหรสพในประเทศไทย โดยไม่มีกฎหมายบังคับแต่อย่างใด ย้ำนะครับ ‘ไม่มีกฎหมายบังคับ’ !!!

ส่วนเยาวรุ่นที่ ‘เห่าหอน’ เมื่อเพลง ‘สรรเสริญพระบารมี’ บรรเลงขึ้นและไม่เท่ที่ต้องยืนเคารพ เพราะการยืนเคารพคือการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งบังคับโดยองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย คุณจะไม่ยืนเขาก็ได้ไม่มีใครว่าอะไร เพียงแต่คุณอาจจะเป็นคนที่โคตร ‘ไม่รู้ภาษา’ และ ‘ไม่มีการศึกษา’ เอาซะเลย สมแล้วที่ถูกจูงจมูกไปไหนก็ได้โดยง่าย 

เรื่องระเบียบต้อง ‘ยืนเคารพ’ นั้นมาเกิดในช่วง 3 ปี หลังปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎร โดย ‘พระยาพหลฯ’ หัวหน้าคณะราษฎรได้ทำให้การยืนเคารพเพลง ‘สรรเสริญพระบารมี’ ในโรงภาพยนตร์เป็น ‘ระเบียบ’ ที่ต้องปฏิบัติตาม (แต่ยังไม่เป็นกฎหมาย) ซึ่ง ‘คณะราษฎรเป็นคนประกาศ’ นะครับ ย้ำ!!! 

ส่วนปฐมเหตุแห่งการ ‘บังคับยืนเคารพ’ โดยใช้ ‘กฎหมาย’ มาจาก ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ ผู้เป็นฮีโร่ของเยาวรุ่นพวกนี้ ซึ่งนายทหารและนักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่ง ‘นายกรัฐมนตรี’ ถึง 8 สมัย รวมระยะเวลากว่า 15 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด เป็นผู้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 4 เรื่องการเคารพธงชาติ, เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี เมื่อวันที่ 8 กันยายน พุทธศักราช 2482 โดยมีเนื้อความว่า.....

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 4 เรื่องการเคารพธงชาติ, เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี

ด้วยรัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า ธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นสิ่งสำคัญประจำชาติพึงได้รับการเชิดชูเคารพของชาวไทยทั้งมวล จึงประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ดังต่อไปนี้ (ขออนุญาตแปลงเนื้อความเป็นภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบัน)

1. เมื่อได้เห็นการชักธงชาติขึ้นหรือลงจากเสาประจำสถานที่ราชการตามเวลาปกติ หรือได้ยินเสียงแตรเดี่ยวหรือนกหวีดเป่าคำนับหรือให้อาณัติสัญญาณการชักธงชาติขึ้นหรือลง ให้แสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม

2. เมื่อได้เห็นธงไชยเฉลิมพล ธงเรือรบ ธงประจำกองยุวชนทหาร หรือธงประจำกองลูกเสือ ซึ่งทางการเชิญผ่านมาหรืออยู่กับที่ประจำแถวทหาร หรือหน่วยยุวชน หรือลูกเสือ ให้แสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบ หรือตามประเพณีนิยม

3. เมื่อได้ยินเพลงชาติ ซึ่งทางราชการบรรเลงในราชการก็ดี ซึ่งบุคคลบรรเลงในงานพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ให้ผู้ที่ร่วมงานหรือที่อยู่ในวงงานนั้นแสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม

4. เมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งทางราชการบรรเลงในราชการก็ดี ซึ่งบุคคลบรรเลงในโรงมหรสพหรือในงานสโมสรใดๆ ก็ดี ให้ผู้ที่ร่วมงาน หรือที่อยู่ในวงงาน หรือในโรงมหรสพนั้นแสดงความเคารพ โดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม

5. เมื่อได้เห็นผู้ใดไม่แสดงความเคารพดังกล่าวในข้อ 1–2–3 และ 4 นั้น พึงช่วยกันตักเตือนชี้แจงให้เห็นความสำคัญแห่งการเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี

ประกาศมา ณ วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2482
พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี

‘เต้น’ เย้ย ‘บิ๊กตู่’ ย้ายอยู่พรรคใหม่แต่ดูไม่มีอนาคต แซะ!! แค่โกยคนที่แตกจากพรรคอื่นมาไว้รวมกัน

