Sunday, 8 June 2025
สหรัฐอเมริกา

ย้อนดู ‘ศาลฎีกาสหรัฐฯ’ ตัดสิน ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ ขัดรัฐธรรมนูญ หลังใช้นโยบายด้านเชื้อชาติกีดกัน ‘นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายเอเชีย’

(16 ส.ค.67) จากช่องยูทูบ ‘ดร.อธิป อัศวานันท์’ ผู้บริหารของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) รองประธานกิจการไอซีทีหอการค้าไทย นักเขียนชื่อดัง และอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้โพสต์คลิปวิดีโอเล่าเรื่องราวภายใต้หัวข้อ ‘มหาวิทยาลัยดังสหรัฐแพ้คดี : ต้องหยุดกีดกันเด็กเอเชีย ยกเลิกการใช้เชื้อชาติ ศาลสูงสุดตัดสิน ฮาร์วาร์ด’ ต่อกรณีมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ใช้นโยบายหนึ่งที่เรียกว่า ‘Affirmative Action’ แต่สุดท้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกลับต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Reverse Affirmative Action’ ซึ่งการเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสต่อพวกเขา โดยมีเนื้อหาดังนี้...

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ (Supreme Court of the United States : SCOTUS) ได้มีคําตัดสินที่สะเทือนวงการ ‘การศึกษา’ โดยระบุว่าการใช้เชื้อชาติในการรับสมัครนักศึกษา เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ โดยคําตัดสินนี้เป็นผลมาจากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานถึงเกือบ 10 ปี ซึ่งเริ่มต้นในปี 2013 เมื่อมีการฟ้องร้อง ‘ฮาร์วาร์ด’ มหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐฯ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า มีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

ก่อนอื่นเราต้องทําความเข้าใจว่า เด็กเอเชียที่พูดถึงในกรณีนี้คือใคร ซึ่งพวกเขาไม่ใช่นักศึกษาต่างชาติจากเอเชีย แต่เป็น ‘ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย’ 

ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีกฎหมายที่แตกต่างจากประเทศอื่นตรงที่ใช้หลัก ‘สิทธิของดินแดน’ หรือมีหมายความว่า เด็กที่เกิดในดินแดนของสหรัฐฯ จะได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าพ่อหรือแม่จะมีสถานะทางกฎหมายอย่างไร ซึ่งนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่ว่า ‘Birthright Citizenship’ ที่ถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประเทศไทยใช้หลักสิทธิของ ‘สายเลือด’ ซึ่งหมายความว่าลูกของคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยจะได้สัญชาติไทยต่อเมื่อพ่อหรือแม่เป็นคนไทยเท่านั้น

สหรัฐอเมริกาถือเป็น ‘ประเทศแห่งผู้อพยพ’ ซึ่งเป็นแนวสําคัญในการสร้างชาติของอเมริกา โดยแนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศที่เกิดขึ้นจากการอพยพของผู้คนจากทั่วโลก และยังคงเป็นส่วนสําคัญของอัตลักษณ์ของชาติอเมริกันจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ทําให้ชาวอเมริกันมีหลากหลายเชื้อชาติ โดยในวันนี้มีชาวผิวขาว 62%, ชาว Hispanic 19%, ชาวผิวดํา 12%, ชาวเอเชีย 6% และชาวอินเดียนแดง 3%

ดังนั้น หากยึดตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ แล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นเชื้อชาติอะไร แต่ตราบเท่าที่คุณเป็นสัญชาติอเมริกัน คุณจะต้องมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นคนต่างด้าวหรือผู้อพยพก็ตามเพราะต้องอย่าลืมว่าอเมริกาเป็นประเทศของผู้อพยพ เชื้อชาติอเมริกันที่แท้จริงก็คือชาวอินเดียนแดงที่มีอยู่เพียง 3% ของประชากร แต่ผู้ที่อพยพมาในภายหลังซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาว, ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวเอเชีย มีอยู่ถึง 97% ของประชากร ซึ่งจะแตกต่างกับประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งรวมไปถึงประเทศไทยของเรา ที่คนเชื้อชาติไทยคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ 

นั่นหมายความว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็คือลูก หรือหลาน หรือเหลน ของผู้ที่อพยพมาจากเอเชีย แต่ก็นับเป็นชาวอเมริกันอย่างเต็มภาคภูมิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ และก็ไม่สามารถถูกมองได้ว่าเป็นคนต่างด้าวอีกต่อไป

ดร.อธิป กล่าวต่ออีกว่า เช่นนั้นแล้ว ‘Affirmative Action’ ในการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยคืออะไร? คําตอบก็คือนโยบายการเพิ่มโอกาสให้กับเชื้อชาติที่เสียเปรียบในการเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อที่จะช่วยให้ชาติเหล่านั้นสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น

สำหรับ Affirmative Action เริ่มต้นในทศวรรษ 1960 ในช่วงของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติในอดีต ซึ่งนโยบายนี้ไม่ได้จํากัดอยู่แค่การศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจ้างงานและการทําสัญญากับภาครัฐอีกด้วย อีกทั้งในบริบทของการศึกษา Affirmative Action ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความหลากหลายในมหาวิทยาลัย และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับกลุ่มที่เคยถูกกีดกันในอดีต และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ที่หลากหลายในชั้นเรียน 

ทั้งนี้ เชื้อชาติที่เสียเปรียบเหล่านั้นก็คือชนกลุ่มน้อยทั้งหมด โดยยกเว้นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซึ่งได้แก่ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวอินเดียนแดง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีความเสียเปรียบทั้งในเรื่องของผลการเรียนและฐานะของครอบครัวเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว ซึ่ง Affirmative Action นี้ไม่ได้ช่วยชาวผิวขาว เพราะชาวผิวขาวถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่ทุกเผ่าพันธุ์จะถูกเปรียบเทียบด้วย แต่ในทางกลับกัน Affirmative Action กลับทําร้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เพราะทําให้เข้ามหาวิทยาลัยได้ยากขึ้น เพราะถือว่าเป็นชนกลุ่มที่ได้เปรียบทั้งในเรื่องของผลการเรียนและฐานะของครอบครัวเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว

สรุปก็คือ Affirmative Action ทําให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเข้ามหาวิทยาลัยได้ยากกว่าชาวผิวขาว แต่ก็ช่วยให้ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวอินเดียนแดง เข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายกว่าชาวผิวขาว

