Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

สพฐ. ร่วมหารือกรมสุขภาพจิต สร้างความปลอดภัยในโรงเรียน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เตรียมประเมินสุขภาพจิตของนักเรียน จัดกลุ่มดูแลเยียวยาอย่างตรงจุด

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนได้หารือร่วมกับกรมสุขภาพจิตเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในโรงเรียน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งในส่วนของการทดสอบด้านจิตใจ กรมสุขภาพจิตในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงได้เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งด้านการถ่ายทอดความรู้ และทักษะที่ใช้สำหรับการประเมินสุขภาพจิตของนักเรียน ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทุกคน เพื่อที่จะทราบว่านักเรียนแต่ละคนมีสภาพจิตใจอยู่ในระดับใด และสามารถจัดกลุ่มนักเรียนให้ง่ายต่อการดูแลได้

ซึ่งจะมีทั้งกลุ่มเด็กสุขภาพจิตปกติ และไม่ปกติ เช่น ชอบทำร้ายตัวเอง ชอบทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น เมื่อมีการประเมินนักเรียนแล้ว กรมสุขภาพจิตก็จะให้ความรู้กับครูว่าสามารถเยียวยา ดูแลรักษาพัฒนากับเด็กแต่ละกลุ่มนี้อย่างไร และหากเด็กกลุ่มไหนที่มีสุขภาพจิตอยู่ในระดับที่เกินความสามารถของครู ก็จะมีการประสานบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยการทำงานแบบบูรณาการกัน คือ สุขภาพทางกายโรงเรียนเป็นผู้ดูแล และสุขภาพจิตทางกรมสุขภาพจิตเป็นผู้ดูแล

“ขณะนี้ สพฐ. และกรมสุขภาพจิตได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกันหมดแล้ว เมื่อ สพฐ.ป้อนข้อมูลเด็กในการตอบคำถามต่าง ๆ จะสามารถประมวลผลออกมาได้ทันทีว่าสุขภาพจิตของเด็กอยู่ในระดับไหน ก็สามารถจะจัดกลุ่มดูแลเยียวยาเด็กได้อย่างตรงจุด โดยจะมีการนำร่องในกลุ่มโรงเรียนคุณภาพชุมชนและโรงเรียนมัธยมดีสี่มุม จังหวัดละ 1 แห่ง จะเริ่มในปีการศึกษา 2564 นี้

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ทำให้ สพฐ.และหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพจิต ได้เข้ามาช่วยเหลือกัน รวมถึงจะมีการต่อยอดถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ปกครองด้วย เนื่องจากเราต้องการที่จะให้ทุกคนร่วมกันดูแลการสังเกตเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีทั้งกำลังกาย กำลังใจที่ดี มีความสุข พร้อมที่จะเรียนรู้ในแหล่งการเรียนรู้ที่ดี” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/717511342245106/?d=n

กรมจัดหางานจับจริง!! หลังเปิดให้นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวออนไลน์ 3 สัญชาติ ‘กัมพูชา - ลาว - เมียนมา’ ให้ทำงานและอยู่ในไทยเป็นกรณีพิเศษ หากพบฝ่าฝืนจ้างโดยไม่มีใบอนุญาติ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มุ่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อบริหารจัดการให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ได้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนแรงงาน และสามารถตรวจสอบควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นระบบ

ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน โดยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ได้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการยื่นบัญชีรายชื่อและแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ กับกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกแล้ว ปรากฏว่า…

...มีคนต่างด้าว 3 สัญชาติมาขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 654,864 คน แบ่งเป็น กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ซึ่งมีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 133,910 ราย เป็นคนต่างด้าว 596,502 คน แยกเป็น สัญชาติกัมพูชา 180,476 คน ลาว 63,482 คน และเมียนมา 352,544 คน

ขณะที่กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง มีคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลบุคคล 58,362 คน แยกเป็น สัญชาติกัมพูชา 23,203 คน ลาว 3,626 คน และเมียนมา 31,533 คน

อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการสำนักงานจัดหางานพื้นที่กรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ให้มีการประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ในทุกช่องทางมาโดยตลอด เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติที่ยังไม่มีนายจ้างทราบแนวทางการดำเนินการ ตลอดจนบทลงโทษ หากไม่ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลการทำงานของคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้หากตรวจพบการฝ่าฝืนกฎหมาย นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ

“สำหรับนายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าวที่ยื่นบัญชีรายชื่อตามขั้นตอนที่ 1 แล้ว ต้องดำเนินการ ดังนี้