(12 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.45 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ตนนึกว่าพล.อ.ประยุทธ์จะแสดงแสนยานุภาพทางการเมืองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจหลังจากยึดครองอำนาจต่อเนื่องมา 8 ปี แต่พบว่าไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก รวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคต่าง ๆ ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กมาอยู่ด้วยกัน และไม่พบว่ามีบุคคลที่เป็นที่รู้จักหรือเป็นที่ยอมรับกันในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมืองปรากฏตัวร่วมงานกับพล.อ.ประยุทธ์แต่อย่างใด จึงมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต เพราะเต็มไปด้วยอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ตนจึงเชื่อว่าจะส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นอดีตนายกฯ ในไม่ช้า

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ดังนั้นการตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเต็มตัวของพล.อ.ประยุทธ์ แท้จริงไม่ใช่เป้าหมายแค่การเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหวสับไพ่รอหรือไม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่ามีปัญหาที่น่าสนใจในบทบัญญัติในมาตรา 158 ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี โดย ส.ว. กลุ่มนี้ชี้ว่าเป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยมีปฏิกิริยา ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ส.ว. 250 คนยกมือตามสั่งมาตลอด แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ครบ 8 ปีจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่ามาตรานี้มีปัญหา หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะอาศัยเสียง ส.ว. 250 คนเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ได้ ต้องใช้เสียงในสภาและเสียง ส.ว.แก้ไขมาตรานี้แน่นอน

‘โรม’ ซัด ตร. ยื้อ ‘พรบ.ป้องกันทรมาน - อุ้มหาย’ อ้างอุปกรณ์ไม่พร้อม - เจ้าหน้าที่ขาดความรู้

‘โรม’ จี้ นายกฯ-สตช. อย่าใช้วิชามารเลื่อนกฎหมายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน หลัง ผบ.ตร. ลงนามหนังสือขอเลื่อนปฏิบัติตาม พ.ร.บ. อุ้มหายฯ อ้างต้องจัดซื้อกล้องจำนวนมาก-เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ ย้อนก่อนหน้านี้ ‘สุรเชษฐ์’ รอง ผบ.ตร. เคยบอกพร้อม 

(12 ม.ค. 66) ที่รัฐสภา รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามชะลอการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2566 ว่า กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภามาหลายเดือน แต่กำหนดให้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 120 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวปฏิบัติตามกฎหมายใหม่

รังสิมันต์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญในฐานะการยกระดับกระบวนการยุติธรรมที่คุ้มครองพี่น้องประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ โดยสาระสำคัญข้อหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อ้างว่าไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ได้ คือการติดกล้องบันทึกภาพระหว่างปฏิบัติภารกิจ ซึ่งจุดประสงค์ของกฎหมายต้องการให้สามารถตรวจสอบได้ว่า ระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายหรือซ้อมทรมาน

"หากเราไปดูประเทศที่เจริญแล้ว ที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและโปร่งใส อย่างสหรัฐอเมริกา หลายประเทศในยุโรป ก็จะพบว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการติดกล้องประจำตัวไว้ เป็นเรื่องปกติมาก และทำให้ทราบได้ว่า การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการควบคุมตัวตามกฎหมายจริงหรือไม่ หากย้อนกลับมาดูที่ประเทศไทย ก็มีการกล่าวอ้างอยู่เป็นระยะว่าการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ มีการซ้อมทรมาน การทำร้ายร่างกาย หรือมีการควบคุมตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงมีเจตนารมณ์ที่ดี" รังสิมันต์ กล่าว

ถ้อยแถลง ‘บิ๊กตู่’ จาก ‘Voice of the South Summit’ ผนึกมหามิตร ‘คุณภาพชีวิตดี-รักษ์โลก’ ส่งต่อคนรุ่นหลัง

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุม Voice of the South Summit ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน 

(12 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุม Voice of the South Summit ภายใต้หัวข้อหลัก ‘เสียงของประเทศกำลังพัฒนา สู่การพัฒนาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Voice of South: For Human-centric Development)’ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามคำเชิญของนายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที ของอินเดีย สำหรับหัวข้อ ‘การพัฒนาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ ซึ่งจัดขึ้นอย่างเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันที่ประชาชนประสบกับโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ ภาวะเงินเฟ้อ วิกฤตด้านอาหารและพลังงาน จนก่อให้เกิดวิกฤติค่าครองชีพครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อกลุ่มเปราะบาง 

