Saturday, 7 June 2025
สหรัฐอเมริกา

'คุกนรกกวนตานาโม' สิทธิมนุษยชนที่โลกเลือกลืม ฉาก 'ทรมาน-ย่ำยี' ผู้ก่อการร้าย ที่ 'กัน' ยัดเยียดให้

อเมริกาชอบอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนจนน้ำลายฟูมปากอยู่บ่อยๆ แถมยังสร้างภาพให้ชาวโลกเข้าใจว่าประเทศนี้พิทักษ์หลักสิทธิมนุษยชนสุดชีวิต เลยมักเต้นแท็ปไปรอบโลก โบกธงสิทธิมนุษยชนอยู่ไปมา พลางชี้นิ้วกล่าวหาชาวโลก ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศโลกที่ 3 ว่า 'ละเมิดสิทธิมนุษยชน'

จากนั้นก็หาเหตุในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและแซงซั่นด้วยมาตรการต่างๆ นานา โดยยืมมือสหประชาชาติหรือ 'อียู' จัดการ แต่คงลืมไปแล้วว่า ไอ้คุกนรก 'กวนตานาโม' ของตนนั้น แสนเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน?

ย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ.1903 ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวสต์ ทำสัญญาเช่าพื้นที่อ่าวกวนตานาโมจากรัฐบาลคิวบา ช่วงแรกเอาไว้ใช้เป็นท่าเติมเชื้อเพลิงเฉยๆ ต่อมาขยายสัญญาด้วยการระบุว่า “สัญญาเช่านี้จะสิ้นสุดด้วยการยินยอมจากทั้งสองฝ่ายหรือเมื่อลุงแซมละทิ้งอ่าวนี้ไปเอง” นั่นหมายถึงอเมริกายังคงมีกรรมสิทธิ์เหนือกวนตานาโมไปชั่วฟ้าดินสลายตราบที่ต้องการ  

หลังเกิดเหตุ 9/11 ในนิวยอร์ก ที่นี่กลายเป็นคุกขังนักโทษหลายร้อยคนจาก 35 ประเทศที่อเมริกากล่าวหาว่า 'ก่อการร้าย' 

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไม ถึงเอานักโทษก่อการร้าย ซึ่งส่วนมากเป็นมุสลิมมาไว้ที่นี่ เพราะคุกแห่งนี้ไม่ไกลจากอเมริกา นั่งเรือแค่สองชั่วโมงจากเมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดาก็ถึงแล้ว     

แต่ที่สำคัญ คือ กวนตานาโม ไม่ใช่แผ่นดินอเมริกา!!

ดังนั้นอเมริกาจะทำทารุณกรรมอย่างไรก็ได้กับนักโทษ แถมอ้างได้ว่าการดำเนินการใดๆ ภายในคุก ไม่สามารถฟ้องร้องในศาล โดยอ้างอิงจากคำพิพากษาของศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1950 ซึ่งระบุว่า...

"ศัตรูต่างด้าวซึ่งไม่มีถิ่นพำนักในสหรัฐฯ ไม่สามารถจะเรียกร้องให้ศาลของเราพิจารณาคดีให้ในช่วงสงครามได้"

หลังเหตุการณ์ 9/11 ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายชุดแรกจำนวน 20 คนถูกพาข้ามน้ำข้ามทะเลมาขังที่นี่ ทุกคนถูกซ้อม สวมกุญแจมือ และคลุมศีรษะปิดหน้าตาอยู่ในกรงขังแคบๆ เหมือนกรงหมา

การละเมิดสิทธิมนุษยชนของนักโทษเหล่านั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและปิดเงียบ เพราะผู้คุมสามารถทำอะไรกับนักโทษได้ตามใจชอบ เจ้าหน้าที่อเมริกาบนฐานทัพกวนตานาโม่ออกแบบนโยบายจัดการกับนักโทษตามอำเภอใจ การสอบปากคำรวมถึงการทรมานอย่างวิปริตคือเรื่องปกติของที่นี่ พวกผู้คุมสามารถทรมานนักโทษด้วยวิธีโหดร้ายอย่างไรก็ได้

การทรมานอย่างหนึ่งที่นักโทษทุกคนต้องเจอ คือการเทน้ำใส่ใบหน้าของผู้ต้องขังที่เรียกว่า Waterboarding หรือ การทำให้สำลักน้ำ 

นอกจากนี้ยังถูกซ้อมและถูกย่ำยีทางศาสนา มีรายงานข่าวแฉออกมาเรื่อยๆ ว่า นักโทษเหล่านี้ถูกทารุณอย่างโหดร้าย หลายคนทนไม่ไหวจนต้องฆ่าตัวตายไป

ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2006 นักโทษในคุกกวนตานาโม 3 รายเสียชีวิตอยู่ในห้องขัง สภาพศพถูกรัดคอ   แม้ว่ากระทรวงกลาโหมจะชี้แจงว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่หน่วยสืบสวนอาชญากรรมกองทัพเรือพบหลักฐานที่บ่งบอกว่านักโทษไม่ได้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เพราะนักโทษทั้งหมดถูกมัดมือไพล่หลัง หากแต่การเสียชีวิตมาจากการสอบสวนที่รุนแรง รวมถึงการซ้อมอย่างหนักจนขาดอากาศจนสิ้นใจในที่สุด

เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดข่าว 'กัมมันตภาพรังสี' 1.4 ล้านลิตร รั่ว!! ปนเปื้อนในน้ำที่รัฐมินนิโซตา ตั้งแต่เดือน 11 ปี 2022

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ทางการรัฐมินนิโซตา รายงานเหตุน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีกว่า 4 แสนแกลลอน (1.4 ล้านลิตร) รั่วออกจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของบริษัท Xcel Energy ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองมอนติเซลโล ในรัฐมินนิโซตา 

การรั่วไหลเกิดขึ้นภายในท่อส่งน้ำใต้ดินที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 อาคาร หลังผ่านกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์และมีปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีของไฮโดรเจน และ ทริเทียม ซึ่งน้ำกัมมันตรังสีที่รั่วไหลนี้มีปริมาณเท่ากับน้ำในสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิกกว่าครึ่งสระ 

แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว (2565) โดยบริษัท Xcel Energy ได้ทำรายงานส่งไปถึงรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 65 แต่ทว่ารัฐบาลกลางสหรัฐสั่งให้ปิดข่าวก่อนจนกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งชาวอเมริกันก็เพิ่งทราบข่าวการรั่วไหลของน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีนี้เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เองผ่านสื่อของสหรัฐฯ

Xcel Energy มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัฐมินนิโซตาถึง 2 แห่ง ส่วนโรงงานที่มีปัญหา ตั้งอยู่ในเมืองมอนติเซลโลที่มีประชากรมากถึง 15,000 คน และอยู่ห่างจากเมือง มินนีแอโพลิส เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐเพียง 40 ไมล์เท่านั้น แถมโรงงานยังตั้งอยู่บนต้นแม่น้ำมิสซิสสิปปี ที่ไหลผ่านด้านหลังโรงงานอีกด้วย ทำให้ชาวเมืองกังวลถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยิ่งหวาดวิตกที่ทราบว่าทางรัฐบาลกลางตั้งใจที่จะปิดข่าวไม่ให้สาธารณชนรับรู้ 