ดร.อธิป เสริมอีกว่า ในทางปฏิบัติการใช้ Affirmative Action ในการรับนักศึกษา มักจะถูกทําในรูปแบบของการพิจารณาแบบองค์รวม ซึ่งพิจารณาปัจจัยหลากหลายนอกเหนือจากคะแนนและเกรดเฉลี่ย อย่างเช่นประสบการณ์ชีวิต ความสามารถพิเศษ และภูมิหลังทางวัฒนธรรม โดยเชื้อชาติอาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกนํามาพิจารณา ซึ่งก็คือชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะต้องมีคะแนนสอบและประวัติที่สูงกว่าทุกเผ่าพันธุ์ ซึ่งรวมถึงชาวผิวขาวด้วย หากจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ในระดับเดียวกัน

หากอธิบายในอีกแง่มุมหนึ่งก็เปรียบได้ว่า แต่ละมหาวิทยาลัยมีโควตาสําหรับชาวอเมริกันในแต่ละเผ่าพันธุ์ ก็คือมีโควตาสําหรับชาวผิวขาว, ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา, ชาวเอเชีย และชาวอินเดียแดง ซึ่งก็คือ ‘ชาวผิวขาว’ แข่งกับ ‘ชาวผิวขาว’ / ‘ชาว Hispanic’ แข่งกับ ‘ชาว Hispanic’ เป็นต้น ซึ่งมาตรฐานของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะไม่เท่ากัน และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็จะแข่งขันกันเองในลีกที่คะแนนสูงกว่าและยากกว่าทุกเผ่าพันธุ์

ดังนั้น Affirmative Action จึงเป็นนโยบายที่มีทั้งผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่คัดค้าน โดยผู้ที่สนับสนุนต่างมองว่านโยบายนี้จะช่วยแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่สะสมมานาน และก็เป็นการส่งเสริมความหลากหลายในมหาวิทยาลัย ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของทุกคน และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนจากเผ่าพันธุ์ที่ขาดแคลนได้เข้าถึงการศึกษาระดับสูง แต่ผู้ที่คัดค้านก็ต่างมองว่า เป็นการเลือกปฏิบัติต่อบางกลุ่ม โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และก็ไม่ได้พิจารณาความสามารถของบุคคลอย่างแท้จริง และยังทําให้เกิดการตั้งคำถามต่อความสามารถของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมี Affirmative Action หรือนโยบายการเพิ่มโอกาสให้กับเชื้อชาติที่เสียเปรียบ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็ยังจะมีจํานวนที่สูงมากในหลายมหาวิทยาลัยชั้นนํา ทั้ง ๆ ที่มีจํานวนอยู่เพียงแค่ 6% ของประชากรเท่านั้น

ทั้งนี้ ดร.อธิป ได้กลับมาพูดต่อถึงเคสที่ฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่สู้กันอยู่ 10 ปี จนกระทั่งศาลสูงสุดได้ตัดสินว่า การใช้เชื้อชาติในการรับนักศึกษาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ โดยคดีนี้เริ่มต้นเมื่อองค์กร Students for Fair Admissions หรือ SFFA ได้ฟ้องฮาร์วาร์ดในปี 2014 โดยกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

โดย SFFA อ้างว่า ฮาร์วาร์ดใช้ระบบโควตาแอบแฝงที่จํากัดจํานวนนักศึกษาเชื้อสายเอเชีย ที่มีการนําเสนอหลักฐานที่สําคัญในคดี ซึ่งเป็นข้อมูลการรับสมัครตั้งแต่ปี 2014 - 2019 และข้อมูลรวมตั้งแต่ปี 2000 - 2019 ที่อ้างว่า ผู้สมัครเชื้อสายเอเชียได้คะแนนต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลเชิงบวก และการวิเคราะห์ทางสถิติโดยนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยหนึ่งก็ได้พบว่า ผู้สมัครเชื้อสายเอเชียก็ได้รับการลงโทษทางสถิติในคะแนนส่วนบุคคลและคะแนนโดยรวม นอกจากนี้ ก็มีการอ้างถึงรายงานภายในของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้ค้นพบการลงโทษทางสถิติต่อผู้สมัครเชื้อสายเอเซียจากการตรวจสอบภายใน ในปี 2013

อย่างไรก็ตาม ฮาร์วาร์ดก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและอ้างว่าการพิจารณาเชื้อชาติเป็นเพียง 1 ในหลายปัจจัยเพื่อสร้างความหลากหลาย และถึงแม้ว่าฮาร์วาร์ดจะชนะในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกากลับตัดสินในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 2 ว่า การใช้เชื้อชาติในการรับนักศึกษาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ

แน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนคําตัดสินของศาลสูงสุดและฝ่ายที่ไม่สนับสนุน โดยฝ่ายที่สนับสนุนมองว่าเป็นการยุติการเลือกปฏิบัติ และในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลาย และโอกาสทางการศึกษาของกลุ่มที่เคยเสียเปรียบในอดีต

สุดท้าย ดร.อธิป ได้เน้นย้ำเพิ่มเติมว่า “Affirmative Action มีผลโดยตรงกับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ชาวเอเชียที่มาจากเอเชียอย่างพวกเราจะได้รับผลกระทบโดยตรงจาก Affirmative Action ในรูปแบบที่เหมือนหรือแตกต่างอย่างไร และผลของการตัดสินนี้จะเกิดเป็นผลบวกหรือลบอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ มหาวิทยาลัยทั้งสหรัฐฯ จะต้องทบทวนและปรับเปลี่ยนนโยบายการรับนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสัดส่วนของการรับนักศึกษา ต่างชาติด้วย ซึ่งเรื่องนี้นักศึกษาต่างชาติก็ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงและนโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด”

“ยิ่งไปกว่านั้น อรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในปีต่อ ๆ ไป และท้ายที่สุดการยกเลิกกับ Affirmative Action อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกา ที่เราก็คงจะต้องติดตามดูว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง ‘ความเป็นธรรม’ และ ‘ความหลากหลาย’ ในระบบการศึกษาได้อย่างไรในอนาคต”

‘อเมริกา’ อนุญาต ‘จีน’ ทดสอบ ‘แท็กซี่ไร้คนขับ’ รับส่งผู้โดยสารในรัฐแคลิฟอร์เนีย เผย!! ทำงานผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อ ‘รถ-คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง’ ในระบบคลาวด์

