Sunday, 8 June 2025
สหรัฐอเมริกา

'อดีตนร.ไทยในญี่ปุ่น' ชี้!! ผลักดันสุราเสรี ไม่ใช่นโยบายที่ดี ยก ‘สหรัฐฯ’ เป็นแม่แบบ ให้ปชช.ดื่มได้สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์

เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.66) ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ขอพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกสักโพสต์ ในขณะที่ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่อ้างความเป็นประชาธิปไตย ผลักดันนโยบายสุราเสรีแบบสุดโต่ง แต่ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกากำลังกำหนดให้ประชาชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์

อ้างอิงจากข่าว "2 drinks a week? US considering changing alcohol guidelines"
https://fox8.com/video/usda-considering-changing-alcohol-guidelines/8947623/ 

สรุปคร่าว ๆ คือ

Dr. George Koob ผู้ควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ของประธานาธิบดี Joe Biden กล่าวกับเดลี่เมล์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่ประเทศแคนาดาพึ่งออกเมื่อเร็ว ๆ นี้ (*1) ซึ่งแนะนำให้ประชาชนจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ที่สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์ (ลดลงจาก 15 ดริ๊งก์ต่อสัปดาห์สำหรับผู้ชาย และ 10 ดริ๊งก์ต่อสัปดาห์สำหรับผู้หญิง) เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์

Dr. George Koob ซึ่งก็เป็นผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติว่าด้วยการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิดและโรคพิษสุราเรื้อรัง (National Institute on Alcohol Abuse and Alcoholism: NIAAA) ให้ความเห็นชัดเจนว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และพบว่ากลุ่มคนอายุ 35 ถึง 50 ปี มีการดื่มหนักเพิ่มขึ้นทั่วประเทศจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน โดยคำแนะนำการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของชาวอเมริกัน (*2) อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในปี 2025

สำหรับผมแล้ว การผลักดันนโยบายสุราเสรีแบบสุดโต่งของพรรคนั้น น่าจะไม่ใช่การสร้างความเท่าเทียมแต่อย่างไร แต่เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะ สส. และผู้สมัคร สส. ของพรรคนั้น ก็ทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่แหละ ต้องการเข้ามามีอำนาจเพื่อตัวเองล้วน ๆ

ปล. แต่ที่ยิ่งกว่าเลวคือ ไม่เสียภาษีด้วยนะ ยื่นแบบเสียภาษียังไม่ทำเลย

*1 Canada’s Guidance on Alcohol and Health
https://www.ccsa.ca/canadas-guidance-alcohol-and-health
*2 Dietary Guidelines for Alcohol
https://www.cdc.gov/alc.../fact-sheets/moderate-drinking.htm 

‘ห้างร้านอเมริกา’ โอดครวญ!! เหตุ ‘แก๊งขโมย’ อาละวาดหนัก  ต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้า บางแห่งถึงขั้นเหนื่อยใจยอมปิดสาขาหนี

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ปัญหาโจรขโมยของที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชุกชุม ส่งผลให้ห้างร้านต่างๆ ในอเมริกาต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างยาสีฟัน ช็อกโกแลต ผงซักฟอก และบางห้างกระทั่งตัดสินใจปิดสาขาในย่านที่แก๊งโจรอาละวาดหนัก

ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ทและทาร์เก็ต ตลอดจนเชนร้านขายยาดัง ซีวีเอส และ วอลกรีนส์ รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการตกแต่งต่อเติมบ้านอย่างโฮมดีโป และร้านรองเท้าฟุต ล็อกเกอร์ คือห้างร้านค้าปลีกส่วนหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาโจรลักขโมยข้าวของเอาไว้ในรายงานผลประกอบการล่าสุดของพวกตน โดยชี้ว่าปัญหานี้ซึ่งผู้ก่อเหตุมีทั้งพวกลักเล็กขโมยน้อย และโจรที่รวมตัวเป็นแก๊งลักข้าวของ กำลังระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบางทีก็เกิดเหตุการณ์รุนแรง

