Sunday, 8 June 2025
สหรัฐอเมริกา

‘สหรัฐฯ’ หนักข้อ!! คนร้ายเกือบร้อย บุกปล้นมินิมาร์ทในโอ๊คแลนด์ ‘รื้อข้าวของ-พังร้านยับเยิน’ สร้างความเสียหาย 3.6 ล้านบาท

(8 ก.ค.67) คนร้ายหลายสิบคนบุกปล้นร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ใกล้สนามบินนานาชาติโอ๊คแลนด์ ในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในตอนเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ก.ค.) ส่งผลให้มินิมาร์ทแห่งนี้เสียหายยับเยิน

ทั้งนี้ จากภาพจากกล้องวงจรปิดพบเห็นบรรดาผู้ต้องสงสัยจับกลุ่มกันเป็นแฟลชม็อบ ปล้นทำลายร้านสะดวกซื้อพังเละเทะ โดยพวกเขากรูกันเข้าไปรื้อค้นตามแผนกตู้แช่และชั้นวางสินค้าต่าง ๆ ทุบทำลายข้าวของ หยิบฉวยสินค้าออกไปเท่าที่จะเอาไปได้

ด้าน แซม มาร์เดย์ เจ้าของร้าน 76 แก๊สสเตชัน และมินิ มาร์เก็ต ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ คาดหมายว่า มีราว 80-100 คนที่บุกเข้ามาในร้าน และพวกคนร้ายได้งัดเอาเงินสดจากเครื่องคิดเงินไป 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 910,000 บาท) และกวาดเอาสินค้าบนชั้นวางรวมทั้งเครื่องดื่มในตู้แช่ใส่กล่องและตะกร้า

โดยเขาบอกด้วยว่าพวกคนร้ายก่อความเสียหายทั้งสิ้นราว 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านบาท) พร้อมกับข่มขู่พนักงาน 2 คน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้แก๊งคนร้ายใช้เวลาอยู่ในร้านราว 45 นาทีก่อนหลบหนีไป

คลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้ความวุ่นวายภายในร้าน รวมทั้งสินค้าที่ตกกระจายเต็มพื้น มาร์เดย์เผยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ พนักงานปิดล็อคประตูและให้บริการเฉพาะผู้มาเติมน้ำมันผ่านช่องหน้าต่างเท่านั้น แต่กลุ่มคนร้ายใช้วิธีพังประตูเข้ามา ซึ่งมาร์เดย์เปิดเผยว่าสถานการณ์ที่เมืองโอ๊คแลนด์นับวันยิ่งเลวร้าย พร้อมเรียกร้องเจ้าหน้าที่รัฐให้ลุกขึ้นมาจัดการ

เจ้าของร้านรายนี้ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ต่อว่า ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าที่ตำรวจจะตอบสนองในเรื่องนี้ หลังจากเบื้องต้นอาชญากรรมนี้ถูกจัดอยู่ในฐานะมีความสำคัญลำดับรองลงไป ซึ่งหมายถึงว่าไม่มีพวกผู้ต้องสงสัยอยู่ในสถานที่เกิดเหตุแล้ว

ตอนที่เดินทางมาถึงสถานีบริการน้ำมัน มาร์เดย์ โทรศัพท์แจ้งกรมตำรวจโอ๊คแลนด์ แต่เขาได้รับการบอกกล่าวให้ยื่นใบแจ้งความทางออนไลน์ จากนั้นเขาพยายามติดต่อไปยัง ฟลอยด์ มิตเชลล์ ผู้บัญชาการตำรวจโอ๊คแลนด์ แต่ได้รับแจ้งว่าจำเป็นต้องนัดหมายล่วงหน้า

ในเวลาต่อมาทางกรมตำรวจโอ๊คแลนด์ ชี้แจงว่าเจ้าของร้านโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกิดขึ้นหลังจากพวกผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุแล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงถูกจัดอยู่ในฐานะอาชญากรรมที่มีความสำคัญรองลงไป

ถ้อยแถลงระบุว่า "ต่อมาได้มีการมอบหลักฐานวิดีโอแก่กรมตำรวจโอ๊คแลนด์ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงขอบเขตและรายละเอียดของเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก และเหตุการณ์นี้ถูกยกระดับให้เป็นอาชญากรรมที่มีความสำคัญสุดในทันที กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อติดต่อเจ้าของ และเวลานี้ทีมสืบสวนกำลังเก็บหลักฐานและทำงานโดยตรงร่วมกับเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน"

เมืองโอ๊คแลนด์ถูกรุมเร้าไปด้วยอาชญากรรมรุนแรงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเหตุอาชญากรรมโดยรวมเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่อาชญากรรมรุนแรงเพิ่มขึ้น 21% ในนั้นรวมถึงเหตุอาชญากรรม ที่เพิ่มจาก 78 คดี ในปี 2019 เป็น 126 คดีในปีที่แล้ว

เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือการปล้นที่พักอาศัย ซึ่งใน 4 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 118%

บริษัทในสหรัฐฯ ล้มละลายพุ่งในรอบ 4 ปี ภาคสินค้าฟุ่มเฟือยหนักนำหน้าส่วนอื่นๆ

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานจากเอสแอนด์พี โกลบอล อินเทลลิเจนซ์ (S&P Global Intelligence) เปิดเผยว่าจำนวนบริษัทในสหรัฐฯ ที่ยื่นล้มละลายในเดือนมิถุนายน พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020

มีบริษัทอย่างน้อย 75 แห่งยื่นขอคุ้มครองการล้มละลายในเดือนมิถุนายน ทำให้ยอดรวมของปีนี้อยู่ที่ 346 แห่ง ซึ่งสูงกว่าตัวเลขครึ่งปีแรกในช่วง 13 ปีที่ผ่านมาด้วย

โดยรายงานระบุว่าอัตราการล้มละลายของบริษัทในสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ และพุ่งสูงอย่างชัดเจนในเดือนเมษายน ใกล้เคียงกับระดับในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งต้องล้มเลิกกิจการเนื่องจากโรคระบาดใหญ่