แต่ทางโรงไฟฟ้า Xcel ได้ให้เหตุผลว่าการที่ปกปิดข่าวการรั่วไหลของน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีของโรงไฟฟ้า Xcel เพราะน้ำที่รั่วไหลไม่ได้มีปริมาณมากจนถึงเกณฑ์ที่ต้องประกาศออกสื่อ 

นอกจากนี้ทางบริษัทยังทำงานร่วมกับ คณะกรรมการกำกับกิจการนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการติดตามข้อมูล จัดเก็บน้ำที่รั่วซึมสู่ชั้นบาดาล แล้วนำมาแปรรูปกลับมาใช้ใหม่แล้ว โดยยืนยันว่าไม่มีรังสีปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต 

แต่เหตุที่ทำให้การรั่วไหลของน้ำกัมมันตรังสีกลายเป็นข่าว เนื่องจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐมินนิโซตา เคยเข้าไปสุ่มตรวจน้ำในบ่อน้ำแห่งหนึ่งของเมือง และพบสารทริเทียมปนเปื้อนอยู่ในบ่อน้ำ ซึ่งตอนนั้นทาง Xcel ยังไม่ได้แถลงข่าวเรื่องการรั่วไหลของน้ำเสียดังกล่าว หลังจากที่ปิดข้อมูลมานานกว่า 4 เดือน 

‘Seattle’ เมืองศูนย์รวมความหลากหลายระดับโลก มัดรวม ‘แหล่งท่องเที่ยว-กิจกรรมน่าสนใจ’ ที่ไม่ควรพลาด

ใครเคยดูหนังรักโรแมนติกเรื่อง ‘Sleepless in Seattle’ ก็จะเห็นบรรยากาศน่าอยู่น่าท่องเที่ยวของเมืองอันมีชื่อเสียงโด่งดังแห่งนี้ นอกจากนี้ ‘ซีแอตเติล’ ยังเป็นฉากประกอบในหนังอีกนับไม่ถ้วน และถ้าพูดถึงเมืองท่องเที่ยวทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว คนไทยมักคุ้นเคยกับเมืองลอสแอนเจลีส ซานฟรานซิสโก พอร์ตแลนด์ และซีแอตเติล ซึ่งแต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะ ราวกับหยิบยื่นความแปลกใหม่ให้แก่ผู้ไปเยือนแบบไม่ซ้ำกัน


‘ซีแอตเติล’ เมืองในรัฐวอชิงตัน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดติดกับชายแดนประเทศแคนาดา หากใครอยากลองไปก็สามารถไปเยือนได้ตลอดปี ซึ่งแต่ละช่วงเวลาและฤดูก็จะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป เช่น ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแม้จะค่อนข้างเปียกเฉอะแฉะเพราะฝนตกลงมามาก แต่ใบไม้ที่เปลี่ยนสีก็สวยงามมากพอที่จะแลกกับความเหน็บหนาวของลมฝน เรียกว่า คุ้มค่าที่มาเยือน

แม้เมืองนี้จะเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า แต่ก็เดินทางสัญจรสะดวกสบาย เพราะมีทางจักรยานเชื่อมต่อทั้งเมือง ดังนั้น การเช่าจักรยานปั่นเล่นจึงเป็นกิจกรรมแสนเพลินและสามารถเก็บจุดท่องเที่ยวได้มากกว่าการเดินหลายเท่าตัว จะเลือกปั่นเลาะไปตามริมทะเล เพื่อไปยังด้านตรงกันข้ามของอ่าว หรือจะปั่นขึ้นลงเนินไปยังสวนสาธารณะต่าง ๆ ก็สามารถได้ อีกทั้งเมืองนี้เป็นเมืองที่คนใช้จักรยานเป็นพาหนะในชีวิตประจำวันหรือเพื่อสันทนาการกันค่อนข้างแพร่หลาย ส่วนหนึ่งเพราะอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี 

หรือถ้าไม่ชอบเดินหรือปั่นจักรยานก็ใช้วิธีโดยสารขนส่งสาธารณะก็ได้ตามสะดวก แถมราคาไม่แพง หรือหากอยากนั่งเฟอรี่ข้ามฟากก็เป็นอีกกิจกรรมที่ทำเพลินเช่นเดียวกัน แต่ขอกระซิบบอกตรงนี้เลยว่าหากใครที่ประสงค์ใช้รถยนต์อาจจะต้องเผื่อใจกับการหาที่จอดรถ เพราะนั่นคือเรื่องยากสำหรับเมืองนี้พอควร หรือไม่ก็อาจจะเจอค่าจอดรถที่แพงหูฉี่ โดยเฉพาะย่านธุรกิจหรือย่านท่องเที่ยวทั้งหลาย

 

เมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูง หรือแทบจะเรียกว่าเป็นไฮไลต์สำคัญเลย นั่นคือตลาดสดไพค์เพลส (Pike Place Market) เพราะมีของกินและของใช้ให้ช็อปอย่างเพลิดเพลิน ร้านรวงและแผงขายของเบียดกันอยู่ในตลาดแห่งนี้ มีสินค้าวางเรียงอยู่หน้าร้านอย่างเป็นระเบียบ เมื่องมองแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกอยากจับจ่ายซื้อขอ 
.
นอกจากนี้ตลาดแห่งนี้นับว่าเป็นตลาดสดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว ซึ่งโซนขายปลาจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะคนนิยมไปมุงดูและถ่ายรูปเพราะพนักงานตะโกนขายของกันอย่างออกรสออกชาติ ทำให้เกิดความสนุกทั้งคนซื้อ คนขาย และคนดู 
 

หากเดินไปอีกหน่อยจะเป็นโรงงานผลิตชีสที่ติดกระจกโดยรอบ โชว์ให้เห็นกรรมวิธีแทบจะทุกขั้นตอน ใกล้ ๆ กันเป็นห้องแถวชั้นเดียวซึ่งก็คือร้านกาแฟยี่ห้อสตาร์บัคส์สาขาแรก เปิดแต่เช้ามืด คนต่อแถวยาวตลอดวันเพื่อเช็กอิน ริมถนนมีนักดนตรีร้องรำทำเพลงเปิดหมวก มีจุดชมวิวเวิ้งอ่าวด้วย ตรอกเล็กบางแห่งมีร้านกาแฟเล็กเก๋แทรกซุกอยู่ แต่ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ร้านรวงบนถนนใหญ่เลย
 