ลอเรน โฮบาร์ต ประธานบริหาร ดิ๊กส์ สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ กล่าวระหว่างการประชุมผ่านทางโทรศัพท์ว่า พวกแก๊งลักขโมย และการขโมยข้าวของโดยภาพรวม กำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อห้างหลายแห่งมากขึ้น ในกรณีของ ดิ๊กส์ นั้น การขโมยของ ส่งผลกระทบต่อสินค้าคงคลังของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในผลประกอบการไตรมาส 2 และการคาดหมายสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านไบรอัน คอร์เนลล์ ประธานบริหาร ทาร์เก็ต เผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีการขโมยของในห้างแบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงหรือขู่ใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 120% และเสริมว่า เวลานี้ ความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังสืบเนื่องจากปัญหานี้ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ในระยะยาวแล้ว

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกาพุ่งจากเกือบ 0% เป็น 5.5% ในระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี เนื่องจากผู้วางนโยบายพยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กระทบต่อการกู้เงินเพื่อซื้อสินค้าชิ้นใหญ่หรือขยายธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลลบถึงผู้บริโภคเช่นกัน

จากการสำรวจด้านความปลอดภัยของการค้าปลีก ของสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2021 พวกห้างค้าปลีกเสียหายราว 94,500 ล้านดอลลลาร์จากสิ่งที่เรียกว่า ‘shrink’ ซึ่งหมายถึงความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การยักยอกของพนักงาน การขโมยของ หรือความผิดพลาดในการจัดการ

ผลสำรวจยังพบว่า ห้างค้าปลีกเผชิญปัญหาจากแก๊งโจรเพิ่มขึ้น 26.5% โดยที่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่รายงานว่า วิกฤตโรคระบาดทำให้ความเสี่ยงนี้เพิ่มสูงขึ้น

ผลลัพธ์คือห้างหลายแห่งค่อยติดตั้งแผ่นพลาสติกใสพร้อมกุญแจล็อกครอบชั้นวางสินค้า หรือล่ามโซ่คล้องกุญแจสายยูล็อกตู้เย็น และมีปุ่มกดเรียกสำหรับพนักงานกระจายอยู่ตามทางเดิน

ส่วนชั้นวางที่ไม่มีการป้องกันจะวางสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อจำกัดการถูกขโมย

อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันดังกล่าวไม่ได้ผลเสมอไป เป็นต้นว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีชายคนหนึ่งสวมแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดและหน้ากาก และใช้เครื่องพ่นความร้อนละลายแผ่นพลาสติกใสที่ครอบชั้นวางสินค้าในห้างวอลกรีนส์ ในย่านควีนส์ ของนครนิวยอร์กท่ามกลางสายตาลูกค้าและพนักงานร้าน ก่อนโกยของไปจากชั้น

ผู้อยู่อาศัยในย่านควีนส์ยังร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในร้านขายยาซีวีเอสหลายสาขา ซึ่งตามรายงานของสื่อนั้น บางสาขาขอให้พนักงานอย่าเข้าไปขัดขวางการขโมยของหรือแจ้งตำรวจ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

บางห้างกำลังพิจารณาปิดสาขา เช่น ไจแอนต์ที่กำลังชั่งใจปิดซูเปอร์มาร์เก็ตในนิวยอร์กที่ขโมยชุมและมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น

วอลล์กรีน ได้ปิดสาขา 5 แห่งในซานฟรานซิสโกในปี 2021 จากปัญหาเดียวกัน และวอลมาร์ทปิด 4 สาขาในชิคาโกในปีนี้ โดยให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่า ไม่มีกำไร

นอกจากนั้นผู้ใช้ออนไลน์ยังรายงานเหตุการณ์ ‘flash rob’ ที่แก๊งโจรใช้คนกรูกันเข้าไปในห้างและฉกสินค้าที่คว้าได้ก่อนวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมในร้านนอร์ดสตรอม ที่ลอสแองเจลิส กลุ่มคนสวมหน้ากากราว 30 คนเข้าไปกวาดสินค้าหรูมูลค่า 300,000 ดอลลาร์ และใช้สเปรย์ไล่หมีฉีดใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

เปิด 5 ความเป็นไปได้...ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น!! ชนวนชัด!! 'สหรัฐฯ' รบ 'รัสเซีย' ปีหน้า?