เอสแอนด์พีกล่าวว่าปัจจัยจากอัตราดอกเบี้ยสูง ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวส่งผลให้บริษัทหลายแห่งต้องปิดกิจการเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รายงานเผยว่า ในหมู่บริษัทที่ยื่นล้มละลาย พบว่าภาคสินค้าฟุ่มเฟือยยังคงนำหน้าภาคส่วนอื่น ๆ โดยมีบริษัทยื่นล้มละลาย 55 แห่งในปีนี้ ตามด้วยภาคสาธารณสุขและอุตสาหกรรม ซึ่งต่างมีบริษัทยื่นล้มละลายภาคส่วนละ 40 แห่ง

3 รัฐในสหรัฐฯ ติดตั้งตู้ ‘ขายกระสุน’ ในร้านสะดวกซื้อ เงื่อนไขคนซื้อต้องโชว์บัตร ปชช.-สแกนใบหน้าด้วยระบบ AI

(11 ก.ค. 67) เรียกว่าเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Fossbytes’ ผู้ผลิตคอนเทนต์ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ที่มีคนติดตามกว่า 7.7 ล้านคน ได้โพสต์เครื่องกดอัตโนมัติใหม่ในสหรัฐ ที่ทำให้หลายคนอึ้ง

พร้อมระบุข้อความว่า 3 รัฐในสหรัฐ เปิดตัวตู้จำหน่ายกระสุนอัตโนมัติในร้านขายของสะดวกซื้อ เพื่อให้คนเข้าถึงกระสุนได้มากขึ้น

โดยตู้ดังกล่าว เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน เหมือนกับตู้เอทีเอ็ม ผู้ซื้อเพียงสัมผัสบนหน้าจอ สแกนบัตรประจำตัว และ นำกระสุนออกจากเครื่อง ทั้งนี้เครื่องดังกล่าว ได้ติดตั้ง AI เพื่อสแกนบัตร จดจำใบหน้า และ ตรวจสอบอายุ ตัวตน ของผู้ซื้อ

American Rounds ผู้ผลิต วางแผนที่จะขยายไปยังรัฐอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมในการล่าสัตว์ด้วย

โพสต์ดังกล่าว มีคนเข้าไปคอมเมนต์จำนวนมาก อาทิ

“สิ่งนี้จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของภาพยนตร์ซอมบี้ไปเลย”
“ฉันที่เคยตกใจกับร้านเหล้าแบบไดรฟ์ทรู ฉันไร้เดียงสามาก”
“พวกเขาอาจจะใส่ปืนพกเข้าไปด้วย นี่ดูเหมือนจะโง่เขลามาก”
“ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ประเทศนี้ถูกทำลายแล้ว”
“มนุษยชาติบ้าไปแล้ว”

‘7 มหาวิทยาลัยจีน’ ติดโผ TOP 10 โลกด้านงานวิจัย แซงหน้า ‘สหรัฐฯ’ ไกล เหลือแค่ 'ฮาร์วาร์ด' ยังยืนท็อป

(11 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“วงการวิจัยและพัฒนาสหรัฐ เพิ่งตื่นตัวว่าการศึกษาจีน ด้านวิจัยและพัฒนาได้แซงหน้าสหรัฐไปแล้ว

การศึกษาแนว STEM หรือการศึกษาแนวบูรณาการ วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (ที่มาของชื่อย่อ Science Technology Engineering & Mathematics) ขณะนี้สหรัฐเหลือเพียง ‘มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด’ ที่ยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกด้านงานวิจัย เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นมหาวิทยาลัยของจีนถึง 7 แห่ง

ที่สำคัญงานวิจัยอเมริกัน ราว 40% ก็เป็นผลงานนักศึกษาจีนสัญชาติสหรัฐ (คล้าย ๆ ทีมแชมป์โอลิมปิกคณิตศาสตร์สหรัฐ ล้วนเป็นคนจีนที่ถือสัญชาติสหรัฐทั้งนั้น)

ทางการจีนจ้างนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้าน STEM เมื่อเดือนที่แล้วเกือบ 4.7 ล้านคน (เรียกได้ว่าจบมามีงานรออยู่) และด้านการศึกษา จีนลงทุนงานวิจัยพัฒนาในระดับอุดมศึกษา เป็นอัตราส่วนเมื่อเทียบกับสหรัฐ เกือบ 4:1 (1 ล้านล้านเหรียญ : 3 แสนล้านเหรียญ)”

'ไบเดน' ออกอาการเบลอ สับสนระหว่าง ‘มิตร-ศัตรู’ เรียก ‘เซเลนสกีแห่งยูเครน’ สลับเป็น ‘ปธน.ปูตินแห่งรัสเซีย’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกอาการเบลออีกครั้ง คราวนี้พูดผิดระหว่างแนะนำตัวประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ต่อเวทีประชุมซัมมิตนาโต โดยเรียกเป็นประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย คู่อริของเซเลนสกีแทน ความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการแถลงข่าวครั้งสำคัญ ที่อาจเป็นตัวตัดสินชะตากรรมการเสนอตัวชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัยของเขาเลยทีเดียว

ผู้นำวัย 81 ปีของสหรัฐฯ รีบแก้คำผิดด้วยตนเอง ส่วน เซเลนสกี พูดติดตลกว่าเขาดีกว่าปูติน 

อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดของไบเดนในครั้งนี้ได้โหมกระพือความกังวลหนักหน่วงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอายุอานามของเขาและความเฉียบแหลมทางปัญญา ตามหลังผลงานหายนะในศึกประชันวิสัยทัศน์กับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

"ตอนนี้ผมขอส่งมอบเวทีนี้ให้แก่ประธานาธิบดียูเครน ผู้ซึ่งมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่น คุณสุภาพสตรีและคุณสุภาพบุรุษ ขอต้อนรับ ประธานาธิบดีปูติน" เขากล่าวระหว่างแถลงต่อที่ประชุมซัมมิตนาโตในวอชิงตัน

