Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

‘ก้าวไกล’ ลุยขอนแก่น เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส. เขต 1 ตั้งเป้าปักธงส้มครบ 11 เขต - พร้อมล้างบางงูเห่า

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2565 ที่ลานสนามฟุตซอลบ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมทั้งอภิชาติ ศิริสุนทร กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลสัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมเวทีแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ขอนแก่น เขต 1 โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

หัวหน้าพรรคก้าวไกลเริ่มต้นด้วยการเกริ่นถึงชุดนโยบาย ‘สวัสดิการไทยก้าวหน้า’ ที่พรรคก้าวไกลเสนอเพิ่มเงินผู้สูงวัยเป็น 3,000 บาทต่อเดือน เป็นอัตราเดียวแบบถ้วนหน้า ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่ยังช่วยประชากรวัยทำงานด้วย ตนเองเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเป็นคนหนึ่งในวัยทำงานที่มีทั้งลูกที่ต้องดูแล มีพ่อแม่ที่ต้องเป็นห่วง มั่นใจว่าการเพิ่มเงินผู้สูงวัยจะช่วยแบ่งเบาภาระของประชากรวัยทำงาน ให้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

‘นักพ่นข่าวปลอม’ รอรับหมายเรียก 15 ธ.ค.นี้ ฐานสร้างเฟกนิวส์ทำร้าย ‘ลูกหนัง ศีตลา’

เมื่อวานนี้ (3 พ.ย. 65) นายเตชะ ทับทอง หรือ เต้ กลุ่มหนึ่งร้อยตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ โพสต์ภาพ ‘ลูกหนัง’ ศีตลา วงษ์กระจ่าง ลูกสาว เปิ้ล หัทยา - ตั้ว ศรัณยู ที่กำลังโดนขบวนการสามนิ้วรุมบูลลี่และสร้างกระแสติดแฮชแท็ก #แบนลูกหนัง

โดยนายเตชะ ได้ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เห็นหลานอัดอั้นตันใจ ไอ้คนอย่างพวกเรามันก็ทนไม่ได้หรอกครับ แม้เรื่องราวที่คนเลว ๆ ช่วยกันสร้าง Fakenews ทำลายอนาคตน้องนั้นจะผ่านมาเกือบครบปี…พวกเค้าอาจคิดว่าสนุกสนานและไม่มีใครทำอะไรได้

‘จิรายุ’ ตัดพ้อ!! ไม่มีค่ากับพรรคเพื่อไทย ปมเปิดตัว ‘โจทก์เก่า’ เป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค. 65) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัครส.ส. ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในนั้นมีนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.กาญจนบุรี ว่าตนทำงานรับใช้และต่อสู้กับพวกเผด็จการ ให้กับพรรคเพื่อไทยมา 10 กว่าปี ไม่คิดว่าพรรคจะจัดได้เต็มคาราเบลกับตนเช่นนี้เหมือนกัน

“ทำให้ต้องคิดมากขึ้นในเรื่องแนวทางการเมืองนับจากนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพนับถือของพรรค เรียกให้ผมไปพูดคุยแล้วก็ยืนยัน แต่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ ตีความได้อย่างเดียวว่า ผมไม่มีคุณค่ากับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป อย่าคิดว่าคนที่เคยด่าผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคเป็นปรปักษ์ของพรรคมาตลอดจะทำอะไรกับพรรคเพื่อไทยก็ได้ อยากจะไปก็ด่าพรรคเอาใจ 3ป. อยากจะกลับมาก็ชเลียร์”

นายจิรายุ กล่าวต่อว่าสำหรับกลไกการขับเคลื่อนด้านติดตามตรวจสอบทุจริต ยังเดินอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีคดีความของนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ที่คณะกรรมาธิการกิจการศาลฯและตนได้ยื่นฟ้องไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เรื่องการทุจริตของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลแล้ว มีอีก 3 สำนวน ในการตรวจสอบทุจริตของกรมและการใช้เงินกองทุนพัฒนาทรัพยากรน้ำบาดาล ปีที่ผ่านมา ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีทั้งเอกชนและข้าราชการระดับสูงและรองอธิบดีจนถึงผู้อำนวยการกองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต เอฟซีจิรายุ ขอให้มั่นใจได้ว่าใครจะเข้ามาบ้านนี้ด้วยวิธีการแบบใดไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ตนเคารพนับถือต้องอธิบายให้ได้ ไม่เช่นนั้นหลักการ ที่ศรัทธามาตลอด 10 กว่าปีจะสิ้นไป

