Wednesday, 23 April 2025
ElectionTime

'เพื่อไทย' โชว์ไอเดียแก้ PM 2.5 ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายและรับผิดชอบ

“ในวงการนักสิ่งแวดล้อม คุยและเสนอความคิดกันว่า วันนี้คนที่สร้างมลพิษ จะต้องมาช่วยจ่ายและรับผิดชอบ ซึ่งต่อไปจะเป็นหลักการสำคัญในการแก้ปัญหา”

ส่วนหนึ่งจากการเสวนา ‘วิกฤตฝุ่น PM 2.5 เพื่อไทยมีทางแก้ไข’ นำโดย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ นายแพทย์ญาณกิตติ์ ห่วงทรัพย์ ผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพมหานคร, ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ดำเนินรายการโดย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ชี้ให้เห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องเข้มงวดและผู้ก่อมลพิษควรได้มีส่วนรับผิดชอบอย่างจริงจัง

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวว่า กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดมาอย่างยาวนาน ตนได้ยื่นกระทู้สดถามต่อรัฐบาล แต่กลับไม่มีผู้มาตอบถึง 3 ครั้ง โดยตั้งแต่ปี 2564 ได้ยื่นกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อจัดการปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน แล้วเสร็จถึง 3 คณะ กระทั่งวันที่ 27 มกราคม 2565 ได้ยื่นพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ผ่านไป 400 วันแล้ว ยังไปไม่ถึงไหน หลายฉบับก่อนหน้านี้มีการตีตก เหลือฉบับของพรรคเพื่อไทยที่ค้างในรัฐสภาในส่วนนิติบัญญัติ 

จักรพล กล่าวต่อว่าในวงการนักสิ่งแวดล้อมได้คุยและเสนอความคิดกันว่า วันนี้คนที่สร้างมลพิษจะต้องมาช่วยจ่ายและรับผิดชอบ ซึ่งต่อไปจะเป็นหลักการสำคัญในการแก้ปัญหา เพราะคนที่ก่อมลพิษควรต้องร่วมรับผิดชอบเพื่อให้รัฐบาลและสังคมได้นำเงินรายได้ตรงนี้ไปใช้รักษา ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่นพิษ แต่อย่างไรก็ตามตรงนี้ก็คงไม่สามารถเทียบกับชีวิตและสุขภาพและชีวิตของคนไทยที่ต้องสูญเสียไป ดังนั้น พ.ร.บ.อากาศสะอาดจึงถือเป็นด่านแรกที่สำคัญในขั้นพื้นฐานที่พรรคเพื่อไทยจะต้องผลักดันต่อไปให้สำเร็จ เพื่อเป็นหลักประกันพื้นฐานด้านสุขภาพให้พี่น้องประชาชน

นายแพทย์ญาณกิตติ์ ห่วงทรัพย์ ผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า PM 2.5 สามารถแทรกซึมได้ผ่านทางลมหายใจ คนที่เป็นภูมิแพ้จะมีน้ำมูกไหล ไปจนถึงเลือดกำเดาไหล ผ่านเข้าปอด เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจ สมอง สามารถทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรืออักเสบ และสามารถเสียชีวิตได้ทันที ปีที่แล้ว มีผู้เสียชีวิต 30,000 คนต่อปี ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท

'รวมไทยสร้างชาติ' รวม ส.ส. สุดเก๋า ในแวดวงการเมืองไทย

กำลังเป็นที่จับตามองที่สุด สำหรับ “เลือกตั้งประเทศไทย” ที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรค ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะทำงานสานต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศตามกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปบนพื้นฐานของความมีเสถียรภาพ ความมั่นคง และความรุ่งเรือง

งานนี้ไม่ใช่เพียง 'ลุงตู่' เท่านั้นที่ตบเท้าเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพรรค แต่ 'รวมไทยสร้างชาติ' ยังถือเป็นพรรคที่ 'รวม' เอาบรรดานักการเมืองตัวเก๋า ที่มากไปด้วยความรู้ ความสามารถ ซึ่งจะนำมาพัฒนาประเทศได้อีกมากมาย