ไบเดน หันหลังออกจากโพเดียม ก่อนย้อนกลับไปและเปล่งเสียงออกมาว่า "ประธานาธิบดีปูติน! เขากำลังเอาชนะประธานาธิบดีปูติน นั่นคือประธานาธิบดีเซเลนสกี" กระตุ้นให้ เซเลนสกี ดาวตลกทางทีวี ที่กลายมาเป็นผู้นำยามศึกสงครามของยูเครน รับมือกับการรุกรานของรัสเซีย ตอบกลับว่า "ผมดีกว่าเขา"

พวกรีพับลิกันคู่แข่งของไบเดน รุดแพร่กระจายคลิปดังกล่าวภายในเวลาไม่กี่นาที

การพูดผิดในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับไบเดน เนื่องจากหลังจากนี้เขามีกำหนดแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) ในรูปแบบที่โฆษกทำเนียบขาว คารีน ฌอง ปิแอร์ เรียกว่าเป็นการแถลงแบบ ‘บิ๊กบอย’ หรือที่แปลว่า คนที่โตแล้ว ซึ่งถือเป็นการแถลงข่าวครั้งสำคัญของเขาครั้งแรกนับตั้งแต่ศึกดีเบต

การแถลงข่าวนี้จะเป็นการดวลไมค์แบบไม่เตรียมบทระหว่างไบเดนกับสื่อมวลชน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้นำสูงสุดวัย 81 ปี ที่กำลังเผชิญกับข้อเคลือบแคลงด้านความพร้อมในทางร่างกายและความเฉียบแหลมของไหวพริบ ในการลงสนามการเมืองในศึกเลือกตั้งผู้นำสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังระงมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากพรรคเดโมแครตของเขาเองให้เขาถอนตัว

ทั้งนี้ การแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มขึ้นตอนเวลา 18.30 น.(ตรงกับเมืองไทย 05.30 น.) แต่คาดหมายว่าอาจล่าช้าราว 1 ชั่วโมง

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่มีสมาชิกพรรคเดโมแครตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เรียกร้องให้ ไบเดน ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024

มีสมาชิกเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ 14 คน ที่เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ชายที่เอาชนะ ทรัมป์ เมื่อ 4 ปีก่อน ถอนตัวออกมา เช่นเดียวกับวุฒิสมาชิกจากเดโมแครต 1 ราย

ผลโพลหนึ่งที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) พบว่ามีชาวเดโมแครตมากกว่าครึ่ง บอกว่า ไบเดน ควรยุติการเสนอตัวชิงเก้าประธานาธิบดีสมัย 2 และ 2 ใน 3 ของชาวสหรัฐฯ เชื่อว่าเขาควรถอนตัวจากการชิงชัย

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าบรรดาผู้ช่วยเก่าแก่ของประธานาธิบดีบางส่วนกำลังหารือกันในการหาทางโน้มน้าวให้ไบเดนถอนตัวออกมา อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวรุดออกมาตอบโต้ในเวลาต่อมา ระบุรายงานข่าวนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

ไบเดน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนช่างพูด กลับกลายเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่แถลงข่าวน้อยกว่าประธานาธิบดีคนก่อน ๆ และครั้งหลัง ๆ มักเป็นการแถลงข่าวร่วมกับพวกผู้นำต่างชาติเท่านั้น แถมแต่ละครั้งยังจำกัดให้ถามได้เพียงแค่ 2 คำถาม

เมื่อประกอบกับการที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มันจึงนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเนียบขาวกำลังปกป้องผลกระทบทางอายุที่กำลังเกิดขึ้นกับประธานาธิบดีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ รายนี้

ไบเดน ยืนยันว่าเขายังคงมุ่งมั่นในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายน และด้วยที่เขาคว้าชัยในศึกหยั่งเสียงของพรรคเดโมแครต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะบีบให้เขาถอนตัว

'อัษฎางค์' มอง!! เหตุลอบยิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เปรียบเหมือนคำถามจากประชาชนที่สะท้อนผ่านกระสุนเสรีภาพ

(14 ก.ค.67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เผยถึงกรณีประธานาธิบดีสหรัฐ โดนลอบยิงไม่ใช่เรื่องใหม่ ระบุว่า..

การถูกลอบยิงนั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นประเทศประชาธิปไตยหรือเป็นประเทศที่พัฒนาไปแล้วมากน้อยแค่ไหน  

เพราะประเทศอื่นๆ ที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ไม่มีปัญหาซ้ำซากเหมือนสหรัฐอเมริกา

แต่มันคือเรื่องของ 'เสรีภาพ' ซึ่งสหรัฐอเมริกาใช้เป็น สโลแกน หรือ ภาพลักษณ์ของประเทศ

ซึ่งนี่ก็คือ ผลพวงของความเสรีภาพ อย่างไร้ขีดจำกัด

ประชาชนอเมริกันต้องเผชิญกับปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในประเทศอย่างหนักและไม่ได้รับเหลียวแล ใยดี จากรัฐบาลเท่าที่ควรจะเป็น

เพราะรัฐบาลเอาแต่ไปยุ่งวุ่นวายกับปัญหากิจการระหว่างประเทศหรือไปแทรกแซงกิจการของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

รัฐบาลอเมริกันใช้ทั้งเงิน เวลาและทรัพยากรมนุษย์ไปกับเรื่องราวนอกบ้าน แต่ปัญหาในบ้าน รัฐบาลอเมริกันกลับปล่อยปละละเลย

พี่แดง ซึ่งอาศัยอยู่สหรัฐอเมริกา คนที่ผมเคยเอามาเล่าให้ฟังว่า ลูกชายทำกิจการร้านอาหารไทยในอเมริกาจนได้รางวัล เล่าให้ผมฟังว่า...

