Tuesday, 10 June 2025
ElectionTime

‘โรม’ นำทีมหาเสียงกำแพงเพชร ชี้ 8 ปี รบ.ประยุทธ์ล้มเหลว ชูปราบปรามยาเสพติด-ทุจริตคอร์รัปชัน วอน! ขอโอกาสจาก ปชช.

(11 มี.ค. 66 ) รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล เดินทางไปที่ จ.กำแพงเพชร เพื่อช่วยหาเสียง ร่วมกิจกรรมแห่รถรอบเมือง และเดินในงาน ‘นบพระเล่นเพลง’ ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชร พรรคก้าวไกล จำนวน 4 คน ได้แก่ สุกิจ ศุภกิจเจริญ สมชาย ผลมา ประพันธ์ จิตคำ และ จันทร์ดี หลวงนัน

โดยช่วงเช้า แวะพูดคุยกับประชาชนที่ตลาดศูนย์การค้ากำแพงเพชร รังสิมันต์กล่าวว่า ผลตอบรับที่ได้กลับมาดีเกินคาด เชื่อว่า 8 ปีที่ผ่านมาทำให้ชาวกำแพงเพชรและคนไทยทุกคนเห็นแล้วว่ารัฐบาลที่มีที่มาจากเผด็จการไม่ได้อยู่ข้างประชาชนฝ่ายใดเลย พวกเขาหลอกลวงว่าจะเข้ามาแก้ไขความขัดแย้ง ปราบปรามคอร์รัปชัน แต่ถ้าประชาชนได้ฟังการอภิปรายของตนและ ส.ส. พรรคก้าวไกล ก็จะทราบว่าทุกวันนี้มีการโกงกินบ้านเมืองอยู่ทุกหย่อมหญ้า แม้แต่กระบวนการยุติธรรมก็ถูกสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ

ล่าสุดคือกรณี อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ที่มีข้อครหาเกี่ยวข้องพัวพันกับการฟอกเงินขบวนการค้ายาเสพติดของ ‘ทุนมินลัต’ ตั้งแต่ตนอภิปรายในสภาฯ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าของการนำตัว ส.ว.อุปกิต มาแจ้งข้อหาเพื่อจะฟ้องคดีต่อไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตำรวจสืบนครบาล (บก.สส. บช.น.) ที่จับทุนมินลัตและขยายผลมาถึง ส.ว.อุปกิต ได้เคยขอหมายจับต่อศาลแล้ว และศาลก็อนุมัติหมายจับให้ แต่ในวันเดียวกันกลับถอนการอนุมัติ จนแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบการขอหมายจับอุปกิตยังทนไม่ไหว ต้องออกจดหมายเปิดผนึกชี้แจง ระบุว่าการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ประวิงเวลาในการดำเนินคดีกับอุปกิต จะก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อศรัทธาของประชาชน และการเพิกถอนหมายจับด้วยเหตุผลว่าเป็น ‘บุคคลสำคัญ’ ก็ทำลายหลักการว่า ‘บุคคลย่อมเสมอภาคภายใต้กฎหมาย’ ดังนั้น หากเราปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมายังอาจถูกแทรกแซง แล้วประชาชนจะหันไปพึ่งพาใครได้ ประเทศไทยจะมีอนาคตได้อย่างไร

การเลือกตั้งไทย ครั้งที่ ‘สกปรกที่สุด’ ในประวัติศาสตร์

26 ก.พ. 2500 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประเทศไทยมีจัดการเลือกตั้งใหญ่ แต่เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ไม่ชอบมาพากล อาทิ การใช้เวลานับคะแนนนานถึง 7 วัน 7 คืน เกิดกรณีใช้ความรุนแรงทำร้ายคู่แข่งการเมือง ตรวจพบบัตรเลือกตั้งที่ถูกกามาตั้งแต่โรงพิมพ์ การเวียนเทียนคนใช้สิทธิเลือกตั้ง และอีกหลากปรากฏการณ์ด้านลบที่เกิดขึ้น ทำให้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 กลายเป็นภาพจำในประวัติศาสตร์การเมืองว่าเป็น "การเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด" 

ที่มาของเหตุการณ์ครั้งนั้น ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 2498  หลังจากการเดินสายรอบโลก เยือนสหรัฐอเมริกา ตามด้วยหลายประเทศในยุโรป ซึ่งล้วนยึดโยงกับแนวคิดเสรีประชาธิปไตย ทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีแนวคิดกลับมาเริ่มรณรงค์ “ประชาธิปไตย” และให้สัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2500 โดยหมายมั่นให้เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม

จึงเป็นที่มาของการออกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2498  และการประกาศให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500โดยมีพรรคเสรีมนังคศิลา ที่จอมพล ป. เป็นหัวหน้าพรรค ลงสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมด้วยพรรคประชาธิปัตย์ คู่แข่งสำคัญ และพรรคการเมืองอื่น รวมทั้งสิ้น จำนวน 23 พรรค

