Wednesday, 11 June 2025
ElectionTime

บ่อปลานี้ ตกไม่ง่าย!! จับตา 'สุราษฎร์ฯ-นครศรีฯ-สงขลา' ชี้ชะตา 'บิ๊กตู่-จุรินทร์-เฉลิมชัย'

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เลือกตั้ง 2566 นี้ หากได้ ส.ส.น้อยกว่าเดิม (52) ที่นั่ง...จะเกิดเหตุอย่างน้อยสองอย่าง

อย่างแรก 'เฉลิมชัย ศรีอ่อน' เลขาธิการพรรคจะวางมือทางการเมืองตามประกาศ...

อย่างที่สอง 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' ก็น่าจะอำลาเก้าอี้หัวหน้าพรรคแบบ บัญญัติ บรรทัดฐาน เมื่อปี 2548 และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี2562

และสำหรับ 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากเลือกตั้งหนนี้ได้ ส.ส.ไม่ผ่าน 50 ที่นั่ง โอกาสที่จะวืดเก้าอี้นายกฯ รอบสาม ก็มีสูง...อย่ามองข้ามความปลอดภัย

ประชาธิปัตย์ และ พรรคพล.อ.ประยุทธ์ (รวมไทยสร้างชาติ) จะฝ่าเส้นตายเอาเสียงมาจากไหนที่เป็นกอบเป็นกำที่สุด...

คำตอบคือ บ่อปลาภาคใต้ 60 ที่นั่ง (ไม่ใช่ปลาในบ่อเพื่อน) อยู่ที่ว่าใครจะมีฝีมือตกได้มากกว่ากัน   

เลือกตั้ง 2562 ภาคใต้มี 50 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์หล่นวูบจาก 50 ที่นั่งเมื่อปี 2554 เหลือ 22 ที่นั่ง ส่วนพรรคพลังประชารัฐโหนกระแสลุงตู่เข้าสภา 13 คน...เฉพาะนครศรีธรรมราชกับสงขลาก็กวาดมาได้ 7 ที่นั่ง (3+4)   รอบนี้ลุงสวมเสื้อรวมไทยสร้างชาติ...กระแสยังแรง

สำหรับภาคใต้...ข่าวกึ่งปิดกึ่งเปิดประชาธิปัตย์ตั้งเป้า   35-40 ที่นั่ง รวมไทยสร้างชาติตั้งเป้า 25-30...นี่ยังไม่นับรวมตัวแบ่งอย่างภูมิใจไทย, ประชาชาติ...ซึ่งสองพรรคนี้มีอยู่ในมือแน่ๆ 10 ที่นั่ง!!

มีความเป็นไปได้ที่ ประชาธิปัตย์ หรือ รวมไทยสร้างชาติ ไม่พรรคใดพรรคหนึ่งต้องพลาดเป้าอย่างแรง หรือพลาดทั้งคู่คือหล่นลงมาสูสีกันที่ 20 กว่าที่นั่ง

กรณีประชาธิปัตย์ถ้าภาคใต้ได้ไม่ถึง 25 ที่นั่ง โอกาสที่ยอดรวมทั้งประเทศจะไปถึง 52 ที่นั่งบอกได้คำเดียวว่ายากมากถึงยากที่สุด

กรณีพรรคลุงตู่ก็คล้ายๆ กัน หากตกปลาบ่อภาคใต้ได้ไม่ถึง 20 คน โอกาสที่จะไต่เพดานไปเป็นพรรค 60-70 คนตามที่แอบฝันกันไว้ ก็ยากยิ่ง...การที่จะไปกดดันหรือต่อรองให้ 'อนุทิน' เล่นบท 'หนู ช่วยราชสีห์' ก็ยากขึ้น...!!

ดังนั้น จากนี้ไปอย่าได้กระพริบตาสมรภูมิภาคใต้ โดยเฉพาะ 3 จังหวัดใหญ่ชี้เป็นชี้ตาย เพราะมีเก้าอี้ ส.ส.รวมถึง 26 ที่นั่ง ได้แก่...

สุราษฎร์ธานี 7 คน, นครศรีฯ 10 คน และ สงขลา  9 คน...