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองนี้คือ หอคอย Space Needle ซึ่งชั้นสูงสุดมีรูปทรงคล้ายจานบินต่างดาว นักท่องเที่ยวสามารถจ่ายเงินซื้อตั๋วแล้วขึ้นลิฟท์ไปได้เลย สามารถเดินได้โดยรอบ ได้วิวมุมสูงแบบ 360 องศา แต่ราคาค่าขึ้นไปชมวิวค่อนข้างแพง แต่หากใครเห็นว่าครั้งหนึ่งในชีวิตขอเก็บไฮไลต์การเที่ยวเมืองให้ครบจะยอมจ่ายเพื่อการนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า คิดเสียว่าเงินทองหาเมื่อไหร่ก็ได้ เวลาพิเศษนี่สิที่ต้องหวงแหน ขึ้นหอคอยเสร็จแล้วก็สามารถเดินเล่นในสวนสาธารณะกว้าง มีลานน้ำพุสวย ดอกไม้หลากชนิด ทางเดินคดเคี้ยวลัดเลาะโดยมีงานศิลปะจัดวางตามจุดต่าง ๆ เดินเล่นเพลิดเพลิน หากใครชอบถ่ายรูปหรือเซลฟี่รับรองถูกใจเป็นแน่

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมีหลากหลายให้เลือกไปเที่ยวชม เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เหมาะกับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่ต้องการสอดแทรกความรู้ด้านต่าง ๆ ให้แก่ตัวเองในขณะท่องเที่ยว เป็นวิธีเสริมประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งเลยล่ะ
 

 

จุดต่อมาที่น่าสนใจก็คือ ชิงช้าสวรรค์หรือ Seattle Great Wheel ลักษณะคล้าย London Eye และในอีกหลายต่อหลายเมืองทั่วโลกนั้นก็เป็นอีกจุดท่องเที่ยวสำคัญ นักท่องเที่ยวนิยมจ่ายเงินขึ้นนั่งชมวิวทิวทัศน์กับเพื่อนฝูง คนรัก หรือครอบครัว ในช่วงค่ำบางวันก็มีการเปิดไฟเป็นระบบแสงสีตระการตาชวนชม 

ไชน่าทาวน์ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่คุ้นชินกับอาหารตะวันตก แค่ได้ไปเดินเล่นแถวนี้ก็หาของกินรสชาติดั้งเดิมแบบเอเชีย กินแล้วถูกปากถูกลิ้น มีทั้งที่เป็นร้านอาหารหรูและร้านข้าวราดแกง อันที่จริง ไม่เฉพาะคนจีนเท่านั้นที่กระจุกกันอยู่ย่านนี้ คนเชื้อชาติอื่น ๆ จากซีกโลกฝั่งตะวันออก อย่างญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนามก็อาศัยอยู่และทำมาค้าขายปะปนกัน ร้านขายของชำและซูเปอร์มาร์เก็ตที่หาวัตถุดิบจำพวกของสดของคาวมีหลายแห่ง 


ถัดมาคือย่าน Capitol Hill อันที่จริงแต่เดิมเคยเป็นย่านพักอาศัย ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านรวง ร้านอาหาร ผับบาร์ บรรดาศิลปินมักมาซุ่มทำงานศิลปะกันที่ย่านนี้ อาคารบางหลังดูภายนอกธรรมดา แต่ภายในเป็นสตูดิโอ แกเลอรี่ และโรงงานขนาดเล็กสำหรับผลิตชิ้นงานทั้งภาพและดนตรี นอกจากนี้ ย่านนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของชาว LGBTQ อีกด้วย


 

หากใครชื่นชอบสินค้าสภาพดีราคาถูกแนะนำให้ไปเที่ยวร้านขายของมือสอง บางแห่งดำเนินกิจการโดยองค์กรการกุศลอย่าง Goodwill ซึ่งมีร้านสาขานับไม่ถ้วนอยู่แทบทุกเมืองในทุกรัฐ แค่ในเมืองนี้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าห้าแห่ง หาสาขาใกล้สุดได้อย่างง่ายดายด้วยการค้นในแผนที่ Google ของที่ขายส่วนใหญ่คือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า และเครื่องใช้ในครัวเรือนสภาพดี แต่ราคาถูกกว่ามือหนึ่งเกินครึ่ง 
 

 

ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเพียงน้ำจิ้มชิมลางและข้อมูลคร่าว ๆ หากใครอยากรู้ว่าซีแอตเติลมีดีอย่างที่ใครต่อใครกล่าวขานกันหรือไม่ ก็คงต้องหาโอกาสไปเที่ยวเอง ไม่แน่ เมืองนี้อาจจะกลายเป็นเมืองสุดประทับใจแห่งหนึ่งก็เป็นได้


สว่าง ทองดี
จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มต้นด้วยอาชีพด้วยการเป็นครู ควบคู่ไปกับการใช้เวลาในช่วงปิดเทอมไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สอนหนังสืออยู่เก้าปีจึงตัดสินใจลาออก และเริ่มเดินทางจริงจัง หลัก ๆ เป็นการไปด้วยจักรยาน รอนแรม ค่ำไหนนอนนั่น
 

มือปืนหญิง บุก รร.ประถมเมืองแนชวิลล์ สหรัฐฯ ก่อเหตุกราดยิง เด็กและ จนท. เสียชีวิตรวม 6 ราย

หญิงวัย 28 ปีพร้อมอาวุธครบมือ บุกสังหารเด็ก 3 รายและเจ้าหน้าที่ 3 รายในโรงเรียนประถมเอกชนของเมืองแนชวิลล์ ก่อนถูกตำรวจวิสามัญ ถือเป็นการก่อเหตุรุนแรงด้วยอาวุธปืนครั้งล่าสุดที่สร้างความตกตะลึงให้กับสหรัฐอเมริกา

(28 มี.ค.66) เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2566 กล่าวว่า เกิดเหตุกราดยิงอุกอาจในโรงเรียนของเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมือปืนหญิงรายหนึ่งนำปืนไรเฟิลจู่โจมอย่างน้อย 2 กระบอกและปืนพก 1 กระบอกเข้าไปในโรงเรียน Christian Covenant School ทางประตูด้านข้าง ก่อนจะเปิดฉากยิงจนมีผู้เสียชีวิตรวม 6 ราย

ดอน อารอน โฆษกตำรวจแนชวิลล์กล่าวในการแถลงข่าวว่า ผู้ก่อเหตุซึ่งตำรวจเชื่อว่าเป็นอดีตนักเรียนของโรงเรียน ทำการกราดยิงหลายนัดโดยไม่เจาะจงเหยื่อ

เจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุภายในเวลา 15 นาทีหลังจากรับสายแจ้งเหตุครั้งแรกในเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) และได้ยิงปะทะกับมือปืน ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะถูกตำรวจยิงเสียชีวิต

ดอน อารอน กล่าวว่า ตำรวจยังไม่พบข้อบ่งชี้เบื้องต้นเกี่ยวกับแรงจูงใจในการกราดยิง แต่เจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวตนเบื้องต้นได้ว่า เด็กนักเรียน 3 รายที่เสียชีวิตมีอายุระหว่าง 8-9 ขวบ และผู้ใหญ่ 3 รายที่เสียชีวิตมีอายุระหว่าง 60-61 ปี เช่นเดียวกับตัวมือปืนเองที่ถูกระบุว่าเป็นหญิงข้ามเพศ

เขายังเสริมด้วยว่า นอกจากตำรวจบาดเจ็บ 1 นายแล้ว ก็ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บอื่นๆจากเหตุครั้งนี้ ส่วนนักเรียนที่เหลือทั้งหมดถูกนำตัวออกจากอาคารได้พร้อมกับอาจารย์และเจ้าหน้าที่โรงเรียนคนอื่นๆ โดยกลุ่มคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์อุกอาจนี้จะได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อตรวจสอบอาการให้แน่ใจ