หลังเลือกตั้ง ปรากฏว่าชัยชนะเป็นของพรรคเสรีมนังคศิลา ได้ 86ที่นั่งจากทั้งหมด 160 ที่นั่ง แต่ผลการเลือกตั้งกลับไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้งและพบการโกงการเลือกตั้งหลายรูปแบบ

การเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยคำถาม นำมาสู่การก่อตัวของกลุ่มนักศึกษาและประชาชนเคลื่อนไหวเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ ขณะที่สื่อมวลชนได้ประณามการเลือกตั้งครั้งนี้ ว่าเป็น "การเลือกตั้งที่สกปรก" แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้แถลงผ่านสื่อว่าควรเรียกเป็น “การเลือกตั้งไม่เรียบร้อย”

นอกจากกระแสต่อต้านจากกลุ่มผู้ชุมชุม และสื่อมวลชนแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวสำคัญจากฟากพรรคการเมือง เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เขียนคำฟ้องต่อศาลในนามนายควง อภัยวงศ์ และ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์รวม 9 คน กล่าวหาว่าการเลือกตั้งมีความไม่ชอบธรรมในหลายเรื่อง 

ทั้งช่วงก่อน และระหว่างเลือกตั้ง ที่พบว่ามีการจัดเลี้ยงผู้กว้างขวาง และนายตำรวจผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือพรรคเสรีมนังคศิลา มีการเพิ่มชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างผิดปกติ รวมถึงมีการตรวจพบบัตรเลือกตั้งที่เรียกว่า ‘ไพ่ไฟ’ คือบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์จากโรงพิมพ์โดยมีการกาเลือกผู้สมัครไว้แล้วเป็นจำนวนมาก และมีการใช้ ‘พลร่ม’ คือใช้กลุ่มคนเวียนลงคะแนนให้พรรคเสรีมนังคศิลาหลายรอบ

ขณะที่วันเลือกตั้งก็พบการก่อกวน มีการใช้ความรุนแรงในหน่วยเลือกตั้ง รวมถึงบางหน่วยเลือกตั้งที่เปิดให้ลงคะแนนช้า หรือยืดเวลาลงคะแนนออกไปหลังเวลาปิดหีบ และการนับคะแนนในหลายเขตที่ไม่โปร่งใส 

'เศรษฐา' น้อมรับ 'วันชัย' เตือนต้องสลัดภาพนักธุรกิจ ชี้!! ดูกันยาวๆ เชื่อ!! ไม่ซ้ำรอยอดีตสองนายกฯ

(11 มี.ค. 66) ที่วัดท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคพท. พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย, น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร อดีตส.ส.พิจิตร พรรคพท. พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรค ทั้งนายภูดิท อินสุวรรณ์, นายปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร และนายวิชัย ด่านรุ่งโรจน์ เข้าสักการะหลวงพ่อเพชรเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ จ.พิจิตรที่เวทีปราศรัยวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร มีประชาชนจำนวนหนึ่งสวมเสื้อแดงรอมอบดอกไม้ให้กำลังใจ 

โดย น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้จะแนะนำนายเศรษฐาให้ประชาชนได้เห็น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาปราศรัยร่วมกันกับทีมพรรคพท.โดยมาในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และอยู่ในทีมเศรษฐกิจด้วย 

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพื้นที่ จ.พิจิตร เป็นของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 3 เขต จะทำให้แลนด์สไลด์ได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า "เรามั่นใจอย่างมากด้วยนโยบายของเรา และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ที่ทำงานกันอย่างหนัก ฉะนั้นเรามั่นใจและต้องได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนด้วย ขอทั้ง 3 เขตเลย"

เมื่อถามถึงกรณีนายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ออกมากล่าวเตือนนายเศรษฐา ระวังจะเป็นเหมือนอดีตนายกฯ พรรค พท. น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “สิ่งที่อิ๊งค์เห็นคือคุณพ่อ คุณอาทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองมากมาย การที่เราขึ้นเวทีและพูดถึงนโยบายเมื่อ 20 ปีที่แล้วยังใช้ได้อยู่ เพียงแต่เพิ่มเรื่องเทคโนโลยีเข้ามา นั่นคือบทพิสูจน์ว่าประชาชนได้รับประโยชน์อะไรบ้างจาก คุณพ่อ คุณอา ที่เป็นนักธุรกิจมาก่อน แต่เมื่อเป็นมุมมองของคนก็ต้องรับฟัง”

'อิ๊งค์' อ้อน 'คนพิจิตร' ขอแลนด์สไลด์ 310 เสียง ฟาก 'ชลน่าน' ย้ำไม่จับมือ 'ลุงป้อม' หลังเลือกตั้ง

(11 มี.ค.66) ที่เวทีปราศรัยวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดเวทีปราศรัยใหญ่ โดย น.ส.แพทองธาร แกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย ร่วมเวที มีประชาชนรอรับฟังคำปราศรัยจนเต็มหน้าลานวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร

ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปราศรัยว่า วันนี้เราต้องชูธง ปักชัย เพื่อไทยแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน 310 เสียง ถ้าเราไม่ได้ 310 พี่น้องชาวพิจิตรจะต้องอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไปอีก 4 ปี ตอนแรกเราต้องการ 250 เสียงเพื่อชนะ ส.ว.ก่อน แต่จากการลงพื้นที่ประชาชนให้มาเกิน 250 เสียงแล้ว เมื่อมีคนออกมาบอกว่าพรรค พท.ได้ส.ส. 270 เสียงก็จะดันพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ถ้าเราไม่ได้คะแนนจากพี่น้องชาวพิจิตร เสียง 310 อาจเป็นไปไม่ได้เลยต้องมาขอคำมั่นสัญญาจากพี่น้องชาวพิจิตรจะเลือกพท.ทั้ง 2 ใบ มีคนออกมาตั้งข้อสังเกตหลังเลือกตั้งพรรคพท.จะจับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ ยืนยันหลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับลุงป้อม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพรรคพลังประชารัฐ) พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ถ้าเราได้ 310 เสียงจะได้นายกฯจากประชาชนและเราจะได้ผลักดันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ 

ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า ดีใจได้มาเจอคนพิจิตรด้วยตัวเอง คนที่พรรคพูดกันว่าตนจะเดินทางได้ถึงเมื่อไหร่ แต่พอบอกมาพิจิตรจึงต้องมา ถ้าพิจิตรแลนด์สไลด์นายกฯ มาจากพท.แน่นอน ทั้งนี้ จ.พิจิตรมีปัญหามากมาย การเกษตร เราจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรดียกแผง ข่าวราคาดี ปุ๋ยต้องถูกลง พรรคพท.จะมีนโยบายใช้เทคโนโลยีมาช่วยประชาชน พรรคพท.จะทำให้ประชาชนมีที่ดินทำกินอย่างเท่าเทียมกัน ตนขอฝากผู้สมัครทั้ง 3 เขตของจ.พิจิตร ให้แลนด์สไลด์ เลือกพท.ทั้งคนทั้งพรรค และพิเศษที่สุดที่ จ.พิจิตร ตนขอแนะนำนายเศรษฐาที่เป็นประธานที่ปรึกษาของพรรค และอยู่ในทีมเศรษฐกิจ มั่นใจได้เลยว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นแน่นอน

‘กรณ์’ นำทีมลุยพื้นที่หาดใหญ่ ชี้นำแนวทางให้ชาวบ้าน ปชช. ต้อนรับคึกคัก ขอฝาก ‘ประเทศไทย’ ไว้ในมือกรณ์

(11 มี.ค. 66) ที่ จ.สงขลา นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 4 เขต ได้แก่ นายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1 นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 ผศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ เขต 3 และ ทนายอาร์ม -นายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 ร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนชาวสงขลา เป็นวันที่สอง โดยในช่วงเช้า นายกรณ์ และนายจูรี ลงพื้นที่หาดใหญ่บริเวณตลาดคลองเรียน เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ส่งเสียงร้องทัก กันอย่างคึกคัก และขอถ่ายภาพตลอดเส้นทาง พร้อมกับบอกว่า เป็นแฟนคลับทั้งจูรี ที่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวสงขลา และคนภาคใต้ ขณะเดียวกันก็ยังช่วยชาวบ้านขายของสร้างรายได้ให้ชุมชน ส่วนนายกรณ์ รู้จักและเห็นฝีมือการทำงานมาแล้วและเชื่อว่าถ้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในรัฐบาล จะสามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน 

ต่อมานายกรณ์ พร้อมด้วย ทนายอาร์มนายพงศธร ผศ.ดร.ประสิทธิ์ และ นายกัณฑ์ พบกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตามคำเชิญของ ยูนิกิฟาร์ม โดยมีชาวบ้านที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยทางผู้ประกอบการต้องการให้พรรคชาติพัฒนากล้า ผลักดันนโยบายเพื่อเกษตรกรรายย่อย และอยากให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อทำสมาร์ทฟาร์ม ซึ่งแม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงกว่าแต่ราคาผลผลิตดีกว่าหลายเท่า และยังมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก ตอนนี้ทางยูนิกิฟาร์มมีออเดอร์จากประเทศมาเลเซีย แต่ไม่สามารถผลิตได้ทันทำให้เสียโอกาสไป 