ใครกวาดเก้าอี้ 3 จังหวัดนี้ได้เกิน ถึง 20 ที่นั่ง...ก็โล่งโปร่ง
 

ห้ามโหนสถาบัน 'เลขา กกต.' ร่อนหนังสือแจ้งพรรคการเมือง ควบคุมสมาชิกพรรค ห้ามดึงสถาบันมาหาเสียง

(13 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ ได้ลงนามในหนังสือ เรื่อง การควบคุมและกำกับดูแลมีให้สมาชิกพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย แจ้งต่อหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค โดยระบุว่าด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 22 กำหนดให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของ กกต. และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาแล้วแต่กรณี คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมีให้สมาชิกพรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการในลักษณะที่อาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดซึ่งสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม นายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้พรรคการเมืองปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น 

จึงขอให้พรรคการเมืองแจ้งให้สมาชิกพรรคการเมืองได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของ กกต.โดยเฉพาะระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนของการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง และเมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือเมื่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้รับแจ้งจากนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าสมาชิกพรรคการเมืองกระทำการอันอาจมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 22 วรรคหนึ่ง

หรือวรรคสอง ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีมติหรือสั่งการให้สมาชิกพรรคการเมืองยุติการกระทำนั้นโดยพลัน และกำหนดมาตรการหรือวิธีการที่จำเป็นเพื่อมิให้สมาชิกพรรคการเมืองผู้ใดกระทำการ อันอาจมีลักษณะดังกล่าวอีก แล้วแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีมติ

ความเห็นส่วนตัว ‘จาตุรนต์’ แจงปม ‘ไม่จับมือพลังประชารัฐ’ รับ!! เป็นความเห็นส่วนตัวที่ตรงตามแนวทางพรรค

สืบเนื่องกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการปราศรัยที่บางระกำ พิษณุโลกเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา โดยในตอนท้ายระบุว่า ตนพูดยืนยันคำประกาศของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ซึ่งระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐในการตั้งรัฐบาล

ล่าสุด เมื่อวันนี้ (13 มี.ค.66) นายจาตุรนต์ทวีตข้อความว่า จากประเด็นดังกล่าว มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งมีส่วนจริง แต่เป็นไปตามแนวทางของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่เคยกล่าวไว้ก่อนแล้ว ความดังนี้

ต้องแก้ฝุ่นเชิงรุก ปชป. ติง!! ผู้รับผิดชอบปัญหาฝุ่น PM 2.5  มีทัศนคติไม่ถูกต้อง มองปัญหาจะหมดไปเอง

ปชป.กทม. ชู นโยบายประกาศสงครามฝุ่นพิษ ชงตั้ง 'โซนมลพิษต่ำ' นำร่อง 16 เขตใจกลางเมือง พร้อมเดินหน้ากรุงเทพฯ เมืองอากาศสะอาด เปิดทางทุกฝ่ายร่วมแก้ไขปัญหามลพิษ

(13 มี.ค.66) ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกทม. และนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบายกทม. พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงถึงแนวทางการประกาศสงครามกับปัญหามลพิษและฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการกำหนดเขตควบคุมมลพิษใจกลางเมือง 16 เขต โดยนายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นความสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงพยายามหามาตรการและแนวทางต่างๆ เพื่อแก้ไข แต่ยังพบว่าไม่สามารถดำเนินการได้เท่าที่ควร ด้วยสาเหตุดังนี้…

1.ผู้บริหารที่รับผิดชอบเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง และมองว่าปัญหานี้จะค่อยๆ หมดไป หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่มาตามเทศกาลช่วงปลายปีต่อเนื่องกับช่วงต้นปี

2.ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ยังไม่บังคับใช้กฎหมายและมาตรการที่มีอยู่ได้อย่างจริงจัง 3.ผู้บริหารที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ยังไม่พยายามหามาตรการหรือแนวทางให้เท่าทันกับปริมาณฝุ่นที่เพิ่มขึ้น 

พรรคฯ จึงมอบหมายให้นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานนโยบายกทม.ของพรรคฯ ได้ศึกษาตามกระบวนการ ‘ฟัง-คิด-ทำ’ ร่วมกับนักวิชาการ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 จนมีข้อสรุปในเชิงนโยบาย เพื่อกำหนดวิธีการและมาตรการในการแก้ไขปัญหานี้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 เราจะสามารถดำเนินการได้ในที่สุด

ย้ำจุดยืน!! ‘พิธา’ ชู ‘รัฐสวัสดิการ’ จุดแข็ง ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! พร้อมลดความเหลื่อมล้ำ-พาไทยก้าวไปข้างหน้า