The Covenant School เป็นสถาบันเพรสไบทีเรียนเอกชนที่มีนักเรียนมากกว่า 200 คนในระดับอนุบาลจนถึงอายุประมาณ 12 ปี และผู้ใหญ่ 3 รายที่ถูกยิงเสียชีวิตนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงเรียนซึ่งมีจำนวนทั้งหมดราว 40-50 คน

เมื่อครูยึดขนบปฏิบัติจนขาดความยืดหยุ่นและเมตตา  ส่วนพ่อแม่ก็ยัดเยียดความเกลียดชังให้ลูกตั้งแต่เด็ก

ไม่ร้องเพลงชาติ อาจเจอครูแจ้งจับ

เมื่อไม่นานมานี้ มีคดีน่าสนใจคดีหนึ่ง นั่นคือครูอเมริกันแจ้งตำรวจให้มาจับนักเรียนของตัวเอง ด้วยข้อหาประหลาดว่า “นักเรียนรายนี้ไม่ยอมร้องเพลงชาติ”

ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือเด็กนักเรียนที่เปรี้ยวใส่กฎระเบียบโรงเรียนอายุแค่ 11 ขวบเท่านั้น และเป็นเด็กผิวดำแอฟริกัน-อเมริกัน 

ครูสาวในโรงเรียนลอว์ตัน ไชลส์ มิดเดิล อคาเดมี รัฐฟลอริดา โทรเรียกตำรวจมาจับเด็กนักเรียนชายวัย 11 ขวบ เพราะนักเรียนคนนี้ไม่ยอมยืนตรงเคารพธงชาติ โดยให้เหตุผลว่าการเคารพธงชาติเป็นการเหยียดผิว และเพลงชาติมีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นแอฟริกันอเมริกัน

กรณีนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในโซเชียลมีเดีย ว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไร? และจบลงอย่างไร?

ตามเนื้อข่าว เมื่อครูอเมริกันถามนักเรียนว่า...

“ทำไมจึงไม่ไปอยู่ที่อื่น หากว่าที่นี่เลวร้ายเกินทน”

คำถามแบบนี้ฟังดูคุ้นๆ หูอีกแล้ว แต่เด็กสวนกลับไปทันควันว่า...

“พวกเขา (หมายถึงคนผิวขาว) นำผมมาที่นี่”

เดี๋ยวนะ...หนู สงสัยพ่อแม่เปิดหนังเรื่อง ‘รูทส์’ ให้ดูตั้งแต่เกิดเลยล่ะมั้ง คือตอบเอาจริงเอาจังไปมั้ยน่ะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที

เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ความเห็นของฝรั่งอั้งม้อออกไปในแนวว่า พ่อแม่เด็กเสี้ยมให้ลูกเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่างในอเมริกา 

หลายคนมองว่าครูทำเกินกว่าเหตุ เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องโทรเรียกตำรวจมาจับเด็กที่อายุแค่ 11 ขวบเลย แต่ควรใช้หลักความเมตตาอบรมสั่งสอนดีๆ ซึ่งครูสาวส่ายหน้าท่าเดียว เพราะนอกจากพูดจาท้าทายแล้ว เด็กชายคนนี้ยังมีอาการต่อต้านทุกคนอย่างชัดเจน เช่น ขู่ทำร้ายครูและไม่ยอมออกจากห้องเรียน

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เด็กผิวสีรายนี้ก็ถูกส่งไปสถานสงเคราะห์สำหรับเยาวชน หรือเทียบง่ายๆ คือบ้านเมตตาบ้านกรุณาของเราอะไรทำนองนั้นนั่นแหละ

โฆษกของเขตการศึกษาโพล์ค เคาน์ตี พับลิก สกูลส์ แถลงการณ์ว่าเด็กชายถูกจับ เพราะทำให้ระบบของโรงเรียนยุ่งเหยิง และปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งโรงเรียน ไม่ได้ถูกจับเพราะไม่ยอมทำความเคารพธงชาติ 

หากจะถามว่าการที่เด็กไม่เคารพธงชาติมีความผิดไหม ถ้ายึดตามตัวบทกฎหมายอเมริกัน คงต้องตอบว่าไม่ผิด ตามกฎหมายพลเมืองสหรัฐฯ ว่าด้วยบทข้อแก้ไขที่ 1 ที่เรียกว่า The First Amendment ห้ามโรงเรียนบังคับให้เด็กนักเรียนต้องกล่าวปฏิญาณต่อธงชาติสหรัฐฯ หรือเคารพธงชาติ  

แต่ในความเป็นจริง เคยเกิดคดีอื้อฉาวที่ครูโรงเรียนมัธยมคนหนึ่งใช้ด้ามธงชี้กระดานดำประกอบการสอน ผลคือ ครูคนนั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันที

เด็กผิวสีอ้างว่าไม่อยากร้องเพลงชาติและเคารพธงชาติ เพราะเป็นเรื่องการเหยียดผิว ซึ่งก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เนื้อหาเพลงชาติอเมริกาที่เรียกว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’ หรือแปลง่ายๆ ว่า ‘ธงดาราประดับ’ มีที่มาจากบทกวี Defence of Fort M'Henry หรือการพิทักษ์ป้อมแมคเฮนรี่ แต่งโดยฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ ผู้เป็นทั้งทนายและกวี  

แรงบันดาลใจนั้นมาจากธงชาติอเมริกา สะพัดเหนือป้อมเมื่อฝ่ายอเมริกันได้ชัยชนะ ในยุทธการบัลติมอร์ ปี ค.ศ. 1812 ต่อมานำมาทำเป็นเพลงชาติและใช้ชื่อว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’

สานฝันก่อนสิ้นลม ‘Annie Wilkins’ หญิงผู้ทรหดแห่งยุค 50s เดินทางข้ามประเทศแรมปี ขณะป่วยโรคร้ายระยะสุดท้าย

สวัสดีนักอ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าให้อ่านอีกเช่นเคยครับ บทความในครั้งนี้จะพาทุกท่านย้อนกลับไปในช่วงยุค 50s นะครับ ต้องบอกก่อนว่าในยุคนั้นไม่ได้มีเทคโนโลยีล้ำ ๆ เหมือนกับสมัยนี้ ถนนหนทางไม่ได้มีมากมาย รถยนต์ที่ใช้สำหรับเดินทางก็ไม่ได้แพร่หลายเท่าทุกวันนี้ และดูจะเป็นของแพงที่จับต้องได้ยากเสียด้วยครับ

ทำไมวันนี้ผมถึงเกริ่นถึงเรื่องการเดินทาง...เพราะวันนี้ผมจะเล่าเรื่องการเดินทางของหญิงคนหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่ในยุค 50s กอปรกับเธอป่วยเป็นโรคร้าย ซ้ำยังไม่มีเงินทองมากพอที่จะนำมารักษาตัวเอง แต่สิ่งที่เธอตัดสินทำกลับเป็นสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด เธอตัดสินใจออกเดินทางข้ามประเทศด้วยการขี่ม้าไปพร้อมกับสุนัขคู่ใจ 