(17 ส.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า วีไรด์ (WeRide) สตาร์ตอัปแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) สัญชาติจีน ได้รับอนุญาตจากทางการรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกา ให้ทดสอบให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับโดยมีผู้โดยสารได้แล้ว โดยจะเริ่มทดสอบด้วยรถไร้คนขับจำนวน 12 คัน 

ข้อมูลแท็กซี่ไร้คนขับ WeRide
ตามข้อมูลจาก WeRide แท็กซี่ไร้คนขับจะใช้รถจากค่าย จีเอซี (GAC) หรือนิสสัน (Nissan) แล้วแต่พื้นที่ให้บริการ ซึ่งมาพร้อมกับการติดตั้งระบบไร้คนขับ ประกอบไปด้วยเรดาร์ เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบคันรถ กล้องวัดระยะความลึกหรือไลดาร์ (LiDAR) และกล้องรอบคันแบบ 360 องศา สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยระบบต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อระหว่างรถกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางในระบบคลาวด์ โดยทาง WeRide ระบุว่า ระบบไร้คนขับได้รับการฝึกในสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ที่รวมปัจจัยนอกตัวรถ ทั้งทางเดินเท้า คน จักรยาน อาคาร แม้แต่สภาพอากาศกว่า 230,000 ครั้ง สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะมีจักรยานหรือรถยนต์ตัดหน้าด้วยความแม่นยำร้อยละ 97 กับ 98 ตามลำดับ และมีระยะเวลาตอบสนองที่ 10 มิลลิวินาที และความคลาดเคลื่อนในการกะระยะไม่เกิน 5 เซนติเมตร

การเติบโตของบริษัท WeRide
ทั้งนี้ จากรายงานข่าวระบุว่า WeRide ได้ยื่นคำร้องขอกับคณะกรรมการกำกับกิจการสาธารณะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CPUC (California Public Utilities Commission) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นคำขอทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับที่มีคนขับสำรองในตำแหน่งคนขับ และแบบไร้คนขับโดยไม่มีคนขับนั่งอยู่ภายในตัวรถ เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากที่อนุญาต โดยให้บริการเฉพาะกลุ่มทดลอง และไม่มีการเก็บค่าโดยสารใด ๆ 

การอนุญาตให้ WeRide ทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับ ส่งผลให้มีการประเมินมูลค่าบริษัทสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 175,000 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2017 WeRide ได้ให้บริการในบางเมืองของจีน รวมถึงในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องขออนุญาตทดสอบในสิงคโปร์อีกด้วย

‘จีน’ ชี้ ‘อเมริกา’ คือ ‘ตัวอันตราย’ ใหญ่หลวง เป็น ‘เจ้าโลก’ ด้วยการข่มขู่ ประชาคมนานาชาติ

(18 ส.ค.67) อเมริกาคือตัวอันตรายใหญ่หลวงที่สุดของโลก เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงของความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ จากความเห็นของจาง เสี่ยวกัง โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ (16 ส.ค.) โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตัน ‘มักตัดสินใจต่าง ๆ โดยไร้ความรับผิดชอบ’ ในความพยายามรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลก ในนั้นรวมถึงผ่านการข่มขู่ประชาคมนานาชาติ ด้วยคลังแสงนิวเคลียร์

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการแถลงตอบโต้การตัดสินใจของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ที่จะยกระดับกองกำลังอเมริกาในญี่ปุ่น เป็นกองบัญชากองกำลังร่วม ซึ่งบังคับบัญชาของโดยพลระดับ 3 ดาวรายหนึ่งที่อยู่ภายใต้บัญชาการของกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิก แห่งกองทัพสหรัฐฯ

ถ้อยแถลงดังกล่าวดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ตามหลังการพบปะหารือกันระหว่างเหล่าหัวหน้านโยบายกลาโหมและต่างประเทศของอเมริกาและญี่ปุ่น

ในตอนนั้น ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยกย่องพัฒนาดังกล่าว ว่าเป็น ‘การปรับปรุงความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างเรากับญี่ปุ่น ครั้งเข้มแข็งที่สุดในรอบกว่า 70 ปี’ เขายังบอกด้วยว่าทั้ง 2 ฝ่าย ได้จัดประชุมระดับรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ในด้านการป้องปรามอย่างครอบคลุม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ระหว่างการพบปะหารือ สหรัฐฯ ประกาศ "ปกป้องญี่ปุ่นด้วย: แสนยานุภาพต่างๆ ของเราอย่างเต็มพิกัด ในนั้นรวมถึง: แสนยานุภาพทางนิวเคลียร์" ออสติน กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคม

ในวันศุกร์ (16 ส.ค.) จาง เสี่ยวกัง ชี้ว่าวอชิงตันและโตเกียวเล่นไพ่ใช้คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านการทหารของจีน เป็นข้ออ้างสำหรับความเคลื่อนไหวของพวกเขา "พฤติกรรมต่าง ๆ เช่นนี้รังแต่ยั่วยุการเผชิญหน้าและบ่อนทำลายเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาค" ทั้งนี้ในถ้อยแถลงเมื่อเดือนกรกฎาคมของเพนตากอน พวกเขายังได้พาดพิงถึงการ "ขยายคลังแสงนิวเคลียร์ของจีน" เช่นเดียวกับหัวข้ออื่นๆ ระหว่างประชุมเกี่ยวกับการขยายขอบเขตการป้องปราม

โฆษกของกระทรวงกลาโหมจีนบอกว่า "สหรัฐฯ เสี่ยงเป็นภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ใหญ่หลวงที่สุดต่อโลก เนื่องจากพวกเขาครอบครองคลังแสงนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และเดิมตามนโยบายหนึ่ง ๆ ซึ่งอนุญาตให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน"

ยุทธศาสตร์ป้องกันตนเองแห่งชาติสหรัฐฯ (NDS) ที่เผยแพร่โดยเพนตากอนเมื่อปี 2022 ระบุ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน เป็น 4 ศัตรู สำหรับแผนอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมันเปิดประตูสำหรับการใช้นิวเคลียร์ชิงโจมตีก่อน โดยอนุญาตให้ใช้อาวุธดังกล่าวเล่นงานศัตรู เพื่อสกัดการโจมตี