นายจิรายุกล่าวอีกว่า ปีที่แล้วต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้จนบอบช้ำ พรรคก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลืออะไรอยู่แล้ว ถูกนายศักดิ์ดา กลั่นแกล้งไปยื่นฟ้องที่สายบุรี ปัตตานี พื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งเรื่องขี้หมามาก หวังให้ตนเสี่ยงชีวิต เดชะบุญที่มีบ้านใหญ่ปัตตานี นายซูการ์โน มะทา ดูแลความปลอดภัยให้ตลอด ต่อสู้คดีจนชนะและฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งไป 25 ล้านบาท

‘สืบนครบาล’ รวบ ‘แซนดี้ กระเป๋าหลุยส์’ หลอกขายแบรนด์เนมราคาถูก ผ่านออนไลน์

วันที่ 4 ธ.ค. 65 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT ที่ 5, พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่, พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี, พ.ต.อ.กมล นุ่มหอม, พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ, พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์, พ.ต.ท.ชานนท์ บรรพกาล, พ.ต.ต.ธนากร จอมเกาะ, ร.ต.อ.ธีรเดช พรมลาย, ร.ต.อ.สตางค์ พิศุทธ์พัลลภ, ร.ต.ท.นันทัพพ์ แก่นจันทร์, ร.ต.ท.หญิง มุกนภา เอมรื่น และเจ้าหน้าที่ กก.สส.4 บก.สส.บช.น. จับกุมตัวน.ส.อรอุมา เกิดจันทึก หรือ ‘แซนดี้ กระเป๋าหลุยส์’ อายุ 29 ปี และนายภิญญาพัชร์ หรือ ธันยกานต์ เอี่ยมท่า อายุ 30 ปี ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามหมายจับของ ‘แซนดี้ กระเป๋าหลุยส์’ จำนวน 3 หมาย 

ประกอบด้วย หมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ที่ จ.552/2565 ลงวันที่ 3 พ.ย.65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ท้องที่ สน.ธรรมศาลา, หมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ จ.545/2565 ลงวันที่ 17 พ.ย.65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ท้องที่ สภ.เมืองยะลา และหมายจับศาลแขงธนบุรี ที่ 360/2565 ลงวันที่ 28 พ.ย. 65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกง’ ท้องที่ สน.บุปผาราม ส่วนหมายจับของ 

นายภิญญาพัชร์ จำนวน 1 หมาย คือ หมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ จ.545/2565 ลงวันที่ 17 พ.ย.65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ท้องที่ สภ.เมืองยะลา จับกุมได้ที่บริเวณ คอนโด เดอะโพลิแทน รีฟ ซ.นนทบุรี 15 ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 เวลาประมาณ 06.00 น. ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากผู้เสียหายขอความช่วยเหลือทางเพจ ‘สืบสวนนครบาล IDMB” ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.อรอุมา เกิดจันทึก หรือแซนดี้ กระเป๋าหลุยส์ โดยใช้ชื่อกลุ่มไลน์โอเพ่นแชทว่า ‘เดอะแซนดี้แบรนด์’ แอบอ้างขายกระเป๋าแบรนด์เนมนำเข้าจากต่างประเทศราคาถูก โดย แซนดี้ จะสรรหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองมีความน่าเชื่อถือ ทั้งการโพสต์รูปภาพ การรีวิวกระเป๋า จนกระทั่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก และตรวจสอบประวัติการกระทำผิดของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ปรากฎว่า น.ส.อรอุมา เคยก่อคดีมากว่า 26 คดี รวมมูลค่าความเสียหายประมาณล้านกว่าบาท 