บอกเลยว่า...การเดินทางครั้งนี้เป็นความฝันของเธอครับ

เกริ่นมามากขนาดนี้แล้ว เราไปทำความรู้จักผู้หญิงคนนี้กันดีกว่าครับ เธอมีชื่อว่า Annie Wilkins เดิมทีเป็นเกษตรกรจากมลรัฐ Maine เธอป่วยเป็นโรคร้ายที่ยากจะรักษา และเธอก็ไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว Annie Wilkins นิยามตัวเองว่า เธอเป็นคนค่อนข้างนอกรีด ทำอะไรที่ผิดแปลกไปจากผู้หญิงในยุคเดียวกัน เช่น เธอสวมกางเกงเป็นประจำ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมสวมกางเกง เธอเขียนคิ้ว เธอขี่ม้าไปทำงานที่โรงงานรองเท้าในเมืองลูอิสตัน ทุกอย่างที่เธอทำเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ในทางกลับกัน ผู้คนก็มองไปที่เธออย่างระแวดระวังด้วย

ในปี ค.ศ.1954 ขณะนั้น Annie Wilkins มีอายุ 63 ปี เธอได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเธอป่วยเป็นโรคร้ายในระยะสุดท้าย และแพทย์ก็ระบุว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ความกลัวและความหดหู่ถาโถมเข้าหาเธอแบบไม่ยั้ง เธอไม่มีเงิน และลุงที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเธอก็เพิ่งเสียชีวิตไป หนำซ้ำเธอยังต้องสูญเสียฟาร์มของเธออีกด้วย

Annie Wilkins ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเธอ และก็คิดไปถึงแม่ของเธอที่เคยบอกไว้ว่า อยากจะไปเที่ยวที่มลรัฐแคลิฟอร์เนียนมาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทำ เนื่องจากความยุ่งเหยิงในชีวิตตลอดที่ผ่านมา 

Annie Wilkins ตัดสินใจจะใช้เวลาอีก 2 ปีที่เหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต้องการเดินทางข้ามประเทศเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต อีกทั้งเธอต้องการเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกก่อนที่เธอจะตาย (มลรัฐ Maine อยู่ทางตอนเหนือของสหรัฐฯ ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก) เธอจึงไม่สนใจคำแนะนำของคุณหมอที่จะให้เธอย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านสงเคราะห์ของเทศมณฑลเพื่อใช้ชีวิตในวาระสุดท้าย

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว Annie Wilkins จึงซื้อม้ารูปร่างดีสีน้ำตาลมาไว้สำหรับเป็นยานพานะ โดยเธอตั้งชื่อให้มันว่า ‘Tarzan’ นอกจากนี้เธอยังต้องจำนองบ้านหลังเล็กของเธอเพื่อเปลี่ยนมาเป็นเงินไว้ใช้สำหรับการเดินทางอีกด้วย

Annie Wilkins เริ่มต้นเดินทางในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1954 โดยเธอสวมชุดเอี๊ยมของผู้ชาย และเดินมุ่งหน้าไปทางใต้พร้อมกับ ม้า 2 ตัว ได้แก่ Tarzan และ Rex และสุนัขชื่อ Depeche Toi (แปลว่า ‘เร็วเข้า’ ในภาษาฝรั่งเศส) โดยหวังเพียงว่าจะผ่านทุ่งหิมะก่อนฤดูหนาวไปให้ได้

กลับตัวทัน!! ทิ้งชีวิตเสเพล มุ่งหน้าไขว่คว้าหาความรู้ แนะคนจะเรียนต่อสหรัฐฯ เตรียมตัวดีมีชัยกว่าครึ่ง

เหตุการณ์ระทึกใจกับเจมส์และไมเคิลเหมือนเป็นลางเตือนให้เราเปลี่ยนการใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ เราจึงตั้งปณิธานไว้ว่าเราจะเที่ยวแค่อาทิตย์ละวันแทนอาทิตย์ละหกวันเพื่อที่จะมุ่งหน้าสมัครเรียนปริญญาโท ก่อนที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนที่อเมริกาเราเรียนวิชาเอกภาษาสเปนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

สมัยนั้นเด็กนักเรียนสายศิลป์ภาษามักจะนิยมเลือกเรียนคณะอักษรฯ เพราะเป็นคณะที่คะแนนสูงที่สุด เราสมัครตามเพื่อนๆโรงเรียนเตรียมอุดมฯทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าคณะนี้มีเรียนอะไรบ้าง เรารู้แต่ว่ามีเรียนภาษาต่างชาติที่เราถนัดทั้ง ๆ ที่ใจของเราอยากจะเรียนโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์มากกว่า เราเลยเลือกวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ไว้เป็นอันดับสอง นึกในใจว่าอย่างไรซะเราคงไม่ติดอันดับหนึ่งแน่ ๆ เพราะอาจารย์แนะแนวฟันธงว่าเราไม่น่าจะติดคณะอักษรฯ เพราะผลการเรียนของเราไม่สูงพอที่จะเป็นไปได้ คงเป็นเพราะแกงจืดต้มหัวปลาที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ทานตอนสอบเอนทรานซ์ หรือแรงตั้งใจฮึดสู้ที่อยากจะเอาชนะการคาดการณ์ของอาจารย์แนะแนว เราดันติดคณะอักษรฯ ตอนแรกๆคุณพ่อเราไม่เห็นด้วยที่เราจะเรียนภาษาต่อเพราะท่านไม่เห็นประโยชน์ที่จะมาสานต่อทางธุรกิจของท่านในอนาคต ท่านเลยคะยั้นคะยอให้เราไปลองเรียนที่ ABAC ก่อนเผื่อจะชอบ ใจจริงเราไม่เคยชอบธุรกิจ แต่ขัดท่านไม่ได้จึงเรียนฆ่าเวลาไปพลางๆก่อนที่จุฬาฯ จะเปิดเทอม 

เมื่อถึงเวลาเราก็บอกท่านว่าเราอยากเรียนภาษาต่างประเทศอีกสักสี่ปีแล้วค่อยไปต่อปริญญาโทที่เกี่ยวกับด้านธุรกิจ เนื่องจากเราเรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเตรียมฯมาเป็นเวลาสามปีแล้วเราเลยรู้สึกเบื่อกับมัน เราตั้งใจจะเรียนภาษาตะวันตกใหม่ๆ ตอนปีหนึ่งเราลงเรียนภาษาอิตาเลียน แต่เราใจแตกที่มีอิสระเป็นครั้งแรกที่ขับรถเองไม่ต้องมีคนขับรถของทางบ้านมารับมาส่งตามเวลา เราจึงมักจะโดดเรียนไปเดินตามห้างมาบุญครองหรือสยามเซนเตอร์ จนอาจารย์ทั้งหลายรวมทั้งอาจารย์ที่สอนภาษาอิตาเลียนไม่เคยเห็นหน้า ถึงเราสอบผ่านทุกครั้ง แต่คะแนนจิตพิสัยนั้นแทบไม่มีเลย ผลออกมาโดนแมวข่วนได้ซีตามระเบียบ 

