Saturday, 7 June 2025
สหรัฐอเมริกา

'สหรัฐฯ' ยอมปลดล็อกคว่ำบาตรเวเนซุเอลา แลกขุดเจาะน้ำมันอย่างจำกัดได้นาน 6 เดือน

เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - เป็นชัยชนะของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่สามารถหาแหล่งพลังงานใหม่ใกล้บ้านเพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันสำเร็จ หลังวอชิงตันยอมคลายคว่ำบาตรเวเนซุเอลาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี การประกาศวันเสาร์ (26 พ.ย) เกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร ยอมลงนามข้อตกลงข้อปกป้องทางสังคมร่วมกับฝ่ายค้านคาราคัส ระหว่างที่นอร์เวย์เป็นกาวใจให้เพื่อให้เงินช่วยเหลือกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกสหรัฐฯ และชาติตะวันตกสั่งแช่แข็งให้ปล่อยออกมาเพื่อมนุษยธรรม บริษัทพลังงานเชฟรอนได้รับอนุญาตจากวอชิงตันให้สามารถนำน้ำมันจากเวเนซุเอลาเข้าสหรัฐฯ ได้นานครึ่งปี

อัลญะซีเราะฮ์ สื่อกาตาร์รายงานวานนี้ (26 พ.ย.) ว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน คลายมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนให้รัฐบาลเวเนซุเอลา หลังตัวแทนคาราคัส และตัวแทนการเมืองฝ่ายค้านเวเนซุเอลาร่วมลงนามข้อตกลงการปกป้องทางสังคม (social protection agreement) อ้างอิงชื่อจากสื่อฟรานซ์ 24 เพื่อสร้างกองทุนที่มาจากสหประชาชาติเพื่อมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมให้แก่ประชาชนเวเนซุเอลา

โดยในการลงนามเกิดขึ้นวันเสาร์ (26 พ.ย.) ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี โดยมีนอร์เวย์เป็นตัวกลาง พบว่าผู้แทนรัฐบาลประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร และฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ที่รวมไปถึงปีกฝ่ายค้านนำโดย ฮวน กวยโด (Juan Guaido) ที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุน

การลงนามทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งเพื่อปูทางนำเวเนซุเอลากลับไปสู่ประชาธิปไตยหลังหยุดไปนานร่วม 15 เดือน ฟรานซ์ 24 ชี้ว่า การลงนามทั้ง 2 ฝ่ายสำหรับข้อตกลงทางมนุษยธรรรมในด้านการศึกษา สาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหาร มาตรการตอบโต้น้ำท่วม และโครงการกระแสไฟฟ้า และยังมีความเห็นที่จะยังคงหารือร่วมกันสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลาที่จะถึงกำหนดในปี 2024

อัลญะซีเราะฮ์รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญในหนทางที่ถูกต้องในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยในเวเนซุเอลา และสหรัฐฯ ได้ออกใบอนุญาต GL 41 ให้บริษัทพลังงานเชฟรอนกลับไปขุดเจาะน้ำมันอย่างจำกัดได้อีกครั้งนาน 6 เดือน แต่สามารถยกเลิกเมื่อใดก็ได้ อ้างอิงจาก CNN สื่อสหรัฐฯ

‘Howard Unruh’ มือสังหารหมู่ด้วยอาวุธปืน ในที่สาธารณะรายแรกของสหรัฐอเมริกา

ในสังคมมนุษย์ของเรานั้น มีความรุนแรงหลายรูปแบบ และเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน ‘เหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยอาวุธในที่สาธารณะ’ ก็เป็นหนึ่งในความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เราจะเห็นเรื่องราวเช่นนี้ได้ชัดจากสถานการณ์ สงคราม การยึดอำนาจ การปฏิวัติ หรือการทำรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นไปทั่วโลก และเกิดขึ้นในทุกภูมิภาค 

สำหรับ ‘เหตุการณ์สังหารโดยใช้อาวุธปืนในที่สาธารณะ’ เกิดขึ้นมาราวๆ ๑๐๐ ปีเศษ อันเนื่องมาจากพัฒนาการของอาวุธปืนแบบบรรจุเอง หรือปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ และปืนแบบอัตโนมัติในเวลาต่อมา 

สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมอาวุธปืนขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และถือเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านอาวุธสงครามที่ทันสมัย นั่นจึงไม่แปลก หากจะเป็นประเทศที่เกิดเหตุความรุนแรงเนื่องมาจากอาวุธปืนบ่อยครั้ง

ส่วนเหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยอาวุธปืนในที่สาธารณะครั้งแรกของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1949 ซึ่งมีชาวอเมริกันถูกสังหารไปถึง ๑๓ คน ในเวลา ๑๒ นาทีที่เดินทางผ่านย่านที่พักอาศัยของ ‘มือปืน’ ในเมือง Camden มลรัฐ New Jersey  

Howard Barton Unruh

มือปืนรายนี้คือ ‘Howard Barton Unruh’ (21 มกราคม ค.ศ. 1921 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2009) บุตรชายของ Samuel Shipley Unruh และ Freda E. Vollmer เขามีน้องชายคนหนึ่งชื่อ James พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูจากแม่หลังจากที่พ่อและแม่ได้แยกทางกัน 