(13 มี.ค.66) เวทีแรกของแคมเปญ ‘มติชน: เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย’ ซึ่งจัดที่โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ) ภายใต้หัวข้อ ‘ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง’ ที่มีตัวแทนจาก 8 พรรคการเมืองร่วมขึ้นเวทีประชันนโยบาย

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงจุดแข็งของพรรคก้าวไกลว่า ตนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสพูดในช่วงที่ 1 และช่วงที่ 2 เนื่องจากเป็นเหยื่อของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จนเป็นหลอดลมอักเสบ และเสียงไม่เต็มร้อย แต่ใจเต็มร้อยแน่นอน อย่างไรก็ตามแค่ช่วงนี้ช่วงเดียวตนสามารถตอบทุกคำถามตั้งแต่ช่วงที่ 1 และช่วงที่  2 ทั้งการปฏิรูปกองทัพ ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ด้วยสไลด์เพียงหนึ่งสไลด์ ตนสามารถตอบจุดแข็งของพรรคก้าวไกลด้วยคำเดียว คือ รัฐสวัสดิการ ที่จะทำให้การเมืองดี ปากท้องดี และมีอนาคต มาจากจุดแข็งย่อยที่เราคิดมาตลอดว่า การเมืองกับเรื่องปากท้องเป็นเหรียญเดียวกันที่แยกกันไม่ออก เรื่องเกี่ยวกับกัญชา เรื่องเกี่ยวกับแรงงาน เรื่องเกี่ยวกับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ถ้าอำนาจทางโครงสร้างยังไม่ใช่ คนที่เข้ามาในการเมืองมาจากการลากตั้ง ไม่ใช่การเลือกตั้ง การใช้ภาษีของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาปากท้องอย่างยั่งยืนจึงเป็นไปไม่ได้ ตนไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะทำเหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้วได้ แต่เราต้องมองไปถึงอนาคต ว่าประเทศจะต้องเจริญเติบโต และลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกันได้ เราไม่ได้มองแค่ว่าจุดแข็ง ให้กลายเป็นโอกาส แต่เรามองจุดอ่อนให้เป็นโอกาสด้วย ทั้งหมดนี้ สามารถย่อยออกมาได้เป็นรัฐสวัสดิการ 

แลนด์สไลด์ลูกเดียว ‘เพื่อไทย’ เปิดเพิ่ม 11 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.  คาดเปิดครบ 400 เขต 17 มี.ค.นี้

(13 มี.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงเปิดตัวผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ภาคเหนือ, อีสาน, กทม. และภาคกลาง เพิ่มเติม

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในนามของพรรคเพื่อไทย ขอประกาศรายชื่อผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยครั้งสุดท้ายวันนี้ 11 คน ก่อนที่จะมีการประกาศตัวใหญ่ในวันที่ 17 มีนาคม 2566 ครบทั้ง 400 เขต ในส่วนที่ขาดเหลืออยู่ในนามของพรรคต้องขอขอบคุณผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. พรรคเพื่อไทย ที่ทุกคนได้พยายามนำเสนอ พิสูจน์ตัวเองจนได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็นเบื้องต้น ก่อนจะเข้าสู่การสรรหาการพิจารณาตามกฎหมายต่อไป

“พรรคเพื่อไทยประกาศเป้าหมายในการทำหน้าที่อาสารับใช้พี่น้องประชาชน เรื่องยุทธศาสตร์การเข้าสู่เป้าหมายโดยจับมือประชาชน ด้วยการชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ได้ที่นั่งในสภา 310 เสียงขึ้นไป ซึ่งได้ประกาศในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ของพรรค จะเป็นหลักประกันในการจัดตั้งรัฐบาลของพี่น้องประชาชนได้” นพ.ชลน่าน กล่าว

ประชันนโยบาย 'สนธิรัตน์' ย้ำจุดยืน 'พปชร.' ก้าวข้ามความขัดแย้ง โว!! ‘ลุงป้อม’ นั่งนายกฯ ค่าครองชีพลด ศก.ฐานรากฟื้น

(13 มี.ค.66) ที่โรงแรมพลูแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมแสดงนโยบายในงาน มติชน: เลือกตั้ง’66 บทใหม่ประเทศไทย ประชันนโยบาย ‘ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง’ ที่จัดขึ้นโดยบริษัทในเครือมติชน