ในยุคนี้ ใครๆ ก็ว่ากันว่าเป็นการสู้รบบนสมรภูมิเศรษฐกิจที่ต้องใช้มันสมองเป็นอาวุธ การจะปาระเบิด ยิงถล่มใส่กันก็คงไม่มีแล้ว แต่ทว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนก็เป็นคำตอบได้อย่างดีกว่า…สงคราม ยังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเกิดความขัดแย้งที่ไม่อาจหาทางออกได้

วันนี้ THE STATES TIMES จะพาไปดู 5 ความเป็นไปได้...ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น!! ชนวนชี้ชัด ‘สหรัฐฯ’ สู้รบ ‘รัสเซีย’ ในปีหน้า…

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ ขยายการลงทุน-สร้างโอกาสเติบโตในสหรัฐฯ  เข้าถือหุ้น 50% ใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ 

(11 ก.ย. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เดินหน้าขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกาต่อเนื่อง ด้วยการเข้าถือหุ้น 50% ใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ (Compass Portfolio) กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วจะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตให้แก่เอ็กโก กรุ๊ป ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะสามารถรับรู้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นได้ทันที

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก คัมแพซ ทู แอลแอลซี (EGCO Compass II, LLC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมดและจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัทในเครือโลตัส อินฟราสตรักเชอร์ พาร์ทเนอร์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 เพื่อเข้าถือหุ้นสัดส่วน 50% ใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ ซึ่งเป็นพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 แห่ง ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วยมาร์คัส ฮุก เอ็นเนอร์ยี่ แอลพี (มาร์คัส ฮุก) เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 912 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่นอกเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ในขณะที่มิลฟอร์ด พาวเวอร์ แอลแอลซี (มิลฟอร์ด) เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 205 เมกะวัตต์ และไดตัน พาวเวอร์ (ไดตัน) เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 187 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ในรัฐแมสซาชูเซตส์

โรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ใกล้กับศูนย์กลางของเมืองใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงมาก ได้แก่ ฟิลาเดลเฟีย บอสตัน และพรอวิเดนซ์ โดยพื้นที่เหล่านี้มีข้อจำกัดอย่างมากในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ และมีนโยบายมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจำเป็นต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เสริมความมั่นคงให้แก่ระบบ ‘พอร์ตโฟลิโอคัมแพซ’ ได้รับประโยชน์จากการที่โรงไฟฟ้ามาร์คัส ฮุก มีสัญญาระยะยาวในการขายกำลังผลิตส่วนใหญ่ให้แก่ลองไอส์แลนด์ พาวเวอร์ ออธอริที (The Long Island Power Authority - LIPA) และขายกำลังผลิตส่วนที่เหลือในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าพีเจเอ็ม (PJM) ในขณะที่โรงไฟฟ้ามิลฟอร์ดและโรงไฟฟ้าไดตันขายกำลังผลิตให้แก่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้านิวอิงแลนด์ (ISO-NE) โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยังขายไฟฟ้าและให้บริการเสริมความมั่นคงในระบบไฟฟ้าให้แก่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในพื้นที่ที่แต่ละโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ คือ PJM และ ISO-NE

“การลงทุนใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ จะสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นให้แก่เอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานของโลกไปสู่พลังงานสะอาดในอนาคต” นายเทพรัตน์ กล่าวสรุป

ทั้งนี้ การซื้อขายหุ้นจะสำเร็จหลังจากดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ในการปิดรายการซื้อขายแล้วเสร็จ

‘ไบเดน’ ปฏิเสธความพยายามโดดเดี่ยว - ควบคุมจีน อ้าง!! แค่ต้องการรักษาเสถียรภาพ - กฎระเบียบสากล

(12 ก.ย. 66) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่าสหรัฐฯ ไม่ได้พยายามโดดเดี่ยวหรือควบคุมจีน ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เรียกร้องกองทัพให้มีความพร้อมอยู่เสมอ และยกระดับขีดความสามารถในการสู้รบ

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จีนกำลังเปลี่ยนกฎเกณฑ์ แต่ไบเดนไม่ได้บอกว่ากฎเกณฑ์ดังกล่าวคืออะไร ในระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ ไบเดนยังกล่าวด้วยว่าเขาได้พบปะนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน ในการประชุมสุดยอดประจำปี G20 ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียก่อนหน้านี้

ไบเดนกล่าวอีกว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มีเจตนาที่จะควบคุมหรือโดดเดี่ยวจีน เพียงแต่สหรัฐฯ ต้องการรักษาเสถียรภาพตามกฎเกณฑ์และระเบียบสากล อีกทั้งไบเดนต้องการเห็นจีนประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจภายใต้กฎระเบียบสากล