THE STATES TIMES ไปรวมเอา 'นักการเมืองสายเก๋า' ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตผู้แทนราษฎร 11 สมัย ทำงานบนเส้นทางการเมืองไทยมากว่า 37 ปี นายวิทยา แก้วภารดัย อีกหนึ่ง ส.ส.ภาคใต้ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนกว่า 8 สมัย แถมยังเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือแม้แต่หัวหน้าพรรคอย่าง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต ส.ส.6 สมัย ผ่านการทำงานทางการเมืองมามากมายหลายบทบาท และขึ้นชื่อว่าเป็น 'ผู้รู้' ด้านกฎหมายที่เก่งกาจคนหนึ่งของเมืองไทย

‘ประชาธิปัตย์’ เห็นพ้อง ส่ง ‘จุรินทร์’ ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

(15 ก.พ.66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ว่า คณะกรรมการบริหารพรรค ได้มีการประชุมครั้งที่ 2/2566 เมื่อวานนี้ (14 ก.พ.) โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค เป็นบุคคลที่พรรคพิจารณาให้ความเห็นชอบเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เป็นผู้เสนอ โดยการเสนอชื่อดังกล่าวถือว่าเป็นการเสนอชื่อบุคคลที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่จะยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ 

‘ลุงหนู’ โว!! ปชช. ตอบรับภูมิใจไทยดีขึ้นมาก ไปไหนก็ได้รับคำขอบคุณ มีกำลังสู้ศึกเลือกตั้ง

(15 ก.พ. 66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงความมั่นใจในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ หลังลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่อง ว่า ถ้าเทียบกับปี 2562 หรือ 4 ปีก่อน ต้องยอมรับแบบไม่เข้าข้างตัวเองว่า การตอบรับและการต้อนรับของประชาชนต่อภูมิใจไทยมีการพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดีอย่างมาก ไปที่ไหนก็ได้รับคำชม คำขอบคุณจากประชาชน ไปไหนก็พบแต่รอยยิ้ม หลายคนเข้ามาก็ขอบคุณ ขอบคุณถนนผ่านหน้าบ้าน ขอบคุณรถไฟ ขอบคุณที่ทำเรื่องวัคซีนมาให้ ขอบคุณที่ทำเรื่องล้างไต ขอบคุณที่ทำเรื่องรักษามะเร็ง มันมีเสียงสะท้อนกลับมา ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนกลับมาอย่างเป็นมิตร เป็นเสียงสะท้อนซึ่งมีความโอภาปราศัยซึ่งกันและกัน 

‘อุ๊งอิ๊ง’ เตรียมลุย 5 จังหวัดในอีสาน ปราศรัยรวม 9 เวที 17-19 ก.พ.นี้

(15 ก.พ.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมลงพื้นที่ปราศรัยใน 5 จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่นระหว่างวันที่ 17-19 ก.พ.นี้ รวมทั้งหมด 9 เวทีปราศรัย เพื่อนำเสนอนโยบายและรับฟังความคิดเห็นประชาชนร่วมกับ ส.ส.และผู้ซึ่งประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคพท.ภายใต้แนวคิด ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ นำโดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญ ทั้งนายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรค น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดและกรรมการบริหารพรรค

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 17 ก.พ.เริ่มต้นเวทีปราศรัยวัดม่วงเดียด หลวงพ่อลี อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ในเวลา 11.00 น. หลังจากนั้นจะไปเปิดเวทีปราศรัยที่ 2 ที่ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ในเวลา 14.30 น. ก่อนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ศาลากลางหลังเก่า อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 

ทั้งนี้ จ.อุบลราชธานีถือว่ามีความทรงจำร่วมกันระหว่างประชาชนกับการทำงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเมื่อครั้งเป็นพรรคไทยรักไทย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เริ่มต้นแคมเปญหาเสียงในพื้นที่ภาคอีสาน โดยชวนแกนนำพรรค รัฐมนตรีขึ้นรถไฟออกจาก อ.วารินชำราบ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยก็จะนำนโยบายไปเสนอ โดยเฉพาะนโยบายด้านการคมนาคม รถไฟความเร็วสูง 

ในวันที่ 18 ก.พ.จะเปิดเวทีปราศรัยแรกที่รร.อำนาจเจริญ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ในเวลา 10.00 น. ไปต่อที่รร.เสลภูมิพิทยาคม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ในเวลา 14.00 น. ก่อนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่บึงพลาญชัย อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ในเวลา 17.00 น. 