1.) กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง คนต่างด้าวต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 จากนั้น สธ.ส่งผลการตรวจโรค และ ตม.ส่งข้อมูลการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ให้กกจ.ออกใบอนุญาตทำงานต่อไป นายจ้างชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์และหลักฐานการชำระเงิน ภายในวันที่ 16 มิ.ย.64 และนายจ้างพาคนต่างด้าวไปขอจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง กรุงเทพฯ กำหนด ภายใน 30 ธ.ค. 64

2.) กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง คนต่างด้าวต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค ไปขอจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง กรุงเทพฯ กำหนดภายในวันที่ 16 มิ.ย.64 นายจ้างที่ประสงค์จ้างคนต่างด้าวที่จัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) เข้าทำงาน ยื่นบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว

ผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์ และหลักฐานการชำระเงิน ภายใน 13 ก.ย.64 และนายจ้างพาคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง/กรุงเทพฯ กำหนดภายใน 28 ก.พ. 65 กรณีคนต่างด้าวทำงานในกิจการประมงทะเลต้องไปยื่นขอทำหนังสือคนประจำเรือ ณ ที่กรมประมงกำหนด เป็นขั้นตอนสุดท้าย ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ นายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

แรมโบ้ ป้องบิ๊กตู่ ปมฉีดวัคซีน จวก โอ๊ค คงว่างมาก หรือ กินยาผิดขนาด จนมึนเมายา

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์แสดงความเห็นเรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ควรรีบร้อนฉีดเป็นคนแรก ผู้นำประเทศควรเสียสละ ฉีดเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่เอาตัวรอด ว่า ในคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ที่บอกว่าพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 คนแรกถ้าฉีดได้ ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน หลักเกณฑ์ต่างๆ

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯ ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น ก็เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ว่าวัคซีนที่นำเข้ามานั้นมีความปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมายังมีประชาชนบางส่วน ยังมีความกังวลในเรื่องของความไม่ปลอดภัยหากจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ขณะที่ในบางประเทศผู้นำได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกเช่นกัน เพราะว่าต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในประเทศ

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา และให้ความสำคัญกับประชาชนก่อน เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ให้ประชาชนมีความปลอดภัยสูงสุดในการที่จะได้รับวัคซีน ยืนยันนายกฯ ไม่เคยคิดที่จะเอาตัวรอด หรือเอาเปรียบใคร โดยที่ผ่านมาก็ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง อีกทั้งยังเร่งจัดหาวัคซีนให้คนไทยโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่มีอยู่

นายสุภรณ์ กล่าวว่า คนที่เป็นผู้นำประเทศเขาก็คิดเช่นนี้ คิดถึงประชาชนก่อน ซึ่งคนอย่างนายพานทองแท้ แม้จะเกิดมาเป็นลูกและหลานของอดีตผู้นำก็คงไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะพ่อและอา ของนายพานทองแท้ตอนเป็นผู้นำประเทศไม่เคยคิดถึงใคร คิดถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเองมากกว่า ซึ่งหากนายพานทองแท้ ยังไม่เข้าใจการทำงานของนายกฯ ก็ไม่ควรที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ประชาชนเข้าใจในตัวนายกฯ ผิดไป และทำลายบรรยากาศบ้านเมืองในขณะนี้

"ช่วงนี้นายพานทองแท้ คงว่างมาก หรือไม่ก็คงกินยาผิดขนาดจนมึนเมายาหรือเปล่า จึงได้ออกมาแขวะนายกฯ บ่อยๆ สงสัยว่ากลัวคนไทยจะลืมพ่อและอาที่ทิ้งปัญหาอะไรไว้ให้กับประชาชน แม้แต่ชาวนาก็ไม่ละเว้น ถ้าขืนออกมาปั่นกระแสให้ตัวเองบ่อยๆเช่นนี้คงไม่เป็นผลดี เพราะคนที่เจ็บปวดและทุกข์ใจที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อและคุณอา ที่จะต้องถูกคนไทยขุดเรื่องราวการทุจริตในอดีตขึ้นมาพูดและสาปแช่งอีกต่างหาก ถ้าสงสารคุณพ่อและคุณอาก็ควรจะหยุดวาทะกรรมใส่ความคนอื่นได้แล้ว เพราะยิ่งพูดยิ่งทำให้คนไทยลืมวีรกรรมอัปยศที่ได้กระทำไว้กับประเทศไทย และคนไทยของอดีตผู้นำประเทศทั้งสองคนไม่ได้เลย" นายสุภรณ์ กล่าว