Unruh เติบโตในเขต East Camden มลรัฐ New Jersey และเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้น Cramer Junior และจบการศึกษามัธยมปลายจากโรงเรียนมัธยมปลาย Woodrow Wilson ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1939 หนังสือรุ่นประจำปีของโรงเรียนมัธยมปลาย Woodrow Wilson ในปี ค.ศ. 1939 ระบุว่า เขาเป็นคนขี้อาย และความใฝ่ฝันของเขาคือ การได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 

Unruh สมัครเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1942 และเข้าประจำการในฐานะพลประจำรถถังทำการรบในสมรภูมิยุโรประหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 

Norman E. Koehn หัวหน้าของ Unruh ระบุว่า เขาจำ Unruh ได้ว่า เคยเป็นพลทหารชั้นหนึ่งที่ไม่เคย ดื่มเหล้า สบถ หรือไล่ตามสาว ๆ และเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านพระคัมภีร์ และเขียนจดหมายยาว ๆ ถึงแม่ของเขา เล่ากันว่า Unruh จดบันทึกเกี่ยวกับศัตรูที่ถูกสังหารในการต่อสู้อย่างพิถีพิถัน โดยลงไปจนถึงรายละเอียดของศพ 


Victory Medal ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติที่ Howard Unruh ได้รับ

Unruh ได้รับเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติ European Theatre of Operations Medal, Victory Medal และ Good Conduct Medal เขาได้รับการปลดประจำการอย่างมีเกียรติเมื่อสิ้นสุดสงคราม และกลับไปยังมลรัฐ New Jersey เพื่ออยู่กับแม่ของเขา ทั้งน้องชายและพ่อของเขาระบุในภายหลังว่า ประสบการณ์ในช่วงสงครามของ Unruh ทำให้เขาเปลี่ยนไป ทำให้เขาอารมณ์แปรปรวน ประหม่า และแยกตัวจากครอบครัว

หลังจากปลดประจำการ Unruh ได้ผันตัวมาเป็นคนงานของโรงงานโลหะแผ่น แต่ก็เข้าทำงานเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ 

หลังจากนั้นเขาก็สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยเภสัชกรรม มหาวิทยาลัย Temple มลรัฐ Philadelphia แต่ลาออกหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน โดยอ้างถึง ‘เหตุผลทางสุขภาพ’ 

Unruh อยู่ได้โดยอาศัยรายได้ของแม่ของเขา ซึ่งเป็นพนักงานโรงงานสบู่ Unruh เก็บตัวในบ้าน ประดับเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติของเขา อ่านพระคัมภีร์ และฝึกยิงปืนในห้องใต้ดิน ซึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นห้องฝึกซ้อมยิงปืน


ภาพวาดของ Howard Unruh

ในช่วงเวลานี้เองที่ความสัมพันธ์ของ Unruh กับเพื่อนบ้านของเขาเลวร้ายลง ซ้ำร้ายความขุ่นเคืองใจของเขาก็เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขามองว่าเป็น ‘คำพูดที่ดูถูกเกี่ยวกับตัวตนของเขา’ จากเพื่อนบ้าน

โดย James น้องชายของเขาได้ชี้ไปที่ประเด็นความบาดหมางระหว่าง Unruh กับเพื่อนบ้านของเขาคือ ‘ดร. Maurice Cohen’ มีอาชีพเป็นเภสัชกร ทั้งสองบาดหมางกันเรื่องที่ Unruh ใช้สวนหลังบ้านของ Cohen เพื่อเป็นทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของเขา 

โดยก่อนเกิดการสังหาร ‘Unruh’ ได้ไปที่โรงภาพยนตร์ใน Philadelphia และชมภาพยนตร์ไปหลายเรื่องก่อนที่จะกลับบ้านในช่วงเวลาตีสาม ทั้งนี้เขาไปโรงภาพยนตร์เพื่อพบกับชายคนหนึ่งตามนัด แต่เขาไปสาย และไม่ได้เจอกับชายคนที่เขานัดเอาไว้ และเมื่อกลับถึงบ้าน ประตูที่เขาได้ติดตั้งในวันนั้นก็ถูกถอดออกไปแล้ว

ปืนพกแบบ Luger P08

เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. ของวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1949 Unruh รับประทานอาหารเช้าที่แม่ของเขาเตรียมไว้ จากนั้นจึงออกไปพบ ‘Carolina Pinner’ เพื่อนบ้านในเวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. เขาพกปืนพกแบบ ‘Luger P08’ ซึ่งบรรจุกระสุนได้ ๘ นัด และกระสุนอีกจำนวนมากในกระเป๋า เขาออกจากอพาร์ตเมนต์ และเดินออกไปที่ถนน River เมื่อเดินเข้าใกล้รถบรรทุกส่งขนมปัง Unruh ดันปืนพกของเขาผ่านประตูแล้วยิงไปที่คนขับ เขายิงพลาดไปสองสามนิ้ว และแม้คนขับจะพยายามเตือนชาวบ้านแต่ก็ไม่เป็นผล


แผนผังแสดงตำแหน่งที่พบศพของเหยื่อและผู้บาดเจ็บแต่ละราย

‘Unruh’ เข้าไปในร้านทำรองเท้า ‘John Pilarchik’ ซึ่งเป็นร้านของหนึ่งในเพื่อนบ้านของเขา เมื่อเข้าไปถึงเขาได้ลั่นไกยิงทันที 

