Thursday, 12 June 2025
ElectionTime

‘เศรษฐา’ โชว์ ‘เพื่อไทย’ ใส่ใจเสรีภาพการประกอบอาชีพ ชี้!! ‘อาชีพทหาร’ ต้องเป็นด้วยความสมัครใจ-ไม่ถูกบังคับ

(14 มี.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวิตข้อความผ่านบัญชีทวิตเตอร์ Srettha Thavisin (@Thavisin) ว่า เมื่อวานนี้ขอบคุณน้อง ๆ เยาวชนรุ่นใหม่จากพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียงที่สละเวลามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแชร์ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ โอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม และหลายๆ ประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งทาง #พรรคเพื่อไทย จะรวบรวมข้อเสนอและความคิดเห็นต่างๆ เพื่อประกอบจัดทำเป็นนโยบายต่อไป

เรื่องหนึ่งที่น้องๆ ถามคือการเกณฑ์ทหาร เรามองถึงสิทธิเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพอันเป็นสิทธิพื้นฐานของเยาวชน ดังนั้นนโยบายเราชัดเจนว่า ต้องเป็นทหารด้วยความสมัครใจและจะต้องไม่ถูกบังคับ

‘บุญยอด สุขถิ่นไทย’ ลา ‘ปชป.’ ย้ายเข้า ‘รทสช.’ ทิ้งท้าย ‘ชาติ-ปชช.’ อยู่เหนือผลประโยชน์พรรค

(14 มี.ค.66) นายบุญยอด สุขถิ่นไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีรายละเอียดว่า “กราบขอบพระคุณ บนถนนการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ตลอด 15 ปีกว่าที่ผ่านมากราบขอบพระคุณ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ที่เป็นผู้เปิดทางเข้าพรรคฯ กราบขอบพระคุณท่านหัวหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดห้องรับแขกคุย 10 นาที ก็รับเป็นสมาชิกพรรค ปชป. 24 กันยายน 2550

ผมได้รับโอกาสลงสมัคร ส.ส. 3 ครั้ง ได้เป็น ส.ส. 2 สมัย (2550-2556) และได้เป็นคณะทำงาน รมว.จุติ ไกรฤกษ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เกือบ 4 ปี (2562-2566)

กราบขอบพระคุณ ท่านชวน หลีกภัย ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ท่านเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ท่านหัวหน้าจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าฯองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าฯ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ท่านพนิช วิกิตเศรษฐ์ และพี่ๆ น้องๆ ชาว ปชป. ทั้งในสภา และนอกสภา ที่ร่วมต่อสู้ทางการเมืองทั้งเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล อย่างเข้มแข็ง

ผมไม่เคยลืมการหาเสียงตั้งแต่วันแรก ที่ร่วมกัน “บุญยอด-อรรถวิชช์-สกลธี/ทีมพญาไท จตุจักร หลักสี่ บางซื่อ” ที่พี่น้องได้ร่วมส่งนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้ง 3 คนเข้าสภา จะไม่ลืมบุญคุณของทุกท่าน ทุกคะแนนที่เคยสนับสนุน เพราะเรายังมีภารกิจร่วมกันอีกต่อไป ระบอบการเมืองเลวร้ายยังไม่จบ เราจะอยู่เฉยได้อย่างไร?

ผลประโยชน์พรรค อยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนตน ผลประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน อยู่เหนือประโยชน์พรรค!!! บุญยอด สุขถิ่นไทย อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 14 มีนาคม 2566
 

ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมต.ผู้ปราบการกระทำผิดไซเบอร์ แห่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

อยู่ในตำแหน่ง ส.ส. ครบ 4 ปี และแม้จะเป็นรัฐมนตรีไม่นานมากนัก แต่ต้องยอมรับว่า "ชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ มีบทบาทในการขับเคลื่อนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส  รวมถึงการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ที่มีจุดยืนชัดเจนในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ เรียกได้ว่า "พร้อมชน" ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งการจัดการกับ "ข่าวปลอม" ต่างๆ  การอภิปรายในสภา หรือให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเพื่อตอบโต้การเคลื่อนไหวหรือการทำกิจกรรมใดๆ ที่สุ่มเสี่ยงหรือเข้าข่ายกระทบสถาบัน