เมื่อปี 2018 สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยปานกลาง (INF) ที่ทำไว้กับรัสเซีย ซึ่งแบนทั้ง 2 ฝ่ายจากการพัฒนาและประจำการขีปนาวุธศักยภาพติดอาวุธนิวเคลียร์ที่ประจำการบนภาคพื้นบางรุ่น ณ ตอนนั้น วอชิงตันอ้างว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีอาวุธดังกล่าว เนื่องจากอย่างน้อย ๆ จีน ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในข้อตกลงทวิภาคี INF

ข้อตกลงทวิภาคีที่มีผลผูกพันฉบับสุดท้ายที่จำกัดคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และรัสเซีย คือข้อตกลง New START ซึ่งมีกำหนดหมดอายุลงในปี 2026 อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว รัสเซียระงับการมีส่วนร่วมในข้อตกลง New START อ้างถึงนโยบายที่เป็นปรปักษ์ของสหรัฐฯ แต่ประกาศว่าจะยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขหลักของมัน ซึ่งจำกัดอาวุธนิวเคลียร์และระบบปล่อยอาวุธนิวเคลียร์

ในเดือนตุลาคม 2023 เพนตากอนกล่าวหา จีน "ยกระดับขยายคลังแสงนิวเคลียร์อย่างรวดเร็ว" ในขณะที่คณะกรรมาธิการยุทธศาสตร์ของสภาคองเกรสสหรัฐฯ เรียกร้องวอชิงตันให้เตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามกับทั้งปักกิ่งและมอสโก และต่อมาในเดือนเดียวกัน อเมริกายังได้แถลงแผนเกี่ยวกับการปรับปรุงระเบิดนิวเคลียร์ของพวกเขาให้มีความทันสมัย

การตัดสินใจและพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบของสหรัฐฯ ก่อผลลัพธ์แผ่ขยายความเสี่ยงทางนิวเคลียร์ และความพยายามรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลก และข่มขู่โลกด้วยแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ถูกแฉออกมาเต็มตาแล้ว จางกล่าว พร้อมระบุว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดในญี่ปุ่น รังแต่ซ้ำเติมความตึงเครียดในภูมิภาค และเพิ่มความเสี่ยงแพร่ขยายนิวเคลียร์และความขัดแย้งทางนิวเคลียร์

🔍ส่อง 10 ธุรกิจ ที่บริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมืองในสหรัฐฯ มากที่สุดในปี 2024

ปีนี้จะเป็นอีกปีที่มีเหตุการณ์สำคัญระดับโลกอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจะมีคณะกรรมการการดำเนินการทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้น เพื่อรวบรวมและบริจาคเงินทุนจากบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองที่พวกเขาต้องการ

ซึ่งจากข้อมูลของ Quiver Quantitative เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลบริษัท 10 อันดับในสหรัฐฯ ที่มีการบริจาคเงินสูงสุดเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยการบริจาคจะมีทั้งให้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน รวมถึงพรรคการเมืองเล็กๆ พรรคอื่นด้วย และจากข้อมูลการบริจาคของทั้ง 10 บริษัทจนถึงวันที่เก็บข้อมูลนั้น แสดงผลการบริจาคว่ามีการบริจาคให้ทั้ง 2 พรรคที่สูสีกัน แต่พรรคที่ได้รับการบริจาคมากกว่าอยู่นิดหน่อยคือพรรครีพับลิกัน

และใน 10 บริษัทนั้นมีถึง 4 บริษัทที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐ และเป็นบริษัทที่จัดการสินค้าหรือให้บริการกับหน่วยงานทางการทหารและมีกระทรวงกลาโหมเป็นลูกค้ารายใหญ่อย่างเช่น Boeing, Northrop Grumman, L3Harris Technologies และ Lockheed ด้วย 

ส่วนผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะออกหน้าไหน เราคงต้องไปรอลุ้นกันในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ซึ่งต้องมารอดูกันว่าหลังจากที่พรรคเดโมแครตได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ชิงตำแหน่งจากการถอนตัวของโจ ไบเดนมาเป็น กมลา แฮร์ริส จะสามารถทำให้เดโมแครตสามารถได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้อีกครั้งหรือไม่?

‘สหรัฐฯ’ หวั่น!! ตำรวจใช้ ‘AI’ ช่วยเขียนรายงาน ตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

(27 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักข่าวเอพี (AP) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ บางส่วนเริ่มทดลองใช้งานแชทบอตพลังปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) หรือเอไอ แชตบอต เพื่อทำรายงานเหตุการณ์ฉบับร่าง ส่งผลให้อัยการ หน่วยงานกำกับดูแลตำรวจ และคณะนักวิชาการทางกฎหมายบางส่วนกังวลว่าแชทบอต อาจปรับแก้เอกสารพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอาญา ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

รายงานระบุว่า เอไอ แชทบอต ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแชตจีพีที (ChatGPT) และจำหน่ายโดยแอกซอน (Axon) บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเทเซอร์หรืออุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า (Taser) อาจเข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงานของตำรวจอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเสริมว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกับคุณสมบัติของเอไอ แชทบอต ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาได้

ริก สมิธ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอกซอน กล่าวว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เลือกมาเป็นตำรวจ เพราะอยากทำงานตำรวจ และการต้องใช้เวลาครึ่งวันไปกับการป้อนข้อมูลเป็นเพียงส่วนน่าเบื่อหน่ายของงาน พร้อมอธิบายว่าผลิตภัณฑ์เอไอตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ดราฟ วัน’ (Draft One) ได้รับ ‘เสียงตอบรับเชิงบวกมากที่สุด’ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่บริษัทฯ เคยเปิดตัวมา

สมิธกล่าวว่า ตอนนี้หลายฝ่ายอาจมีข้อกังวลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคณะอัยการเขตที่ปฏิบัติหน้าที่ฟ้องร้องคดีอาญา ซึ่งต้องการมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนรับผิดชอบกับการเขียนรายงานดังกล่าว ไม่ใช่เป็นฝีมือเอไอ แชทบอต เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจต้องให้การเป็นพยานในศาลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้เห็น