หลังจากนั้น เขาตรงไปที่ร้านตัดผมของ Clark Hoover เพื่อนบ้านอีกคน ซึ่งกำลังตัดผมให้ Orris Smith เด็กชายวัยหกขวบ เขายิง Hoover เข้าที่ศีรษะ และยิง Smith เข้าที่คอ ทั้งคู่เสียชีวิตทันที 

จากนั้น Unruh ยังวิ่งต่อไปที่ร้านขายยาของ Cohen โดยได้พบกับ James Hutton และยิงเขาทันที จากนั้น Unruh ก็เดินเข้าไปยังด้านหลังของร้านขายยา และเห็น Cohen และ Rose ภรรยากำลังวิ่งขึ้นบันไดเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของพวกเขา 

เมื่ออยู่ในอพาร์ตเมนต์ Cohen ปีนผ่านหน้าต่างขึ้นไปบนหลังคาเฉลียง ขณะที่ Rose และ Charles ลูกชายวัย ๑๒ ปี ของพวกเขาซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าคนละใบ อย่างไรก็ตาม Unruh พบตู้เสื้อผ้าใบที่ Rose ซ่อนตัวอยู่ จึงยิงทะลุประตูตู้เข้าไป ๓ นัด ก่อนที่จะเปิดออก และยิงเข้าที่หน้าของ Rose อีกนัด เมื่อเดินข้ามอพาร์ตเมนต์ เขาก็เห็น Minnie แม่ของ Cohen วัย ๖๓ ปี พยายามโทรหาตำรวจ เขาใส่ยิงเธอหลายนัด จากนั้นเขาก็เดินตาม Cohen ขึ้นไปบนระเบียงหลังคา แล้วยิง Cohen เข้าที่ด้านหลัง ทำให้ Cohen ตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ส่วน Charles ที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้อีกใบ และสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

จริยธรรมบิดเบี้ยว ยุคขี้เมาลงแดงในอเมริกา คนสุจริตร่ำสุราเท่ากับบาป ส่วนคนบาปหากินกับเหล้าเถื่อน ต่างได้รับการยกย่อง

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าครั้งหนึ่งอเมริกาเคยห้ามขายเหล้าเป็นเวลาถึง 13 ปี 

สังคมเมืองลุงแซมในช่วงปี ค.ศ. 1890-1920 เป็นช่วงที่เรียกว่า 'ยุคก้าวหน้า' หรือ Progressive Era ที่กำลังสับสนกับกระแสความเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม   

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเช่นกัน ผู้ชายดาหน้าเข้าทำงานในโรงงานต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ใด ๆ หรือแม้แต่ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ชายยุโรปโดยเฉพาะยุโรปตะวันออกอย่างชาวโปแลนด์หรือฮังกาเรียน หลั่งไหลเข้ามาในอเมริกาเพื่อทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บางคนพาลูกเมียมาด้วยเพื่อลงหลักปักฐานในอเมริกา 

เมื่อเข้ามาเป็นคนงานโรงงาน ด้วยพื้นฐานดั้งเดิมที่รักการดื่มจึงอดไม่ได้ที่จะแวะข้างทางเพื่ออุดหนุนน้ำเมา แต่เรื่องนี้กลับกลายมาเป็นปัญหาครอบครัว  ทำให้เกิดการโทษเหล้าและน้ำเมาต่าง ๆ ว่าสร้างปัญหาสังคมร้ายแรง ประกอบกับช่วงนั้นมีนักเทศน์ร่อนแร่เดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วโทษสุรายาเมาเสมอ เหล่าภรรยาที่ถูกสามีขี้เมาทุบตีเป็นนิจสินก็เพ่งโทษไปที่เหล้าแต่เพียงอย่างเดียว จึงรวมตัวกันเรียกร้องให้สังคมจัดการเรื่องนี้

ดังนั้นในปี ค.ศ. 1920 จึงเกิดการปฏิรูปทางจริยธรรมขึ้น โดยหนึ่งในกระบวนการชำระสะสางสังคมทั้งหลายทั้งปวงข้อหนึ่งคือ แนวคิดเรื่องห้ามผลิตและซื้อขายเหล้าอย่างเด็ดขาด อเมริกันเคร่งศาสนาบางกลุ่มเชื่อว่าการดื่มเหล้าถือเป็น 'บาป' บางคนสรุปเหมารวมว่าการเสพสุราฮะกึ๋นเป็นต้นเหตุปัญหามากมายในสังคม ทั้งการติดเหล้า อาชญากรรม อาการทางจิตประสาท ความยากจน รวมถึงการใช้ความรุนแรงกับเด็กและผู้หญิง

แต่การสนับสนุนแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างโปร่งใสและสะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่นักหรอก เพราะกลุ่มพ่อค้าที่ขายชากาแฟและน้ำอัดลมต่างตีปีกสนับสนุนกันกระหึ่ม เนื่องจากเชื่อว่าธุรกิจตนจะโกยกำไรอื้อซ่าอย่างแน่นอน หากเหล้าเบียร์หมดไปจากท้องตลาด