หากย้อนมองเส้นทางการเมืองของ "ชัยวุฒิ" ที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันอยากเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานการเมือง เริ่มต้นจากการเป็น ส.ส. สิงห์บุรี กับพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2544  และขยับไปเป็น ส.ส.สิงห์บุรีอีกสมัยกับพรรคชาติไทย ในปี 2550 คล้อยหลังมา 1ปี เจ้าตัวจำต้องเว้นวรรค ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี  เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทยซึ่งถูกยุบ ในคดียุบพรรคการเมือง ปี 2551

จากนั้นก็ผันตัวไปทำงานอื่นอยู่พักใหญ่ก่อนหวนกลับมาสู่การเมืองอีกครั้ง เมื่อถูกทาบทามให้เข้ามาช่วยปลุกปั้นพรรค "พลังประชารัฐ" สู้ศึกเลือกตั้งในปี 2562 ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 10 และมีบทบาทสำคัญในการบริหารขับเคลื่อนพรรค ต่อมาเมื่อถึงช่วงเวลาปรับ ครม. เดือนมีนาคม 2564  "ชัยวุฒิ" จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

"ที่ผมเข้ามาทำงานในกระทรวงดิจิทัล ภารกิจหลักของผมคือปกป้องสถาบันหลักของชาติ"

ประโยคสั้นๆ จากบางช่วงบางตอน ที่ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ในฐานะ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 กันยายน 2564 หลังถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่

วันนั้น เขาขยายความเหตุที่ต้อง ‘ปกป้อง’ สถาบันหลักของชาติ เพราะกำลังถูกบ่อนทำลาย โดยการใช้โซเชียลมีเดีย ใช้คอมพิวเตอร์ สื่อสารข้อมูลเท็จ บิดเบือน สร้างความเกลียดชัง เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในประเทศ

ประชาธิปัตย์ทันสมัย พูดคุยกับ ‘อลงกรณ์’ ในบริบทใหม่ของ ศก.ไทย ใต้ ‘6 ระบบเศรษฐกิจ-18 ฐานการพัฒนา’

ในห้วงเวลาที่นโยบายหลากพรรคต่างช่วงชิงกระแส ‘ตัวเลข’ ออกมาปั้นเป็นวิสัยทัศน์กันอย่างไวว่อง ในฟากของประชาธิปัตย์ก็มิได้ตกขบวนแต่อย่างใด หากแต่ตัวเลขของ ปชป. อาจจะไม่ใช่ตัวเลขหรือหวาเชิงประชานิยม แต่กลับเป็นตัวเลขภายใต้บริบทที่เรียกว่า ‘6 ระบบเศรษฐกิจใหม่ - 18 ฐานการพัฒนาใหม่’ ซึ่งทางพรรควางไว้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนประเทศไทยตัวใหม่ภายใต้แพลตฟอร์มที่ประชาธิปัตย์ได้ดีไซน์เพื่อความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศไทยในวันนี้

บริบทจาก ‘6 ระบบเศรษฐกิจใหม่ - 18 ฐานการพัฒนาใหม่’ ที่ว่านั้น ทาง THE STATES TIMES ได้รับความกระจ่างผ่านมุมมองของ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ / อดีต ส.ส.6สมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

เมื่อถามถึงบริบทดังกล่าว นายอลงกรณ์ ก็ได้เริ่มเกริ่นนำว่า “ในมุมมองของผม โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย คือ  อัตราการเติบโดทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายได้ต่อหัวของประชาชนขยายตัวในอัตราต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพของประเทศ การคอร์รัปชันสูงเกินไป การกระจายรายได้ต่ำ ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงมากในลำดับต้นๆ ของโลก

“สรุปคือระบบเศรษฐกิจและระบบภาครัฐดั้งเดิมของประเทศไทยเหมือนเครื่องยนต์เก่าที่กำลังไม่พอต่อการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องสร้าง ‘เครื่องยนต์ตัวใหม่’ ที่ทันต่อการแข่งขันและความท้าทายใหม่ๆ เช่น ปัญหาโลกร้อน, ปัญหาสังคมสูงวัย, ปัญหาความยากจนและหนี้สิน, ปัญหาความเหลื่อมล้ำปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจ, ปัญหาการคอร์รัปชัน, ปัญหาคุณภาพการศึกษา และปัญหาโรคระบาดและฝุ่นพิษ รวมถึงปัญหาUrbanization และปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ”