โดยออกเช็คเด้งปี 64 จำนวน 1 คดี สภ.เมืองยะลา ปี 65 ก่อเหตุ 25 คดี ความผิดตามพ.ร.บ.คอมฯ สภ.กุมภวาปี, สภ.บางละมุง, ความรวมคดีฉ้อโกง สภ.สำโรงเหนือ, สน.หลักสอง, รวมความผิดรวมคดีฉ้อโกง สน.สำเหร่, รวมความผิดฉ้อโกง สน.ธรรมศาลา, รวมความผิดร่วมกันฉ้อโกง บก.ปอท. 2 คดี, รวมความผิดฉ้อโกง สน.ธรรมศาลา, สภ.หมวกเหล็ก, สภ.เมืองขอนแก่น, รวมความผิดฉ้อโกงประชาชน สภ.กันทรวิชัย, รวมความผิดฉ้อโกง สภ.ดอนหัวฟ้อ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช, สน.บวรมงคล, สภ.วารินชำราบ, สภ.เมืองมหาสารคาม, สภ.โป่งน้ำร้อน, สน.พญาไท และสภ.วังสะพุง 

'นพดล' ชี้!! คนโยง 'เพื่อไทย-ตู้ห่าว' หวังผลทางการเมือง ยัน!! 'อุ๊งอิ๊ง' ไม่เกี่ยวข้อง ขู่!! หากไม่หยุดเจอฟ้องแน่

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงว่า จากกรณีที่มีการตั้งข้อกล่าวหาต่อนายหาวเจ๋อตู้ หรือตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน และพวกว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย และให้ข้อมูลว่ามีกลุ่มทุนต่างชาติกว้านซื้อบ้านในบางโครงการ และพยายามโยงเรื่องนี้มาบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อไทย และแกนนำพรรคฯ ให้เสียหายนั้น พรรคฯ ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนสอบสวนคดีต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่าเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่มีอยู่ตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับพรรค พรรคไม่ขัดขวางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอย้ำว่าเพื่อไทยไม่มีความเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว และนายตู้ห่าวก็ไม่เคยบริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทย ข้อกล่าวหาที่มีต่อผู้ต้องหาก็เกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกิจในช่วงเวลาหลายปี

“ที่ผ่านมาที่เพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลซึ่งเป็นเวลาเกือบ 8 ปีแล้ว ดังนั้นหากจะมีการกระทำที่ผิดกฎหมายในช่วงเวลานี้ในประเทศไทย ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะบังคับใช้กฎหมาย และรัฐบาลสามารถไปตรวจสอบว่ามีการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายทำนองเดียวกันนี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าเบี่ยงเบนประเด็น” นายนพดล กล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พยายามโยงว่าชาวต่างชาติกว้านซื้อบ้านในโครงการของบริษัทเอสซี แอสเสท และพาดพิง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้น ตนเห็นว่าการพาดพิงและกระจายข่าวต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างชัดเจน ขอเรียนว่าน.ส.แพทองธาร ไม่ได้รู้จักกับนายตู้ห่าว และเป็นเพียงผู้ถือหุ้น ไม่ได้เป็นกรรมการบริษัท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายบ้านให้บุคคลใด ๆ 

นอกจากนั้น บริษัทเอสซี แอสเสท ได้แถลงไปแล้วว่าบริษัทประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาลโดยยึดหลักไม่กระทำผิดกฎหมาย บ้านทุกหลังขายให้คนไทยและนิติบุคคลไทยเท่านั้น และในการชำระค่าบ้าน ผู้ซื้อต้องชำระเงินผ่านธนาคาร ตนขอตั้งเป็นข้อสังเกตว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดของบุคคลกลุ่มนี้ มีบ้าน รถยนต์ และทรัพย์สินที่ซื้อจากหลายโครงการ หลายบริษัท กระจายไป ไม่ใช่ซื้อจากบริษัทเอสซี แอสเสท อย่างเดียว 