รายงานระบุอีกว่า เทคโนโลยีเอไอไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหน่วยงานตำรวจ ซึ่งเคยนำเครื่องมืออัลกอริทึมมาใช้ในการอ่านป้ายทะเบียนรถ จดจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย ตรวจจับเสียงปืน และคาดการณ์ว่าอาชญากรรมอาจเกิดขึ้นที่ไหน

รายงานทิ้งท้ายว่า การประยุกต์ใช้เหล่านี้ หลายครั้งมาพร้อมกับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิพลเมือง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติพยายามกำหนดมาตรการป้องกัน ทว่าการนำรายงานตำรวจจากฝีมือเอไอมาใช้ยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก จนแทบไม่มีมาตรการป้องกันการใช้งานเลย

รู้จัก ABA Centers of America เครือข่ายคลินิกรักษาโรคออทิสติก หนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ เพราะเร็วกว่า-เชี่ยวชาญกว่า

(28 ส.ค. 67) ABA Centers of America ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Fort Lauderdale มลรัฐ Florida เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการจัดอันดับที่ 5 ในรายชื่อ Inc. 5000 ประจำปีนี้ ให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดจาก 5,000 แห่งในสหรัฐฯ พิจารณาจากการเติบโตของรายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 

Christopher Barnett ผู้ก่อตั้ง ABA Centers of America เผยถึงว่า ABA Centers of America ในฐานะผู้ให้บริการบำบัดสำหรับเด็กออทิสติก โดยบริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 ซึ่งตอนนั้น Barnett เริ่มทำธุรกิจด้วยวัยเพียง 18 ปี และเขามีเพียงวุฒิการศึกษา GED (เทียบเท่ามัธยมปลาย) แต่ด้วยการเป็นทั้งนายหน้าอสังหาริมทรัพย์, เจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, นายหน้าจำนอง และผู้รับเหมา ทำให้เมื่ออายุ 20 ต้น ๆ เขาสามารถปิดการทำธุรกรรมได้ 150 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีกันเลยทีเดียว

ต่อมา Barnett ได้ก้าวเข้าสู่วงการการดูแลสุขภาพในปี 2013 และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของกลุ่มดูแลสุขภาพพฤติกรรมชั้นนำ ซึ่งรวมถึง บริษัทให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจิต, บริษัทให้บริการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์ และบริษัทห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 

ปี 2020 ในฐานะผู้ปกครองของเด็กออทิสติก เขาได้ก่อตั้ง ABA Centers of America ขึ้นเพื่อทำลายกรอบการรอคอยบริการแบบเดิม ๆ ที่วนเวียนเป็นระยะเวลาหลายปีแก่บรรดาผู้ที่แสวงหาการวินิจฉัยหรือการรักษาโรคออทิสติก ในขณะเดียวกันก็เพื่อมอบความเป็นเลิศทางคลินิกในระดับสูงสุดในรูปแบบที่สร้างขึ้น เพื่ออุทิศให้แก่ลูกสาวของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ป่วยออทิสติก

ด้วยความมุ่งมั่นของ Barnett ซึ่งพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อรักษาลูกสาวของเขาเอง จากปัญหาที่เขาพบเจอเริ่มต้นจากการนัดหมายเพื่อวินิจฉัยโรคที่อาจต้องใช้เวลาถึงสี่ถึงหกเดือน หรืออาจจะนานกว่านั้นด้วยซ้ำ และจริง ๆ แล้ว การเริ่มต้นการรักษาอาจต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองปี จนเคยมีคนไข้ที่ต้องรอคิวนานกว่านั้นด้วยซ้ำ บางครั้งอาจนานสามถึงหกปี นั่นคือ สถานการณ์การรักษาโรคออทิสติกในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งได้มีการก่อตั้ง ABA Centers of America ขึ้นมา บริษัทฯ สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นได้ โดยเสนอการนัดหมายเพื่อวินิจฉัยโรคออทิสติกในบางครั้งภายในเวลาเพียง 45 วัน และทำให้เด็ก ๆ เข้ารับการบำบัดได้เร็วกว่าคู่แข่งมาก 

ABA Centers of America สามารถลดเวลาในการรอการนัดหมายได้ ด้วยกระบวนการภายในซึ่งได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สามารถวินิจฉัยรักษาเด็ก ๆ ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอคิวนาน ด้วยทีมงานที่มีทั้งประสบการณ์และความสามารถ คัดเลือกบุคลากรที่มีความสามารถสูง ซึ่งนำกระบวนการใหม่ ๆ และแนวทางที่ดีกว่ามาสู่องค์กรในทุก ๆ วัน ทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างรวดเร็วและมีคลินิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีการจ้างพนักงานใหม่ได้รวดเร็วพอ ๆ กับลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขยายความสามารถในการเติบโตได้อย่างกว้างขวางและทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ดีและมากขึ้น อันเนื่องมาจากรูปแบบทางการจัดการทางเงิน และวิธีการในการดำเนินการกับลูกค้ารายใหม่ 

ด้วยการสรรหาบุคลากร ถือเป็นความท้าทายในอุตสาหกรรมสุขภาพจิต ABA Centers of America สามารถจ้างพนักงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรองเป็นหนึ่งในตำแหน่งงานที่หายากที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ และเป็นตำแหน่งที่มีความต้องการมากที่สุด ซึ่งก็คือ นักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรอง นักบำบัดที่ออกแบบและดูแลแผนการบำบัด ขณะนี้ในอเมริกา มีนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรองประมาณ 50,000 ถึง 60,000 คน และไม่นานมานี้ บริษัทฯ ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับจำนวนตำแหน่งงานว่างสำหรับตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งมีจำนวน 80,000 ถึง 90,000 ตำแหน่ง นั่นหมายความว่ามีความต้องการตำแหน่งงานดังกล่าวสูงมาก และตลาดไม่มีนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรองเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว นั่นเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เด็ก ๆ ต้องรอคอยอยู่ในรายชื่อรอทั่วประเทศ เนื่องจากตำแหน่งสำคัญตำแหน่งหนึ่งมีไม่เพียงพอ 