นายอลงกรณ์ เผยต่อว่า “ถ้าจะยกระดับอัพเกรดให้ก้าวพ้นประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง เราต้องมีแพลตฟอร์มใหม่และสร้าง”พิมพ์เขียวปฏิรูปเศรษฐกิจและการพัฒนา”ที่มีเป้าหมายชัดเจนเป็นตัวชี้วัด (Benchmark) บนโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจใหม่ 6 ระบบได้แก่ 1.เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) 2.เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) 3.เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) 4.เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) 5.เศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy) และ 6.เศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)

“โดยทั้ง 6 ระบบนี้ คือ เครื่องยนต์ใหม่ที่จะตอนโจทย์ต่ออนาคตของประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ดังนี้...1.การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 5 %ใน 4 ปีแรกและ 7 %ในปีที่ 5 / 2.สร้างมูลค่าGDPเป็น 20 ล้านล้านบาทภายใน 4 ปี / 3.สร้างความสมดุลหนี้สาธารณะและงบประมาณสมดุลภายใน 8 ปี / 4.เกิดการจ้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านตำแหน่งภายใน 8 ปี  และ 5. เพิ่มรายได้ประชากรสู่ระดับ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐภายใน 10 ปี...นี่คือในส่วนของ ‘6 ระบบเศรษฐกิจใหม่’ 

‘เพื่อไทย’ หวั่น!! กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ชี้!! ไม่ควรแยกย่อยแขวง ป้องกัน ปชช. สับสน

(14 มี.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายวิชาญ มีนชัยอนันต์ ประธานภาค กทม. น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวานิช ส.ส.กทม. และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. แถลงเสนอความเห็นต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประเด็นการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่อาจไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

โดย น.ส.ธีรรัตน์กล่าวว่า ในฐานะตัวแทน ส.ส.กทม. มีหลายพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยกับการแบ่งเขตที่ กกต. อาจจะเลือกใช้ โดยเห็นว่าหลักของการแบ่งเขต ควรรวมเขตขนาดใหญ่ไว้ด้วยกัน ไม่ใช่การรวมแขวง เพราะจะทำให้ ส.ส.เขต กลายเป็น ส.ส.แขวง และจะทำให้เกิดความสับสน ทั้งสำหรับ ส.ส.ที่จะต้องดูแลพื้นที่ และประชาชนที่จะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ทั้งนี้หาก กกต. แบ่งแขวงหนึ่งไปรวมกับอีกเขตการปกครอง ที่ไม่ได้มีพื้นที่เชื่อมต่อกัน และประชาชนไม่คุ้นเคย ไม่สะดวกในการเดินทางไปใช้สิทธิ อาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตเลือกตั้งได้ รวมถึงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง เกิดความไม่คุ้นเคยกับประชาชนจากแขวงอื่นที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง

“การแบ่งเขตควรคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่ดูแล้วการแบ่งเขตของ กกต. เองดูจะเข้าทางกลุ่มผู้มีอำนาจเป็นหลักหรือไม่ อันนี้ท่านจะกลับหลังทัน คิดถึงประโยชน์ของประชาชนให้มากกว่าจะคิดถึงประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง” น.ส.ธีรรัตน์กล่าว

ด้าน นายวิชาญ ให้รายละเอียดการแบ่งเขตของ กกต. 4 แบบ ว่า กทม. 33 เขต เป็นที่จับจ้อง เนื่องจากเป็นชิ้นเค้กชิ้นหนึ่งที่หลายพรรคการเมืองอยากได้ เพราะเป็นเขตที่ติดต่อกัน และมีความหนาแน่นของคนเมือง

พรรค พท.เคยมีการแถลงข่าวและเตือนไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าการแบ่งเขตรอบแรกมีความผิดเพี้ยนและได้บอกให้คำนึงถึงกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 29 ที่ต้องยึดโยงเรื่องเขตปกครองเป็นหลัก หมายความว่าต้องเอาอำเภอเป็นหลัก หากไม่สามารถแบ่งได้ ค่อยไปแบ่งตามแขวง นอกจากนี้ยังต้องยึดโยงตามการเดินทาง ให้ความสะดวกกับประชาชนให้ได้มากที่สุด และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยวันนี้ยังไม่ทราบว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งจะออกมาเป็นรูปแบบไหน