"ร้านค้าข้างร้านของเราโดนทุบกระจกเข้าไปขโมยทรัพย์สิน และเงินที่ดันเก็บไว้ในร้าน $5,000"

"อเมริกาตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต้องอยู่อย่างระแวดระวัง จะออกจากบ้านก็ต้องเช็ก ต้องกดปุ่ม สารพัด"

"รถยนต์ จอดก็ต้องมีกล้องมองติดรถ รวมทั้งทั้งที่หน้าบ้าน และที่ร้านค้าก็ต้องติดกล้อง และเฝ้าระวัง"

“ถ้ามาเห็นในดาวน์ทาวน์แล้วจะหดหู่ใจมาก คนไม่กล้าไปเดินเพราะกลัวคนจรจัด และในที่สุดธุรกิจก็อยู่ไม่ได้"

"รัฐบาลมัวแต่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ไม่ดูแลบ้านเมือง ตำรวจเกียร์ว่าง มีกฎหมายบ้า ๆ เช่น ถ้าโจรกรรมไม่เกิน $900 ไม่มีความผิด"

"อเมริกาไม่ปลอดภัย บ้านหรือร้านค้าที่แอลเอ ต้องล็อคประตูสองสามชั้น ไม่ต้องพูดถึง นิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก แอตแลนต้า และเมืองใหญ่อื่นๆ"

"แปลกใจกับกฎหมายและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปล่อยให้ประชาชนต้องช่วยเหลือตนเองกัน"

"ในดาวน์ทาวน์กลางใจเมือง กิจการร้านค้าที่ปิดตัวไปเยอะมาก และย่านอื่น ๆ ก็เช่นกัน มันเงียบน่าใจหาย สกปรกมาก เทศบาล ไม่ดูแล"

นี่แหละครับ สหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ให้เสรีภาพกับประชาชนอย่างล้นหลาม แล้วรัฐบาลก็ออกไปทำตัวเป็นผู้จัดระเบียบโลก แต่ลืมจัดระเบียบในประเทศของตนเอง

‘Secret Service’ ผู้พิทักษ์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา  ความอุ่นใจของ 'อดีตปธน.' ที่จะได้รับการอารักขาไปตลอดชีวิต

The United States Secret Service (USSS or Secret Service) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางภายใต้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (The Department of Homeland Security) ซึ่งมีภารกิจในการสอบสวนทางอาญาและปกป้องผู้นำของสหรัฐฯ และครอบครัว ตลอดจนประมุขแห่งรัฐหรือผู้นำรัฐบาลที่มาเยือนสหรัฐฯ 

ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2408 จนถึงปี พ.ศ. 2546 Secret Service เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง (The Department of the Treasury) สืบเนื่องจากหน่วยงานก่อตั้งเพื่อต่อสู้กับการปลอมแปลงเงินสหรัฐฯ ที่แพร่หลายในขณะนั้น (พ.ศ. 2408 หรือค.ศ. 1865)

The United States Secret Service จัดตั้งตามความเห็นชอบของรัฐสภาแห่งสหรัฐฯ เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านความมั่นคงแห่งชาติที่แตกต่างกันสองภารกิจ ได้แก่ 1. การปกป้องผู้นำของประเทศ และ 2. การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา 

ในระยะแรก ๆ มีหน้าที่สอบสวนกรณีเกี่ยวกับเงินปลอม หรืออาชญากรรมอื่น ๆ จากรายงานการหมุนเวียนของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสมัยนั้น ปรากฏว่า ปริมาณเงินที่หมุนเวียนหนึ่งในสามเป็นเงินปลอม 

ด้าย Abraham Lincoln ประธานาธิบดีในขณะนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นเพื่อศึกษาและให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา The United States Secret Service จึงถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2408 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อปราบปรามเงินดอลลาร์ปลอม

โดย William P. Wood หัวหน้าหน่วยคนแรก ได้ทำการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งต่อ Hugh McCulloch รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เข้ารับตำแหน่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในฐานะ ‘Secret Service Division’ ของกระทรวงการคลัง โดยมีภารกิจหลักในการปราบปรามการปลอมแปลงเงินดอลลาร์ปลอม

แต่ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกลอบสังหารขณะอยู่ในตำแหน่งไปแล้ว 3 คน คือ  Abraham Lincoln (14 เมษายน พ.ศ. 2408 หรือค.ศ. 1865) , James A. Garfield (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2424 หรือค.ศ. 1881) และ William McKinley (6 กันยายน พ.ศ. 2444 หรือค.ศ. 1901) และคนที่ 4 คือ John F. Kennedy (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือค.ศ. 1963)
หลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดี William McKinley ในปี พ.ศ. 2444 รัฐสภาแห่งสหรัฐฯ จึงได้มอบภารกิจในการปกป้องประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ให้กับ The United States Secret Service รับผิดชอบจนทุกวันนี้

ปัจจุบันภารกิจของ The United States Secret Service ประกอบด้วย… 

1. ภารกิจในการคุ้มกันอารักขา Secret Service ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี ของสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดี ว่าที่รองประธานาธิบดี ที่ได้รับเลือกของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนครอบครัวใกล้ชิดของพวกเขา อดีตประธานาธิบดี คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนสำคัญและคู่สมรส และการเยี่ยมเยือนของประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลต่างประเทศ 

ตามธรรมเนียมแล้ว ยังให้การคุ้มครองแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ ตามคำสั่งของประธานาธิบดี (โดยปกติคือ หัวหน้าเสนาธิการประจำประธานาธิบดี และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น) ตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ต้องไม่ปฏิเสธการคุ้มกันนี้  

นอกจากนี้ Secret Service ยังต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทางกายภาพสำหรับทำเนียบขาว อาคารกระทรวงการคลังที่อยู่ใกล้เคียง บ้านพักรองประธานาธิบดี บ้านพักส่วนตัวหลักของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และอดีตประธานาธิบดี รวมถึงเจ้าหน้าที่การทูตต่างประเทศทั้งหมดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีภารกิจสนับสนุนการคุ้มกันอารักขา อาทิ การปฏิบัติการเพื่อประสานงานกำลังคนและการขนส่งกับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐและท้องถิ่น ความก้าวหน้าในการป้องกันเพื่อดำเนินการประเมินสถานที่สำหรับผู้ได้รับการคุ้มกันอารักขา Secret Service เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการวางแผน การประสานงาน และการดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับกิจกรรมที่กำหนดให้เป็นเหตุการณ์ความมั่นคงพิเศษแห่งชาติ (NSSE) ตามภารกิจของหน่วยในการป้องกันเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดขึ้น หน่วยงานอาศัยการทำงานล่วงหน้าอย่างพิถีพิถันและการประเมินภัยคุกคามที่พัฒนาโดยแผนกข่าวกรอง เพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ซึ่งได้รับการคุ้มกันอารักขา