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความท้าทาย ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องร่วมแรงร่วมใจ โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 แนวคิด ให้อินเดียในฐานะประธาน G20 เป็นกระบอกเสียงให้ผลักดันระบบเศรษฐกิจโลกไปสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางมีความยั่งยืน และครอบคลุมยิ่งขึ้น ประกอบด้วย

1.) ต้องแสวงหาแนวทางการพัฒนาแบบองค์รวมที่ช่วยให้สามารถรับมือกับวิกฤตโลก 3 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลภาวะ เพื่อผลักดันให้การเติบโตหลังวิกฤตโควิด-19 มุ่งสู่ความสมดุลมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยแนวคิดพื้นฐาน BCG ของไทยและแนวคิดวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของอินเดียล้วนมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ตลอดจนการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นและยึดหลักธรรมาภิบาล 

นอกจากนี้ ไทยเรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนาสานต่อผลสำเร็จจากการประชุม COP 27 ซึ่งถือเป็นการประชุม COP ที่ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทนำ และย้ำความจำเป็นในการระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการลงทุนเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในราคาที่เหมาะสม

ทร.จัดชุดตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ให้กำลังพลเชิงรุก ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา และไม่ติดเชื้อจากคนไข้

กองทัพเรือ จัดชุดตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ ในกิจกรรมตรวจสุขภาพประจำปีเชิงรุก อำนวยความสะดวกให้แก่กำลังพลในพื้นที่ส่วนกลาง ที่ทำการลงทะเบียน เชื่อมข้อมูลประวัติการรักษาของกรมแพทย์ทหารเรือ

เมื่อวันที่ (11 ม.ค. 66) พล.ร.ท.วิทยา สิริบุญโรจน์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สป. ช่วยปฏิบัติราชการสำนักงานผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้แทนผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะผู้บังคับบัญชาร่วมกิจกรรมตรวจสุขภาพประจำปีเชิงรุก จัดโดยคณะทำงานพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการปฏิบัติงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งดำเนินการจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานในกองบัญชาการกองทัพเรือ และพื้นที่ใกล้เคียง ระหว่างเวลา 07.30 – 11.30 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน ถ.อิสรภาพ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้กำลังพลกองทัพเรือตรวจสุขภาพประจำปี เป็นไปตามที่กองทัพเรือกำหนด , ไม่ต้องสำรองเงินส่วนตัวจ่ายก่อน ,ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล , ไม่ต้องใช้เวลาในการรอนานและรอตรวจร่วมกับผู้ป่วยทั่วไป , ไม่เสียค่าพาหนะเดินทาง และไม่เสี่ยงการติดเชื้อจากคนไข้ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยจัดให้มีการลงทะเบียนผ่าน QR code ที่กรมแพทย์ทหารเรือ จัดทำเข้าสู่ระบบ Line official NMD+Connect ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลประวัติการรักษากับ 4 โรงพยาบาลหลัก (โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า , โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ , โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ และโรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ) โดยกรมแพทย์ทหารเรือได้จัดชุดตรวจสุขภาพเคลื่อนที่จากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ มาให้บริการแก่กำลังพลที่ลงทะเบียนเข้ารับการตรวจสุขภาพ จำนวน 265 นาย

รอง โฆษก ตร. เตือน ยาเสพติดชนิดใหม่ ชงละลายน้ำทานง่าย ทำลายสมอง ความจำเสื่อมขั้นรุนแรง !

วันนี้ (12 ม.ค.66) เวลา 15.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.ท. ธ เทพ ไชยชาญบุตร รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัย ยาเสพติดชนิดใหม่ สามารถชงละลายกับน้ำทานได้ง่าย แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว มีฤทธิ์ทำลายสมอง ทำให้เป็นโรคความจำเสื่อมขั้นรุนแรง

พ.ต.ท. ธ เทพฯ  กล่าวว่า ยาเสพติดชนิดใหม่นี้ถูกเรียกในหมู่นักเสพว่า 'HAPPY WATER' หรือยาแฮ๊ปปี้ เป็นชนิดที่กำลังแพร่ระบาดในหมู่วัยรุ่นและนักท่องเที่ยว โดยเกิดจากการผสมขึ้นมาจากยาเสพติดหลายประเภท และนำมาชงกับน้ำร้อนผสมกับน้ำหวานหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในหมู่นักเที่ยว สถานบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งยาเสพติดชนิดนี้จะออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะมีอาการเคลิ้ม สนุกสนาน ไม่อ่อนเพลีย