ซึ่งนายกรณ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร คือการแปรรูป และการจะแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หัวใจก็อยู่ที่ วิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ชุมชน ยกตัวอย่าง ที่ตนเคยลงไปทำข้าวอิ่มที่ จ.มหาสารคามปีนี้เข้าปีที่ 10 ชาวบ้านขยายผลจากการทำข้าวเกษตรอินทรีย์ ไปสู่การนำปลายข้าว ผลิตเป็นเครื่องสำอาง ขนมอบกรอบหลายชนิด เหล่านี้ล้วนทำได้ หากมีการส่งเสริมกระบวนการแปรรูปอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญต้องปฏิรูปสหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนเกษตรกรอย่างจริงจัง วันนี้ชาวบ้านแบกราคาปุ๋ยที่สูงมาก เราควรมีนโยบายลดต้นทุนโดยการสรรหาวัตถุดิบมาผลิตปุ๋ย ประเทศไทยมีเหมืองแร่โปแตสอยู่หลายแห่ง สามารถนำมาใช้เพื่อลดการใช้ปุ๋ยลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ระบบสมาร์ทฟาร์มคือการใช้ปุ๋ยแบบแม่นยำก็จะสามารถลดต้นทุนลงมาได้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องได้คนที่เข้าใจเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชน ความจนไม่ใช่การส่งต่อข้ามรุ่น แต่แก้ได้ ถ้าได้รับโอกาสที่ดี 

“วันนี้เกษตรกรแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงมาก หากมีการต่อสู้เรื่องพลังงานได้จะลดต้นทุนไปได้มาก  พรรคชาติพัฒนากล้า ต่อสู้เรื่องการรื้อโครงสร้างพลังงาน ชนกับทุนใหญ่ เหตุผลที่เรากล้าทำเพราะคิดว่า การทะเลาะกับทุนใหญ่เพื่อพี่น้องประชาชน คุ้มกว่าทะเลาะกันเองโดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นอกจากนี้ นายกรณ์ ยังได้นำเสนอนโยบายเพื่อผู้สูงอายุ ทั้งนโยบายสูงวัยไฟแรง จ้างผู้สูงอายุทำงาน 5 แสนตำแหน่ง รวมไปถึง นโยบายสร้างบ้านให้ผู้สูงอายุหรือ อารยสถาปัตย์  50,000 บาทต่อครัวเรือน ลดปัญหาผู้สูงอายุล้มในบ้านที่มีมากถึงปีละ 4 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุทั้งประเทศ โดยตั้งเป้า 1 ล้านครัวเรือนต่อปี และยังมีกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับคนทุกวัย เพื่อสร้างธุรกิจสร้างสรรค์ สูงสุด 1 ล้านบาทไม่จำกัดวุฒิการศึกษา 

‘นิพนธ์’ หนุน!! เพิ่มค่าตอบแทน ‘อบต.-ผู้นำท้องถิ่น’ ชี้เป็นกลไกที่มุ่งไปสู่การทำงาน เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ปชช.

(11 มี.ค. 65) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง การปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการปกครองท้องที่ ในช่วงที่ผ่านมาหลังสถานการณ์โควิดผ่านพ้นไปว่า การทำงานทั้งสองส่วนคือทั้งท้องถิ่นและท้องที่นั้นถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด ทั้งสองส่วนก็มีส่วนสำคัญในการดูแลป้องกันความปลอดภัยในชีวิตให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และยังมีปัญหาอื่น ๆ ที่จะต้องดูแลแก้ไข เช่น ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วม และความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชนอีกหลายอย่าง ซึ่งรัฐบาลรวมถึงประชาชนต่างต้องพึ่งพิงการทำงานภายใต้ความรับผิดชอบของทั้งอบต. เทศบาล อบจ. รวมไปถึง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรฯ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มาตลอด ซึ่งช่วยให้วิกฤตการณ์ต่าง ๆในประเทศได้คลี่คลาย ผ่านพ้นไปในทางที่ดี

เสี่ยงถูกเท!! ‘ไพศาล’ ฟัน!! ถ้าไม่ยุบสภา รทสช. กระทบสุด ชี้!! หมดวันกำหนดสังกัดพรรค ‘รทสช.’ ยังมีไม่ถึง 15 คน

ฟันเปรี้ยง! ถ้าไม่ยุบสภา พรรคไหนกระทบมากสุด แคนดิเดตนายกฯ เสี่ยงถูกเท

(12 มี.ค.66) นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายและอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นส่วนตัวทางการเมือง ผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol มีเนื้อหาดังนี้...
 

จับตา ครม.จะให้ยุบสภาหรือไม่?