“ช่วงเวลานี้ ประเทศกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ประชาชนคาดหวังที่จะเห็นพรรคต่าง ๆ นำเสนอนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อไทยขอเชิญชวนให้ช่วยกันนำเสนอนโยบายและหาทางออกให้ประเทศ และยุติการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอที่เป็นการบิดเบือนใส่ร้ายฝ่ายอื่นด้วยความเท็จ ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นขอให้พวกที่พยายามตีกินหรือพยายามโยงให้เพื่อไทยเสียหาย ขอให้ยุติการดำเนินการไม่เช่นนั้นเราขอสงวนสิทธิ์ปกป้องเกียรติภูมิและชื่อเสียงของพรรคในกรอบของกฎหมายต่อไป” นายนพดลกล่าว

เมื่อถามว่ามองว่าเป็นการโจมตีทางการเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่าตนคิดว่าการบิดเบือนมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน เพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่พร้อมที่จะต่อสู้กันตามกฎกติกาและการนำเสนอนโยบายแข่งกัน ตนคิดว่าการที่มีการบิดเบือนบุคคลต่าง ๆ ก็พอจะดูออกว่ามีวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่เพื่อไทยสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็นและไม่มีอะไรที่จะซ่อนไว้ 

'ครูแก้ว' จ่อฟ้อง 'ทนายตั้ม-ไฮโซสาว' หลังโยงปมลวงเงินช่วยเคลียร์คดี 25 ล้าน

วันที่ 4 ธ.ค. 65 เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ศูนย์ประสานงานพรรคภูมิใจไทย จ.นครพนม นายศุภชัย โพธิ์สุ  ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 แถลงชี้แจงกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กล่าวหาว่าอดีตผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.จังหวัดหนึ่ง และเป็นสามีไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายก อบจ.ดังกล่าว ได้ลวงเงินจำนวน 25 ล้านบาท จากนักธุรกิจสาวไฮโซ เพื่อหลอกช่วยเคลียร์คดี โดยยอมรับว่า เคยรู้จักกับผู้ช่วยฯ คนดังกล่าวจริง หลังจากได้เข้ามาขอช่วยงานในช่วงที่ตนได้รับตำแหน่งรองประธานสภาฯ 

ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่ามีโปรไฟล์ดี ตนจึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาฯ และได้มอบหมายให้มาช่วยงานลูกสาว หลังจากได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายก อบจ.นครพนม แต่หลังจากทำงานได้ 2-3 เดือน บุคคลดังกล่าวได้ลาออกไป โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมกับงาน และไม่ได้ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกันอีก  

กมธ.พัฒนาการเมือง เยือนเยอรมัน แลกเปลี่ยนมุมมองบ้านเมือง เพิ่มความร่วมมือการทำงานของ กมธ.สองประเทศ

กรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน เดินทางเยือนประเทศเยอรมันตามคำเชิญของตามคำเชิญของ มูลนิธิ Hanns Seidel Foundation Thailand เพื่อศึกษาแนวทางทำงานร่วมกัน ระหว่าง รัฐสภาไทย และ รัฐสภาเยอรมัน รวมถึงกลไกลการทำงานของทางคณะกรรมาธิการของทั้ง 2 ประเทศ

ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยระหว่างการเดินทางเยือนครั้งนี้ สมาชิกกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ มีกำหนดการเข้าพบปะหารือกับ คณะกรรมาธิการคำร้อง และ คณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปการเลือกตั้งและความทันสมัยของกิจการสภาผู้แทนราษฎรประจำสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี และ คณะกรรมาธิการคำร้องและการร้องทุกข์และคณะกรรมาธิการรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และกิจการรัฐสภา และ การบูรณาการประจำสภาแห่งมลรัฐบาวาเรีย