กอ.รมน.พิจิตรลงพื้นที่มอบสิ่งของ ใส่ใจดูแลผู้สูงอายุและผู้ยากไร้

วันที่ 12 มกราคม 2566 พ.อ. กฤษดา ปานทับทิม รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพิจิตร ฝ่ายทหาร ได้ลงพื้นที่เพื่อมอบถุงยังชีพ และผ้าห่มกันหนาวให้กับชาวบ้านที่ยากไร้และได้รับความเดือดร้อน (ป่วยติดเตียง)ในพื้นที่ บ้านเนินพลวง ตำบลเนินสว่าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร จำนวน 3 หลัง รวมทั้งได้ให้กำลังใจประชาชนในการดำรงค์ชีวิตประจำวัน 

โรงพยาบาลพญาไท 3 ร่วมสนับสนุน มอบของขวัญงานกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ พร้อมมอบเสื้อ จราจรสะท้อนแสงแก่สถานีตำรวจนครบาลสำเหร่

โรงพยาบาลพญาไท 3 โดย คุณณัฐชานันท์ นิธิโชติวรภัทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด พร้อมทีมงานฝ่ายการตลาดโรงพยาบาล ร่วมมอบความสุข มอบของขวัญ เนื่องในโอกาส วันเด็กแห่งชาติ วันที่ 14 มกราคม 2566 ที่มาถึง แก่สถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ เช่น สมุด หนังสือ ของเด็กเล่น ตุ๊กตา อุปกรณ์การเรียนการสอน ตลอด เกมส์ส่งเสริมความรู้ ให้น้อง ๆ หนู ๆ ในชุมชนต่าง ๆ ในเขตพื้นที่

และมอบเสื้อตำรวจจราจรสะท้อนแสง แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกนาย ได้สวมใส่ในการปฏิบัติหน้า ตลอดอำนวยความ แก่ประชาชนในพื้นที่ ในเวลากลางคืน ด้วยความปลอดภัย.....และได้มอบกระเป๋ายา ยาสามัญประจำบ้าน พร้อมเวชภัณฑ์ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น โดย พ.ต.อ.ฉัฐกิตติ์ ผดุงจันทน์ธนัย ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ รับมอบ

ส่องความคิดเห็น ‘ชาวเวียดนาม’ หลังนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรกเข้าไทย

หลังจากเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ประเทศไทยได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็พลันกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านชาวเวียดนามที่มีทั้งชื่นชม เหน็บแนม และตัดพ้อประเทศตนที่ไม่สามารถดึงคนจีนเข้าประเทศได้เช่นเดียวกันไทย 

โดยในสาระสำคัญที่ชาวเวียดนามได้พูดคุยกันในโลกโซเชียลนั้น เป็นการขยายความจากประเด็น ‘ป้ายแบนเนอร์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ที่ได้มีการเขียนข้อความต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้ ซึ่งชาวเวียดนามดูเหมือนจะอึ้ง และให้ความสนใจกับป้ายนี้เป็นอย่างมาก

กระทู้จุดติดในโลกโซเชียลของชาวเวียดนามเริ่มขึ้นจากการลงรูปนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรก ที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกับแคปชันข้อความเชิงคำถามที่ว่า “นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย 269 คนแรก ลองดูว่าคนไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร?” คำตอบที่ได้คือ บนแบนเนอร์ต้อนรับของไทยมีการแสดงความใกล้ชิดอย่างถึงที่สุด ด้วยคำพูดที่ว่า “จีน-ไทย คือ พี่น้องครอบครัวเดียวกัน ยินดีต้อนรับคนจีนกลับบ้าน” ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มองไปในภาพเดียวกันว่า นี่เป็น ‘กลยุทธ์ขั้นเซียน’ ของไทยในการโกยหัวใจนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างมาก

โดยหลังจากโพสต์นี้ถูกนำเสนอออกไป ก็ได้มีชาวเวียดนามได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นไว้ต่าง ๆ นานา ดังนี้...