1.รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย "โดยทางคณะรัฐมนตรี" ดังนั้นในการตราพระราชกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรี จึงต้องมีมติให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อขอรับพระบรมราชโองการให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกา 

2.การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา ต้อง "ระบุเหตุที่เสนอยุบสภา" ตามรัฐธรรมนูญมาตรา103

เหตุที่จะขอเสนอยุบสภา ต้องเป็นเหตุขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับสภาผู้แทนราษฎร จะไปอ้างเหตุอื่นเช่น ตกปลาในอ่างไม่ทัน หรือ กกต. กำหนดการเลือกตั้งไม่ถูกใจ หรือศาลตัดสินให้รัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เหตุตามรัฐธรรมนูญมาตรา103
 

ถึงเส้นชัย! ‘กรณ์’ โชว์ฟอร์มว่ายน้ำ ข้ามทะเลสาบสงขลา 2 กม. มุ่งปลุกการท่องเที่ยว-ปลูกจิตสำนึกรักทะเลสาบ

ถึงเส้นชัย! ‘กรณ์’ ติดสปีด ฟิต ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสงขลา 2 กิโลเมตร ทำลายสถิติตัวเอง มั่นใจปลุกท่องเที่ยว ฟื้นเศรษฐกิจสงขลา ดันมนต์เสน่ห์ท้องถิ่นเพิ่มรายได้ชุมชน 

(12 มี.ค66)  จ.สงขลา นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และนางสาววิเวียน จุลมนต์ ที่ปรึกษาทีมนโยบายของพรรค ได้ร่วมกิจกรรม Singora Lake Swim 2023 ด้วยการว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งเดียวในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางจากโรงสีแดง (หับ โห้ หิ้น) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ไปยังเส้นชัยที่ Songkhla Pier ฝั่งหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา รวมระยะทาง 2 กิโลเมตร โดยมีทีมรักษาความปลอดภัย ตลอดจนการวางแผนกู้ภัยทางน้ำ ที่ได้เตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี ปีนี้มีนักว่ายน้ำทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมเกือบ 200 คน จากปีแรก (2021) ที่มีผู้เข้าร่วม 30 คน เนื่องจากปีนี้ มีการโปรโมทผ่านตัวนายกรณ์ และ นายจูรี ทำให้ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก   

นอกจากนี้ ดาวติ๊กต๊อกชื่อดัง นายจูรี นุ่มแก้ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 มาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ให้หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครอีก 3 คนได้แก่ นายกัณฑ์ นวกัณฑ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ผศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 และ ทนายอาร์ม-นายพงศธร สุวรรณรักษา ว่าที่ผู้สมัครส.ส. เขต 9 เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง 

นายกรณ์ กล่าวว่า  ตนเข้าร่วมว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสงขลา ในกิจกรรม Singora Lake Swim 2023 เป็นปีที่ 2 เพื่อช่วยโปรโมทการท่องเที่ยววิถีชุมชน ตลอดจนอาหารพื้นเมืองที่จัดไว้บริการผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์ และอัตลักษณ์ที่สำคัญของ จ.สงขลา ที่มีประวัติศาสตร์ และเรื่องราวยาวนานมาถึง 181 ปี สามารถผลักดันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ของจังหวัดได้แท้จริง นอกจากนี้ยังเป็นการรณรงค์ ลด เลิก ทิ้งขยะลงในทะเล อนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ปลูกจิตสำนึกให้รักท้องทะเลสาบที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย และปีนี้พิเศษกว่าทุกปี ตรงที่ผู้จัดงานได้ร่วมระดมทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ ให้กับ รพ.สต.หัวเขา อีกด้วย  

ไม่เป็นธรรม ‘อรรถวิชช์’ ติง ‘กกต.’ เหตุชงเลือกแบ่งเขตแบบ 1 หรือ 2 ขู่!! ร้องศาลเมินคำเตือน ผิดกฎหมายทำปชช. สับสน

‘อรรถวิชช์’ ติง กกต.กทม.ชงเลือกแบ่งเขตแบบ 1, 2 ส่อผิดกฎหมาย-ทำปชช. สับสน-กระทบลต. ดักคอ กกต.ใหญ่ เคาะแบ่งเขตให้เป็นธรรม ขู่ ร้องศาลหากเมินคำเตือน

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 12 มี.ค.ที่พรรคชาติพัฒนากล้า นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าชาติพัฒนากล้า แถลงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของ

กทม.ว่า เดิมกทม.แบ่งการเลือกตั้ง 8 เขต และเปิดรับฟังความเห็นประชาชน แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ตีความไม่นับรวมคนต่างด้าวในการคำนวณส.ส. จึงต้องมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.)ได้แบ่งเขตเป็น 4 รูปแบบ และเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน โดยจะครบกำหนดในวันที่ 13 มี.ค. และจะส่งให้กกต.ชุดใหญ่ พิจารณาสรุปในวันที่ 14 มี.ค.นี้ 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ขอฝากกกต.ชุดใหญ่ ว่าหาก กกต.กทม.เลือกแบ่งเขตในรูปแบบที่ 1 หรือ 2 จะเป็นการแบ่งเขตที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการซอยแขวงมานับรวมเป็นเขตเลือกตั้ง ไม่ใช่การนับรวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 27 ที่ระบุสองหลักการสำคัญ คือให้นับรวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้งและต้องเป็นการกำหนดเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกัน แต่การนับแบบ 1 หรือ 2 เป็นการรวมแขวงแบ่งให้ลดเลี้ยวเคี้ยวคด มีการแทรกแขวงมานับรวม ซึ่งไม่เป็นธรรม เพราะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ สามารถระบุได้ว่าพรรคไหนจะชนะและได้จำนวนส.ส.เท่าไหร่ และยังทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าอยู่ในเขตเลือกตั้งใด