'นพดล' ชี้ 'จิรายุ' สำคัญกับเพื่อไทยเสมอมา เชื่อ!! เคลียร์ใจกันได้ เพื่อเดินหน้าแลนด์สไลด์ไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค กล่าวถึงกรณีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ระบุว่าจะขอทบทวนเส้นทางการเมืองหลังพรรคฯ จะส่งนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งเคยเป็นโจทก์เก่าของนายจิรายุ มาเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคกลาง พรรคเพื่อไทยว่า นายจิรายุเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพคนหนึ่งของพรรค และทำงานหนักในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตนยังไม่มีโอกาสได้คุยกับนายจิรายุ แต่เชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยยังมีพื้นที่และมีโอกาสให้นายจิรายุได้ทำงานทางการเมืองสานต่อคุณภาพการเมืองที่เขาทำไว้ต่อ ซึ่งคงจะมีโอกาสได้หารือกัน ทั้งนี้ พรรคการเมืองก็เหมือนเรือที่อยู่ในทะเล ก็จะเจอคลื่นลมเป็นเรื่องปกติแต่เราต้องมีกระบวนการในการระงับความไม่พอใจหรือความขัดแย้งได้ 

“ผมมั่นใจว่านายจิรายุจะเห็นถึงผลประโยชน์ของพรรคและประเทศ เพราะขณะนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังเดินหน้าสู่ชัยชนะแลนด์สไลด์เพื่อสร้างโอกาสในการแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน นายจิรายุก็เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งจึงอยากให้เขาอยู่ในพรรคเพื่อไทยต่อ แต่ความไม่พอใจหรือความน้อยใจก็เกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งในส่วนตัวผมคิดว่าสามารถเคลียร์กันได้ เพราะนายจิรายุก็เป็นคนที่รับฟังเหตุผล” นายนพดล กล่าว

เมื่อนักการเมืองยื่นปลา แต่พระราชาทรงยื่นเบ็ด

เนื้อหาของบทความนี้ผมตั้งใจอยากจะเล่าเรื่องของในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งอีกนัยหนึ่งยังเป็น ‘วันพ่อ’ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพ่อของปวงชนชาวไทย ผมเลยขอนำเรื่องความประทับเรื่องหนึ่งมาเขียนเล่าในบทความนี้

เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เคยเห็นภาพหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2518 จาก ‘สมุดภาพโครงการตามพระราชดำริ’ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2525 โดยเนื้อหาใต้ภาพระบุว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การพัฒนาที่ดินตามโครงการที่ได้ทรงเริ่มมาตั้งเเต่พุทธศักราช 2507 ที่ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้ผลเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงต้องพระราชประสงค์ที่จะขยายงานด้านการช่วยเหลือเกษตรกรให้เเพร่หลายต่อไป ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานที่นาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งหมดรวม 51,967 ไร่ 95 ตารางวา สำหรับใช้ในการปฎิรูปที่ดินเป็นการประเดิมเริ่มเเรก โดยให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามพระราชบัญญัติการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พุทธศักราช 2518”

สมุดภาพเล่มนี้รวบรวมโครงการพระราชดำริจนถึง พ.ศ. 2525 ไว้ทั้งหมด 654 โครงการ (ซึ่งปัจจุบันมี 4,000 กว่าโครงการ) จากภาพหน้า 1 หนังสือพิมพ์ที่ได้เห็นจากหนังสือ ผมก็เลยไปลองหาข้อมูลต่อ โดยเฉพาะความสนใจเรื่องของ ‘ที่ดินทำกิน’ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในยุคแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวของคนไทย ที่เกษตรกรรมคืออาชีพหลัก และเป็นเรื่องหลักที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้เป็นมรดกของปวงชนชาวไทย 

ปฐมบทของเรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 2507 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ จ.เพชรบุรี แล้วทรงทราบถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มชาวสวนผักชะอำ จำนวน 83 ครอบครัว ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ในการประกอบอาชีพจึงทรงรับกลุ่มเกษตรกรนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานเงินให้กู้ยืมไปลงทุน (ย้ำว่าให้กู้นะครับ) จำนวน 300,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับสมัยนั้น แต่ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถนำเงินที่กู้ยืมไปมาคืนได้ (ทำไมล่ะ ?) เหล่าเกษตรกรไม่ได้ขี้เกียจนะครับ แต่มูลเหตุที่เกษตรกรเหล่านี้ไม่มีเงินมาคืนก็เพราะพวกเขา ‘ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง’ ต้องเช่าที่ดินของกรมประชาสงเคราะห์ เฉลี่ยครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ ทั้งอยู่ ทั้งเพาะปลูก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ พอพระองค์ทรงทราบถึงมูลเหตุแห่งการนี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ อดีตองคมนตรี ไปจัดหาที่ดินในเขต จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อมาจัดสรรให้แก่เกษตรกร (คือวัดผลกันอีกครั้ง เงินที่ให้กู้ไป ก็ช่างมัน) 