ซึ่งที่ จ.ร้อยเอ็ด นายทักษิณเคยจัดโมเดลแก้จนที่ อ.อาจสามารถ เรียกว่า ‘อาจสามารถโมเดล’ วางแผนยกระดับคุณภาพชีวิต ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส น่าเสียดายที่หลังลงพื้นที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองนำไปสู่การรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นในการทำงาน แก้ปัญหาความยากจน ยังเป็นเป้าหมายหลักของพรรคะท.จนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะนำเสนอบนเวทีนี้ด้วย

'อุตตม-สนธิรัตน์' นำทีม 'สร้างอนาคตไทย' พร้อมลูกพรรค หวนคืนรัง 'พปชร.' ร่วมหนุน 'บิ๊กป้อม' นั่งนายกฯ คนที่ 30

(15 ก.พ. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.คลัง, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน และคณะกรรมการบริหารพรรค ร่วมกันแถลงข่าว 'สร้างอนาคตไทย คืนสู่เหย้าพลังประชารัฐ' พร้อมเปิดตัวสมาชิกพรรค 8 คน ที่กลับเข้ามาร่วมงานกับพรรค ได้แก่ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 8 คน ประกอบด้วย

1.) นายประจวบเหมาะ ภักดีชน จ.นครศรีธรรมราช
2.) พ.ต.อ.ภคพล ทวิชศรี จ.ชุมพร
3.) นายกานต์ เพชรบูรณ์ จ.พังงา
4.) นางปวีณา นิลแย้ม จ.ลพบุรี
5.) นางศรัณยา สุวรรณพรหม จ.หนองบัวลำภู
6.) นายมนตรี พึ่มชัย จ.อุดรธานี
7.) นายประวัติ กองเมืองปัก จ.มหาสารคราม
8.) นายทวีศักดิ์ ประทุมลี จ.มุกดาหาร

นายวิรัช กล่าวว่า ขอต้อนรับทุกคนที่มาในวันนี้ บุคคลที่เข้ามาช่วยเสริมสร้างให้พรรคพลังประชารัฐมีความคิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราเข้าใจเดียวกัน เมื่อมาอยู่ในบ้านเดียวกันเป็นหน้าที่ของทุกคนในพรรคพลังประชารัฐที่จะทำให้บ้านเราเข้มแข็ง เป็นตัวหลักในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้าส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ต่อไป

นายไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่อดีตสมาชิกที่เคยอยู่กับพรรคพลังประชารัฐและออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก และยังระลึกถึงความอบอุ่นตามที่ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นสำหรับที่จะเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร เป็นความเข้มแข็งให้กับพรรคพลังประชารัฐ ทุกคนที่มาในวันนี้มีความสำคัญ มีความสามารถ มีบทบาท จึงขอต้อนรับกลับมาร่วมงาน

‘ชาติพัฒนากล้า’ ชี้ช่องทางขับเคลื่อน SME ไทย ต้องสร้างโอกาสนิยม-ขายของออนไลน์ ควบคู่กันไป