เวียดนามแซงหน้าไทยในหลายดัชนี ทั้งการส่งออก #Export ทุนต่างชาติไหลเข้า #FDI (แม้ไทยยังคงมี GDP และ GDP per capita สูงกว่าเวียดนาม)

ในขณะนี้ เวียดนามแซงหน้าไทยในหลายดัชนี ทั้งการส่งออก #Export ทุนต่างชาติไหลเข้า #FDI (แม้ไทยยังคงมี GDP และ GDP per capita สูงกว่าเวียดนาม) ล่าสุด “อังค์ถัด” เผยไทยถดถอยใน global supply chain ขาดความน่าสนใจลงทุน ในขณะที่ #นวัตกรรมเวียดนาม เป็นรองแค่ สิงคโปร์ -มาเลเซีย

#จุดแข็งเวียดนาม คนเวียดนามขยัน / เรียนรู้ / ปรับตัว / ไม่ทำตัวเป็นกบต้ม และมีการเมืองนิ่ง มีกลไกรัฐที่เข้มแข็ง และจริงจังจะเป็นปัจจัยเอื้อในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจให้วิ่งฉิวได้

เหรียญมี 2 ด้าน #เวียดนามยังมีจุดอ่อนในหลายด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ยังครอบคลุมไม่ทั่วทั้งประเทศ แต่เวียดนามไม่มัวแต่ชะล่าใจ ยอมรับปัญหา/เร่งพัฒนา เพื่อขจัดจุดอ่อนตัวเอง

เวียดนามมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน ประเทศจะไปทางไหน จนตอนนี้กลายเป็นฐานผลิต Smart Phone อันดับต้นของโลก

เวียดนามมีแบรนด์รถที่ผลิตเองแล้ว #Vinfast และมี Startup ระดับ Unicorn #VNG แต่ไทยยังไม่มีสักอย่าง

เวียดนามมีดัชนีด้านนวัตกรรม Global Innovation Index (GII) ที่แซงหน้าไทย และดัชนี Pisa ชนะไทยมาตั้งแต่ปี 2015 แล้วด้วย

เวียดนาม กลายเป็นคู่ค้าหลักของจีนที่ขยายตัวเร็วมากในยุคสีจิ้นผิง จึงดันให้สถิติอาเซียนทั้งกลุ่ม (10 ประเทศ) ก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีนในปี 2020 (แซงอียูและสหรัฐ)

ยุคนี้ เวียดนาม "อยู่เป็น" ในความสัมพันธ์กับจีน เวียดนามเน้นก้าวข้ามประเด็นความขัดแย้งกับจีน (พักปัญหาเอาไว้ก่อน) หันมาเน้นทำมาหากิน สร้างบ้านสร้างเมือง #ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต้องมาก่อน ต้องแข็งแกร่งให้ได้ก่อน เวียดนามฉลาดในการ #แปลงจีนให้เป็นโอกาส ด้วยจ้า

เวียดนามมียุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งทำ Digitalization เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วน 20% ของจีดีพีเวียดนาม ภายในปี 2025

ถ้าสนใจอ่านความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม คลิกอ่านบทความนี้ของ อ.ษร ได้เลย “ไหนว่าไม่รักกัน : ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม” https://www.the101.world/china-and-vietnam/

#ข้อได้เปรียบเวียดนาม ด้าน FDI มีอย่างน้อย 4 เรื่อง เช่น

1) โครงสร้างองค์กร จังหวัดมีกรม/กองที่ดูแลเรื่องการต่างประเทศและการส่งเสริมการลงทุนของตัวเองระดับหนึ่ง

2) กระทรวงการต่างประเทศเวียดนามมีกรมการต่างประเทศเพื่อจังหวัด ประสานส่งเสริมจังหวัดตามข้อ 1

3) USAID ร่วมกับ VCCI สำรวจ วิเคราะห์และรายงานผล Provincial Competitiveness Index มา 15 ปีแล้ว รวมทั้ง “ความโปร่งใส” และ “ความยากง่ายในการทำธุรกิจ”

4) คณะกรรมระดับชาติส่งเสริมเรื่องการใช้ประโยชน์จากคนเวียดนามโพ้นทะเล โดยเฉพาะและส่งเสริมมานานหลายสิบปีตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศลงมา

นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนาม ประกาศ #เเผนเศรษฐกิจ 5 ปี ฟื้นฟูประเทศจากพิษ COVID-19 ตั้งเป้าจีดีพีเติบโตสูงสุดถึง 7% เร่งพัฒนาให้เป็น ‘ศูนย์กลางใหม่’ ของการลงทุนเทคโนโลยีไฮเทค

*** ปัญหากบต้ม โดย Noel Tichy อธิบาย สภาพปัญหาเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น โดยคนทั่วไปไม่รู้ตัว /ชะล่าใจ จึงไม่ป้องกันตัวเองหรือปรับตัว เสมือนเป็นกบนอนแช่ในหม้อต้ม ตอนแรกสภาพน้ำเย็นสบาย ก็ชะล่าใจ แล้วพอน้ำค่อยๆ อุ่นขึ้น แทนที่กบจะกระโดดหนีกลับนอนแช่ทนต่อน้ำที่อุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นน้ำเดือด ในที่สุด จึงกลายเป็น “กบต้ม”ตายคาหม้อต้ม

             


อ่านเพิ่มเติมได้จาก

https://positioningmag.com/1317386?fbclid=IwAR2dtuk6qA3fMD4A-PCiMFoqP8ZhHXlRnLHEdg8qfN69TQDTSswMxRApGqw

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/923755

โดย ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

https://www.facebook.com/1037140385/posts/10222738872353895/

สาธารณสุข จัดงานใหญ่ ‘กัญชากัญชง 360 องศา เพื่อประชาชน’ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จ.บุรีรัมย์ 5 - 7 มีนาคมนี้

นายเเพทย์กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 5-7 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นประธานเปิดงาน มหกรรมกัญชงกัญชา 360 องศา เพื่อประชาชน ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นเเนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายในงานประกอบไปด้วย นิทรรศการทีชีวิตกับกัญชาเเละกัญชง 360 องศาเพื่อประชาชน เปิดตำรับยา อาหาร เวชสำอาง ก้าวเเรกกัญชาจากการคลายล็อก

ผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า การเสวนากัญชากัญชง กับวิทยากรที่ดีสุดของประเทศ อาทิ กฎหมายยาเสพติดกับอนาคตประเทศไทย ซึ่งมี ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน ผู้ค่ำหวอดในเรื่องกัญชา คณะที่ปรึกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการเเพทย์,จากใต้ดินสู่บนดินโดยหมอเดชา ศิริภัทร มูลนิธิข้าวขวัญ ,ประโยชน์เเละการใช้สารสกัดกัญชาทางการเเพทย์ โดยศาสตราจารย์นายเเพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,กัญชากับการรักษาโรคมะเร็ง โดย นายเเพทย์อิสระ เจียวิริยบุญญา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี,เทคนิคการใช้กัญชารักษาโรคให้ได้ผล : ประสบการณ์การรักษาคนไข้ห่างหายโรคด้วยกัญชา โดยเเพทย์หญิงจินตนา มโนรมย์ภัทรสาร สวัสดีคลีนิคเวชกรรม

นายเเพทย์กิตติ กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องการขออนุญาตปลูก ครอบครอง งานนี้เราได้ท่าน เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารเเละยา จะร่วมสัมมนาเรื่อง การกำกับดูแล การนำกัญชงเเละกัญชงไปใช้ประโยชน์ภายใต้กฎหมายใหม่ และสถาบันกัญชาทางการเเพทย์ จะบอกขอบเขตการทำงานที่ชัดเจนเดี่ยวกับกัญชงเเละกัญชา

ภายในงานยังประกอบไปด้วย จุดรับบริการตรวจรักษาฟรีที่คลีนิคกัญชาทางการเเพทย์เเบบบูรณากา รวมไปถึงการนำนวัตกรรมกัญชงสร้างมูลค่าด้วยภูมิปัญญาคนไทย ที่สำคัญที่การจัดเเสดงสินค้าผลิตภัณฑ์กัญชากัญชงจากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ที่สำคัญได้เรียนรู้เพื่อต่อยอดกับเวิร์กชอป กัญชากัญชง ฟรีทุกวัน ผู้เข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียน ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfes9QVflgacM1iTVPp5bAIA-c2-aLNdwqIwIffv1rWiNbAfQ/viewform?fbclid=IwAR3tgN_AbWFL1tw-voHxNIfH0wzEzc7PLbnuxfZAmti6tCtbyFIRwgZe2gM

“วันที่ 5-7 มีนาคม 2564 รับรองว่าเป็นการเปิดโลกใหม่ในเรื่องกัญชงเเละกัญชาในประเทศไทยเเน่นอน และงานนี้ไม่ควรพลาด” นายเเพทย์กิตติ กล่าวทิ้งท้าย