เป็นความบังเอิญที่โชคดีอย่างยิ่ง!! เพราะในขณะนั้น รัฐบาลอิสราเอล โดย เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ขอทราบหลักการของโครงการเรื่องของที่ดินเกษตรในครั้งนั้นและอาสาช่วยเหลือในด้านผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ทำให้เกิดการทำสัญญาร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอิสราเอล โดยเริ่มโครงการ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2509 ให้ชื่อว่า ‘โครงการไทย - อิสราเอล เพื่อพัฒนาชนบท (หุบกะพง)’ นั่นคือการต่อยอดจากพระราชดำริในการสร้างที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร 

พื้นที่โครงการเดิมเป็นป่าคุ้มครองของกรมป่าไม้ มีราษฎรเข้าไปจับจองอยู่บ้าง แต่ทำกินไม่ค่อยได้ผล เพราะดินไม่ดีและขาดแคลนน้ำ การทำกินจึงเป็นไปในลักษณะไร่เลื่อนลอย ย้ายที่ทำกินทุก 3-4 ปี จึงมีพระราชดำริให้กันพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ออกจากพื้นที่ป่า โดยทรงจับจองที่ดินตามขั้นตอนของกฎหมายแล้วนำมาจัดให้ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนและมีความขยันหมั่นเพียร แต่ขาดแคลนที่ทำกินได้เข้าไปอยู่อาศัยและทำประโยชน์ นั่นคือจุดเริ่มต้นจนเกิดเป็นข่าวนี้ในปี พ.ศ. 2518 

เกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องที่ดิน ผมขอยกบทความของท่านอดีตประธานองคมนตรี ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เรื่อง ‘พระบารมีคุ้มเกล้าฯ’ ในหนังสือ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับคณะองคมนตรี’ โดยมีใจความบางส่วนบางตอนที่เล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’ ความว่า...

“...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการณ์ไกลในอนาคตว่า ยิ่งนานวันชาวไร่ชาวนาจะยิ่งไม่มีที่ดินทำกิน เพราะความยากจนของเขาเหล่านี้ พวกที่เคยมีที่ดินต้องยอมสูญเสียกรรมสิทธิ์ให้แก่นายทุน และกลายมาเป็นผู้เช่าหรือไร้ที่ดินทำกินในที่สุด จึงมีพระราชดำริที่จะปฏิรูปที่ดินทำกิน เพื่อช่วยราษฎรที่ยากจนให้มีที่ดินทำกินตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างเริ่มจาก ‘โครงการจัดสรรและพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์หุบกะพง’

“รัฐบาลแต่ละชุดหลังจากนั้น ก็ได้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทในเรื่องปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำริของพระองค์มาเป็นลำดับ (พระองค์ไม่ได้บังคับให้ทำตามนะครับ แต่ถ้ารัฐบาลไหนเห็นประโยชน์ตรงนี้ก็สนองพระราชดำริของพระองค์เพื่อประโยชน์ของประชาชน)”

“ตั้งแต่รัฐบาลชุดศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เสนอและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ตราพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ขึ้น ช่วงที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ พระองค์ทรงพระกรุณาฯ รับโครงการไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้วยการพระราชทานที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 51,967 ไร่ 95 ตารางวา ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคกลาง แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นประเดิม โดยมีพระราชประสงค์ให้ผู้เช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่แต่เดิม ได้ทำกินในที่ดินนั้นต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน ตราบที่ยังยึดถืออาชีพเกษตรกรรมอยู่ แต่จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น (ให้ทำกินได้ แต่ไม่ให้ขายเพราะจะหมดที่ทำกินหากขายไป)”