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เรียกร้องให้กองทัพอยู่ในความพร้อมระหว่างตรวจเยี่ยมกำลังพลที่ศูนย์ใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ขณะเดียวกันประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้พบตัวแทนของกองทัพ และถ่ายรูปร่วมกัน จากนั้นผู้นำจีนชื่นชมกองทัพและสารวัตรทหาร ซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างกล้าหาญในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในภูมิภาคทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของจีน 
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ชื่นชมทหารที่ทำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนสร้างภาพพจน์ที่ดีให้แก่กองทัพ ขณะเดียวกันประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เรียกร้องให้กองทัพยกระดับการเตรียมความพร้อม รวมถึงการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการสู้รบ พร้อมย้ำถึงการสร้างกองทัพให้แข็งแกร่ง และมีเอกภาพ

อัตราความยากจนในสหรัฐฯ ปี 2022 พุ่ง 12.4% สูงในรอบ 50 ปี สะท้อน!! บางนโยบายของรัฐบาล ส่งผลร้ายต่อชีวิตประชาชน

(15 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (12 ก.ย.) สำนักสำมะโนประชากรสหรัฐฯ รายงานว่าอัตราความยากจนของสหรัฐฯ ในปี 2022 อยู่ที่ร้อยละ 12.4 โดยความยากจนในเด็กเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปี 2021

ผลการประเมินมาตรวัดความยากจน (SPM) ซึ่งวัดว่าประชาชนมีทรัพยากรเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ในปี 2022 เพิ่มขึ้น 4.6 จุดจากปีก่อนหน้า ขณะอัตราความยากจนในเด็กเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 ในปี 2021 เป็นร้อยละ 12.4 ในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สำนักฯ เริ่มติดตามดัชนีในปี 2009

ศูนย์จัดลำดับความสำคัญด้านงบประมาณและนโยบาย คลังสมองฝ่ายซ้ายของสหรัฐฯ ระบุว่าความยากจนที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นชาวอเมริกันใช้ชีวิตอยู่ในความยากจนเพิ่มขึ้น 15.3 ล้านคน 

โดยชารอน แพร์รอตต์ ประธานศูนย์ฯ มองว่าความยากจนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นน่าตกใจ

แพร์รอตต์ระบุว่าอัตราความยากจนที่เพิ่มขึ้นทั้งในประชากรรวมและในเด็ก ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่า 50 ปี ได้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของตัวเลือกนโยบายที่มีผลต่อระดับความยากจนและความลำบากในประเทศ

นอกจากนั้นแพร์รอตต์เสริมว่าการสิ้นสุดโครงการคืนภาษีบุตรภาคต่อขยายของรัฐบาลกลางในปี 2022 เป็นสาเหตุของความยากจนในเด็กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแพร์รอตต์เรียกร้องฝ่ายนิติบัญญัติฟื้นคืนการดำเนินโครงการดังกล่าว

อนึ่ง การประเมินมาตรวัดความยากจน ครอบคลุมรายได้และผลกระทบของความช่วยเหลือที่ไม่ใช่เงินสด อาทิ ความช่วยเหลือด้านอาหาร และความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย

‘โพลสหรัฐ’ เผย 63% ชาวอเมริกันไม่มั่นใจระบบการเมืองประเทศอีกแล้ว พร้อมเห็นพ้อง 2 พรรคใหญ่ ให้ความสำคัญกับการสู้กัน มากกว่าแก้ปัญหา

(21 ก.ย. 66) ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) สถาบันวิจัยของสหรัฐ ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และความเห็นสาธารณชน ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจความเห็นล่าสุดว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 63 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่มั่นใจต่ออนาคตของระบบการเมืองของสหรัฐเลย และมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่า ระบบการเมืองกำลังดำเนินไปอย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ เมื่อให้มีการอธิบายถึงความรู้สึกตัวเอง เกี่ยวกับระบบการเมืองของประเทศก็พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ ใช้คำวิจารณ์เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งคำที่อธิบายที่พบเยอะที่สุดคือคำว่า แตกแยก และทุจริต

นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ประชาชนชาวอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง ของการแบ่งขั้วพรรคการเมือง โดยชาวอเมริกันมากกว่า 86 เปอร์เซ็นต์เห็นพ้องกันว่า พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตให้ความสำคัญกับการต่อสู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าการแก้ปัญหา นี่ถือเป็นส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของสาธารณชนในสหรัฐ และเป็นส่วนแบ่งสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ของการเลือกตั้งสหรัฐ กับการไม่ชอบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค โดยเกือบ 28 เปอร์เซ็นต์ แสดงความเห็นในเชิงลบต่อทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพิวกล่าวว่า การศึกษาวิจัยนี้ อิงจากการสำรวจที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 8,480 คน และยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 5,115 คนด้วย