'บิ๊กตู่' เดือดหลังถูกถามเรื่อง ‘ทักษิณ’ เล่นคลับเฮ้าส์ ซัดกลับชอบฟังกันนักคนผิดกฎหมายให้เครดิตกันอยู่ได้ พร้อมย้ำไม่สนใจ ใช้เป็นช่องทางสื่อสารใหม่ เหตุไม่มีเวลา

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะพิจารณาหรือทดลองเล่นแอปพลิเคชันคลับเฮาส์ (Clubhouse) หรือไม่ เพราะจะได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางเพิ่มการสื่อสาร หลังจากที่เมื่อวานนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้เข้ามาเล่นเป็นครั้งแรก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่มีเวลาขนาดนั้น แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ซึ่งเป็นการติดตามในกรอบของกฎหมาย ในเมื่อทุกคนเข้าไปฟังได้ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปฟังได้ เพื่อที่จะได้ชี้แจงให้ถูกต้อง กรณีที่มีการบิดเบือน เรื่องนี้สุดแล้วแต่ประชาชนว่าจะอย่างไร ใครจะเข้ามาพูดก็แล้วแต่ ตนถือว่าวันนี้เป็นเรื่องของโลกใบใหม่ โลกยุคใหม่

"เราต้องดูว่าเรื่องอะไรที่ทำให้บ้านเมืองเราสงบสุข มีเสถียรภาพ ไม่งั้นก็วุ่นวายไปหมด สับสนอลหม่านไปหมดประชาชนก็เสียขวัญ ต้องนึกถึงประชาชนเขาบ้าง เขาจะเสียผลประโยชน์อย่างไรกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องของท่าน นั่นคือสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ที่เป็นของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ของประชาชนปวงชนคือคนทั้งหมดของประเทศ เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำถามที่เป็นกระพี้ขอให้ลดลงหน่อยก็แล้วกัน กระพี้ที่เป็นเปลือกนอกของต้นไม้ แก่นมันอยู่ตรงไหนถามตรงแก่นตรงนั้น และอะไรที่สร้างความขัดแย้งโดยที่ไม่ใช้ข้อเท็จจริงขยายความไปก็เท่านั้น ซึ่งอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ซึ่งบางเรื่องไม่ใช่จะต้องทันทีเพราะบางทีปัญหาซับซ้อน แต่อย่าทำบ้านเมืองไม่สงบก็แล้วกัน ตราบใดที่ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงต้องมีการตรวจสอบทุกเรื่อง

อย่างไรก็ตามภายหลังการแถลงระหว่างเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อสื่อมวลชนถามว่าที่นายทักษิณ พูดในแอปพลิเคชันคลับเฮ้าท์เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 ก.พ.) มีการบิดเบือนหรือไม่ และนายทักษิณ ยังถามด้วยว่า ทำไมเวลาเอ่ยชื่อตนถึงต้องโมโห ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมไม่ได้ฟัง ต้องไปถามเขาดู คนผิดกฎหมายอยู่ต่างประเทศ ฉันจะฟังทำไมเล่า ชอบฟังนักนะ ไอ้คนผิดกฎหมายเนี่ย ทำลายกฎหมาย ให้เครดิตกันอยู่ได้"

ทั้งนี้ ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ได้ชี้ไปยังต้นอโศกน้ำ เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงเรื่องนายทักษิณ โดยกล่าวว่า "นี่แหละกระพี้ กระพี้ นี่เปลือกกระพี้นี่ไง"

อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกันนี้ได้พูดคำว่า "กระพี้" อยู่หลายครั้ง ซึ่งกระพี้นั้นหมายถึง ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น, เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่นมีลักษณะอ่อนและยุ่ยง่าย ในอีกทางหนึ่งหมายความว่า ไม่เป็นแก่นสาร

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้กับคนไทย เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 64

‘ดราม่าวัคซีน’ ทำให้ไทยได้วัคซีนช้า!!! ‘อนุทิน’ เผย วัคซีนถึงไทย พรุ่งนี้ 2 ยี่ห้อ ให้ ‘บิ๊กตู่’ ฉีดยี่ห้อ แอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนป้องกันโควิดเข็มแรกของไทย