“ต่อมาในสมัยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับพระราชทานพระราชดำริเรื่องการปฏิรูปที่ดิน โดยทรงขอให้รัฐบาลดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ช้านัก แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีเวลาอยู่ในหน้าที่ไม่นาน (เป็นรัฐบาลผสมยิบย่อยมาก ๆ) จึงยังไม่มีโอกาสสนองพระราชดำริเต็มที่ การปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำรินั้น จึงเริ่มดำเนินการในสมัยรัฐบาลชุดของผม (รัฐบาลของ ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร) ตามที่ได้มีพระราชดำรัสแนะนำ คือ ให้มีการแจกเอกสารสิทธิแก่ราษฎรผู้ไร้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และจัดให้มีการบูรณาการต่อไปด้วยการสร้างถนน สะพาน ขุดคลอง สร้างอ่างเก็บน้ำ ปรับปรุงคุณภาพดิน แจกปุ๋ย ฝึกอบรมสาธิตการเพาะปลูกพืชต่างๆ ที่ดูแลง่าย โตเร็ว ให้ราคาสูง และจัดสรรเงินทุนของกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกษตรกรกู้ยืมเพื่อการเกษตรด้วย…”

ถึงตรงนี้จบเรื่องราวที่ดินในบทความเล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’

น่าสังเกตว่าโครงการหุบกะพงที่ทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างนั้น มีการทดลองปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ วางแผนผังการจัดที่ดิน บำรุงรักษาพัฒนาแหล่งน้ำรวมกลุ่มเกษตรจัดตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อการผลิต การจำหน่าย จัดหาสินเชื่อ มีการส่งเสริมการเกษตรและพัฒนาอาชีพ ครบวงจร 

ที่น่าสนใจ คือ พระองค์พระราชทานที่ดินเพื่อใช้ประเดิมสำหรับการดำเนินงานปฏิรูปที่ดินในท้องที่ภาคกลางด้วย โดยรัฐบาลในขณะนั้นเริ่มทำการปฏิรูปที่ดินที่ได้รับพระราชทานมาทั้ง 50,000 ไร่เศษก่อน โดยมีที่ดิน ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่สามารถปฏิรูปได้ 43,902ไร่ จากนั้นก็บุกเบิกปฏิรูปที่ดินในท้องถิ่นทุรกันดารอื่น ๆ ตามพระราชดำริ รวมอีก 17 จังหวัด ปฏิรูปไปถึงท้องที่ ที่แห้งแล้งที่สุดในอีสาน คือ ทุ่งกุลาร้องไห้!! (วันนี้ไม่มีกุลามาร้องไห้ มีแต่ข้าวเจ้าที่อร่อยมาก ๆ) 

ต่อจากนั้น รัฐบาลชุดต่อ ๆ มาก็ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำรินี้จวบจนถึงปัจจุบัน จนสามารถช่วยเกษตรกรไทยให้มีที่ดินทำกิน และมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ยังได้พระราชทานพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพิ่มเติม โดยทรงชี้แนะด้วยว่า การปฏิรูปที่ดินในแต่ละท้องที่ จะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้เกษตรกรเห็นผลโดยไม่ชักช้าส่วนเงินชดเชยค่าที่ดินที่ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องทูลเกล้าฯ ถวายตามกฎหมายนั้น เพื่อพระราชทานให้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินงานของสหกรณ์ในเขตปฏิรูปที่ดินเหล่านั้น (คือเงินพระองค์ที่ชาวบ้านมาใช้ที่ดินของพระองค์พระองค์ไม่รับ ที่จ่าย ๆ กันมาให้เอาไปหมุนเวียนในสหกรณ์) พูดง่าย ๆ ว่า ทรงให้ทั้งที่ดินทำกิน ให้ทั้งเงิน แล้วยังให้พัฒนาทรัพยากรเพื่อการผลิตอื่น ๆ พร้อมด้วยความรู้ในการผลิตและการดำเนินการต่อไปด้วย

โชว์ผลงานมือปราบทุเรียนอ่อน!! 3 ปี ‘ชลธี’ จับทุเรียนอ่อนได้เพียงพันกว่าลูก แต่ไม่เคยจับทุเรียนสวมสิทธิ์แม้แต่รายเดียว