(15 ก.พ. 66) ที่โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพ ราชประสงค์ นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวในเวทีเสวนา ‘อนาคตประเทศไทย : SME จะไปทางไหน’ ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเอสเอ็มอีอยู่ประมาณ 3 ล้านราย และ 98% ของธุรกิจเป็นผู้ประกอบการรายเล็กและรายจิ๋ว มีขนาดกลางเพียง 2% เท่านั้น พรรคชาติพัฒนากล้า เราจะสู้เพื่อเอสเอ็มอี เพราะตระหนักดีว่า เอสเอ็มอีโตไม่ได้ถ้าไม่มีใครสู้เพื่อพวกเขา 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้ามีนโยบายโอกาสนิยม เพื่อให้เอสเอ็มอีแข็งแรงได้ด้วยตัวเอง โดยการสร้างโอกาส ติดอาวุธ ให้แต้มต่อ ในการเข้าถึงเงินทุนพัฒนาตัวเองให้เติบโตทั้งผลิตภัณฑ์ทั้งระบบและวิธีการทำงาน ปัจจุบันเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าสู่การกู้เงินในระบบ บางคนติดแบล็กลิสต์บูโร จนต้องพึ่งหนี้นอกระบบ พรรคชาติพัฒนากล้าเสนอให้ยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร และมาใช้ระบบเครดิตสกอร์แทน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินเข้มแข็งขึ้น เพราะผู้ที่ติดแบล็กลิสต์ถึงประมาณ 5.5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีถึง 3.2 ล้านคนที่ติดแบล็กลิสต์ช่วงโควิด อีกหนึ่งโอกาสที่สำคัญในการพัฒนาธุรกิจ คือ เอสเอ็มอีต้องสามารถทำให้คนในประเทศพอใจและมั่นใจ ที่จะใช้สินค้าไทยที่ได้มาตรฐาน เพื่อนำไปสู่ ไทยทำ ไทยใช้ ไทยส่งออก ไทยมั่งคั่ง พรรคชาติพัฒนากล้า มีโมเดลคลาวน์ แฟคตอรี่ ที่ อบต.บ้านใหม่ จ.พระนครศรีอยุธยา มี อย.กลางให้เอสเอ็มอีมาใช้บริการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน ซึ่งหากพัฒนาโมเดลดังกล่าวทั่วประเทศจะทำให้สินค้าได้รับการพัฒนาได้อย่างมีมาตรฐานทั้งตัวผลิตภัณฑ์และแพคเกจจิ้ง คนไทยมั่นใจในสินค้าไทย และสามารถส่งออกได้ ที่สำคัญต้องเปลี่ยนจากประเทศที่ซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นขายสินค้าออนไลน์ ขายให้เป็น ใช้ทีมขายเอกชน เหมือนที่ประเทศจีนทำสำเร็จมาแล้ว

ย้อนรอยพรรคการเมืองที่มี ส.ส.เข้าสภาแบบ 'ที่นั่งเดียว'

ถ้าใครยังจำกันได้ 'เลือกตั้ง 2562' นำพาความเปลี่ยนแปลงและสร้างสถิติใหม่ขึ้นหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการใช้ระบบ 'จัดสรรปันส่วนผสม' ที่ใช้บัตรเลือกตั้งเพียง 1 ใบเลือกทั้ง ส.ส. เขต จำนวน 350 คน และบัญชีรายชื่ออีก 150 คน  บนหลักการให้เสียงส่วนน้อยมีความหมาย ถูกนำมานับเป็นคะแนน เรียกว่า "ไม่ถูกทิ้งน้ำ" โดยการนำทุกคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ได้มาคิดคำนวณเพื่อหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากฐานตัวเลข 'ส.ส.พึงมี' ซึ่งอยู่ที่ 71,000 คะแนนเสียง ต่อ 1 เก้าอี้ ส.ส. 

ปรากฎว่ามี  '11พรรคการเมืองขนาดเล็ก' ได้ที่นั่ง ส.ส. จากระบบบัญชีรายชื่อ 'พรรคละ 1 คน' ประกอบด้วย พรรคประชาภิวัฒน์, พรรคพลังไทยรักไท, พรรคไทยศรีวิไลย์, พรรคประชานิยม, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน, พรรคประชาธรรมไทย, พรรคพลเมืองไทย, พรรคประชาธิปไตยใหม่, พรรคพลังธรรมใหม่ และพรรคไทรักธรรม ยกเว้นพรรคพลังชาติไทยที่ได้คะแนนเกินเกณฑ์ ส.ส. พึงมี

1 เสียงในสภาของพรรคเล็กอาจดูไม่ค่อยมีน้ำหนักและความหมายมากนัก แต่ ส.ส. ที่ผ่านเข้าไปหลายคนสามารถสร้างพื้นที่ให้กับตัวเองได้ไม่น้อยเลย THE STATES TIMES หยิบยกเอา ส.ส.เดินเดี่ยว หรืออาจเรียกว่า “ข้ามาคนเดียว” มาบอกเล่ากัน

#ไพบูลย์นิติตะวัน ส.ส. ผู้ "น้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้า" เข้าสภา 

ชื่อของ 'ไพบูลย์ นิติตะวัน' เริ่มเป็นที่รู้จักในทางการเมือง ในฐานะสว. สรรหา ระหว่างปี 2551-5557  เป็นหนึ่งใน 'กลุ่ม 40 ส.ว.' ตรวจสอบรัฐบาลพรรคพลังประชนและพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวเป็นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัย อดีตนายกฯ 'ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร' กรณีสั่งย้าย 'ถวิล เปลี่ยนศรี' เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ต่อมา  'ยิ่งลักษณ์' ต้องพ้นจากตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของศาล

และเมื่อถึงช่วงเวลานับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้งปี 2562  ชื่อ 'ไพบูลย์ นิติตะวัน' ก็ถูกจับตา เมื่อเขาตั้งพรรค 'ประชาชนปฏิรูป' ลงสู้ศึกเลือกตั้ง ชูนโยบาย  'น้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้า' แก้ปัญหา 'ทุกข์ร้อน' ให้ประชาชน ส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต 311 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 40 คน 

หลังเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคประชาชนปฎิรูป ได้ 45,420 คะแนน เป็นอันดับที่ 23 จากทั้งหมด 74 พรรค และเมื่อผ่านคำนวณคะแนนตามสูตร ของ กกต.แล้ว ก็ส่งให้ 'ไพบูลย์'  หัวหน้าพรรค และผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เข้าป้ายเป็น ส.ส. และเป็นหนึ่งใน 11 พรรคเสียงเดียว ที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ จัดตั้งรัฐบาล

ทำหน้าที่ ส.ส. ได้ไม่กี่เดือน ก็ถูกจับจ้องจากฝ่ายค้าน เมื่อเขาตัดสินใจยื่นเรื่องต่อ กกต. ขอเลิกกิจการพรรคประชาชนปฏิรูป ซึ่งต่อมา กกต. ประกาศให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพ ขณะที่ 'ไพบูลย์' ขอย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ 60 ส.ส. พรรคฝ่ายค้านเข้าชื่อร้องประธานสภา ขอให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความสถานะความเป็น ส.ส. ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสถานะ ส.ส. ของเขาไม่สิ้นสุดลงตามพรรคประชาชนปฏิรูปไปด้วย 

ปัจจุบัน 'ไพบูลย์' ยังคงอยู่ในสถานะส.ส. บัญชีรายชื่อและถือเป็นหนึ่งในหัวหมู่ทะลวงฟันคนสำคัญของของพรรคพลังประชารัฐ

#เต้-มงคลกิตติ์ ส.ส. สีสัน "นักสร้างประเด็น" ในสภา

ชื่อของ เต้-มงคลกิตติ์  สุขสินธารานนท์ เป็นที่รู้จักจากการออกมาเคลื่อนไหว แสดงความเห็นในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงสร้างกระแสในสังคมหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะประกาศลงเลือกตั้ง ในฐานะหัวหน้าพรรค 'พรรคไทยศรีวิไลย์' 

มงคลกิตติ์ เป็นหนึ่งเดียวจากพรรคไทยศรีวิไลย์ที่ได้ผ่านเข้าไปเป็น ส.ส. ในสภา และแน่นอนว่าตั้งแต่วันแรกๆ ของการทำหน้าที่ เขาเริ่มทำให้เห็นภาพ ส.ส.คนขยัน แต่เป็นเรื่องของการขยัน 'สร้างประเด็น' ในสภา 

ยังไม่ทันทำหน้าที่ เมื่อวันที่ ส.ส. เดินทางมาที่สภาเพื่อเตรียมขึ้นรถบัสไปร่วมพิธีเปิดประชุมสภา ก็ปรากฏภาพขณะที่ 'วัน อยู่บำรุง' ส.ส.ป้ายแดงจากพรรคเพื่อไทย กำลังพูดคุยกับผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ 'พี่เต้' จะเดินปรี่เข้ามาขอจับมือ แต่กลับถูกเจ้าของวลี "ใจถึงพี่งได้" ปฏิเสธด้วยประโยคสั้นๆ "ไม่ต้องจับหรอก" ก่อนเดินจากไปดื้อ ๆ ทำเอา ส.ส.เต้ ต้องแก้เก้อ เดินแยกย้ายไปแบบเสียฟอร์ม

ทำหน้าที่ในสภาเพียงไม่กี่เดือน 13 สิงหาคม 2562  'เต้ มงคลกิตติ์' ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ก็ออกออกแถลงการณ์จุดยืนทางการเมืองของพรรคและเหตุผลในการ 'ถอนตัว' จากฝ่ายรัฐบาลมาเป็น 'ฝ่ายค้านอิสระ' ยืนข้างประชาชนโดยให้เหตุผลว่าผู้ใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลไม่รักษาสัจจะและไม่ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาร่วมกัน 