เมื่อเวลา 14.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ ถึงการเตรียมการฉีดวัคซีนให้กับคนไทย ว่า เรื่องนี้ต้องให้นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ ประธานคณะอนุกรรมการ อำนวยการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกัน โควิด-19 เป็นคนชี้แจงจะดีที่สุด โดยสื่อมวลชนจะต้องติดตามการแถลง ของนายแพทย์โสภณเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวถามว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสามารถฉีดวัคซีนเป็นเข็มแรกของประเทศไทยเลยได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ได้ นายกฯ ต้องเป็นเข็มแรกเพราะเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งต้องมีกระบวนการประเมินความเสี่ยงโดยกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นขั้นตอนตามวิธีการสากลไม่ใช่วิธีปฏิบัติต่อบุคคลใดเป็นพิเศษ ทั้งนี้ นายกจะได้รับวัคซีนที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ คือ ไม่ใช่ซิโนแวค เพราะซิโนแวคมีข้อจำกัดเรื่องอายุ แต่เป็นอีกยี่ห้อหนึ่ง คือ แอสตร้าเซนเนก้า โดยผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนเป็นผู้จัดหามาให้ก่อน ส่วนจะฉีดเมื่อไหร่นั้น ต้องรอให้นายแพทย์โสภณเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด และเมื่อนายกรัฐมนตรีฉีดวัคซีนแล้วก็สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้ตามปกติ

ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนนายอนุทินเองจะเป็นคนฉีดเข็มที่สองของประเทศไทยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าเขาให้ฉีด เพราะคนที่ฉีดซิโนแวค หมายความว่าเป็นคนหนุ่ม คืออายุไม่เกิน 60 ปี

นายอนุทิน กล่าวว่า วัคซีนทั้งสองยี่ห้อคือ แอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 117,000 โดส และ ซิโนแวค จะเดินทางมาถึงประเทศไทย ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ และความจริงถ้าไม่มีดราม่าเกิดขึ้นกันมากวัคซีนก็จะมาถึงประเทศไทยก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการเว้นระยะฉีดระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สองนั้นของซิโนแวค จะต้องเว้นห่างกัน 14-28 วัน ส่วน แอสตร้าเซนเนก้า เว้นห่างกัน ประมาณ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้ รายละเอียดทางวิชาการตนอาจจะระบุรายละเอียดไม่ได้มากนัก เพราะเป็นแผนกสนับสนุน ให้เกิดความสำเร็จ

ผู้สื่อข่าวถามว่ายืนยันจะเริ่มต้นฉีดให้กับพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงก่อน ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การฉีดวัคซีนจะเริ่มต้นที่สถานพยาบาลก่อน เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ ทางกรมควบคุมโรค จะต้องมีความมั่นใจว่าจะทำให้เกิดความปลอดภัย สูงสุดกับประชาชน โดยจะต้องสังเกตอาการภายหลังฉีดวัคซีน 30 นาที จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขและสถานพยาบาลต่างๆจะให้ยาแก้แพ้ ให้ตามอาการจากเบาไปหาหนัก ซึ่งเชื่อว่าไม่มีอะไรมากมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจ - อย. บุกทลายโรงงานลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน สบู่ยี่ห้อดังย่านลำลูกกา ปทุมธานี อึ้ง พบของกลางเป็นตัน เผยใช้ถุงบรรจุพิมพ์เลียนแบบ ก่อนส่งไปขายตามตลาดนัด เน้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่โกดังเลขที่ 38/8 ภายใน อรดาแฟคเตอร์รี่แลนด์ คลอง 8 ลำลูกกา ต.ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ต.วิวัฒน์ ไชสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต. ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ., ภญ. สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงผลการทลายโรงงานลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน และสบู่ สวมยี่ห้อดัง ย่านลำลูกกา

พล.ต.ต.วิวัฒน์ ไชสังฆะ รอง ผบช.ก.กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนว่า มีโรงงานแห่งหนึ่งย่านลำลูกกา ลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน และสบู่ ปลอม จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว พบแรงงานต่างด้าวจำนวนหนึ่งกำลังบรรจุผงชูรสยี่ห้อ อายิโนะโมะโต๊ะ น้ำยาล้างจานยี่ห้อ ซันไลต์ และสบู่ยี่ห้อ เบนเนท