2. ภารกิจสืบสวนสอบสวน Secret Service ยังมีภารกิจในการปกป้องระบบการชำระเงินและการเงินของสหรัฐอเมริกาจากอาชญากรรมทางการเงินและทางไซเบอร์ที่หลากหลาย การตรวจสอบทางการเงินรวมถึงการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ การฉ้อโกงธนาคารและสถาบันการเงิน การฉ้อโกงทางไปรษณีย์ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ การดำเนินการด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย และการสมคบคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสืบสวนทางไซเบอร์รวมถึงอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต การบุกรุกเครือข่าย การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การฉ้อโกงอุปกรณ์การเข้าถึง การฉ้อโกงบัตรเครดิต และอาชญากรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา 

Secret Service เป็นสมาชิกของกองกำลังเฉพาะกิจก่อการร้ายร่วมของ FBI (JTTF) ซึ่งสืบสวนและต่อสู้กับการก่อการร้ายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ Secret Service ยังสืบสวนหาเด็กที่หายตัวไปและถูกทารุณ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ National Center for Missing & Exploited Children (NCMEC)

ความรับผิดชอบเบื้องต้นตามภารกิจสืบสวนของ Secret Service คือ การสืบสวนการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา หน่วยงานดังกล่าวต่อมาจึงกลายเป็นหน่วยข่าวกรองในประเทศแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา 

ภารกิจเดิมของหน่วยงานหลายอย่างถูกถ่ายโอนไปยังหน่วยงานที่จัดตั้งในภายหลังต่อมา เช่น สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI), สำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA), สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA), สำนักงาน แอลกอฮอล์, ยาสูบ, อาวุธปืน และวัตถุระเบิด (ATF) และหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกรมสรรพากร (IRS-CI)

3. ภารกิจอื่น ๆ Secret Service รวมความรับผิดชอบทั้งสองเป็นสองวัตถุประสงค์ที่ไม่ซ้ำกันภารกิจหลักสองประการในการปกป้องและการสืบสวนประสานกับภารกิจอื่น โดยให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่เจ้าหน้าที่พิเศษในระหว่างการทำงาน ทักษะที่พัฒนาขึ้นในระหว่างการสืบสวนซึ่งยังใช้ในหน้าที่ปกป้องเจ้าหน้าที่พิเศษแต่ไม่จำกัดเพียงแต่…

- ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักงานภาคสนามและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในแต่ละท้องถิ่นระหว่างการสืบสวนสอบสวน ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขาและประสานงานเพื่อการคุ้มกันอารักขา

- ทักษะในการปฏิบัติการทางยุทธวิธี (เช่น การสอดส่อง การจับกุม และตรวจค้น) และทักษะการเขียนของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (เช่น คำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร หลังรายงานการดำเนินการ และแผนปฏิบัติการ) ถูกนำไปใช้กับทั้งหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและภารกิจการคุ้มกันอารักขา

- ความชำนาญในการวิเคราะห์เทคนิคการเขียนด้วยลายมือ หรือลายเซ็น และการปลอมแปลง จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และภัยคุกคามจากบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสงสัย เพื่อใช้ในการตรวจสอบสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา

- ความเชี่ยวชาญในการสืบสวนอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และการเงิน ถูกนำมาใช้ในการสืบสวนสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา และภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นกับผู้นำของประเทศ

โดยงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ ในปี พ.ศ. 2554 มีผู้สมัครในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษ ผ่านการคัดเลือกของ Secret Service น้อยกว่า 1% จากจำนวนผู้สมัคร 15,600 คน 

ผู้สมัครเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีใบขับขี่ มีสุขภาพและสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยม สายตาผิดปกติไม่เกิน 20/100 และจะต้องมีระหว่างอายุ 21-37 ในขณะนั้น เว้นแต่ทหารผ่านศึกที่มีสิทธิ์ยื่นสมัครเมื่ออายุเกิน 37 ปี ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติที่ได้รับการตรวจสอบ TS/SCI (ข้อมูลที่มีความลับสุดยอด / ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน) และได้รับการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด รวมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก การคัดกรองสารเสพติด และการวินิจฉัยทางการแพทย์

ผู้ที่ผ่านเข้าการคัดเลือกจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service สองหลักสูตร รวมประมาณ 31 สัปดาห์ 
หลักสูตรแรก โครงการฝึกอบรมผู้สืบสวนคดีอาญา (CITP) ดำเนินการที่ศูนย์ฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FLETC) ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 13 สัปดาห์ 

หลักสูตรที่สอง หลักสูตรการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิเศษ (SATC) ดำเนินการที่สถาบัน The United States Secret Service ศูนย์ฝึกอบรม James J. Rowley (JJRTC) นอกกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเมืองลอเรล มลรัฐแมรี่แลนด์ ใช้เวลาประมาณ 18 สัปดาห์

เส้นทางอาชีพเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ขึ้นอยู่กับผลงานและการเลื่อนตำแหน่งที่จะส่งผลต่อการมอบหมายงานในแต่ละภารกิจ เริ่มต้นด้วยหกถึงแปดปีแรกจะได้รับมอบหมายให้ประจำสำนักงานภาคสนาม ซึ่งจะได้รับคำแนะนำให้ระบุตำแหน่งและพื้นที่ของสำนักงานที่ต้องการในระหว่างขั้นตอนการสมัคร และเมื่อได้รับข้อเสนองานในขั้นสุดท้ายแล้ว มักจะมีสำนักงานหลายแห่งให้เลือก หลังจากมีประสบการณ์ในสำนักงานภาคสนามแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษมักจะถูกย้ายไปยังงานเฉพาะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเป็นเวลาสามถึงห้าปี 