โดย นายสนธิรัตน์ ได้กล่าวถึงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐต่อคำถามเรื่องหากได้เป็นรัฐบาลจะแก้ไขร่างใหม่ หรือดำเนินการอย่างไรกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่เป็นข้อถกเถียงในปัจจุบัน ว่า รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขได้ เมื่อบังคับใช้ไประยะเวลาหนึ่งแล้วจะเห็นจุดอ่อนจุดแข็ง หากเรื่องใดไม่สามารถขับเคลื่อนตามเจตนารมย์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ หรือเกิดข้อถกเถียงในเรื่องมุมมองความคิดก็สามารถแก้ไขได้ และหัวใจสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือประโยชน์ของประชาชน

"ขอย้ำว่าจุดยืนของพรรคคือเราไม่ใช่พรรคของการสืบทอดอำนาจอย่างที่หลายคนกล่าวถึง พรรคพลังประชารัฐดำเนินการภายใต้กติกา และกฎเกณฑ์เดียวกันทุกอย่าง สิ่งที่พรรคยึดมั่นได้แสดงออกผ่านจดหมายน้อยของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ว่าเคารพในหลักการของประชาธิปไตย และเคารพเรื่องของประเทศต้องมีการเปลี่ยนผ่าน เราเชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องนำไปสู่รัฐบาลที่ดี และสร้างรัฐบาลที่ไม่ก่อเกิดความขัดแย้ง" นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พรรคเป็นห่วงมากที่สุดคือไม่อยากเห็นการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการหยิบจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ และพรรคการเมืองมาสร้างความแตกแยก ทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งไปสู่ความขัดแย้ง พรรคจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง

นอกจากนี้ นายสนธิรัตน์ ยังได้ตอบคำถามในเรื่องการกระจายอำนาจ ว่าคิดอย่างไรที่ประเทศไทยมีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้ง นอกจากนี้ยังมีอบต. เทศบาล และอบจ. และจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีผู้ว่าฯ จากการเลือกตั้ง ว่า หนึ่งในหัวใจที่นำไปสู่ความมั่นคงของประเทศคือการกระจายอำนาจ แต่ทำได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากส่วนกลางทั้งกระทรวง ทบวง กรมมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการ ต้องยอมรับว่าคนที่อยู่ใกล้พี่น้องประชาชน และเข้าใจปัญหาพื้นที่ได้ดีที่สุดคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขอเรียนว่าพรรคพลังประชารัฐเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ เพราะทำให้ท้องถิ่นแข็งแรงขึ้น แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่การกระจายอำนาจ การรวมศูนย์ต้องลดบทบาทลง พร้อมกับเพิ่มศักยภาพให้ท้องถิ่น ทั้งในด้านงบประมาณ กฎหมายและอัตรากำลัง ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น เป็นโมเดลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ บางจังหวัดที่มีสภาพเศรษฐกิจที่โต และมีรูปแบบพร้อมต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ได้ ก็เช่น จ.ภูเก็ต ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนได้มีบทบาทในการดูแลจังหวัดของเขามากยิ่งขึ้น

จากนั้น นายสนธิรัตน์ ได้ร่วมดีเบตกับพรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อนโยบายเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และซอฟต์พาวเวอร์ ว่า ประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก นักท่องเที่ยวมาไทย เพราะเรามีทุนทางวัฒนธรรม และนิสัยใจคอของคนไทย ซึ่งทุนทางวัฒนธรรม สามารถทำให้กลายเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจที่สำคัญได้ โดยการขับเคลื่อนมีหลายมิติ 5 ด้าน ได้แก่ 1.อาหาร ต้องมีการผลักดันอาหารไทย 2.เฟสติวัล เรามีเสน่ห์ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม 3.แฟชั่น ประเทศไทยต้องเป็นศูนย์กลางแฟชั่น 4.ฟิล์ม และ 5.มวยไทย

โดยการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ 1.นโยบายต้องชัดเจน ไม่เป็นนโยบายที่เป็นวาทกรรม 2.งบประมาณ ต้องมีเพียงพอในการขับเคลื่อน และ 3.กลไกรัฐ องค์กรที่เกี่ยวข้อง กระทรวงต่างๆ ที่ต้องบูรณาการ และปรับแผนงาน สามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย

ทั้งนี้ ในช่วงสุดท้ายเป็นการเปิดโอกาสให้แสดงวิสัยทัศน์ นายสนธิรัตน์ กล่าวในตอนหนึ่งว่า หากเลือกพรรคพลังประชารัฐ ได้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ และจะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย ได้แก่…