จากการสืบสวนพบว่า สถานที่แห่งนี้มีพฤติการณ์ลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน และสบู่ ปลอมมากว่า 1 ปีแล้ว ผลิตผงชูรสโดยแบ่งบรรจุจากผงชูรสไม่มียี่ห้อนำมาผสมเกลือ ก่อนบรรจุใส่ถุงที่พิมพ์ยี่ห้อ “อายิโนะโมะโต๊ะ” ผลิตน้ำยาล้างจานโดยแบ่งบรรจุจากน้ำยาล้างจานที่ผสมเอง แล้วนำมาบรรจุถุงที่พิมพ์ยี่ห้อ “ซันไลต์” ส่วนสบู่จะนำมาห่อพลาสติกและบรรจุลงกล่องที่พิมพ์ยี่ห้อ “BENNET” แล้วส่งสินค้าสำเร็จรูปไปขายในจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส

เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางไว้ทั้งหมด เป็นผงชูรสสำเร็จรูปปลอมยี่ห้อ อายิโนะโมะโต๊ะ กว่า 5,000 ซอง ผงชูรสวัตถุดิบ กว่า 22 ตัน เกลือวัตถุดิบกว่า 1.4 ตัน ซองผงชูรสเปล่ากว่า 1.1 แสนชิ้น น้ำยาล้างจานสำเร็จรูปยี่ห้อ ซันไลต์ 20 ถุง ซองน้ำยาล้างจานเปล่ากว่า 25,000 ชิ้น สบู่ยี่ห้อ BENNET กว่า 2,088 ก้อน สบู่เปลือยรอบรรจุกว่า 20 กระสอบ ลังบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์การผลิต และเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตอีกจำนวนหนึ่ง

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ฐานผลิตอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตและปลอม มีโทษสูงสุด จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึง 1 แสนบาท ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ฐานผลิตวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 โดยไม่แจ้งข้อเท็จจริงและปลอม มีโทษสูงสุด ต้องระวางโทษกึ่งหนี่งของโทษตามมาตรา 75 (จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 7 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) และตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ฐานผลิตเครื่องสำอางที่ไม่ได้จดแจ้ง/ปลอม/แสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ในประเด็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป

พล.ต.ต. วิวัฒน์ ไชสังฆะ รอง ผบช.ก. กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่แจ้งเบาะแสการกระทำความผิด ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้ง อย. และ บก. ปคบ. สามารถสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก ไม่ให้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพหลุดลอดไปจำหน่าย หากพบเห็นการลักลอบผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน ปคบ. 1135 เพื่อตำรวจ บก. ปคบ. และเจ้าหน้าที่ อย. จะร่วมกันปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป

ด้านภญ. สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอมที่ยึดได้ใช้วิธีสวมยี่ห้อผลิตภัณฑ์ที่ขออนุญาตอย่างถูกต้อง ทำให้ตรวจสอบได้ยาก ขอให้ผู้บริโภคระวังสินค้าที่มีราคาถูกเป็นพิเศษหรือขายในแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หากไม่แน่ใจให้ตรวจสอบกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ตามที่ปรากฏในฐานข้อมูลของ อย. และหากพบการลักลอบผลิต นำเข้า จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556

ส่วนนายชาย ปราบเล่ง กรรมการผจก. สบู่เบนเนท กล่าวว่า การดูของแท้หรือของปลอมนั้น ให้ตรวจดูบริเวณใต้กล่อง จะมีล็อตนำเบอร์ และตรงยี่ห้อจะมีสัญญาลักษณ์ ตัว R อยู่ และการซื้อสบู่ของบริษัทก็สามารถซื้อได้ตามร้ายค้าชั้นนำ และร้านค้าที่หน้าเชื่อถือ ซึ่งส่วนมากสบู่ปลอมจะขายตามตลาดนัด หรือไม่ก็ในเฟซบุ๊ก ที่มีราคาถูกกว่าราคาจริงมาก


อ้างอิงเพจ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_6010337

‘พ่อมดดำ’ เตือนพรรคการเมืองคิดให้ดีก่อนเช็คบิล ส.ส.แหกมติ ชี้ รัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิ์ - อิสระ หากด่วนลงดาบอาจขัดรัฐธรรมนูญถึงขั้นถูกยุบพรรคได้ หวังป้องกันระบบ ‘ใบสั่ง’ แต่ถ้าส.ส.สวนมติพรรคแลกผลประโยชน์ สมควรถูกประณาม - ลงโทษ

นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวถึงกรณี ส.ส.ลงมติในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลไม่เป็นไปตามมติพรรค และแต่ละพรรคมีการตั้งกรรมการสอบสวนว่า

ประเด็นนี้ไม่ควรมองในมิติเสถียรภาพของรัฐบาล ความเป็นเอกภาพของฝ่ายค้าน หรือมารยาททางการเมืองเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องมองในมุมของหลักการ และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.ด้วย

เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ได้บัญญัติเกี่ยวกับความเป็นอิสระ และเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ไว้ในหลายส่วน อาทิ มาตรา 114 ที่ระบุว่า ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใดๆ ขณะที่มาตรา 124 ก็ระบุว่า ในที่ประชุมสภาฯ ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ตลอดจนข้อบังคับสภาฯ ข้อที่ 178 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดไว้สอดคล้องกัน คือ ทั้งในการอภิปราย หรือการลงมติ สมาชิกของพรรคการเมืองย่อมมีอิสระ ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ เพื่อเป็นหลักประกันในการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของปวงชนชาวไทย ที่ต้องมีอิสระ

“การลงมติใด ๆ ของ ส.ส.แต่ละคนย่อมเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ผู้นั้นที่จะไม่อยู่ในอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับสภาฯ ได้บัญญัติรองรับไว้อย่างชัดเจนว่า ส.ส.ย่อมอยู่ภายใต้หลักของการทำหน้าที่ด้วยความเป็นอิสระเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปของการปกครองระบอบประชาธิปไตย” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การดำเนินการของพรรคการเมืองเพื่อสอบสวน ส.ส.ที่ไม่ลงมติตามมติพรรคนั้นสามารถกระทำได้ภายใต้ข้อบังคับของพรรคการเมืองนั้นๆ เพื่อแสวงหาเหตุผลที่ ส.ส.ไม่ปฏิบัติตามมติพรรค และนำไปชี้แจงต่อประชาชน รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีฝ่ายรัฐบาล อาจจะเป็นเพราะรัฐมนตรีผู้นั้นชี้แจงข้อกล่าวหาได้ไม่ชัดเจน ซึ่งก็ต้องเป็นรัฐมนตรี หรือพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ต้องดำเนินการชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนส.ส.ฝ่ายค้านก็อาจมองรัฐมนตรีชี้แจงได้ชัดเจนดีแล้วจึงลงมติไว้วางใจให้ เป็นต้น

ส่วนการจะสอบสวนเพื่อนำไปสู่การลงโทษ ซึ่งข้อบังคับของแต่ละพรรคกำหนดโทษสูงสุดถึงขั้นขับออกจากพรรคนั้น ควรต้องพึงระวังว่าอาจจะขัดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 เข้าข่ายการกระทำที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรมนูญกำหนด หรือเป็นลักษณะที่ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากใช้เหตุผลว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจ แล้วมาสอบสวนหรือลงโทษ ส.ส.ที่สังกัดพรรคตัวเอง อาจเข้าข่ายคนนอกครอบงำ เป็นเหตุให้นำไปสู่การร้องขอให้ยุบพรรคการเมืองนั้นได้

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนอยู่ในระบบพรรคการเมืองมาตลอด เข้าใจดีถึงความสำคัญของความเป็นเอกภาพของพรรคการเมือง ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการให้ท้ายหรือสนับสนุนให้ ส.ส.แหกมติพรรค แต่ต้องไม่ลืมว่า มติพรรคไม่ได้มีสภาพบังคับตามกฎหมาย เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของพรรค แต่เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เช่นนี้พรรคต้นสังกัดก็ย่อมต้องให้เกียรติวิจารณญาณของ ส.ส.ด้วยเช่นกัน แม้ ส.ส.จะต้องสังกัดพรรคการเมือง และอยู่ภายใต้ข้อบังคับของพรรคการเมือง แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดจะอยู่เหนือรัฐธรรมนูญที่ให้อิสระไว้ได้ อีกทั้งการยึดติดให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรคอย่างเคร่งครัดก็อาจนำไปสู่ระบบใบสั่ง ทำให้ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน ไม่มีเสรีภาพในการออกเสียงอย่างเป็นอิสระ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

“ผมเห็นว่าการลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจฯของ ส.ส.เป็นวิจารณญาณของผู้นั้นที่จะตัดสินใจได้โดยอิสระ แต่ในทางกลับกันหากการลงมติของ ส.ส.ผู้นั้นไม่เป็นไปตามมติพรรค เพียงเพื่อแลกรับผลประโยชน์ต่างตอบแทนใดๆ หรือมีวาระส่วนตัวซ่อนเร้น ก็เป็นเรื่องที่ควรต้องถูกประณามและลงโทษในแง่จริยธรรมเช่นกัน หากชี้แจงไม่ได้หรือมีหลักฐานชัดเจน” นายสุชาติ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top