“สิ่งสำคัญต้องไม่ทำให้ประชาชนสับสน ครั้งที่แล้วเราเตือน กกต. ว่าการแบ่งเขตที่ส่งรูปแบบมา รูปแบบที่ไม่เหมาะสม คือ 6-7 แต่พอภาคประชาชนท้วงไป กกต.ก็เปลี่ยนมามี 4 รูปแบบ 4 รูปแบบที่ว่า 1 และ 2 เป็นแบบที่เราท้วงไป ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่า หากมองให้ลึก การประกาศต้องผ่านราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ รูปแบบ 1 และ 2 ขัดต่อ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 27 ที่ต้องรวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่ง กทม. ก็คือ เขต และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 มีการเอาเขตเป็นตัวตั้งมากกว่าเอาแขวงมาเป็นตัวตั้ง แต่รอบนี้ รูปแบบที่ 1 และ 2 กลับกำหนดตำบลหรือแขวงมาเป็นตัวตั้ง ย้ำว่าจัดแบบนี้วุ่นวายไปหมด ข้าราชการเองก็งง จึงมาบอกทางประชาชนและบอกทางพรรคการเมืองให้ช่วยดู”

“ถามว่า กกต.ได้อะไร ได้ความสนุกหรือไม่ กกต.แบ่งเพื่อที่จะให้ 10% แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ความวุ่นวายการเสียจำนวนเงิน ประชาสัมพันธ์ เขายังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องกฎหมายหากมีใครมายืนร้อง หลังเลือกตั้งประกาศผลไม่ได้ เป็นโมฆะ กกต.รับผิดชอบหรือไม่ ประเทศเรามีนักร้องเยอะมาก กทม. ทะเลาะกันแน่นอน” นายวิชาญกล่าว

นายกฯ ไทยที่มีอายุการทำงาน ''สั้นและยาวที่สุด''

อีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้าจะเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ เป็นที่รู้กันว่าตามรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติไว้ให้นายกรัฐมนตรีมีวาระในการดำรงตำแหน่งไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 8 ปี หากย้อนดูในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 29 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีวาระในการดำรงตำแหน่ง และห้วงเวลาสั้น ยาว แตกต่างกันไป

แต่ถ้าพูดถึงนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในอำนาจสั้นที่สุด นั่นคือ  "ทวี บุณยะเกตุ" ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเพียง 18 วัน เป็นช่วงเวลาแสนสั้น  แต่ภารกิจนั้นกลับสำคัญยิ่ง

ย้อนกลับไปเมื่อ 15 สิงหาคม 2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มเข้าสู่จุดสิ้นสุดเมื่อญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงคราม นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ออก “ประกาศสันติภาพ” อันมีใจความสำคัญว่า การประกาศสงครามของไทยต่ออังกฤษและสหรัฐฯ เป็นโมฆะ ทำให้รัฐบาลนายควง  อภัยวงศ์ ลาออกตามมารยาทการเมือง

ขณะที่ต้องรอเวลาให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับมาที่ไทยเพื่อรับตำแหน่งนายกฯ ต่อไป ทว่ามีภารกิจเร่งด่วนที่สุดของประเทศที่รอไม่ได้ คือการเจรจายุติสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ  จึงจำเป็นต้องตั้ง "รัฐบาลเฉพาะกิจ" เร่งจัดการเรื่องต่างๆ ช่วงรอยต่อจากภาวะสงคราม

"ทวี บุณยเกตุ" คือบุคคลที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมให้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี "ขัดตาทัพ" ด้วยความที่เป็นสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองเป็นเลขา ครม.ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ และเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือ นายทวี เป็นแกนนำคณะเสรีไทย ที่นายปรีดี พนมยงค์ ไว้ใจ รวมถึงเป็นที่ยอมรับของฝ่ายสัมพันธมิตร

ดังนั้นรัฐบาลของนายกฯ "ทวี บุณยเกตุ"  จึงมีอายุเพียงแค่ "18 วัน" ตั้งแต่ 31 สิงหาคม-17 กันยายน 2488  ในการทำภารกิจสำคัญเร่งด่วน คือ เตรียมการเจรจายุติสถานะสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐฯ  พร้อมปูทางให้ไทยสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ รวมถึงเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “ไทยแลนด์” กลับมาใช้ชื่อ “สยาม”  และยุบตำแหน่ง “ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน” เพื่อลดเกียรติภูมิของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตัดสินใจให้ความร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นก่อนหน้านั้น

กระทั่ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับถึงไทย วันที่ 17 กันยายน 2488 นายทวีได้นำคณะรัฐมนตรีลาออกเพื่อเปิดทางให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช จัดตั้งรัฐบาลตามที่ตกลงกันไว้ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจของนายกรัฐมนตรีที่มีระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เมื่อพูดถึง “นายกฯ ที่มีอายุงานสั้นที่สุด” ในมุมตรงข้าม นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด ต้องยกให้ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม"  ที่เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ช่วง รวมเวลายาวนานถึง 15 ปี กับอีก 11 เดือน