>> ABA Centers of America บริจาคเงิน 1ล้านดอลลาร์สหรัฐให้ Temple University

วิธีหนึ่งที่ทำให้ ABA Centers of America สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้คือ ผ่านโปรแกรม Temple University ของบริษัทฯ เอง ซึ่งบริษัทฯ ได้สร้าง ABA Centers Autism Lab ขึ้นมา ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถทำการวิจัยในสาขานี้ และยังสามารถฝึกอบรมนักศึกษาได้อีกด้วย เมื่อบริษัทฯ ได้พนักงานที่เข้าเกณฑ์สำหรับโปรแกรมปริญญาโทที่ Temple U. บริษัทฯ ก็จะจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมดให้กับพวกเขา ขณะนี้บริษัทฯ มีพนักงานราว 25 คนที่กำลังเรียนปริญญาโทเพื่อเป็นนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรอง (BCBA) และบริษัทฯ จะดำเนินการต่อไปเพื่อให้โปรแกรมนั้นเติบโตขึ้น นั่นคือหนึ่งในวิธีที่บริษัทฯ ไม่เพียงแต่สามารถหา BCBA ได้มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่ยังสามารถคัดเลือกและนำบุคลากรที่มีความสามารถสูงมาสู่องค์กรได้อีกด้วย

ABA Centers of America สร้างสมดุลให้กับการเติบโตและความยั่งยืนได้ ในแบบ de novo บริษัทฯ สามารถทำทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องผ่านการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ ด้วยการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีขนาดเล็กกว่า ในขณะที่ยังคงสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจนี้โดยลดเวลาการรอคอยและให้เด็ก ๆ เข้ารับการดูแลได้เร็วขึ้น นั่นเป็นแรงผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ ไปพร้อม ๆ กัน การสามารถคัดเลือกและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงไว้ได้ ถือเป็นกลยุทธ์การเติบโตที่ดำเนินต่อไปได้ด้วยตัวเองและช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจไปทั่วประเทศได้อย่างต่อเนื่อง 

แนวคิดของ ABA Centers of America มองว่าการเปิดคลินิกใหม่มีประโยชน์มากกว่าการเข้าซื้อคลินิกที่มีอยู่ เพราะการไม่ได้พึ่งพา [การซื้อกิจการ] ด้วยโมเดลที่ยอดเยี่ยมและคิดมาอย่างดีสำหรับการเปิดคลินิกใหม่ในพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งบริษัทฯ ได้ทำมาหลายครั้งแล้ว และทำได้ดีมากจนสามารถเปิดคลินิกใหม่ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้บริษัทฯ มีคลินิกประมาณ 30 แห่ง และน่าจะมีมากกว่า 50 แห่งภายในสิ้นปีนี้ (2024) พร้อมกับแผนการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจนไปจนถึงปี 2025 เช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ เช่นเดียวกับสตาร์ตอัปอื่น ๆ ซึ่งก็มีข้อผิดพลาดระหว่างทาง แต่สามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น และวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรให้เป็นจริงได้ ABA Centers ได้เติบโตจนกลายเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง จนได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดอันดับ 5 ในรายชื่อ Inc. 5000 แห่งชาติประจำปี 2024 ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อในรายชื่อ Inc. Best in Business ประจำปี 2023 อีกด้วย

Fort Knox คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ สถานที่ซึ่งยากจะเข้าถึงที่สุดในโลก

ถ้าจะถามว่าในโลกใบนี้ สถานที่ใด? ยากที่จะเข้าถึงมากที่สุด น่าจะมีชื่อ Fort Knox คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐอเมริกา ผุดขึ้นมาให้คิดถึง...

สำหรับชื่อเสียงของ Fort Knox นั้นมีมาอย่างยาวนานในสถานะคลังเก็บทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยหากพิจารณาจากปี 2021 ปริมาณสำรองทองคำของสหรัฐฯ ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 8,134 เมตริกตัน จะพบว่า ตัวเลขประมาณการทองคำกว่าราว 4,580 เมตริกตันหรือคิดเป็น 56.35% ของทองคำสำรองของสหรัฐฯ ได้ถูกเก็บไว้ที่นี่

คำว่า 'ปลอดภัยเหมือน Fort Knox' เป็นคำที่แสดงถึงความมั่นคงปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้ และกลายเป็นคำรับรองถึงความปลอดภัยสูงสุดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธนาคาร, ตู้นิรภัย, บริการรับฝากสินค้าฯลฯ

เดิม Fort Knox เป็นที่ตั้งหน่วยรถถังของกองทัพบกสหรัฐฯ ในมลรัฐ Kentucky ทางใต้ของเมือง Louisville และทางเหนือของเมือง Elizabethtown โดยการตั้งชื่อ Fort Knox ขึ้นมานั้น ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่พลตรี Henry Knox ผู้บัญชาการหน่วยปืนใหญ่ในสงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา และรัฐมนตรีกระทรวงสงครามคนแรกของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามกลางเมือง Fort Knox ที่มีค่ายทหารเล็ก ๆ อยู่ไม่กี่แห่ง 

ต่อมาในปี 1936 คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ ก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยกระทรวงการคลังบนที่ดินที่รับโอนมาจากกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงแรก Fort Knox ได้เก็บรักษาทองคำจำนวนเกือบ 13,000 เมตริกตัน และทุกการขนย้ายทองคำ จะได้รับการคุ้มกันโดยรถถังของกรมทหารม้าที่ 1 กองทัพบกสหรัฐฯ ไปยังโรงรับฝาก 

ทั้งนี้ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง Fort Knox ยังเคยถูกใช้ในการเก็บรักษาสิ่งของล้ำค่ามากมาย อาทิ ต้นฉบับของทั้งรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา, คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา, ข้อบังคับของสมาพันธรัฐ, คำปราศรัยในการรับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สองของ Abraham Lincoln และร่างคำปราศรัย Gettysburg ของ Abraham Lincoln อีกด้วย

สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Fort Knox กลายเป็นคลังทองคำสำรองของสหรัฐฯ นั้น ต้องย้อนไปในเดือนมิถุนายน 1935 ที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศความตั้งใจจะสร้างคลังทองคำสำรองในบริเวณ Fort Knox มลรัฐ Kentucky อย่างรวดเร็ว จุดประสงค์เพื่อเก็บทองคำสำรองซึ่งเดิมเก็บไว้ในสำนักงานทดสอบ ในนคร New York และโรงกษาปณ์ Philadelphia 