ไม่ว่าแรงสนับสนุนให้เลิกขายเหล้าเบียร์จะมาจากกลุ่มไหนก็ตาม แต่แรงกดดันมหาศาลทำให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อการลงโทษขี้เมาโดยเฉพาะ โดยในวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1919 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐฯ ครั้งที่ 18 กำหนดห้ามไม่ให้มีการขายผลิตขนส่งหรือจัดจำหน่ายเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทั่วทั้งประเทศอย่างเด็ดขาด 9 เดือน

หลังจากนั้น สภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมายที่รู้จักกันในชื่อ Volstead Act ถือเป็นการเริ่มต้นยุคแห่งการห้ามซื้อขายและผลิตเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1920

ตั้งแต่นั้นมา อเมริกาก็เข้าสู่ 'ยุคมืดของขี้เมา' แบบนี้ก็ตายกันพอดีสิจ๊ะ ของเคยกระดกขวดทุกค่ำเช้า แต่อยู่ ๆ รัฐบาลเอาไม้ไล่หวดขวดเหล้าแตกกระจายก็ย่อมเปรี้ยวปากเป็นธรรมดา ผลคือเกิดมาเฟียค้าเหล้าเถื่อนเพียบ แต่ขาใหญ่สุดเห็นจะเป็น 'อัล คาโปน' ที่หากินในย่านชิคาโกและสร้างตัวเองเป็นเจ้าพ่อมาเฟียที่โลกไม่ลืมมาจนทุกวันนี้  

เพราะผลพวงของการห้ามขายเหล้านี่แหละที่ทำให้อัล คาโปนพบช่องทางทำมาหากินอันโชติช่วง ด้วยการลักลอบนำเข้าและขนส่งเหล้าเถื่อนจนร่ำรวย การลักลอบขายเหล้าเถื่อนกลายเป็นช่องทางที่ทำกำไรมหาศาลให้เหล่าผู้มีบารมีนอกกฎหมาย เลยทำให้จำนวนประชากรมาเฟียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมยังขยายสาขาไปทั่วประเทศ สร้างปัญหาสังคมอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าสาหัสกว่าเดิมไว้เป็นของแถม

รายงาน ชี้!! สหรัฐฯ ครองเบอร์หนึ่ง ‘ขายอาวุธ’ มากที่สุดในโลก

(6 ธ.ค. 65) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ของสวีเดน เมื่อวันจันทร์ (5 ธ.ค.) ระบุว่า กลุ่มบริษัทของสหรัฐฯ ครองอันดับหนึ่งของโลกด้านยอดจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์

โดยยอดจำหน่ายอาวุธของบริษัทสหรัฐฯ 40 แห่ง ซึ่งอยู่ในรายชื่อบริษัทค้าอาวุธ 100 อันดับแรกของโลก มีมูลค่ารวม 2.99 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 10.46 ล้านล้านบาท) ในปี 2021 ลดลงร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับปี 2020 ขณะบริษัทค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุด 5 แห่งของโลก นับจากปี 2018 ล้วนตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ส่วนกระแสการควบรวมกิจการของอุตสาหกรรมค้าอาวุธสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2021

หนานเทียน นักวิจัยอาวุโสของสถาบันฯ แสดงความคาดหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะดำเนินการอย่างจริงจังยิ่งขึ้นในการจำกัดการควบรวมกิจการของอุตสาหกรรมค้าอาวุธในอนาคตอันใกล้ โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่าการแข่งขันที่ลดลงในอุตสาหกรรมค้าอาวุธอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อต้นทุนการจัดซื้อและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์

'สหรัฐฯ' ปราม 'ยูเครน' ไม่หนุนโจมตีภายในแผ่นดินรัสเซีย หลังฐานทัพเขตชั้นในรัสเซียถูกถล่ม คาดฝีมือเคียฟ

เมื่อวันอังคาร (6 ธ.ค.) ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ระบุไม่สนับสนุนยูเครน ในการโจมตีเข้าใส่ดินแดนรัสเซีย หลังเกิดเหตุยิงถล่มฐานทัพหลายแห่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ชั้นในของรัสเซียลึกเข้าไปจากชายแดนหลายร้อยกิโลเมตร และถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นฝีมือของเคียฟ

"เราทั้งไม่สนับสนุนและไม่ได้เปิดทางให้ยูเครนโจมตีภายใต้ดินแดนของรัสเซีย" แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าว "แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่ายูเครน ใช้ชีวิตผ่านพ้นไปทุกๆ วันกับการรุกรานของรัสเซีย" เขากล่าว โดยกล่าวหารัสเซียกำลังใช้ฤดูหนาวเป็นอาวุธ ผ่านการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน

บลิงเคน ประกาศว่า "เรามีความมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจว่าพวกเขา เช่นเดียวกับพันธมิตรอื่น ๆ มากมายทั่วโลก จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับป้องกันตนเองอยู่ในมือ เพื่อปกป้องดินแดนของพวกเขา เพื่อปกป้องเสรีภาพของพวกเขา"

พวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ายูเครนเจาะน่านฟ้าของรัสเซียด้วยโดรนดั้งเดิมยุคสมัยสหภาพโซเวียต ไม่ใช่อาวุธใด ๆ จากความช่วยเหลือด้านการทหารหลายพันล้านดอลลาร์ที่ได้รับมอบจากตะวันตก นับตั้งแต่ถูกมอสโกเปิดฉากรุกรานยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์