ผลโพลสหรัฐฯ ชี้ 'ทรัมป์' มีคะแนนนิยมเหนือ 'ไบเดน' 10% ด้านคนอเมริกัน 75% มอง 'ไบเดน' แก่เกินไปที่จะนั่งเก้าอี้สมัย 2

ในผลสำรวจที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.66) พบว่า 52% ของผู้ตอบแบบสอบถาม จะเลือก ทรัมป์ ส่วนที่บอกว่าจะเลือก ไบเดน มีอยู่ราวๆ 42% ส่วนที่เหลือระบุว่ายังไม่ตัดสินใจหรือไม่ก็จะไม่ไปลงคะแนน ทั้งนี้ในผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยวอชิงตันโพสต์/เอบีซีนิวส์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในตอนนั้นพบว่า ไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้า ทรัมป์ เพียง 4 จุด ที่ 48% ต่อ 44%

อย่างไรก็ตามผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์/เอบีซีนิวส์ ค่อนข้างจะสวนทางกับผลโพลอื่นๆ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่เกือบทั้งหมดให้ ทรัมป์ และ ไบเดน มีคะแนนนิยมสูสีกันอย่างมาก ในนั้นรวมถึงผลสำรวจของสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ ที่พบว่า ทรัมป์ กับ ไบเดน มีคะแนนนิยมเท่ากันที่ 46% ส่วนผลโพลของ ฟ็อกซ์ นิวส์ ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบ ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้า ไบเดน 48% ต่อ 46% ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัย Quinnipiac ให้ ไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้า 47% ต่อ 46%

ก่อนเผชิญหน้ากับ ไบเดน เป็นครั้งที่ 2 ทาง ทรัมป์ จำเป็นต้องเอาชนะกลุ่มผู้ท้าทายจากรีพับลิกัน ที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก ซึ่งต่างหวังก้าวมาเป็นตัวแทนพรรคลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี อย่างไรก็ตามผลสำรวจแทบทุกสำนัก พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้าอย่างแข็งแกร่ง และ ไบเดน บอกกับเหล่าผู้บริจาคในวันพุธ (20 ก.ย.) เขาคิดว่าทรัมป์ ถูกกำหนดล่วงหน้าให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันอีกครั้ง

ผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์และเอบีซีนิวส์ พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้า รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา คู่แข่งชิงตัวแทนพรรครีพับลิกัน ที่ใกล้เคียงที่สุดของเขา อยู่เกือบ 40 จุด ที่ 54% ต่อ 15% และไม่พบว่ามีผู้ท้าชิงรีพับลิกันรายอื่นๆ รายใดที่มีคะแนนนิยมถึงเลข 2 หลัก ในผลสำรวจเลย

ทั้ง ไบเดน และ ทรัมป์ ต่างเผชิญอุปสรรคสำคัญในแนวโน้มหวนคืนสู่การท้าชิงเก้าอี้ทำเนียบขาว โดย ทรัมป์ จะเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งในปีหน้า ด้วยการต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหาต่างๆ มากกว่า 90 กระทง ใน 4 คดีแยกกัน ไม่ว่าจะเป็น คดีที่เขาถูกกล่าวหาพยายามล้มผลเลือกตั้งปี 2020 บริหารจัดการเอกสารลับผิดพลาด และจ่ายเงินปิดปากดาราหนังโป๊ สตอร์มมีย์ แดเนียลส์

ทรัมป์ ยืนกรานว่าการฟ้องร้องเอาผิดกับเขานั้น มีแรงจูงใจทางการเมือง และกระทรวงยุติธรรมภายใต้ไบเดน มีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายาม "สลานิตส์" ที่มุ่งหมายเขี่ยเขาพ้นจากศึกชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดี 2024

สำหรับ ไบเดน บรรดาผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งต่างมีความกังวลว่าเขามีสุขภาพแข็งแรงพอสำหรับดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออีกสมัยหรือไม่ โดยในผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุด ไม่พิจารณาแนวโน้มทางการเมือง พบว่ามีถึง 75% ที่มองว่า ไบเดน นั้นแก่เกินไปที่จะนั่งเก้าอี้สมัย 2