พอถึงปีสองต้องเลือกวิชาเอก บังเอิญฟังเพลง “La Isla Bonita” ของมาดอนนาอยู่ในรถ ฟังท่อนที่นางพูดภาษาแปลกหูแต่โรแมนติกเลยถามรุ่นพี่ที่คณะจนได้คำตอบว่าที่นางพูดนั้นเป็นภาษาสเปน เราก็เลยตัดสินใจเลือกเรียน อย่างไรเราก็ละนิสัยขี้เกียจไม่ได้ เรียน ๆ โดด ๆ จนอาจารย์ที่ปรึกษาต้องเรียกไปตักเตือนว่าให้ตั้งใจเรียน มิฉะนั้นจะเรียนไม่จบ ด้วยความกลัวทางบ้านจะเสียใจ เลยขยันขึ้นมาในปีสามและปีสี่จนได้เกรดสูงขึ้นและจบปริญญาตรีภายในสี่ปี ตอนใกล้จบเราบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าเราจะไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา พอท่านได้ยินก็พากันค้านว่าปริญญาโทก็พอสำหรับการทำธุรกิจ แต่เรายังคงยืนกรานว่าเราอยากเรียนถึงปริญญาเอก ด้วยความรักลูกท่านทั้งสองเลยอนุญาตให้เราเรียน ตอนที่จะมาอเมริกาเรายังไม่ตัดสินใจว่าจะเรียนสายไหน แต่แล้วเหมือนหลอดไฟติดขึ้นในหัวสมองว่าเราเคยอยากเรียนโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ก่อนเข้าจุฬาฯ เราควรจะมาเรียนต่อสาขานั้นแต่มาคิดอีกทีเราไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนั้นเลย ทางมหาวิทยาลัยที่อเมริกาคงไม่รับเราเข้าเรียนแน่ ๆ เมื่อเราคิดได้เช่นนั้นเราก็เลยปรึกษากับพี่สาวดู โชคดีที่พี่เขามีเพื่อนที่ทำบริษัทประชาสัมพันธ์เขาเลยฝากฝังให้เราฝึกงานที่บริษัทนั้นก่อนที่จะเดินทางมาเรียนต่อ 

ขณะที่เราฝึกงานเป็นช่วงที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมจากยุโรปเริ่มที่จะมาเปิดสาขาในประเทศไทยและทางบริษัทที่เราฝึกงานได้รับเลือกเป็นผู้ประสานงานและทำประชาสัมพันธ์ของเหล่าแบรนด์ต่างๆ เราเลยมีโอกาสเข้าร่วมจัดแฟชั่นและจัดหาสื่อโฆษณาจนมีผลงานสะสมไว้เพื่อเป็นหลักฐานสมัครเข้าหลักสูตรปริญญาโท 
 
อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในบทความแรกๆว่าเราสอบวัดระดับได้เรียนภาษาอังกฤษในระดับเกือบสูงสุด ช่วงนั้นทางโรงเรียนสอนภาษาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Boston University สนับสนุนให้นักเรียนที่มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับสูงให้ไปลองสมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้หนึ่งวิชาในตอนบ่าย แต่มีเงื่อนไขที่ว่าวิชาที่เลือกเรียนในช่วงที่เรียนภาษานั้นจะไม่นับหน่วยกิต เราเลยเลือกเรียนถ่ายภาพเพราะเป็นวิชาที่เราอยากเรียนอยู่แล้ว ตอนที่เราไปเรียนถ่ายภาพเราได้รู้จักกับนักเรียนคนไทยชื่อแพร์ซึ่งกำลังเรียนโฆษณาที่ College of Communication ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น 

แพร์ได้แนะนำให้เราไปคุยกับฝ่ายรับนักเรียนปริญญาโทโดยตรง เพื่อที่เขาจะได้ทำความรู้จักกับเราและรู้ถึงความจำนงที่เราจะสมัครเข้าหลักสูตรปริญญาโทของคณะเขา แพร์บอกว่าการเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวจะเอื้อให้เขาตัดสินใจรับเราได้มากกว่าถ้าเราแค่สมัครผ่านไปรษณีย์ เราเห็นด้วยกับคำแนะนำของแพร์ เราจึงนัดคุยกับหัวหน้าแผนกรับนักเรียนปริญญาโท เมื่อเขาเห็นว่าเราใช้พูดอังกฤษรู้เรื่อง เขาก็ให้เราสมัครอย่างเป็นทางการพร้อมกับลงเรียนวิชาระดับปริญญาโทสองตัวเพื่อแสดงความสามารถควบไปกับการเรียนภาษาเพื่อรักษาสถานภาพนักเรียนเต็มเวลาตามที่ทางกฎหมายสหรัฐฯได้บัญญัติไว้สำหรับนักเรียนต่างชาติ ถ้าหากว่าเราได้เกรดของสองวิชานั้นไม่ต่ำกว่าบี โอกาสที่เขาจะรับเราเข้าโปรแกรมก็จะสูงขึ้น 

‘หนุ่มแบงก์มะกัน’ ควงปืนไล่ยิงเพื่อนร่วมงาน พร้อมไลฟ์สดขณะก่อเหตุ โชว์ว่อนโลกออนไลน์

พนักงานธนาคารวัย 23 ปีรายหนึ่ง ก่อเหตุใช้อาวุธปืนไรเฟิลยิงเพื่อนร่วมงานเสียชีวิต 4 ราย และมีคนอื่นได้รับบาดเจ็บ 9 คน ภายในที่ทำงานของเขาในวันจันทร์ (10 เม.ย.) ในเหตุโจมตีที่คนร้ายทำการไลฟ์สดระหว่างลงมือ ณ สาขาหนึ่งของธนาคารโอลด์ เนชันแนล แบงก์ ในย่านกลางเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี สหรัฐฯ
.
กรมตำรวจนครบาลลุยส์วิลล์ เผยว่า คนร้ายถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเขาถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรมหรือลงมือปลิดชีพตนเอง
.
ตำรวจระบุตัวตนคนร้าย ได้แก่ นายคอนเนอร์ สเตอร์เจียน ซึ่งเพิ่งเข้าทำงานในฐานะพนักงานประจำของธนาคารโอลด์ เนชันแนล แบงก์สาขานี้เมื่อปีที่แล้ว
.
ในเหตุการณ์ล่าสุดของเหตุกราดยิงหมู่ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในสหรัฐฯ ตำรวจเผยว่าพวกเขาตอบสนองภายในเวลาแค่ 10 นาที หลังได้รับแจ้งว่ามีเหตุโจมตีที่อาคารธนาคาร ใกล้สนามเบสบอล สลักเกอร์ ฟิลด์ ตอนเวลาประมาณ 8.30 น.
.
เจ้าหน้าที่ยิงใส่คนร้ายซึ่งมีอาวุธปืนไรเฟิล จากการเปิดเผยของแจคลีน กวินน์-วิลลาโรเอล ผู้บัญชาการตรวจบอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมเผยว่าคนร้ายได้ทำการไลฟ์สดการโจมตีผ่านทางอินเทอร์เน็ตด้วย
.
ตำรวจเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย โจชัย บาร์ริค วัย 40 ปี โธมัส เอลเลียต วัย 63 ปี จูเลียนา ฟาร์เมอร์ วัย 45 ปี และเจมส์ ทัตต์ วัย 64 ปี
.
แอนดี เบเชียร์ ผู้ว่าการรัฐเคนทักกี กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือระหว่างแถลงสรุป ว่าเขารู้จักเหยื่อบางคน ในนั้นรวมถึงเอลเลียต ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองประธานอาวุโสของสาขาธนาคารดังกล่าว "เขาสอนผมให้รู้ถึงวิธีช่วยยกระดับวิชาชีพกฎหมายของตนเอง เขาช่วยให้ผมก้าวมาเป็นผู้ว่าการรัฐ เขามอบคำแนะนำต่างๆ กับผม เหมือนกับเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่ง" เบเชียร์กล่าว "เขาเป็นหนึ่งคนที่ผมพูดคุยด้วยมากที่สุดในโลก"

เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 คน ในนั้นรวมถึงตำรวจวัย 26 ปีที่เพิ่งจบการศึกษาสถาบันตำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเขาถูกยิงเข้าที่ศีรษะและอาการยังวิกฤตหลังเข้ารับการผ่าตัดสมองในวันจันทร์ (10 เม.ย.) นอกจากนี้ ยังมีเหยื่ออีก 2 คนที่อาการสาหัสเช่นกัน ทั้งนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดถูกส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยลุยส์วิลล์

สถานะตำแหน่งการงานในธนาคารของมือปืนยังคงไม่ชัดเจนในวันจันทร์ (10 เม.ย.) ในขณะที่ กวินน์-วิลลาโรเอล เผยระหว่างแถลงข่าวว่าเขายังเป็นลูกจ้างของที่นั่น แต่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม เผยว่าคนร้ายได้รับแจ้งว่าเขาจะถูกไล่ออก

มนุษยธรรมจอมปลอม ‘จุดด่างดำ’ ใต้กระโปรงเทพีเสรีภาพ ในวันที่ลุงแซมชอบอ้างภาพว่า ‘ตนเป็นผู้โอบอ้อมอารี’

อเมริกาชอบอ้างเรื่องสิทธิและเสรีภาพมาตลอด รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มักเอาวาทกรรมเหล่านี้มากล่าวหาชาติอื่นอยู่เสมอ จนชาวโลกเอือมระอา เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ลุงแซมนี่แหละที่ชอบชี้นิ้วใส่หน้าคนนั้นคนนี้แล้วป่าวประกาศว่า “พวกแกช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง” 

ดูพระเอกอันดับหนึ่งอย่างไอสิ ทั้งหล่อทั้งโอบเอื้ออารี แถมมีเทพีเสรีภาพเป็นพยานหลักฐานว่าประเทศไอนั้นต้อนรับผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนา ว่าแล้วยักคิ้วติดกันสองทีซ้อน ยิ้มฟันขาวกระจ่างไปทั้งปาก หลิ่วตานิดหนึ่งตามแบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ด

ที่ฐานอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนิวยอร์ก มีบทกวี 14 บรรทัดที่เรียกว่า ‘ซอนเนต์’ ของเอมม่า ลาซารัส บทกวีนั้นชื่อ The New Colossus มีเนื้อความเชิงกล่าวต้อนรับผู้อพยพทุกคนในโลกนี้มาสู่อเมริกา ดิฉันแปลท่อนสุดท้ายอันมีใจความสำคัญว่า...

“ได้โปรดส่งผู้อ่อนล้าและทุกข์เข็ญ
ผองชนที่ใคร่ดอมดมกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ
ผู้ถูกหยามว่าเป็นเพียงเดนมนุษย์จากดินแดนของท่าน
หรือภิกขาจารไร้เรือนพักอาศัย
โปรดนำผู้คนเหล่านี้มาสู่อ้อมอกข้าเถิด
ข้าชูคบเพลิงรอรับพวกท่าน ณ เบื้องสุวรรณบาลแห่งนี้”

ลุงแซมชอบด่าคนอื่นว่าไร้มนุษยธรรม ไม่เคยส่องกระจกดูตัวเองว่ากระทำต่อคนอื่นไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าชาติไหนๆ อย่างไทยเราแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรฮิงญา แต่ก็อ้าแขนรับคนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยความเมตตาเยี่ยงชาวพุทธ แม้ว่าโรฮิงญาเหล่านี้จะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ภายหลังก็ตาม หรือแม้แต่คราวที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว, เขมร หรือพม่าเดือดร้อนเพราะสงครามภายใน เราโอบอุ้มไว้ด้วยความการุณมาทุกยุคสมัย ดูอย่างชาวมอญเถอะ เข้ามาพึ่งพระบรมธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวจนกลายเป็นคนไทยอย่างเต็มตัว ไม่ว่าชาติใดภาษาไหน หากเดือดร้อนมา เราก็ยื่นขันน้ำให้ดื่มดับกระหายทั้งสิ้น

หันมาดูกรณีอเมริกา ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือ คนแถบอเมริกากลางมักได้รับข้อมูลอย่างผิดๆ มาตลอดว่า เมื่อมาถึงอเมริกาแล้ว จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และสามารถอาศัยอยู่ในอเมริกาได้ในฐานะ 'ผู้ลี้ภัย' แต่ความจริงคือเมื่อกลุ่มผู้อพยพเดินทางมาถึงพรมแดนเม็กซิโก-อเมริกา จะถูกเจ้าหน้าที่อเมริกาผลักดันให้กลับประเทศ แถมยังมีฝูงไฮยีน่าหรือพวกเครือข่ายค้ามนุษย์หลอกเอาเงินทองหรือข่มขืนอีกด้วย

ยุคทรัมป์ ทรัมป์นั้นกีดกันผู้อพยพจากประเทศโลกที่สามชัดเจน ทรัมป์เคยหลุดปากเรียกผู้อพยพจากประเทศอเมริกากลางและแอฟริกาว่าเป็น 'ประเทศรูขี้' หรือประเทศโสโครกมาแล้ว อย่าว่าแต่ทรัมป์เลย จะว่าไปทุกรัฐบาลนั่นแหละที่ปากว่าตาขยิบอยู่ตลอด ปากยิ้มร่าแสดงว่าข้าคือพระเอกอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับยกตีนเขี่ยพวกเม็กซิกันและอเมริกากลางที่ยากจนไปพ้นๆ บ้านตัวเอง  

นอกจากทรัมป์จะสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกแล้ว โอบาม่าก็ทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือสั่งประจำการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 1,200 นาย เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนและการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

ความปากว่าตาหยิบนั้นเห็นได้มาตลอดในประวัติศาสตร์อเมริกา ย้อนหลังไปหลายสิบปี จะเห็นว่าลุงแซมกีดกันผู้อพยพและคนผิวสีในชาติตนเอง ไม่ให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกับคนผิวขาวอยู่ตลอดเวลา เช่น ค.ศ.1790 มีการออกกฎหมายให้สัญชาติ (Naturaliztion Act) มุ่งกีดกันไม่ให้คนผิวดำได้เป็นพลเมืองอเมริกัน 