ความตั้งใจนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ประกาศไว้ก่อนหน้าว่า จะย้ายทองคำสำรองออกจากเมืองชายฝั่งไปยังพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการโจมตีโดยกองกำลังต่างชาติน้อยกว่า ซึ่งนโยบายนี้ได้นำไปสู่การขนส่งทองคำเกือบ 85.7 ล้านทรอยออนซ์ (2,666 เมตริกตัน) จากโรงกษาปณ์ San Francisco ไปยังโรงกษาปณ์ Denver ก่อนขนย้ายมายัง Fort Knox ที่สร้างเสร็จในเดือนธันวาคมของปี 1936 ด้วยราคา 560,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ซึ่งเทียบเท่ากับ 9,700,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023) 

ในปี 1988 อาคาร Fort Knox ได้รับการขึ้นทะเบียนในทะเบียนโบราณสถานแห่งชาติในปี เนื่องด้วยสถานะเป็น 'สถานที่สำคัญที่รู้จักกันดีซึ่งมักถูกอ้างถึงบ่อยครั้งในบริบทที่เป็นข้อเท็จจริงและสมมติ' และมี 'ความสำคัญเป็นพิเศษทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ'

อ่านถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะพอจะนึกตามได้แล้วว่า ทำไม Fort Know จึงเป็นสถานที่ที่ยากจะเข้าถึงมากที่สุดในโลก นั่นก็เพราะข้อได้เปรียบทางทหารหลายประการที่เอื้อต่อ Fort Knox 

- กองกำลังต่างชาติที่โจมตีจากชายฝั่งทะเลตะวันออกของสหรัฐฯ จะต้องสู้รบผ่านเทือกเขา Appalachian ซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการเคลื่อนกำลังทหารในยุคนั้น 
- นอกจากนี้ ยังแยกออกจากทางรถไฟและทางหลวง ซึ่งเป็นการขัดขวางอำนาจการโจมตีอีกด้วย 
- แม้แต่การเดินทางทางอากาศไปยัง Fort Knox ก็ต้องบินข้ามภูเขา ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อนักบินที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ดังกล่าวในยุคนั้นเช่นกัน 
- และที่สุด หน่วยทหารม้ารถถังเพียงหน่วยเดียวของกองทัพบกสหรัฐฯ ในขณะนั้น ก็ยังประจำการอยู่ในค่ายที่อยู่ติดกัน ซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้เพื่อปกป้อง Fort Knox คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ โดยทันที

ไม่เพียงเท่านี้ Fort Knox ยังล้อมรอบไปด้วยหอคอยยาม ซึ่งมีพลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี หากคุณโชคดีพอที่จะผ่านพ้นการลาดตระเวนของเฮลิคอปเตอร์, รถถัง และรถลาดตระเวนมาได้ และต่อให้คุณผ่านพ้นพื้นที่ของพลซุ่มยิง, รั้วลวดหนาม, กำแพงคอนกรีตหนา และกำแพงเหล็กได้ การจะเข้าไปในห้องนิรภัยได้ ก็ต้องทราบรหัสประตูห้องนิรภัยที่มีน้ำหนัก 24 ตัน ซึ่งสามารถเปิดได้ด้วยการถอดรหัส รหัสประตูห้องนิรภัย 10 ชุดที่แตกต่างกัน และต้องป้อนตามลำดับที่ถูกต้องด้วยเท่านั้น

แล้วก็อย่าลืมว่า ภายใน Fort Knox ยังเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ทั่วทุกที่ ทันทีที่มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจะส่งสัญญาณวิทยุไปยังหัวหน้าของพวกเขา และหากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหายไป หัวหน้าก็จะส่งสัญญาณเตือนภัย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธหลายร้อยนายพร้อมรถหุ้มเกราะจะปิดล้อมรอบ Fort Knox ทันที

โดยสรุป หากคิดที่จะปล้นทองคำจาก Fort Knox คุณต้องทะลวงผ่านด่านนอก อาทิ การลาดตระเวนของเฮลิคอปเตอร์, รั้วลวดหนาม, การลาดตระเวนของรถลาดตระเวนและรถหุ้มเกราะ, รั้วไฟฟ้าสูง 10 ฟุต, พลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี, กำแพงหินแกรนิตและคอนกรีตหนา 4 ฟุต, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนมากอยู่ภายใน, ผนังคอนกรีตเสริมเหล็กหนา 24 นิ้วที่สร้างขึ้นเพื่อทนต่ออาวุธนิวเคลียร์, กล้องวงจรปิดแบบหลายจุด, กระจกกันไฟและกันกระสุน, อุโมงค์น้ำท่วม เพื่อสังหารผู้บุกรุก, ทุ่นระเบิด และดาวเทียมพร้อมการเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง 

จากนั้นด่านใน คุณต้องเข้าไปยังห้องนิรภัย โดยใช้รหัสเข้าใช้ลับที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ปลดล็อกได้ไปพร้อม ๆ กับการหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม หากคุณทำสำเร็จ จะสามารถรวบรวมทองคำแท่ง ซึ่งมีมูลค่ากว่า 240,000 ล้านดอลลาร์ตามการประมาณการโดยอิงจากมูลค่าทองคำล่าสุดไปครอง 

แต่ก็ยังมีคำถามอีกว่า คุณจะขนทองคำทั้งหมด ที่มีน้ำหนักประมาณ 4 ล้านกิโลกรัมหรือ 4,000 ตัน แล้วหลบหนีออกไปจากสหรัฐฯ อย่างเงียบๆ ได้อย่างไร?

และนี่ จึงทำให้ Fort Knox กลายเป็นสถานที่ซึ่งยากแก่การเข้าถึงมากที่สุดในโลกนั่นเอง...