กรณีปรากฎข่าวครึกโครมเรื่องการโยกย้ายนายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสวพ.6 กรมวิชาการ เจ้าของฉายามือปราบทุเรียนอ่อนว่าเป็นการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมและจะเกิดผลกระทบต่อการปราบปรามทุเรียนอ่อนทุเรียนสวมสิทธิ์นั้น 

วันนี้มีรายงานข่าวจากกรมวิชาการเป็นรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ของนายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสวพ.6 กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยในรายงานสรุปว่า นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสวพ.6 ไม่ปรากฏผลงานด้านการจับกุมดำเนินคดีทุเรียนสวมสิทธิ์ระหว่างปี 2563-2565 และไม่ปรากฏผลงานด้านการจับกุมดำเนินคดีทุเรียนอ่อนระหว่างปี 2563-2564 มีผลงานเพียงจับกุมดำเนินคดีทุเรียนอ่อนในปี 2565 จำนวน 3 คดี โดยอายัตของกลางเพียง 1,694 ลูกเท่านั้นหรือ 5 ตันเศษจากปริมาณการส่งออกระหว่าง 1 ก.พ. - 5 มิ.ย. 2565 มีปริมาณ 433,809.92 ตัน

ทั้งนี้เป็นรายงานและตารางแสดงผลการปฏิบัติราชการป้องกันและปราบปรามทุเรียนสวมสิทธิ์และทุเรียนอ่อนระหว่างปี 2563-2565 ของหน่วยงานสำคัญ 3 หน่วย ได้แก่ สวพ.6 ด่านตรวจโรคพืชจันทบุรีและด่านศุลกากรจันทบุรีซึ่งปรากฏรายงานดังนี้

“…รายงานการจับกุมดำเนินคดีทุเรียนสวมสิทธิ์และทุเรียนอ่อนในพื้นที่ภาคตะวันออก

1. ทุเรียน สวมสิทธิ์   
ปี 2563 ด่านตรวจพืชจันทบุรีจัมกุมร่วมกับด่านศุลกากรจันทบุรีดำเนินคดีศุลกากร (จับที่หน้าด่านนำเข้า)
ปี 2564 ด่านตรวจพืชจันทบุรีจับกุมส่งดำเนินคดีที่โรงพักสภอ.เมืองจันทบุรี (จับที่โรงคัดบรรจุ)
ปี 2565 ลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภอ.ท่าใหม่ รวม 3 ครั้ง 
หมายเหตุ ; ระหว่างปี 2563-2565 
ไม่มีคดีของสวพ. 6

2. ทุเรียนอ่อน 
ปี 2565 ดำเนินคดี 3 คดี อายัดทุเรียน 1,694 ลูก น้ำหนักรวม 5,306 กก ดำเนินการ โดยสวพ. 6
หมายเหตุ : 
1. ระหว่าง ปี 2563-2564 ไม่มีคดีทุเรียนอ่อนดำเนินการโดยสวพ.6
2. สวพ.6 มีหน้าที่ตรวจสอบทุเรียนอ่อนโดยตรงหน่วยเดียวและตรวจทุเรียนอ่อนทุเรียนสวมสิทธิ์ก่อนปิดตู้เพื่อส่งออกหรือเคลื่อนย้ายทุเรียนออกจากสถานประกอบการ (ล้ง)

จากผลงานการปฏิบัติงานของนายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสวพ.6 ดังกล่าวทำให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรต้องลงไปจันทบุรีด้วยตัวเอง เพื่อเร่งรัดการทำงานปราบปรามทุเรียนอ่อนทุเรียนสวมสิทธิ์และในวันที่ 14 มีนาคม 2565 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้แถลงข่าวร่วมกับนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กรณีการจับกุมและดำเนินคดีตัดทุเรียนไม่ได้คุณภาพ (อ่อน) เพื่อการส่งออกที่สถานีตำรวจภูธรท่าใหม่ ซึ่งได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีมีล้งทุเรียนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี มีการรับซื้อทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) เพื่อนำส่งออกไปจำหน่ายที่ประเทศจีน และเป็นทุเรียนจากสวนและล้งที่สวพ.6 ออกใบรับรอง GAP และ GMP


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top