ด้าน ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับ บลิงเคน หลังพูดคุยหารือกับบรรดารัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย ว่าวอชิงตันจะไม่ห้ามยูเครนจากการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลด้วยตนเอง "คำตอบสั้น ๆ คือ ไม่ แน่นอนว่าเราจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะไม่หาทางขัดขวางยูเครนจากการพัฒนาศักยภาพของตนเอง"

รัสเซียเผยว่ามีผู้เสียชีวิต 3 ราย และเครื่องบินได้รับความเสียหาย 3 ลำในเหตุโจมตีฐานทัพ 3 แห่งที่อยู่ลึกภายในดินแดนของพวกเขาเมื่อวันจันทร์ (5 ธ.ค.)

ก่อนหน้านี้ เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเหตุโดรนโจมตีในดินแดนรัสเซีย โดยเขาไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จัดหาโดรนเหล่านั้นแก่ยูเครนหรือไม่ ซึ่งเคียฟเองก็ไม่ได้กล่าวอ้างความรับผิดชอบใด ๆ ต่อเหตุโจมตีดังกล่าว

"เราจัดหาแก่ยูเครน ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับใช้ในดินแดนอธิปไตยของพวกเขา ในแผ่นดินยูเครน เพื่อจัดการกับผู้รุกรานรัสเซีย" ไพรซ์กล่าว ขณะเดียวกันเขาก็ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวหนึ่งของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ที่อ้างว่าอเมริกาปรับแก้ระบบ HIMARS ที่ส่งมอบแก่ยูเครน ระบบจรวดที่ถูกมองว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมในสมรภูมิรบ เพื่อปกป้องไม่ให้เคียฟยิงเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย

ที่ผ่านมา ประธานาธบดีโจ ไบเดน พูดต่อสาธารณะว่าวอชิงตันจะไม่มอบขีปนาวุธพิสัยไกลแก่ยูเครน ด้วยกังวลว่ามันอาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย และผลักให้สหรัฐฯ เผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซียมากยิ่งขึ้น

ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ มีขึ้นในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เดินทางไปตรวจเยี่ยมทหารที่อยู่ใกล้แนวหน้าทางตะวันออกของประเทศในวันอังคาร (6 ธ.ค.) พร้อมแสดงความขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องกับความพยายามสู้รบต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย เนื่องในวันกองทัพของประเทศ

หลังจากนั้น เซเลนสกี ได้กล่าวปราศรัยถึงกำลังพล จากทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงเคียฟ โดยเผยว่าเขาใช้เวลาร่วมกับบรรดาทหารในดอนบาส สมรภูมิที่มีการสู้รบหนักหน่วงที่สุด และในแคว้นคาร์คิฟ พื้นที่ที่ยูเครนสามารถทวงดินแดนอย่างกว้างขวางคืนมาจากกองกำลังผู้รุกรานยูเครน

เขากล่าวว่า "ชาวยูเครนหลายพันคนเสียสละชีวิตตนเองเพื่อให้วันนั้นมาถึง วันที่จะไม่เหลือทหารผู้รุกรานในดินแดนของเราแม้แต่คนเดียว และวันที่ประชาชนของเราทั้งหมดจะได้รับการปลดปล่อย" เซเลนสกี ระบุ

ศาลสหรัฐฯ ยกฟ้อง ‘มกุฎราชกุมารซาอุฯ’ ปมสังหาร ‘คาช็อกกี’ อ้างสิทธิคุ้มกันทางกฎหมาย

ศาลสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีคำพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ กรณีเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงตกเป็นจำเลยพัวพันคดีสังหารนักข่าวชาวซาอุฯ จามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับรอง ‘สิทธิคุ้มกันทางกฎหมาย’ ให้แล้ว

จอห์น บาเตส ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ ระบุในคำวินิจฉัยวานนี้ (6 ธ.ค.) ว่า แม้ศาลจะ ‘ลังเล’ ที่จะสั่งยกฟ้องกรณีที่ น.ส.เฮทิซ เซนกิซ คู่หมั้นของ คาช็อกกี ร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหว DAWN เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอาผิดเจ้าชายโมฮัมเหม็ด แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับจุดยืนของรัฐบาลอเมริกันที่ประกาศแล้วว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นทั้งมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุฯ ทรงได้รับสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีในฐานะที่ทรงเป็น ‘ประมุขรัฐ’

บาเตส ยังระบุด้วยว่า เซนกิซ และกลุ่ม DAWN ได้นำเสนอข้อโต้แย้งที่ ‘มีน้ำหนัก’ และ ‘น่าชมเชย’ ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงอยู่เบื้องหลังเหตุฆาตกรรมซึ่งเกิดขึ้นที่สถานกงสุลซาอุฯ ประจำนครอิสตันบูล เมื่อปี 2018 ทว่าศาลไม่มีอำนาจที่จะปฏิเสธจุดยืนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งได้ทำหนังสือแจ้งศาลอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ว่าเจ้าชายทรงได้รับสิทธิคุ้มกันในฐานะผู้นำรัฐบาลต่างชาติ