หลังจากที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มกันอารักขา เจ้าหน้าที่พิเศษหลายคนก็กลับไปประจำที่สำนักงานภาคสนามตลอดเวลาอายุที่เหลือจนเกษียณ หรือเลือกรับมอบหมายงานจากสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ในระหว่างการทำงาน เจ้าหน้าที่ยังมีโอกาสได้ทำงานตามสาขาของหน่วยงานในต่างประเทศอีกด้วย โดยปกติแล้วจะต้องมีการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศเพื่อให้แน่ใจว่ามีความสามารถทางภาษาเมื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ได้รับเงินจัดสรรสำหรับการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement Availability Pay : LEAP) ซึ่งเป็นค่าล่วงเวลาแบบพิเศษซึ่งให้โบนัสเพิ่มเติม 25% แก่พวกเขานอกเหนือจากเงินเดือน 

เนื่องจากเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ต้องทำงานโดยเฉลี่ย 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับปกติทั่วไป 40 ชั่วโมง เงินเดือนรายปีจะอยู่ที่ $73,666 จนถึง $176,300 เนื่องจากลักษณะงานและลักษณะเฉพาะของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลาง (เช่น FBI, DEA, ATF, ICE) เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จึงมีสิทธิ์ได้รับค่าล่วงเวลาตามกำหนด (นอกเหนือจาก LEAP) เป็นประจำ และได้รับค่าจ้างสูงสุดตามกฎหมาย $203,700 ต่อปี 

ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ Secret Service รับภารกิจคุ้มกันอารักขา มีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจคุ้มกันอารักขาประธานาธิบดี คือ Leslie W. Coffelt ซึ่งปฏิบัติภารกิจคุ้มกันอารักขา ประธานาธิบดี Harry S. Truman 

ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 หรือค.ศ.1950 เกิดเหตุชาย 2 คนพยายามบุกเข้าไปทำร้ายประธานาธิบดี Truman แต่ Leslie มาเจอก่อนจึงเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น กระสุนจากผู้ร้ายพุ่งทะลุร่างของ Leslie ถึง 3 นัด แต่ Leslie ก็ยังกัดฟันยิงตอบโต้ โดนคนร้ายเสียชีวิตไป 1 ศพ ส่วนอีกรายบาดเจ็บ และถูกจับ แต่โชคร้ายที่ Leslie ไม่รอด จนถึงปัจจุบันเขาเป็นจึงเจ้าหน้าที่ Secret Service รายแรกและรายเดียวที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่

เจ้าหน้าที่ Secret Service อีกรายที่ถือว่า รอดอย่างฉิวเฉียด คือ เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim McCarthy ผู้ได้ชื่อว่าเป็น วีรบุรุษของสหรัฐอเมริกา และถูกจดจำในฐานะคนที่รับกระสุนแทนประธานาธิบดี Ronald Reagan ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2524 หรือค.ศ.1981 ขณะนั้นประธานาธิบดี Reagan เพิ่งจะรับตำแหน่งผู้นำประเทศได้เพียง 2 เดือน ถูก John Hinckley Jr. หนุ่มสติไม่สมประกอบบุกยิงด้วยปืนพกขนาด .22 ไป 6 นัด ระหว่างชุลมุนนั้น เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim ได้กระโดดเข้าไปเพื่อบังกระสุนให้ประธานาธิบดี ซึ่งตอนนั้นถูกกระสุนเข้าไปแล้ว 1 นัด ทำให้เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim ถูกกระสุนอีก 1 นัด เข้าที่อกขวา แต่โชคดีที่ทั้งประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่พิเศษ Tim แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ปลอดภัยในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ Secret Service อีกนายหนึ่งที่ชาวอเมริกันรู้จักกันดี คือ เจ้าหน้าที่พิเศษ Clinton J. Hill ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์สังหารประธานาธิบดีที่โด่งดังที่สุดในโลก John F. Kennedy ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ในวัย 90 ปี ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือค.ศ.1963 เมื่อกระสุนซึ่งในขณะนั้นยังไม่รู้ว่ามาจากทิศทางไหน พุ่งเข้าใส่ร่างประธานาธิบดี Kennedy เจ้าหน้าที่พิเศษ Hill รีบปีนขึ้นไปบนรถของประธานาธิบดี Kennedy เพื่ออารักขาผู้นำและภรรยาที่กำลังตื่นตระหนก แล้วคุ้มกันทั้งคู่ไปจนถึงโรงพยาบาล แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถรักษาชีวิตของประธานาธิบดี Kennedy ไว้ได้

เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เมื่อมีเรื่องดีย่อมมีเรื่องไม่มี หน่วยงาน The United States Secret Service ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน เรื่องอื้อฉาวล่าสุดของเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ว่า สมาชิก 2 นายของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับบ้านก่อนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียของประธานาธิบดี Jo Biden ซึ่งพวกเขาควรจะปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างการเยือนประเทศเกาหลีใต้ของประธานาธิบดี Biden แต่กลับต้องถูกส่งตัวกลับบ้านด้วยข้อกล่าวหาว่า ‘เมาแล้วอาละวาด’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวครั้งแรก 

ในปี พ.ศ. 2555 หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า สมาชิกของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับบ้านจากการเดินทางไปเยือนประเทศโคลอมเบียของประธานาธิบดี Barack Obama เนื่องจากประพฤติตัวไม่เหมาะสม ดื่มสุราจนมึนเมาแล้วอาละวาด รวมถึงการใช้บริการโสเภณี 

ในปี พ.ศ. 2557 สมาชิก 3 นายของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับจากเนเธอร์แลนด์ หลังจากพบว่า หนึ่งในนั้นเมาจนหมดสติในกรุงอัมสเตอร์ดัม

ปัจจุบัน The United States Secret Service มีเจ้าหน้าที่ราว 7,000 นาย ปฏิบัติภารกิจด้านการคุ้มกันอารักขาอยู่ราว ๆ 3,000 นาย เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ได้รับการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีและทันสมัยที่สุดสำหรับใช้งาน

งบประมาณของ The United States Secret Service อยู่ที่มากกว่า ๒.๒๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 76,220 ล้านบาท) แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่า ชีวิตของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาจะปลอดภัยไร้กังวล เพราะอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอบนโลกที่สุดแสนร้อนระอุใบนี้