1.ไม่มีความขัดแย้ง นี่คือจุดยืนสำคัญของพรรค จะสร้างสมดุลทางการเมือง ไม่เข้าสู่กลไกความขัดแย้ง เพราะ พล.อ.ประวิตร เปิดใจแล้วว่าอยากนำพาคนไทย และการเมืองไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง 

2.ค่าครองชีพลดทันที จะปฏิรูปราคาน้ำมัน สร้างรายได้ให้ประชาชน โดยโซล่าเซลล์ และ Net metering 

3.ปรับโครงสร้างราคาแก๊ส โดยดูโครงสร้างแก๊สในอ่าวไทย 

4.ประชาชนจะมีรายได้เพิ่มจากบัตรสวัสดิการ 700 บาท และต่อยอดสิ่งเหล่านี้ด้วยกลไกสร้างอาชีพ ให้โอกาส และเพิ่มทักษะ 

5.คนไทยทุกช่วงวัยได้รับการดูแล เบี้ยยังชีพ 3,000 - 5,000 บาท ตามช่วงอายุ 60 - 80 ปี 

6.เศรษฐกิจฐานรากต้องฟื้น จะนำพาทุกคนสร้างงาน เราประกาศนโยบายมีที่ทำกิน ไม่มีแล้ง รวมถึงโรงไฟฟ้าชุมชนกระจายสู่ฐานราก

ปักธงด้ามขวาน!! ‘ปชป.’ บุก 3 จังหวัดชายแดนใต้  พบปะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง

ปักธงด้ามขวาน! ปชป.บุก 3 จว.ชายแดนใต้ รวมพลังประชาธิปัตย์ ลั่นพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง เร่งผลักดันแหล่งเงินทุนเพื่อกองทุนเกษตรกรตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสำหรับเลี้ยงโคเนื้อ

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 มีนาคม 2566 ที่ จ.ยะลา น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลงพื้นที่พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ อาทิ นายเมธี อรุณ ผู้สมัคร ปชป.เขต 2 นราธิวาส , นายสนิท นาแว ผู้สมัคร ปชป.เขต 1 ปัตตานี , นายมนตรี ดอเลาะ ผู้สมัคร ปชป.เขต 2 ปัตตานี , ส.อ.สุริยา กูทา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปัตตานี เขต 4 , นายประสิทธิชัย พงษ์สุวรรณศิริ ผู้สมัคร ปชป.เขต 1 ยะลา , นายอับดุลเล๊าะ บุวา ว่าที่ผู้สมัคร เขต 2 ยะลา และนายณรงค์ ดูดิง ผู้สมัคร ปชป.เขต 3 ยะลา

น.ส.จิตภัสร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลอด 10 ปี ได้ลงพื้นที่ร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องในจังหวัดชายแดนใต้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนจะเป็นผู้แทนราษฎร วันนี้ดีใจที่ได้มาพบปะ พูดคุย กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าผู้สมัครทุกคนจะมีโอกาสปักธงในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค และนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ได้รับรู้ถึงปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นอย่างดี 

ทั้งเรื่องปัญหาความไม่สงบ ปัญหาปากท้องและที่ดินทำกิน จึงได้มีการผลักดันนโยบายออกมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาทิ นโยบายความมั่นคงของอาหารสู่ครัวโลกมุสลิม สนับสนุนและส่งเสริมการเกษตร ส่งเสริมอาชีพประมง ฟื้นฟูนาร้างให้กลับมาเป็นนาข้าว ส่งเสริมให้ปลูกไผ่ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่เพื่อป้อนโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งจะเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเร่งผลักดันเรื่องแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นกองทุนให้เกษตรกรตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสำหรับเลี้ยงโคเนื้อในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งโครงการโคบาลจังหวัดชายแดนใต้ ยกระดับโคเนื้อสู่ตลาดฮาลาล สร้างรายได้ชุมชน

เฮือกสุดท้าย!! ‘พล.ท.ภราดร’ เย้ย ‘กลุ่มอำนาจนิยม’ ฝืนแลนด์สไลด์ ชี้ ‘ความกลัว’ ภาพลักษณ์ถูกทำลาย เป็นเหตุปั่นกระแส ‘โพลสีเทา’

เพื่อไทย เย้ยเฮือกสุดท้ายปีกอำนาจนิยม ปล่อยข่าวสีเทา ชี้นำยุบพรรค ฝืนกระแสแลนด์สไลด์