'เทศกาลคริสต์มาส' ห้วงความสุขของอเมริกันชน ความอบอุ่นที่เทียบเท่าได้ดั่ง 'สงกรานต์' บ้านเรา

คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเทศกาลแสนสุขและเป็นวันรวมญาติในรอบปีของคนไทยคือ เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นช่วงที่คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามอยากกลับไปเจอหน้าญาติพี่น้องที่บ้านเกิดทั้งนั้น ส่วนใครที่ไม่มีโอกาสกลับบ้านก็ได้แต่นั่งเศร้าเหงาหงอย ช่วงสงกรานต์นี้จึงถือว่าเป็นวันครอบครัวแห่งชาติกันเลยทีเดียว 

ส่วนเทศกาลในอเมริกาที่สามารถเทียบเคียงกับช่วงสงกรานต์ได้ ก็เห็นจะเป็นวันขอบคุณพระเจ้าในเดือนพฤศจิกายนกับคริสต์มาสในช่วงธันวาคมนี่แหละ เพราะใครๆ ต่างทยอยกันกลับบ้านเพื่อร่วมรับประทานอาหารมื้อพิเศษกับครอบครัว การอยู่คนเดียวในช่วงขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาสในความคิดฝรั่งจึงถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างเหลือแสน เพราะอเมริกันให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างยิ่งในสองวันนี้

ก่อนหน้าคริสต์มาสคือ เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายน ทุกครอบครัวจะล้อมวงกินไก่งวงร่วมกัน ช่วงเวลาแห่งความสุขในรอบปีของอเมริกันคือช่วงเวลาก่อนคริสต์มาส อิ่มอวลไปด้วยความสุขอันหอมหวาน ผู้คนเดินไปมาในห้างด้วยสีหน้ายิ้มย่องผ่องใส ถือเป็นช่วงดีๆ ที่ผู้คนไม่ขึ้งโกรธหรือขุ่นข้องหมองใจระหว่างกัน แถมบางครั้งก็ได้รับน้ำใจแบบไม่คาดฝันจากคนแปลกหน้าด้วย 

ช่วงนี้แหละที่ผู้คนในอเมริกาดูอบอุ่นอ่อนโยนและใส่ใจกันเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในรอบปี ห้างสรรพสินค้าโดยเฉพาะซุปเปอร์มาเก็ตมักมีซานตาครอสลึกลับแอบจ่ายเงินให้คนที่ต่อแถวข้างหลัง ถือเป็นของขวัญที่ผู้คนมอบให้กันอย่างไม่เฉพาะเจาะจง ส่วนมากแล้วคนที่ได้รับน้ำใจมักร้องไห้ออกมากลางห้างอย่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เพราะน้ำใจส่งท้ายปีจากคนแปลกหน้าถือเป็นความงดงามที่คนตัวเล็กอย่างเราสามารถมอบให้กันในเทศกาลอันเปี่ยมสุขแห่งปี

ผู้คนเฉลิมฉลองด้วยการประดับประดาหน้าบ้านด้วยไฟหลอดเล็กๆ สีเขียวสลับแดงพรืดไปทั้งหน้าบ้าน การตกแต่งบ้านเรือนยึดโทนสีหลักของเทศกาลคริสต์มาสแต่โบราณคือเขียวและแดง ซึ่งเป็นการใช้สีในเชิงสัญลักษณ์และเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา สีแดงถือเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซู ส่วนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ เพราะเป็นสีของต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบและเขียวสดชั่วกาลนาน

ภายในบ้านมีต้นคริสต์มาสทั้งแบบพลาสติกและแบบสดแขวนสิ่งละอันพันละน้อยจนเต็มต้น บนยอดมีดวงดาวสีทองสุกใส ใต้ต้นมีกล่องของขวัญหลายกล่องวางเรียงราย มองเลยต้นคริสต์มาสไปอีกนิดจะเห็นถุงเท้ายาวหลายข้างแขวนไว้ตรงเตาผิงที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ทั่วบ้านยังประดับพวงมาลัยที่ทำมาจากใบสนและและฮอลลีสีแดงสด บางบ้านก็มีการแขวนช่อมิสเซิลโทไว้ในบ้าน เชื่อกันว่าใครก็ตามที่มายืนใต้ช่อมิสเซิลโทแล้วจะต้องจูบกันโดยถือเป็นคำมั่นสัญญาว่ารักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย       

นอกจากชาวคริสต์แล้ว ชาวยิวก็ฉลองเทศกาลในช่วงนี้เช่นกัน โดยประดับไฟหน้าบ้านด้วยสีฟ้าและสีเงิน ข้างหน้าต่างมีเชิงเทียนรูปทรงแปลกตางดงามที่เรียก 'มะโนรา' แยกออกเป็น 8 กิ่งเพื่อปักเทียนทั้งหมด 8 เล่ม เทศกาลนี้เรียกว่า 'ฮานุกก้า' เพื่อระลึกถึงปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 8 วัน และเสมือนเป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะของผู้ศรัทธาที่ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติจักรวรรดินิยมกรีก  

มีเรื่องเล่ากันขำๆ ว่า ร้านอาหารฝรั่งทุกร้านปิดหมดในช่วงคริสต์มาส ร้านอาหารที่เปิดขายวันนี้เลยมีแต่ร้านอาหารจีน ชาวยิวในอเมริกาจึงมักออกไปรับประทานอาหารจีนกันทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ล้อกันเล่นสนุกๆ บางคนไม่มีโอกาสกลับไปหาครอบครัวก็ถือโอกาสออกไปร้านอาหารจีนกินดื่มร่วมกันเพื่อนอย่างสนุกสนานไปด้วย

ในช่วงเทศกาลของทั้งสองศาสนาในวาระเดียวกันเช่นนี้ เวลาไปจับจ่ายซื้อของที่ไหน พนักงานในร้านมักอวยพรรวมกันว่า 'สุขสันต์วันเทศกาล' หรือ Happy Holidays เนื่องจากชาวอเมริกันไม่ได้เป็นชาวคริสต์ทุกคนและคาบเกี่ยวกับเทศกาลฉลองของชาวยิวด้วยจึงเลือกที่จะใช้คำกลางๆ มาเรียกเทศกาลปลายเดือนธันวาคม

‘ไบเดน’ เปิดทำเนียบต้อนรับ ‘เซเลนสกี’ พร้อมให้คำมั่น สหรัฐฯ จะหนุนยูเครนสู้รบรัสเซีย

(22 ธ.ค. 65) หลังจากที่มีข่าวลืออกมาว่า โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน กำลังเดินทางไปสหรัฐฯ เตรียมเข้าพบประธานาธิบดีโจ ไบเดน และแถลงต่อที่ประชุมสภาคองเกรส ซึ่งจะเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกเท่าที่รู้นับตั้งแต่เกิดสงคราม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐฯ ร้องขอขีปนาวุธแพทริออตเพิ่มจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในระหว่างพบกันที่ทำเนียบขาว ก่อนที่ระบบป้องกันชุดแรกจะเดินทางถึงยูเครน โดยย้ำในระหว่างการแถลงข่าวว่า "เราอยู่ในสงคราม"

ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้นำยูเครนว่า สหรัฐจะยังคงให้ความช่วยเหลือยูเครนตราบนานเท่านานในสงครามกับรัสเซีย และยูเครนจะไม่มีวันถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวเดียวดาย พร้อมยืนยันเรื่องที่สหรัฐจะมอบความช่วยเหลือครั้งใหม่มูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69,308 ล้านบาท) ให้แก่ยูเครนเพื่อนำไปใช้ป้องกันประเทศจากการโจมตีของรัสเซีย และให้สัญญาว่าจะมอบความช่วยเหลืออีกราว 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.56 ล้านล้านบาท) 

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังกล่าวในงานแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีเซเลนสกีว่า เขาไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการจัดตั้งกลุ่มแนวร่วมนานาชาติที่เป็นพันธมิตรร่วมกันเพื่อช่วยเหลือยูเครน ทั้งยังระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ยังคงไม่มีความคิดที่จะหยุดการทำสงครามอันโหดร้ายในครั้งนี้

‘รัสเซีย’ แฉ!! ‘สหรัฐฯ’ ได้ประโยชน์จากการคว่ำบาตร ส่วน ‘ยุโรป’ รับเคราะห์ ต้องซื้อพลังงานราคาสูงจากสหรัฐฯ

มาตรการคว่ำบาตรที่ตะวันตกกำหนดเล่นงานรัสเซียต่อความขัดแย้งในยูเครน กำลังก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่เศรษฐกิจยุโรป ส่วนสหรัฐฯ เป็นตัวแสดงเดียวที่ได้ประโยชน์จากข้อจำกัดต่าง ๆ นานาเหล่านั้น อันทอน ซีลูอานอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังรัสเซียกล่าวอ้างเมื่อวันเสาร์ (24 ธ.ค.)

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Asharq News รัฐมนตรีรายนี้เชื่อว่ามาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกช่วยให้วอชิงตันบรรลุเป้าหมาย “พวกเขาป้อนอุปทานน้ำมันและก๊าซสู่ตลาดยุโรปได้เพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตามอุปทานทางพลังงานจากรัสเซีย มีราคาสูงมากสำหรับยุโรป ผลก็คือมันโหมกระพือเงินเฟ้อพุ่งทะยานและทำให้ภาคธุรกิจของยุโรปสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ซีลูอานอฟกล่าว

รัฐมนตรีรายนี้อ้างด้วยว่า ทั้งมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกและเหตุระเบิดที่ทำให้ท่อลำเลียงก๊าซนอร์ดสตรีม 1 และนอร์ดสตรีม 2 เกิดรอยรั่ว เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน เป็นการจัดฉากเพื่อให้ยุโรปต้องจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลวที่มีราคาแพงกว่าเดิมจากอเมริกา ‘อเมริกาได้ประโยชน์ ยุโรปสูญเสีย’ เขาระบุ

มอสโกเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นการลอบก่อวินาศกรรมโจมตีก่อการร้าย พร้อมอ้างว่าสหรัฐฯได้ประโยชน์จากเหตุท่อลำเลียงระเบิดมากที่สุด ส่วนทางวอชิงตันแม้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องใด ๆ แต่ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ให้คำจำกัดความเหตุการณ์นี้ว่า “เป็นโอกาสอันใหญ่โตที่ยุโรปจะเบี่ยงตนเองออกจากพลังงานรัสเซีย”