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

อุกอาจ!! 'แก๊งวัยรุ่นมะกัน' รวมพลปล้นร้าน 7-Eleven มูลค่าความเสียหาย 40,000 เหรียญสหรัฐ พบ!! ไม่ใช่ครั้งแรก

(29 ส.ค. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้เผยแพร่ภาพการปล้นร้านสะดวกซื้อ 'เซเว่นอีเลฟเว่น' (7 Eleven) โดยวัยรุ่นที่มีการรวมตัวกันประมาณ 30-50 คน

ทั้งนี้ วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว ได้เข้าปล้น 7-Eleven สาขา ซานเปโดร ลอสแอนเจลิส ประมาณ เวลา 01:39 น. ของวันเสาร์ที่ 24/08/2024  

จากรายงาน คนร้ายได้ขโมยบุหรี่ไปกว่า 1,000 ซอง ตั๋วล็อตเตอรี่ และเครื่องคิดเงิน 2 เครื่อง ที่มีเงินสดอยู่ข้างในประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ก่อนจะหลบหนีไปได้ เบื้องต้นมูลค่าความเสียหายจากการประเมินอยู่ที่ 40,000 เหรียญสหรัฐ

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้นช่วงเดือนสิงหาคม 7-Eleven หลายสาขาในลอสแอนเจลิส ก็เคยถูกปล้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นวัยรุ่นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทางเมืองลอสแองเจลลิสได้ขอเพิ่มกำลังตำรวจเพื่อตรวจตราเพิ่มขึ้นแล้ว

ตำรวจไทยเข้าประชุมตำรวจหญิงโลก ณ สหรัฐอเมริกา ร่วมเดินขบวนพาเหรดอย่างยิ่งใหญ่กลางเมืองชิคาโก

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้คณะตัวแทนตำรวจไทยเข้าร่วมการสัมมนาของสมาคมตำรวจหญิงนานาชาติ (International Association of Women Police) ครั้งที่ 61 ณ โรงแรม ฮิลตัน เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 1-5 กันยายน 2567 โดยได้มีพิธีเปิดและการเดินขบวนพาเหรดอย่างยิ่งใหญ่ในย่านดาวน์ทาวน์ของชิคาโก 

คณะตำรวจหญิงไทยนำโดย พล.ต.ต.หญิง พรรณวิภา โรหิโตปการ ผบก.สบร. (หัวหน้าคณะ) พร้อมด้วย พ.ต.อ.หญิง นพวรรณ ถิระวุฒิ รอง ผบก.อก.ภ.9, พ.ต.ท.หญิง กุลวดี ณ นคร สว.(กอ.รมน.) สกพ., พ.ต.ท.หญิง ฉันสินี ไชยรัตน์ รอง ผกก.ฝ่ายกิจการต่างประเทศ บก.อก.บช.ส., พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา อจ.(สบ2) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะสังคมศาสตร์ รร.นรต., ว่าที่ พ.ต.ท.หญิง ภัทรินทร์ทิพย์ ธาระสิทธิ์ สว.ฝ่ายพิธีการฯ ตท., ร.ต.อ.หญิง จิรัฐติกาล เดียวจรัศ รอง สว.กก.ดส. บช.น. และ ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง สุภิญญา เอื้อมศศิธร นว.(สบ1) ผบก.สบร. รวม 8 นาย ได้เข้าร่วมการประชุมของสมาคมตำรวจหญิงนานาชาติ โดยการสนับสนุนจาก ฝ่ายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและยาเสพติด (International Narcotics and Law Enforcement Affairs Section - INL) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย 

การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นโดยสมาคมตำรวจหญิงนานาชาติ (International Association of Women Police -IAWP) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีมีสมาชิกกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และองค์กรพันธมิตรมากกว่า 30 หน่วยงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อตั้งเครือข่ายระดับโลกเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของสตรี ในการทำหน้าที่ตำรวจในระดับนานาชาติ สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีตัวแทนตำรวจหญิงจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมจำนวนกว่า 1,000 นาย และมีกิจกรรมอย่างหลากหลาย เช่น การอบรมสัมมนา กิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการเดินขบวนพาเหรด 

นับเป็นโอกาสและประสบการณ์ที่มีค่าอย่างยิ่ง ที่ทางคณะตำรวจหญิงไทยได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะได้สร้างเครือข่ายกับตำรวจหญิงจากนานาประเทศแล้ว ทางคณะฯ ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของสตรีในบทบาทตำรวจ ได้เรียนรู้มุมมองและแนวคิดการพัฒนาการปฏิบัติงาน ซึ่งทางคณะฯ จะได้นำองค์ความรู้ดังกล่าว กลับไปต่อยอด พัฒนา และส่งเสริมภาวะผู้นำของข้าราชการตำรวจหญิงในอนาคตต่อไป

'รมว.ตปท.เวเนฯ' ประณามสหรัฐฯ ปมยึดแอร์ฟอร์ซวันแห่งเวเนฯ เพิ่มรอยร้าวความสัมพันธ์ 'สหรัฐฯ-เวเนฯ' ให้ลึกยิ่งขี้น

(3 ก.ย.67) นายอีวาน กิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวเนซุเอลา กล่าวว่า เวเนซุเอลา ประณามการยึดเครื่องบินดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ สหรัฐฯ ใช้มาตรการกดดัน บังคับใช้ฝ่ายเดียวและผิดกฎหมายไปทั่วโลก

ข้อโต้แย้งของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ว่าการขายและการส่งออกเครื่องบินดังกล่าวถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากนักกับประธานาธิบดีมาดูโร ซึ่งกล่าวหาสหรัฐฯ เสมอว่าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ

การตรวจยึดเครื่องบินเกิดขึ้นในสาธารณรัฐโดมินิกันและส่งกลับมาที่สำนักงานของกระทรวงยุติธรรมในรัฐฟลอริดา ยังไม่ชัดเจนว่าเครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดที่สาธารณรัฐโดมินิกันได้อย่างไรและเมื่อใด ข้อมูลการติดตามระบุว่าเครื่องบินออกจากสนามบินลาอิซาเบลา ใกล้กับกรุงซานโตโดมิงโก เมื่อวันจันทร์ (2 ก.ย.67) และถึงสนามบินในรัฐฟลอริดา 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่นายมาดูโร ประกาศว่าชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ ฝ่ายค้าน อ้างว่า ชนะการเลือกตั้งเช่นกัน เนื่องจาก มีบันทึกการลงคะแนน ทำให้เกิดเหตุการณ์ประท้วงวุ่นวาย มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายและมีคนถูกจับกุมมากกว่า 2,400 คน

ความเคลื่อนไหวของเวเนซุเอลา หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยึดเครื่องบิน Falcon 900 EX  ของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา อ้างว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรและกฎหมายควบคุมการส่งออก ซื้อมาอย่างผิดกฎหมายด้วยราคา 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (9.8 ล้านปอนด์) และลักลอบนำออกนอกประเทศ

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลายิ่งตึงเครียดมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า เครื่องบินลำนี้เทียบเท่ากับเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วันของเวเนซุเอลา และเคยถ่ายภาพเครื่องบินลำนี้ในระหว่างการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการของนายมาดูโรด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top