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ต่างจากการแบ่งในรูปแบบที่ 3 หรือ 4 ที่นับอำเภอเป็นหลัก โดยการเลือกตั้งปี 2554 และ2557 เป็นการแบ่งเขตที่ลงตัว ไม่มีการแทรกเขตเข้ามานับรวม ต่างจากเมื่อปี 2562 และในครั้งนี้ ที่แบ่งแบบกิ้งก่ามีการแทรกเขต ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ  นอกจากนั้นในจำนวน 33 เขตยังพบว่ามีการแยกแขวงมานับรวมถึง 27 เขต ในรูปแบบที่ 1 และ 30 เขต ในรูปแบบที่ 2 ทั้งนี้

ชะตากรรมเลือกตั้ง 66 พรรคการเมืองใหญ่ ‘ฝ่ายรัฐ-ฝ่ายค้าน’ ต้องผวา!! หลัง ‘บรรดานักร้อง’ เรียงหน้าขุดหลักฐานยื่น ‘ยุบพรรค’

เมื่อไม่นานมานี้ (9 มี.ค.66) ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม และอาจารย์ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในคลิปวิดีโอหัวข้อ ‘จับตา! กระแสยุบพรรค...ชะตากรรมเลือกตั้ง 66’ ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ ‘Suriyasai Channel’ โดยระบุว่า…

เกาะติดสถานการณ์ทางการเมืองก่อนมีพระราชกิจฎีกาเลือกตั้ง ก็พบว่า มีกระแสยุบพรรคถูกจุดขึ้นมาอีก เดี๋ยวจะขอมาเรียบเรียงที่มาที่ไป ที่มันจะทำให้เกิดความวุ่นวายก่อนการเลือกตั้ง หรือความวุ่นวายช่วงเลือกตั้ง 

และหากจำกันได้ช่วงเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้วในปี 62 ก็มีพรรคใหญ่พรรคหนึ่ง ชื่อพรรคไทยรักษาชาติ หรือ ทษช. ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแค่ 23 วัน ต้องออกจากสนามเลือกตั้ง ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า คะแนนของปีกฝ่ายค้านกับปีกพรรคร่วมรัฐบาลมันไม่ได้สะท้อนข้อเท็จจริง มันกลายเป็นการโหวตเพียงเพราะว่าไม่มีพรรคที่เรารักให้โหวตเลยจะต้องไปโหวตฝั่งพรรคอื่น มันเลยเกิดความคาราคาซังอย่างที่ได้เห็นกัน 

ส่วนการเลือกตั้งในรอบนี้ ปี 2566 ก็ต้องรอนายกฯ ประกาศยุบสภาก่อน ส่วนการเลือกตั้งก็คงเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมอย่างแน่นอน และคาดว่าเป็นช่วงต้นเดือน แต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น กระแสความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้วนั่นก็คือ กระแสยุบพรรคการเมือง ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่คนหยิบยกมาพูดกันอย่างล้นหลาม ส่วนความคิดเห็นก็แตกต่างกันไป ส่วนประเด็นที่เราจะยกมาพูดในวันนี้ก็คือแนวโน้มของเรื่องนี้จะเอียนไปทางไหน จะเกิดเหตุซ้ำรอยปี 62 หรือไม่? หรือมีอะไรที่น่ากังวลมากกว่าเดิมหรือไม่?

>> เริ่มที่ประเด็นที่มีการร้องเรื่องยุบพรรคใหญ่ ๆ ในขณะนี้ที่โดนกันเกือบทุกพรรค

พรรคล่าสุดที่โดนคือ ‘เพื่อไทย’ เพราะมีคนไปร้องว่า ‘คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ถูกห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุชัดเลยว่า ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพียงแต่ศาลไม่ได้บอกว่าห้ามไปยุ่งนั้น ห้ามขนาดไหนอย่างไร พอไม่ได้เขียนอย่างนั้น อาจทำให้คุณณัฐวุฒิ สนใจหรือไม่สนใจหรือเปล่า ภาพที่ปรากฏออกมาคือคุณณัฐวุฒิ ไปมีบทบาทผู้นำในพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เป็นผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย การแจกแจงแถลงยุทธศาสตร์แลนสไลด์ ผมคิดว่าคุณณัฐวุฒิปราศรัยทุกครั้ง ชูเรื่องนี้มากกว่าหัวหน้าพรรค พูดมากกว่าใครอีก 

นี่เลยกลายเป็นประเด็นที่มีคนไปร้องพรรคเพื่อไทยว่าปล่อยให้คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจกรรม หรือการดำเนินงานของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง

ซึ่งก่อนหน้านี้เพื่อไทยก็โดนร้องกรณีที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ซึ่งอยู่ต่างประเทศ และถูกตัดสิทธิทางการเมือง หนีคดีด้วย ที่ดูเหมือนเล่นบทบงการพรรค หรือกระทั่งบงการว่าที่นายกคนที่ 30 ด้วยซ้ำไป กลายเป็นคนที่เหมือนชักใยอยู่แล้ว จะบอกว่าใครเหมาะไม่เหมาะ มันก็เลยทำให้ภาพดูยังมีบทบาทกับพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยอยู่ ซึ่งก็มีคำร้องเรียนนี้ไว้แล้ว แต่เข้าใจว่ากรรมการการเลือกตั้งยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด

ต่อมาคือ ‘ก้าวไกล’ จำได้ว่าคุณศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเบอร์ 1 ก็ไปร้องยุบพรรคก้าวไกล เรื่องร้องเรียนคล้าย ๆ กับกรณีที่ คุณสนธิญา สวัสดี ที่ไปร้องพรรคเพื่อไทยล่าสุดว่า คุณปิยบุตร คุณธนาธร ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี แต่ไปขึ้นเวทีปราศรัย แล้วก็มีบทบาทนำในพรรคก้าวไกลอยู่ในขณะนี้ แม้จะทำในนามกลุ่มก้าวไกลก็ตาม แต่โดยเฉพาะการขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงเคียงคู่กันมันทำได้หรือไม่อย่างไร หรือเข้าข่ายไปผิดกฎหมายเลือกตั้ง จนถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่นี่ก็เป็นที่ร้องสักระยะแล้ว

ถัดไปเป็นพรรคใหญ่อย่าง ‘พลังประชารัฐ’ ของลุงป้อมในเรื่องที่ไปโยงกับทุนสีเทา ตู้ห่าว ที่บริจาคให้เงินสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ มีคนไปร้องว่าไปรับบริจาคจากคนที่ไม่มีสัญชาติไทย เป็นชาวต่างชาติ กฎหมายทำไม่ได้ บริจาคบาทเดียวก็ไม่ได้ อันนี้บริจาค 3 ล้าน เรื่องก็คาอยู่ที่คณะกรรมการเลือกตั้ง

ต่อมาพรรคลุงตู่ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ก็มีคนออกมาพูดเรื่องที่ทำการพรรค สำนักงานพรรคไปโยงกับ ส.ว. คนหนึ่ง ที่คุณโรม รังสิมันต์ โฆษกพรรคก้าวไกล บอกว่าเป็น ส.ว. ทรงเอ แล้วก็เป็นอาคารสถานที่ ที่ไปโยงของเรื่องการได้มาที่มิชอบ หรือไม่สุจริต แล้วมันเป็นที่ทำการพรรคได้อย่างไร ก็มีคนพยายามเปิดประเด็นที่ว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ ซึ่งอันนี้ก็เป็นภาพของพรรคใหญ่

และล่าสุดตอนนี้คุณชูวิทย์ ก็เดินหน้าตรวจสอบ ‘ภูมิใจไทย’ อย่างแรง ทั้งเรื่องรถไฟสายสีส้ม เบื้องหน้าเบื้องหลังการประมูล จนกระทั่งเรื่องที่ดินรถไฟ ที่ดินเขากระโดง แล้วก็ใช้นอมินีถือหุ้นแทนเปิดโปงรายวัน ลามไปถึงขั้นประกาศว่าจะทำคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะว่าเรื่องมันไปโยงกับ ‘คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยด้วย

จะเห็นว่าพรรคใหญ่ 5-6 พรรคเหมือนถูกจ่อคอหอยอยู่เลยนะ แต่ความคิดเห็นบางคนบอกว่าไม่น่าถึงขั้นยุบพรรค หรือไม่น่าจะมีความผิดขนาดนั้น แต่จริง ๆ ก็ไปคาดการณ์อะไรที่มันจะร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการเมืองไทย

ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมไม่ถึงขั้นไปเชียร์กฎหมายยุบพรรค เพราะกว่าจะทำพรรคให้เป็นองค์กร เป็นสถาบัน มีสมาชิก มีสาขาตามเงื่อนไขมันยาก อีกทั้งพรรคการเมืองบ้านเรายังไม่มีความเป็นสถาบัน แล้วหากมีบางพรรคกำลังก่อตัวแล้วไปยุบพรรค ลางสังหรณ์ผมไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ในทางกลับกันก็ไม่อาจปล่อยให้พรรคการเมืองทำอะไรตามใจชอบจนเลยเถิด กลายเป็นกลุ่มเป็นแก็งเป็นก๊วนมาหาประโยชน์ โดยอ้างตัวแทนประชาชนไม่ได้ 