***หมายเหตุ : หน่วยอารักขาส่วนตัวตลอดชีพ

แรกเริ่มเดิมทีหน่วยรักษาความปลอดภัยแก่อดีตประธานาธิบดี หรือ Secret Service จะมีระยะเวลาแค่ 10 ปี ทว่าในปี 2013 ประธานาธิบดีโอบาม่าแก้กฎหมายส่วนนี้ใหม่เป็นได้รับสวัสดิการหน่วยอารักขาส่วนตัวตลอดชีพ หน่วย Secret Service จะทำหน้าที่ครอบคลุมหลายอย่าง อาทิ สอดส่องความเรียบร้อย ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงเปิด-ปิด ประตูรถ หรือขับรถให้อดีตประธานาธิบดี

นอกจากนี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องขับรถให้อดีตผู้นำ เนื่องจากกฎหมายด้านความปลอดภัยระบุไว้ชัดเจนว่า ประธานาธิบดีและอดีตประธานาธิบดีไม่สามารถขับรถบนท้องถนนได้ แต่ถึงอย่างนั้นกฎหมายยังพอเปิดช่องว่างให้กับอดีตผู้นำที่ชื่นชอบการขับขี่ สำนักข่าวต่างประเทศเคยตีข่าวว่าอดีตประธานาธิบดีคนที่ 40 โรนัลด์ เรแกน และ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 43 จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ใช้เวลาหลังเกษียณขับรถเล่นอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองอยู่บ่อย ๆ

แฉประวัติ!! มือปืนวัย 20 ปี ลอบยิง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เฉียดตาย เป็นเด็กเรียนดี เคยสมัครเข้าทีมไรเฟิล แต่ไม่ผ่าน เพราะยิงไม่แม่น

(15 ก.ค.67) สำนักข่าวเอพีและบีบีซีรายงานว่า มีการเปิดเผยประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับนายโทมัส แมทธิว ครุกส์ วัย 20 ปี มือปืนผู้ก่อเหตุลอบสังหารนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จนได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา และครุกส์ถูกตำรวจวิสามัญ พบว่ามือก่อเหตุเป็นเด็กเรียนเก่งแต่ถูกบูลลี่ในขณะที่เรียนมัธยมศึกษา

นายโทมัส แมทธิว ครุกส์ เป็นชาวเมืองเบเธล พาร์ค รัฐเพนซิลเวเนีย ห่างจากจุดเกิดเหตุลอบสังหารเพียง 70 กิโลเมตร และจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาเบเธล พาร์ค ในปี 2022 และเคยได้รับรางวัลในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นเงินรางวัล 500 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเคยทำงานในห้องครัวของบ้านพักคนชราที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา

ด้าน นายเฟรเดริก มัค กัปตันของทีมไรเฟิลของโรงเรียนที่อายุน้อยกว่าครุกส์ไม่กี่ปีเล่าว่า ครุกส์เคยไปสมัครคัดตัวเข้าทีมไรเฟิล แต่ไม่ผ่านการคัดเลือกเพราะยิงไม่แม่น อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจริง ๆ แล้วครุกส์มีนิสัยเป็นอย่างไร

ด้าน นายเจสัน โคห์เลอร์ ที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมเดียวกับของครุกส์แต่ไม่ได้เรียนด้วยกันเล่าว่า ครุกส์ถูกบูลลี่ในโรงเรียนและนั่งกินข้าวเที่ยงคนเดียว ส่วนเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันคนอื่น ๆ ก็เล่าเช่นกันว่า ครุกส์เป็นคนสันโดษและบางครั้งก็สวมชุดล่าสัตว์มาเรียน แต่ทาง ซัมเมอร์ บาร์คลีย์ อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนเล่าว่า ครุกส์เป็นเด็กเรียนเก่งได้คะแนนดีในการสอบเป็นประจำ มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์มาก และเป็นคนดี รวมถึงเป็นที่รักของครูในโรงเรียน

ด้าน เจมสัน เมเยอร์ อดีตสมาชิกทีมไรเฟิลของโรงเรียนเล่าว่า ครุกส์ดูเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในโรงเรียนแต่ไม่เคยโดนเพื่อนแกล้งอะไร ครุกส์เป็นเด็กดีที่ไม่เคยพูดให้ร้ายใครและเขาไม่คิดว่าครุกส์จะเป็นคนก่อเหตุลอบสังหารได้

สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) ระบุว่า ครุกส์มีอุปกรณ์ผลิตวัตถุระเบิดอยู่ในรถยนต์ที่เขาขับไปก่อเหตุ และเชื่อว่าครุกส์ลงมือก่อเหตุดังกล่าวเพียงคนเดียว

นอกจากนี้ สื่อสหรัฐรายงานอีกว่า ครุกส์ลงทะเบียนว่าเป็นรีพับลิกัน แต่ในปี 2021 ครุกส์เคยบริจาคเงิน 15 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่ ActBlue หน่วยงานดำเนินการทางการเมือง ที่คอยระดมเงินให้แก่นักการเมืองฝ่ายซ้ายและพรรคเดโมแครต ซึ่งเงินบริจาคดังกล่าวจะถูกส่งไปให้แก่กลุ่ม Progressive Turnout Project ที่คอยหาเสียงให้แก่พรรคเดโมแครต รวมถึงเป็นสมาชิกของ Clairton Sportsmen’s Club ชมรมยิงปืนแถวบ้านมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเชื่อว่าปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ AR-15 ที่ใช้ก่อเหตุลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์เป็นปืนของพ่อครุกส์ที่ซื้อมาอย่างน้อย 6 เดือนก่อน ครุกส์ใส่เสื้อยืดของ Demolition Ranch ในการก่อเหตุลอบสังหาร โดยช่องยูทูบดังกล่าวผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน และมีผู้ติดตาม 11.6 ล้านคน

ซีรีส์ 'Alien' ถูกใจไทยแลนด์ ปักหมุดถ่ายทำ 123 วัน คาด!! สร้างเงินสะพัด 3,000 ล้านบาท จ้างงาน 1,600 คน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เยี่ยมชมกองถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์ ‘Alien’ จากสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายภัทร ภมรมนตรี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี ดร.กิตพล เชิดชูกิจกุล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว และคณะ