ซีลูอานอฟ ยอมรับว่ามาตรการคว่ำบาตรส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของรัสเซีย “แต่มันก่อความเจ็บปวดแก่ตะวันตกไม่น้อยไปกว่ากัน และบางทีอาจเจ็บปวดมากกว่าด้วยซ้ำ”

‘ความฝันอเมริกัน’ ฝันหวานอันว่างเปล่า ในยุคเศรษฐกิจเลื่อนลอย

สมัยก่อนเคยได้ยินคำว่า ‘อเมริกันดรีม’ อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เข้าใจถ่องแท้นักถึงความหมาย เพิ่งจะมาเข้าใจก็ตอนที่อาศัยอเมริกาเป็นบ้านแห่งที่สองนี่เอง

ที่มาของคำว่า ‘อเมริกันดรีม’ หรือ ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ นั้น น่าสนใจไม่ใช่น้อย

หลายคนเชื่อว่าแนวคิดอเมริกันดรีมนั้นมาจากรากฐานของคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ที่มีหลักการว่าทุกคนได้รับสิทธิในการดำเนินชีวิต เสรีภาพและการแสวงหาความสุขโดยเท่าเทียมกัน หากว่ายังไม่ค่อยชัดเจนกับแนวคิดนี้ คงต้องไปอ่านงานเขียน เรื่อง ‘มหากาพย์แห่งอเมริกา’ หรือ The Epic of America ของเจมส์ ทรัสโลว์ อดัมส์ นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วที่กล่าวถึงอเมริกันดรีมไว้อย่างชัดเจนว่า...

“อเมริกันดรีม คือ ความฝันถึงแผ่นดินที่ทุกคนจะมีชีวิตดีขึ้น เติมเต็มยิ่งขึ้น และร่ำรวยยิ่งขึ้น โอกาสมาพร้อมความสามารถ สิ่งที่พูดถึงนี้มิใช่ความฝันง่ายๆอย่างอยากมีรถหลายคันหรือมีเงินเดือนสูง แต่เป็นความฝันเรื่องระเบียบสังคมที่ทั้งหญิงและชายจะได้รับการยอมรับตัวตน ไม่ว่าผู้นั้นจะมีชาติกำเนิดเช่นไร”

ความหมายดั้งเดิมของอเมริกันดรีมหรือความฝันแบบอเมริกันในยุคแรก ๆ ซึ่งอาจนิยามได้ว่าเป็นความเท่าเทียมทางโอกาสและเสรีภาพที่เอื้อให้ทุกคนบรรลุถึงเป้าหมายในชีวิตด้วยการทำงานหนักและด้วยความมุ่งมั่น แต่ในปัจจุบันคนทั่วไปมองว่าอเมริกันดรีมคือการแสวงหาความมั่งคั่ง จากความสามารถและการทำงานหนักเท่านั้น

ใคร ๆ ก็รู้ว่าอเมริกานั้นมีวัฒนธรรมที่ 'พันทาง' มาก เพราะวัฒนธรรมจับฉ่ายติดมากับผู้อพยพที่เข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองแต่ละยุคสมัย...บางคนอาจหมายถึงโอกาสที่จะกลายเป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งกว่ารายรับที่เคยได้ในประเทศเดิม...บางคนอาจหมายถึงโอกาสที่ลูกหลานจะเจริญเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าได้รับการศึกษาที่สูงกว่าในประเทศเดิม...และบางคนอาจเป็นการได้รับโอกาสเป็นปัจเจกชน ที่ปราศจากการกีดกันด้วยชนชั้นทางสังคม จากวรรณะ เชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์ อย่างในกรณีสตรีมุสลิมที่มีการเลือกปฎิบัติหรือไม่อนุญาตให้ทำงานหรืออินเดียที่มีเรื่องวรรณะเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงาน

จริง ๆ แล้วแนวคิดเรื่องอเมริกันดรีมมีประวัติย้อนหลังไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ช่วงเวลานั้นมีการส่งเสริมชาวอังกฤษให้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกา โดยมีการโฆษณาแผ่นดินใหม่ว่าชาวอาณานิคมจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าชีวิตในประเทศอังกฤษ ทั้งนี้เพราะอเมริกากว้างใหญ่ไพศาลและมีทรัพยากรธรรมชาติเหลือเฟือ การเดินทางมาสู่อเมริกาจึงเหมือนการแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้ชีวิต

ปัจจัยที่สำคัญอีกประการในการเกิด 'อเมริกันดรีม' คือในศตวรรษที่ 19 เรื่องราวเกี่ยวกับผู้ยากไร้ที่ถีบตัวขึ้นไปเป็นมหาเศรษฐี เริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและกลายเป็นดวงดาวแห่งความหวังให้อเมริกันทุกคน โดยเรื่องราวของแอนดรูว์ คาร์เนกี้ และจอห์น ดี. รอกกี้เฟลเลอร์ รวมทั้งนักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียงเช่น ฮอเรโช อัลเจอร์ สร้างบรรทัดฐานในสังคมว่า ความสามารถและการทำงานหนักสามารถนำไปสู่ความมั่งคั่งได้  ทำให้อเมริกันทุกคนมีความหวังว่า สักวันหนึ่งตนจะมีโอกาสเช่นนี้บ้าง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top