จับตา ‘สมศักดิ์-สุริยะ’ เปิดทางซบ ‘เพื่อไทย’  คาด!! อาจไขก๊อก 'รมต.-ปาร์ตี้ลิสต์' 16 มี.ค.นี้ 

(14 มี.ค.66) รายงานข่าวแจ้งถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกจับตาอย่างมากถึงการตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยทางพรรคเพื่อไทย ที่มีกำหนดการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ครบทั้ง 400 เขต ในวันที่ 17มี.ค.นี้ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แกนนำพรรคเพื่อไทย จึงมีความพยายามกดดันให้กลุ่มสามมิตร รีบตัดสินใจย้ายมาร่วมงานกับพรรคเพื่อร่วมมือในการต่อสู้เลือกตั้งครั้งต่อไป

‘สามมิตร’ จ่อเกลี้ยง!! สรวุฒิ ทิ้ง ‘พปชร.’ ซบ ‘พท.’ เผย เตรียมร่วมเปิดตัว-ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ 17 มี.ค.นี้

(14 มี.ค. 66) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และหัวหน้าภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้ว เพื่อจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปกราบลา และต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่สนับสนุนและให้โอกาสในการทำงาน รวมถึงนายวิรัช รัตนเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ได้เข้าไปกราบลา แต่จิตใจยังผูกพัน และระลึกถึงสิ่งดี ๆ

ส่วนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ตนลาออกเพียงคนเดียว ไม่ได้ชักชวนใครไปด้วย ส่วนตำแหน่งหัวหน้าภาคตะวันออก น่าจะมอบหมายให้คนที่ยังอยู่ คือ ร.อ.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี อย่างไรก็ตาม นายสรวุฒิ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการลาออกในครั้งนี้ด้วย

‘ไพบูลย์’ ไม่หวั่น ปม ส.ส.ทยอยลาออกจาก พปชร. ลั่น!! เตรียมตัวมาดี หากยุบสภาฯ พร้อมเดินหน้าทันที

(14 มี.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. ให้สัมภาษณ์ กรณีที่มี ส.ส.ของพรรคทยอยลาออก โดยล่าสุดคือ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี และแกนนำพรรค พปชร. ว่า คนที่ออกไปส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จะลาออกตั้งแต่ต้น มีเจตจำนงค์ที่จะไปพรรคอื่น แต่ยังไม่ลาออกอย่างเป็นทางการ วันนี้เป็นการลาออกอย่างเป็นทางการ และคนที่ออกไปก็อยู่ในจำนวนที่เคยบออกไปตั้งแต่แรกว่าเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ที่พรรค

และยังมีกลุ่ม ส.ส.ที่มาจากพรรคอื่นที่เข้ามาจำนวนมาก ยืนยันว่า พรรค พปชร. มีความพร้อมที่สุดที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่มีข่าวว่าคนนู้นคนนี้ลาออก เป็นเรื่องที่เกินไป ไม่ใช่อย่างนั้น พรรคไม่มีปัญหา และกระแสพรรคตอนนี้ไม่ได้ดรอปและดีขึ้น โดยพรรคได้จัดทำโพลสำรวจเป็นระยะ จึงไม่รู้สึกหนักใจอะไร ขณะเดียวกันเรื่องที่ดี คือหัวหน้าพรรคมีภาพลักษณ์และทำกิจกรรมที่มีภาพปรากฎในสื่อเป็นไปในทางบวก ถือเป็นข้อดี

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง จะมีคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เข้ามาดูแลขับเคลื่อนการดำเนินงานของพรรค อาทิ ฝ่ายดูแลเวทีและกิจกรรมของพรรค โดยมีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหัวหน้าพรรค เป็นผู้ดูแล คณะกรรมการฝ่ายอำนวยการเลือกตั้ง โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค เป็นผู้ดูแล และมีนายวราเทพ รัตนากร เป็นผู้ช่วยดูแล คณะกรรมการจัดทำนโยบาย มีนายอุตตม สาวนายน เป็นประธาน คณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมือง มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นผู้ดูแล และตนเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อยุบสภาฯ จะเข้าสู่การเลือกตั้งเต็มรูปแบบ พรรคก็จะดำเนินการให้เต็มรูปแบบ ขณะนี้ทีมงานมีความพร้อมที่ดีมาก และมีผู้รับผิดชอบในแต่ละด้านทั้ง 7 ฝ่าย สำหรับขุนพลปราศรัยของพรรคมีทุกเวที และน่าจะมีคนเกินมากกว่าเวที โดยการปราศรัยแต่ละครั้งต้องมีประชาชนมาฟังให้เต็ม ไม่ใช่มีแต่เก้าอี้ ที่พูดไม่ได้ประชดใคร ขณะที่การขึ้นเวทีดีเบต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ได้มอบหมายให้หลายคนเป็นตัวแทน พล.อ.ประวิตร จะพูดบนเวทีปราศรัย หรือการให้สัมภาษณ์พิเศษ

ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลที่ลาออกซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้ง จำเป็นต้องมีการปรับอะไรหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะหัวหน้าพรรคมอบหมายงานให้รับผิดชอบ ซึ่งแต่ละพื้นที่ไม่ได้มีคนเดียว มี 2-3 คนอยู่แล้ว คนที่อยู่ก็ทำงานต่อ คนที่ออกก็ออกไป ไม่มีผลกระทบอะไร ยืนยันว่าพรรคมีความพร้อมในการเลือกตั้ง เนื่องจากรายชื่อที่ออกไป พรรครู้และเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหรือเซอร์ไพรส์อะไร เราทราบก่อนหน้านั้นแล้ว แค่วันนี้ออกอย่างเป็นทางการ

‘สาวชาติพัฒนากล้า’ นำเสนอนโยบายด้วยภาษามือ  พร้อมรับฟังความเห็นจากเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

(14​ มี.ค.66) ณ​ ห้อง​อินฟินิตี้​ โรงแรมพูลแมน​ รางน้ำ​ กรุงเทพมหานคร​ ว่าที่ผู้สมัครหญิงจากพรรคชาติพัฒนากล้า​ นำโดย ‘วิว’ นางสาวเยาวภา​ บุรพลชัย​ โฆษกพรรคชาติพัฒนากล้า, นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง-บางนา​ และ​นางสาวสวิชญา​ วาทะพุกกะณะ ว่าที่ผู้สมัครเขตราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ​ ได้รับเชิญเป็นตัวแทนพรรคเข้าร่วมเสวนางาน "Woman together stand for good society and good politics : สังคมดี การเมืองดี ต้องมีสตรีร่วมทาง" โดยการเสวนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมผลักดันสตรีเพศให้มีบทบาทและสิทธิทางการเมืองเสมอภาคกับเพศสภาพอื่นๆ

นางสาวเยาวภา​ ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาเทควันโดโอลิมปิก กล่าวว่า การนำกีฬาและกิจกรรมสร้างสรรค์​ เข้ามาสร้างสุขภาพ​และสร้างการตระหนักรู้ถึงการมีคุณค่าของตนเองให้กับเด็ก​ เยาวชน​ และคนทุกเพศทุกวัย​ ตลอดจนการพัฒนาเด็กเล็กโดยการเพิ่มทักษะครูพี่เลี้ยง​ และการทำนโยบายที่เน้นให้เด็กได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว​ เพื่อสร้างความอบอุ่นและครอบครัวที่เข้มแข็ง​ รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาแบบยืดหยุ่นที่เป็นหลักสูตรเฉพาะเพื่อสร้างความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับเด็กที่จะเป็นอนาคตของประเทศ​ 

ขณะที่นางสาวยศยา นำเสนอนโยบายสิทธิของเด็ก สตรี ผู้พิการและคนชรา​ ผ่าน​ ทั้ง 12 นโยบาย จากพรรคชาติพัฒนากล้า อาทิ อารยสถาปัตย์ โดยสนับสนุนงบประมาณ 50,000 บาทเพื่อปรับปรุงซ่อมบ้านในกับผู้พิการและผู้สูงอายุ, การจ้างงานผู้สูงอายุหลังเกษียณ 500,000 ตำแหน่ง, เด็กไทยต้องรู้ 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ และภาษาโค้ดดิ้ง, กองทุนสร้างสรรค์ สูงสุด 1,000,000 บาท สนับสนุนกลุ่มคนที่มีไอเดียวสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจ ไม่จำกัดวุฒิ, เพศ, และวัย และ นโยบายสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ให้เป็นที่ยอมรับ และ เสมอภาคเพื่อสร้างความงดงามทางสังคม และ นำรายได้เข้าสู่ประเทศ​ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top