ฉะนั้นความพอดีของกฎหมายมันก็ต้องมี หรือความผิดทางกฎหมายมันก็ต้องบรรจุไว้ เรื่องยุบพรรค จึงไม่ได้ลบทิ้งไป ยังคงต้องคาไว้ ในรัฐธรรมนูญ 60 ก็เหมือนกัน ยังเห็นความจำเป็นต้องกำกับควบคุมพรรค โดยเฉพาะการกระทำที่มันทำลายความมั่นคง หรือเข้าข่ายกระทบต่อระบอบของการเมือง การปกครอง 

สำหรับเรื่องนี้บางคนอาจจะชอบ เห็นด้วยว่ามันต้องมี บางคนอาจจะมองกฎหมายว่ามันไม่ควรมี มันก็แล้วแต่คนจะตีความหมาย 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ประเด็นนี้ถูกหยิบมาพูดหนักมาก ๆ ในช่วงนี้ และมีความออกมาชี้เป้า ออกมาเตือนให้จับตาดูว่าอาจจะทำให้การเมืองพลิกกระดานได้ ก็เพราะว่ามีบางคนใช้คำว่า กฎหมายติดเทอร์โบ หมายความว่ามันกำหนดช่วงเวลา วินิจฉัย คำร้องเรียนเรื่องยุบพรรคเร็วมาก ทำให้ไม่สามารถปล่อยทิ้งค้างไว้เป็นปีสองปี หรือจนลืมไปเลย มันทำไม่ได้ เพราะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นเจ้าภาพเบื้องต้นของข้อร้องเรียนเรื่องยุบพรรค กลายเป็นคนออกระเบียบมาเอง
.
ย้อนไปเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กกต. หรือกรรมการการเลือกตั้งชุดนี้ออกประกาศ ออกระเบียบ กกต. ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 ว่าด้วยขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนยุบพรรค หรือที่เรียกว่า ยุบพรรคติดเทอร์โบ 

โดยกำหนดว่าเมื่อมีคำร้อง ขั้นตอนแรกเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องต้องใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน สำหรับตรวจสอบพยานหลักฐานเอกสารดูก่อนว่ามันเข้าองค์ประกอบหรือไม่ หรือมันเป็นแค่บัตรสนเทศ ใบปลิว หรือมันมีตรรกะ มีพยานหลักฐานสมน้ำสมเนื้อควรเป็นคำร้องภายใน 7 วัน คณะทำงานชุดนี้ต้องหาข้อยุติ 

เมื่อเห็นมันเข้าข่ายที่ต้องวินิจฉัยให้เป็นกระแสความ ก็ส่งไปที่กรรมการชุดใหญ่ กรรมการชุดใหญ่ก็ต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาวินิจฉัยคำร้องนี้ 30 วัน โดยต้องหาข้อยุติว่าเข้าข่ายต้องยุบพรรคหรือไม่? ถ้าหากเวลา 30 วัน ไม่พอสำหรับหาเอกสาร หรือหลักฐานที่มันยังเบาไปอยู่ แต่มีมูลจะหาต่อก็ขยายไปได้อีก 30 วัน รวมแล้วกลายเป็น 60 วัน แต่สามารถทำให้จบได้ภายใน 15 วัน แต่ไม่เกิน 30 วันในขั้นแรก 

หมายความว่าทำให้จบภายใน 30 วันได้ จากเดิมเริ่มที่ 7 วัน เป็น 30 วัน ก็ใช้เวลาแค่ 37 วัน แต่ถ้ามีเรื่องที่จะต้องสืบเพิ่ม ก็สามารถขยายได้อีก 30 วัน รวมเป็น 67 วัน สรุปคือ กกต. ใช้เวลาได้ไม่เกิน 67 วัน หรือสองเดือนกว่า ๆ ขยายยังไงก็ได้ไม่เกิน 67 วัน และสามารถทำให้จบก่อนหน้านั้นได้ 

ดังนั้นหากเรื่องตกไปตั้งแต่ขั้นตอนคณะทำงานรับเรื่อง ก็ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องกังวล แต่หากมันมีมูลต้องสอบ ก็ต้องไปรอคำวินิจฉัยของ กกต. ชุดใหม่ ก็จะทำให้พรรคการเมืองที่ถูกร้อง ต้องอยู่ในภาวะหวาดระแวง ทำการหาเสียงไป ชำเลืองมองไปว่า จะถูกวินิจฉัยว่าอย่างไร จะได้หาเสียงแบบสบายใจหรือต้องเอามือก่ายหน้าผาก

อย่างไรก็ตามเมื่อครบ 60 วัน คณะทำงานไม่เกิน 7 วัน กกต. ชุดใหญ่พิจารณาชี้ขาดไม่เกิน 30 วัน ขยายได้ไม่เกิน 30 วัน รวมเป็น 67 วัน ถ้าชุดใหญ่ กกต. เห็นว่ามีมูล สมควรวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นใช้คนนอกพรรค ไม่ได้เป็นสมาชิกมาบงการพรรค ทำได้หรือทำไม่ได้แค่ไหนอย่างไร ก็ต้องส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเรื่องนี้ กกต. ไม่มีอำนาจวินิจฉัย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top