หลังจากนั้น 'พี่เต้' ก็จัดเรื่องปัง ๆ ตามมาอีกหลายดอก ไม่ว่าจะเป็นการตามปะทะคารมอย่างรุนแรงกับ'"สิระ เจนจาคะ' ส.ส.พลังประชารัฐในขณะนั้น ที่ออกมาปกป้อง 'นายกลุงตู่' จากการวิพากษ์วิจารณ์ของเขา หรือกรณีที่เจ้าตัว ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ประสานเจ้าหน้าที่ EOD นำระเบิด TNT เข้าสภาโดยอ้างว่าเป็นการทดสอบระบบความปลอดภัย จนถูกตั้งคำถามว่าการกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานพกพาสารระเบิดเข้าไปในบริเวณรัฐสภาหรือไม่ ร้อนถึง พณฯ ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาต้องลงมาตรวจสอบ

หรือแม้แต่คดีการเสียชีวิตของ 'แตงโม นิดา' ที่เจ้าตัวประกาศเดินหน้าตั้งทีมเฉพาะกิจพิสูจน์ความจริงเพื่อเรียกคืนความเป็นธรรมให้แตงโมและแม่ ซึ่งต่อมามีการยื่นเรื่องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ตรวจสอบจริยธรรมการเป็น ส.ส. จนปรากฏภาพ 'พี่เต้' ออกมาแถลงข่าวด้วยเสียงสั่นเครือ ถอดบัตรประจำตัว ส.ส. พร้อมกล่าวว่า หากไม่สามารถคุ้มครองแม่ของแตงโมได้ ตนก็ไม่มีหน้าจะเป็น ส.ส. และคนอย่างตนเองหากคิดจะสู้ ไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว แต่แล้วในที่สุด เรื่องนี้ก็จบลงที่เจ้าตัวประกาศถอนตัวจากการทำคดี 100% ทั้งหมดเป็น 'วีรกรรม' ที่ 'เต้ มงคลกิตติ์' จัดให้จนกลายเป็น 'ดาวฉายแสง' ที่ใครๆ ก็จดจำ

'รทสช.' เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.เพชรบูรณ์ ยัน พร้อมเลือกตั้ง ย้ำ พรรคไม่ใช้ความเกลียดชังในการขับเคลื่อนประเทศ

(16 ก.พ. 66) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้การต้อนรับและสวมเสื้อพรรคให้กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เพชรบูรณ์ ทั้ง 6 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วย เขต 1 น.ส.ฐันญาภา โพธิสาร, เขต 2 นายณัฐพล ขวัญแจ่ม, เขต 3 ดร.ภัทรดร พุทธนุรัตนะ, เขต 4 นายสุทธิพงษ์ จุลกะ, เขต 5 นายทองสุข บำรุงนอก และ เขต 6 นายสมโภชน์ นวลสาลี โดยมี ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายเอกนัฏ ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคขอส่งบุคคลคุณภาพให้เป็นตัวเลือกของพี่น้องชาว จ.เพชรบูรณ์ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้ชาวเพชรบูรณ์ทุกคนให้การต้อนรับผู้สมัครของพรรค ถ้าใครได้เจอก็สามารถเข้ามาทักทาย ถ้ามีข้อเสนอแนะเรายินดีรับฟังปัญหาของทุกท่าน เพื่อจะนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาเป็นนโยบายของพรรค เพื่อกำหนดวิธีการแนวทางการทำงานภายใต้พรรครวมไทยสร้างชาติ

ทั้งนี้ พรรคเรามีความพร้อมในการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีการตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 จนกระทั่งในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เราก็มีความยินดีที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อที่จะมาสานต่อภารกิจ

ทั้งนี้ มีหลายนโยบายที่เราได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร รวมไปถึงเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือที่เราเรียกกันว่า 'บัตรลุงตู่'

จากนี้ไป พรรคก็จะได้นำเสนอนโยบาย เป็นการต่อยอดจากผลงานเดิมของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอัปเกรดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การดูแลราคาพืชผลการเกษตร การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปเราก็จะเน้นให้ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกคน ได้มีส่วนร่วมกับการผลักดันการแก้ไขปัญหาด้วยการแก้ไขกฎระเบียบ กฎกติกาต่าง ๆ โครงการรื้อ-ลด-ปลด-สร้าง โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค

‘กรณ์’ ควง ‘เทมส์ - อรทัย’ พบปะประชาชน จ.ภูเก็ต เสนอนโยบาย ดันภูเก็ตสู่ ‘เมืองท่องเที่ยวระดับโลก’

(16 ก.พ.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนางสาวอรทัย เกิดทรัพย์ และ นายเทมส์ ไกรทัศน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จ.ภูเก็ต เดินพบปะพี่น้องประชาชนในทั้ง 2 เขต เพื่อนำเสนอนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าในการพัฒนา จ.ภูเก็ต ให้เป็น World class destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก 

โดยนายกรณ์ กล่าวว่า ถึงวันนี้ตนมั่นใจในตัวผู้สมัครทั้งสองคน ว่าเป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นความหวังของชาวบ้าน ที่เข้ามาแก้ปัญหาให้กับ จ.ภูเก็ต ดูจากผลโพลของท้องถิ่นเอง เราก็มาเป็นที่ 1 แม้ว่าจะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ และพรรคใหม่ก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าเน้นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง โดยเฉพาะใน 2-3 ปี ที่ผ่านมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนภูเก็ตเดือดร้อนหนักหนาสาหัสมาก

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ในช่วงโควิด ตนลงมาภูเก็ตบ่อยมาก สัมผัสได้ถึงความทุกข์ยาก เพราะภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว รายได้ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมที่การท่องเที่ยวถูกปิดล็อกเป็นศูนย์ แน่นอนที่สุดคนที่เดือดร้อนคือ คนภูเก็ต ดังนั้นเราถึงมองว่านโยบายที่จะมาช่วยแก้ปัญหาพี่น้องประชาชนในเรื่องของการทำมาหากินเรื่องปัญหาหนี้สิน ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เวลานี้การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ในแง่ของความสนใจของนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวภูเก็ตยังไงมีอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรจะให้คุณภาพชีวิตของคนภูเก็ตเองดีขึ้น และได้ประโยชน์จากรายได้ที่ชาวภูเก็ตช่วยกันสร้างให้กับประเทศ 

นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณ ไม่ได้สะท้อนความสำคัญของภูเก็ตในฐานะแหล่งรายได้สำคัญของประเทศและไม่ได้สะท้อนความต้องการของคนภูเก็ต ๆ ที่มีประชากรจริงอยู่ 5 แสน แต่ประชากรแฝง ทั้งแรงงานจากนอกเขตพื้นที่ หรือ นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่มาใช้ทรัพยากรอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เป็นหลักสิบล้านคน เพราะฉะนั้น การจัดสรรงบประมาณก็ต้องสะท้อนความเป็นจริงด้วย ที่ผ่านมาผมมองว่า นักการเมืองจากภูเก็ตไม่เคยต่อสู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราเน้นเรื่องมุมทางเศรษฐกิจในการนำเสนอนโยบายให้กับชาวภูเก็ต” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า การบริหารจัดการตัวงบประมาณ คนที่รู้มากที่สุดว่าคนในพื้นที่ต้องการอะไร และมีความเดือดร้อนเรื่องอะไร คือ ท้องถิ่น โดยส่วนตัวตนเดินทางไปมาทั่วประเทศ พบว่ามาตรฐานคุณภาพของผู้บริหารท้องถิ่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และโดยเฉพาะมาตรฐานของผู้บริหารท้องถิ่นของภูเก็ต ถือว่าสูงมาก ในช่วงโควิดเราจะเห็นว่า แนวความคิดในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าถึงวัคซีน ข้อเสนอเรื่องของแซนด์บ็อกซ์ มันเป็นแนวความคิดของคนภูเก็ตเสนอขึ้นไปให้ส่วนกลางได้พิจารณาทั้งสิ้น สุดท้ายเรื่องดี ๆ ที่มีให้กับภูเก็ต ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นจากการผลักดันของคนภูเก็ตเอง แต่หลายเรื่องกลับใช้เวลานานมาก และไม่ได้ตอบสนองเต็มรูปแบบอย่างที่ควรจะเป็น มันยิ่งทำให้มีภาพที่ชัดเจนว่า หนึ่งในพื้นที่ที่มีความพร้อมที่จะบริหารตนเอง บริหารงบประมาณของตนเอง ก็คือ ภูเก็ต เรื่องนี้ ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพมหานคร มันถึงเวลาของภูเก็ตเช่นเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top