>> ในมุมบวกต่อการต้อนรับครั้งนี้ของไทย...
1. “นี่คือตลาด 1,400 ล้านคน” 
2. “ประเทศไทย ไม่ได้มีดีแค่ในทีวี” 

3. “คนจีนคิดถึงประเทศไทย เวลาพวกเขาต้องการไปท่องเที่ยว พวกเขาก็จะนึกถึงเมืองไทย ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของเวียดนามยังแย่มาก คนจีนที่มาเที่ยวเวียดนาม มีคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนน้อย การส่งเสริมการท่องเที่ยวของเราไม่ค่อยได้ผล”

4. “เนื่องจากเมืองไทยมีสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ราคาก็ถูก คนจีนก็เลยชอบมาก”  
5. “ประเทศไทยมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศจีน ทุก ๆ ปี จะมีการโปรโมตการท่องเที่ยวไทยที่ประเทศจีน” 

6. “ต้องขอบอกว่านักท่องเที่ยวจีนนั้น มีการใช้จ่ายสูงกว่าพวก Backpacker ที่มักจะนอนโรงแรมราคาถูก หนุ่มสาวชาวจีนที่เดินทางมาก็ดูดีมาก” 
7. “คนจีนใช้จ่ายอันดับ 1 อยู่ตลอดเวลา คนตะวันตกนั้นขี้โม้!”

พท. อัด ‘บิ๊กตู่’ สาละวนแต่เรื่องย้ายพรรค ไม่เหลียวแลเกษตรกร ปล่อยปาล์มล้นตลาดขายไม่ได้

(12 ม.ค. 66) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา ประธาน ส.ส.พรรค และประธานคณะทำงานนโยบายเกษตร พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความเดือนร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันภาคใต้ที่ขายผลผลิตไม่ได้ และราคากำลังตกต่ำสวนทางตลาดโลก จนเกษตรกรและอาชีพที่เกี่ยวข้องได้รับความเดือนร้อนถ้วนหน้าว่า ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันร้องเรียนผ่านว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยพื้นที่ภาคใต้อย่างล้นหลาม เนื่องจากได้รับความเดือนร้อนจากลานปาล์มปิดรับการรับซื้อ ด้วยข้ออ้างปาล์มล้นโรงงาน ผลผลิตตกค้างเป็นจำนวนมาก จึงต้องหยุดการผลิตชั่วคราว เป็นความไม่ปกติจากรัฐบาลที่ไม่ดูแลปล่อยปละละเลย หรือจงใจเอื้อทุนผูกขาดให้เอาเปรียบเกษตรกร ทั้งนี้ ปาล์มน้ำมันถูกจัดเป็น 1 ใน 5 พืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย เป็นพืชพลังงานหลักที่มีศักยภาพในภาวะโลกต้องการใช้พลังงานสะอาดเป็นอย่างมาก จึงไม่มีความสมเหตุสมผลใดเลย ที่จะเกิดเหตุการณ์ผลผลิตปาล์มล้นตกค้างเป็นจำนวนมาก กระทบไปยังชาวสวนปาล์มรายเล็กรายน้อย ขายไม่ได้ราคา ทั้งที่ตลาดทั่วโลกมีความต้องการ เกษตรกรไทยมีสินค้า แต่ทำไมไม่ได้ขาย 

นายวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า ปาล์มรวมทั้งพืชผลทุกชนิดของเกษตรกรไทย ต้องเจอปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำสวนทางตลาดโลก ทั้งที่ตลาดโลกในยุคความมั่นคงทางอาหารต้องการพืชผลการเกษตรเป็นอย่างมาก พืชผลเกษตรเป็นของดีมีคุณค่า หากอยู่ในมือรัฐบาลที่บริหารเป็น ตะวันออกกลางขุดน้ำมันจากดินเรียกน้ำมันแขก รวมกลุ่มค้าขายต่อรองรักษาเสถียรภาพราคากับมหาอำนาจในตลาดโลก จนร่ำรวย ตรงกันข้ามบ้านเราปลูกน้ำมันบนดินด้วยมือคนไทย เรียกน้ำมันไทยกลับอ่อนแอ ไร้อนาคต ไม่ได้รับการเหลียวแล ทั้งนี้ ส.ส.ภาคใต้อยู่ในพรรครัฐบาลทั้ง 3 พรรค แต่กลับทิ้งชาวสวนปาล์ม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top