ก่อนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีประธานาธิบดีที่ชูนโยบาย 'อเมริกาต้องมาก่อน' มาแล้ว นั่นคือ วาร์เรนจี. ฮาร์ดิง ประธานาธิบดีคนที่ 29 (ค.ศ.1921-1923) ออกนโยบายกีดกันต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้าที่วาร์เรน จี.ร์ดิง จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาวยิวและพวกยุโรปตะวันออกหลั่งไหลมาสู่อเมริกาถึง 22 ล้านคน ชาวยุโรปที่ลงเรือเดินทางมาอเมริกา จะเข้ามาทางนิวยอร์กในช่วงเวลานั้น สิ่งแรกที่มองเห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาคือ เทพีเสรีภาพ

จับตา 'ไช่อิงเหวิน' สตรีผู้อาจพา 'ไต้หวัน' เป็นยูเครน 2 หลังตามซบลุงแซมเป็นซีรีส์ เย้ย 'สีจิ้นผิง' จนกัดกราม

ดูทรงแล้วประธานาธิบดีหญิงแห่งไต้หวัน ไม่หวั่นอาเฮียแผ่นดินใหญ่ เพราะหันไปซบอกเหี่ยวๆ ของลุงแซมเต็มที่ 

นางเคยให้สัมภาษณ์สื่ออเมริกันว่า ถึงจีนแผ่นดินใหญ่จะย้ำแล้วย้ำอีก ว่าจะรวมชาติไต้หวันด้วยสันติวิธี แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าอาเฮียจะเปรี้ยวตีนขึ้นมาถึงขั้นหักหาญด้วยกำลัง ไต้หวันเลยพุ่งไปขอความช่วยเหลือจากอเมริกา แถมบอกต่อด้วยว่าไต้หวันจะไม่รีรอที่จะมองหาความช่วยเหลือจากตะวันตก แบบเดียวกับเคียฟ หากว่ามีขัดแย้งปะทุขึ้น 

คือ...น่าจะอยากเป็นยูเครน 2 ว่าซั่น!!

ตอนนั้นอังเคิลแซมฟังแล้วรีบเบ่งกล้ามอวดโลก พลางยืดอกเหี่ยวๆ โชว์ซิกแพ็กที่ไม่ค่อยมี เพราะฉุบวมทั้งน้ำอัดลมและเบียร์ เด้งรับคำอวยของไต้หวันทันที พลางป้อนยาหอมเพียบ แถมเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งกองทัพสหรัฐฯ รับปากสนับสนุนด้านการทหารแก่ไต้หวัน

พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ ย้ำว่าอเมริกามีพันธสัญญาผ่านกฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน แถมประธานาธิบดีไบเดนเคยบอกหลายวาระเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า อเมริกาจะเดินหน้าให้การสนับสนุนด้านการทหารและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ไต้หวัน

ความขุ่นเคืองของสองจีนประทุขึ้นจนถึงจุดเดือด เมื่อป้าแนนซี่ เพโลซี่ปากแจ๋วไปไต้หวัน อาเฮียสีที่นั่งเจี๊ยะเต้อยู่บนเหล่าเต๊งถึงกับสั่งเลี๊ยะพะ ด้วยการซ้อมรบด้วยอาวุธจริงรอบเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ป้าแนนซี่เห็นท่าไม่ดี กลัวออกจากเกาะไม่ได้เลยเผ่นไปก่อน ไม่ได้อยู่นาน แต่เหมือนกวนติงกันเห็นๆ คณะตัวแทนจากอเมริกาคณะนั้นคณะนี้แห่แหนไปไต้หวันรัวๆ เล่นเอาเฮียสีขบกรามกรอดๆ 

เท่านั้นยังไม่พอ 'ไช่ อิงเหวิน' เดินสายไปเยือนประเทศแถบละตินอเมริกา นางไม่แคร์ใดๆ ทั้งที่จีนแผ่นดินใหญ่ทั้งปลอบทั้งขู่ แต่หนูก็จะไป โดยมีเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อ้าแขนรอรับอยู่ในแคลิฟอร์เนีย   

พญามังกรหนวดกระดิก ขู่ฟ่อทันทีว่า ลื้อทำตัวแบบนี้ เดี๋ยวเจอจัดหนักจากอั๊วแน่นอน ฆ่าได้หยามไม่ได้ ทำนองนั้น แล้วเฮียสีสั่งซ้อมรบรัวๆ ล้อมเกาะไต้หวันอีกรอบ ซึ่งอเมริกาก็แล่นเรือไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่แถวไต้หวันทันทีที่จีนแผ่นดินใหญ่ซ้อมเสร็จ 

กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวันปี 1979 กำหนดให้สหรัฐฯ รับประกันกับเกาะปกครองตนเองแห่งนี้ในด้านทรัพยากรต่างๆ สำหรับปกป้องตนเอง และปกป้องการเปลี่ยนแปลงสถานะแต่เพียงฝ่ายเดียวของปักกิ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กำหนดให้สหรัฐฯ มอบการปกป้องด้านการทหารแก่เกาะแห่งนี้

ระหว่างการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนตุลาคม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่าปักกิ่งจะทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ แต่สงวนสิทธิใช้กำลังแก้ไขปัญหาถ้ามีความจำเป็น...แปลแบบชาวบ้านว่า ทางจีนแผ่นดินใหญ่จะไม่หักหาญน้ำใจ คือจะไม่ปล้ำด้วยกำลัง จะค่อยๆ โอ้โลมจนกว่าไต้หวันจะใจอ่อน หากไม่ยอมขึ้นมา ก็จำเป็นต้องฟาดกันแรงๆ 

ที่สำคัญเฮียสีบอกตรงๆ ว่า จะต้องให้กองทัพจีนเป็นเจ้าโลกทางการทหารด้วยการชนะทุกสมรภูมิให้ได้ (อเมริกาเองมองว่าจีนต้องการบรรลุเป้าหมายเป็นเจ้าโลกในด้านการทหารในอีกราวๆ 50 ปีข้างหน้า และเป็นเจ้าในระดับภูมิภาคภายในปี 2027)

ไต้หวันปกครองตนเองมาตั้งแต่กองกำลังชาตินิยมที่นำโดย เจียง ไคเช็ก หลบหนีไปยังเกาะแห่งนี้ในปี 1949 หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่คอมมิวนิสต์ กลายเป็นหนามยอกอกตำใจจีนแผ่นดินใหญ่นับแต่นั้นมา เพราะจีนแผ่นดินใหญ่วางนโยบาย 'จีนเดียว' เพราะฉะนั้นการรวมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  

ในสมุดปกขาวที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมเน้นย้ำว่าปักกิ่งมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายรวมชาติอย่างสันติ แต่เมื่อกองทัพจีนใหญ่โตมโหฬารกว่าไต้หวันหลายเท่า  ประธานาธิบดีไช่ จึงเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมถึง 13% และจะทุ่มงบประมาณ 19,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านการทหารในปี 2023 แล้วขู่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ฟ่อๆ ว่า ถ้าอยากรุกรานไต้หวัน ก็ต้องจ่ายแพงอย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top