‘ไบเดน’ ซุ่มเจรจาค้าอาวุธครั้งใหญ่กับ ‘เวียดนาม’ อาจทำข้อตกลงปีหน้า คาด!! ‘จีน-รัสเซีย’ มีเคือง

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างอิงแหล่งข่าว รายงานเมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.) ว่า รัฐบาลไบเดนกำลังหารือกับรัฐบาลเวียดนามเกี่ยวกับข้อตกลงซื้ออาวุธครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่างอดีตศัตรูในยุคสงครามเย็น ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้จีนและกีดกันซัพพลายอาวุธรัสเซีย

ข้อตกลงดังกล่าวที่อาจมีขึ้นในปีหน้า อาจช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลวอชิงตัน และรัฐบาลฮานอย ด้วยการขายเครื่องบินรบ F-16 ของสหรัฐ เนื่องจากเวียดนามเผชิญความตึงเครียดกับรัฐบาลปักกิ่ง ในข้อพิพาททะเลจีนใต้

แหล่งข่าวรายหนึ่ง เผยว่า ข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และยังมีเงื่อนไขไม่แน่นอน หรือไม่อาจบรรลุสัญญา แต่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการพูดคุยอย่างเป็นทางการระหว่างสหรัฐ-เวียดนาม ในกรุงฮานอย, นิวยอร์ก และกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนก่อน

แหล่งข่าวอีกรายบอกว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังพิจารณาเงื่อนไขโครงสร้างทางการเงินแบบพิเศษของอาวุธราคาแพง เพื่อช่วยฮานอยหลีกเลี่ยงการพึ่งพาอาวุธต้นทุนต่ำของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของทำเนียบขาวและรัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนาม ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ

‘นักเขียนบทฮอลลีวูด’ บรรลุข้อตกลงกับบริษัทภาพยนตร์-สตูดิโอแล้ว หลังหยุดงานประท้วงมากว่า 5 เดือน เหตุได้ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม

(26 ก.ย. 66) ฮอลลีวูด (เอพี/รอยเตอร์ส) หลังจากหยุดงานประท้วงมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ล่าสุด สมาคมคนเขียนบทฮอลลีวูดสามารถบรรลุข้อตกลงกับบริษัทภาพยนตร์และสตูดิโอยักษ์ใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าตอบแทนไม่เป็นธรรมได้แล้ว

สมาชิกสหภาพแรงงานผู้เขียนบทภาพยนตร์และบทละครของสหรัฐฯ หรือ WGA ได้หยุดงานประท้วงมานาน 146 วัน หรือกว่า 5 เดือน ยาวนานที่สุดในรอบหลายสิบปี และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อรัฐแคลิฟอร์เนียและสหรัฐฯ แล้วเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ จนกระทั่งจากการเจรจาล่าสุด สหภาพฯ เพิ่งประกาศว่า ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อปกป้องสมาชิกได้อย่างดี โดยที่กำลังจะตกลงในรายละเอียดต่อไป เพื่อลงนามสัญญาจ้างใหม่ระยะเวลา 3 ปี กับบรรดาบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์และสตูดิโอต่างๆ เพื่อที่จะสามารถเริ่มงานได้อีกครั้ง

นอกจากผู้เขียนบทในสังกัด WGA หยุดงานประท้วงแล้ว ยังมีสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ หรือ SAG พร้อมด้วยสหพันธ์ศิลปินโทรทัศน์และวิทยุแห่งอเมริกา หรือ AFTRA ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนนักแสดงและแรงงานในวงการบันเทิงราว 160,000 คน ก็ได้หยุดงานประท้วงตามมาเช่นกัน ทำให้วงการบันเทิงสหรัฐหยุดงานครั้งใหญ่ในรอบ 63 ปี กระทบการผลิตผลงานทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศ เนื่องจากการสร้างภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และรายการโทรทัศน์ต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ไม่สามารถดำเนินการได้

สถาบันมิลเคนเผยผลวิจัยเมื่อต้นเดือนกันยายนว่า การนัดหยุดงานในวงการฮอลลีวูดขณะนี้ สร้างความเสียหายแล้วกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 180,000 ล้านบาท) เฉพาะการนัดหยุดงานของผู้เขียนบทสร้างความเสียหายแล้ว 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 75,675 ล้านบาท)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top