โดย Mr. Matt Magielnicki รองประธานบริษัท FX Network สหรัฐอเมริกา นายคริสโตเฟอร์ โลเวนสติน และนายอภินัทธ์ ศิริเจริญจิตต์ กรรมการบริษัท ลิฟวิ่ง ฟิล์ม จำกัด ให้การต้อนรับ ณ The Studio Park อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

สำหรับการถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทยดังกล่าว มีจำนวนวันถ่ายทำกว่า 123 วัน มีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น มีงบประมาณการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศที่มีงบประมาณการลงทุนสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

ส่วนคณะถ่ายทำ ได้มีการเตรียมการถ่ายทำในประเทศไทยมากกว่า 2 ปี ใช้โรงถ่ายทำภาพยนตร์จำนวน 13 โรงถ่าย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตูดิโอของประเทศไทยที่สามารถรองรับกองถ่ายทำขนาดใหญ่ได้ และยังมีการจ้างงานทีมงานชาวไทยมากกว่า 1,600 คน ซึ่งเป็นทีมงานที่กระจายไปทุกแผนกของกองถ่าย เช่น การสร้างฉาก การจัดหาสถานที่ถ่ายทำ เป็นการตอกย้ำถึงความสามารถของทีมงานชาวไทยเป็นที่ยอมรับของกองถ่ายต่างประเทศ

ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ยังมีการใช้บริการโรงแรมเป็นที่พักให้กับทีมงานต่างประเทศและทีมงานชาวไทยมากกว่า 20 แห่ง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยว

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ให้การสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

อีกทั้ง ช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก และส่งผลให้เกิดการท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป 

‘รีพับลิกัน’ ลั่น!! หากชัยชนะเป็นของ ‘ทรัมป์’ ยุติสงครามยูเครนทันที แล้วหันไปตีจีนแทน

(17 ก.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำมาซึ่ง ‘จุดจบอย่างรวดเร็ว’ สำหรับความขัดแย้งในยูเครน หากได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยในเดือนพฤศจิกายน จากคำประกาศกร้าวของ ‘เจ.ดี. แวนซ์’ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของรีพับลิกัน พร้อมชี้ว่าวอชิงตันควรหันไปมุ่งเน้นจีนมากกว่า โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น ‘ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด’ ต่ออเมริกา

ทั้งนี้เรื่องราวมีอยู่ว่า ทรัมป์ เปิดตัว แวนซ์ ในฐานะคู่ชิงรองประธานาธิบดีในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ ที่ประชุมใหญ่พรรค ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิล ต่อมาการเสนอชื่อวุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอรายนี้ก็ได้รับการรับรองในวันเดียวกัน

โดย แวนซ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ไม่นานหลังจากได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่า "ถ้าทรัมป์คืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีตามหลังศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน นโยบายของเขาที่มีต่อยูเครน จะเป็นนโยบายที่เรียบง่ายมาก ๆ"

"รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครน ถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสหายจากพรรคเดโมแครตของผมจำนวนมากก็เห็นด้วยอย่างลับ ๆ กับเรื่องดังกล่าว" เขาบอก

เป็นอีกครั้งที่ แวนซ์ กล่าวหารัฐบาลของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ว่าปราศจากนโยบายที่สมเหตุสมผลในความขัดแย้งนี้ "ตอนนี้เราใช้เงินไปแล้ว 200,000 ล้านดอลลาร์ (ในความช่วยเหลือยูเครน) แล้วเป้าหมายคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราพยายามประสบความสำเร็จ? มีความเสี่ยงลุกลามบานปลายสู่สงครามนิวเคลียร์ใช่หรือไม่? นั่นเป็นเพราะคุณมีตัวตลกดูแลนโยบายต่างประเทศใช่หรือเปล่า ตอนนี้เรามีคนแบบนั้นมากมายเลยในวอชิงตัน ดี.ซี."

"ผมคิดว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สัญญาว่าจะทำในเรื่องนี้ก็คือ เจรจากับรัสเซียและยูเครน และนำเรื่องนี้สู่จุดจบอย่างรวดเร็ว เพื่อที่อเมริกาจะได้ไปโฟกัสในประเด็นจริงจัง ซึ่งก็คือจีน ที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด" แวนซ์เน้นย้ำ

นับตั้งแต่การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ทรัมป์กล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นหากว่าเขาได้ดำรงตำแหน่งอีกสมัยในปี 2020 นอกจากนี้ เขายังให้สัญญาว่าจะคลี่คลายวิกฤตนี้ภายใน 24 ชั่วโมง หากได้กลับสู่ทำเนียบขาว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บอกก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนว่า มอสโกค่อนข้างจริงจังกับคำพูดของทรัมป์ "แน่นอน ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร โดยเฉพาะกับข้อเสนอของเขา (ในการยุติความขัดแย้ง) และแนวทางที่แผนของเขาจะบรรลุผล แต่ผมไม่สงสัยเลยเกี่ยวกับความจริงใจของเขา และเรารู้สึกยินดี"

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน วลาดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เรียกร้องให้ ทรัมป์ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนสันติภาพของเขา "ผมอยากรู้ว่าอะไรที่หมายถึงการปิดฉากสงครามอย่างรวดเร็ว" เขาบอกกับบลูมเบิร์ก "ถ้าเขารู้วิธียุติสงครามนี้ เขาควรบอกเราตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้ามีความเสี่ยงใด ๆ ต่อความเป็นเอกราชของยูเครน และมีความเสี่ยงใด ๆ ที่เราจะสูญเสียความเป็นรัฐของเรา เราต้องการเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้"

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวโพลิติโก สื่อมวลชนสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่าการที่ทรัมป์เลือกแวนซ์ ผู้ซึ่งคัดค้านอย่างแข็งกร้าวต่อการที่วอชิงตันมอบความช่วยเหลือแก่เคียฟ ถือเป็นหายนะสำหรับยูเครน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top