(14 มี.ค.66) พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ปรากฏการณ์การปล่อยข่าวการยุบพรรคการรัฐประหารที่ถี่ยิบในขณะนี้เป็นความพยายามสร้างกระแสด้วยวิธีคิดของ ’กลุ่มอำนาจนิยม’ ( พวกลัทธิบูชาทหาร + เผด็จการทางการเมือง ) ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ซึ่งโดยปกติ ในโลกเสรีประชาธิปไตย จะไม่มีปรากฏการณ์เช่นนี้ให้เห็น เพราะผู้คนเหล่านั้นเป็นแค่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมเท่านั้น มิได้บูชาลัทธิผู้นำทหาร แบบของเรา

ซึ่งสาเหตุที่มีปรากฏการณ์เช่นนี้ในบ้านเมืองเรา ก็เพราะ’ความกลัว’ ของกลุ่มอนุรักษ์ฯ ที่พยายามสร้างภาพมาตลอดว่าพวกเขาคือ ‘คนดี’ มีคุณภาพ แตกต่างจากนักการเมือง ที่มาจากการเลือกตั้งต่าง ๆ นานา แต่ตลอดเวลา 8 ปี ของการปกครองโดยฝ่ายอนุรักษ์ฯพบว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ยืนยันได้จากฉายาที่สื่อตั้งให้ว่ารัฐบาลหน้ากากผู้ดี นายกฯแปดเปื้อน ทุกอย่างล่อนจ้อนว่า สิ่งที่ผู้ปกครองฝ่ายอนุรักษ์ฯ ทำมาคือ การโกหก คือ การสร้างภาพ ไม่มีแม้แต่ ‘วิสัยทัศน์’ นำพาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คือ การทุจริต การใช้อำนาจที่มิชอบและตรวจสอบไม่ได้ทั้งในแวดวงราชการและทางการเมือง ที่เรียกกันว่า ‘สีเทา’ อยู่ไปทั่วทุกองคาพยพ วิธีการเดียวที่จะปกปิดและรักษาภาพลักษณ์อันเน่าเฟะนี้ได้ คือต้องชนะการเลือกตั้งเท่านั้นหรือต้องหาทางกระทำทุกอย่างให้ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้มีพื้นที่ในทางการเมือง มิเช่นนั้นฝ่ายอนุรักษ์ฯ จะหมดสิ้นซึ่งความน่าเชื่อถือทันที

ขวัญใจวัยรุ่น ‘ลุงป้อม’ สลัดลุค ‘นายพล’ เข้าถึง ปชช. ทุกช่วงวัย สร้างเรตติ้งแซง แคนดิเดตนายกฯ ของหลายพรรค

‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังจากปรับเปลี่ยนลุคใหม่เป็นสวมแจ็คเก็ตทันสมัยใส่กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ สลัดลุคนายพล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินตลาดคลุกคลีกับประชาชนเป็นการส่วนตัว ล่าสุดลงพื้นที่ ตลาดหัวหินทักทายพ่อค้าแม่ค้าประชาชนสอบถามความเป็นอยู่เศรษฐกิจการค้าขายว่าเป็นอย่างไร บ้างภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พ่อค้าแม่ค้าอุ่นใจ ‘ลุงป้อม’ รับปากจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีขึ้นให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวเมืองไทยให้มากขึ้น

ตลอดระยะการเดินตลาดหัวหิน พ่อค้าแม่ค้าประชาชน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้ามาขอถ่ายรูปเซลฟี่ จำนวนมาก และที่น่าสนใจเป็นพิเศษมีแต่กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เค้ามาขอถ่ายรูป ลงพื้นที่ที่ไหน เป็นการส่วนตัวหรือเป็นทางการระยะนี้ ‘ลุงป้อม’ กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นตั้งแต่ปรับเปลี่ยนลุคการแต่งตัวทันสมัย ขณะเดินตลาดหัวหิน ทีมงานเล่าให้ฟังว่า ชาวต่างชาติที่เดินผ่านไปมา ยังนึกว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทยเพราะมีแต่คนมาขอถ่ายรูป ขณะเดินที่ตลาดหัวหินช่วงลุงป้อมเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้า มี ดาราและกองถ่ายภาพยนตร์ มาถ่ายทำภาพยนตร์ก็ยังไม่มีประชาชนมาขอถ่ายรูปเท่า ‘ลุงป้อม’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top