Sunday, 8 June 2025
สหรัฐอเมริกา

22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 35 ถูกลอบสังหาร ขณะเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตกใจให้กับคนทั้งโลก เมื่อ ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ประธานาธิบดีลำดับที่ 35 แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ถูกลอบสังหารขณะเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้ง ปธน. ภายในรถเปิดประทุน โดยมีภรรยานั่งอยู่ด้านข้าง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลา 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ เดลลีย์พลาซา เมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส

โดยจากการสืบสวนของคณะกรรมการวอร์เรน ซึ่งกินเวลา 10 เดือน ระหว่าง พ.ศ. 2506 - 2507 การสืบสวนของคณะกรรมการสมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดี (HSCA) ระหว่าง พ.ศ. 2519 - 2522 และการสืบสวนของรัฐบาล สรุปว่าประธานาธิบดีถูกลอบสังหารโดย 'ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์’

ซึ่งในเวลาต่อมา ออสวอล์ดถูกฆาตกรรมโดย แจ๊ค รูบี้ ก่อนที่เขาจะต้องขึ้นศาล ในช่วงแรกที่มีการเปิดเผยผลการสืบสวน ข้อสรุปนี้ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนอเมริกัน แต่ในภายหลัง ผลสำรวจที่มีการจัดทำขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2547 เปิดเผยว่าชาวอเมริกันประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์มีความเชื่อตรงกันข้ามกับข้อสรุปที่ได้จากการสืบสวนดังกล่าว

ดังนั้นการลอบสังหารในครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นการอภิปรายในวงกว้าง และก่อให้เกิดประเด็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดและการจัดฉากอย่างนับไม่ถ้วน จนกระทั่ง พ.ศ. 2522 คณะกรรมการสมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดี ค้นพบว่ารายงานการสืบสวนของเอฟบีไอและคณะกรรมการวอร์เรนมีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง 

คณะกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่ามีการยิงปืนใส่ไม่ต่ำกว่า 4 นัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าอาจมีฆาตกรสองคน และทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาในภายหลัง ซึ่งรวมถึงผลการศึกษาของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของหลักฐานที่คณะกรรมการฯ ใช้เพื่อสนับสนุนทฤษฎีกระสุนสี่นัดดังกล่าว

แต่แล้ว ในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 คดีการลอบสังหารในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะกระจ่างขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลน์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับคดีลอบสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี ที่ยังไม่เคยเปิดเผยกว่า 2,800 ชิ้น ตามที่ได้เคยกล่าวผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่าจะเปิดเผยข้อมูลในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แต่ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจวินาทีสุดท้าย ไม่เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับคดีดังกล่าวอีกกว่า 300 ชิ้น เพราะหน่วยข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ และสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ ขอให้มีการเก็บข้อมูลบางส่วนต่อไป เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการเปิดเผยคาดว่าจะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไปอีก 6 เดือน หรือประมาณช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2561

เหตุการณ์สะเทือนโลกครั้งนี้จึงนับเป็น เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ชาวโลกยังคงจดจำ ต่อการจากไปของประธานาธิบดีหนุ่ม ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมากมาย อีกทั้งยังเป็นคดีที่ยังคงมีถูกตั้งข้อสงสัยและยังไม่ได้รับความกระจ่างอย่างแท้จริงจากเอกสารบางส่วนที่ยังไม่เปิดเผย มาจนถึงทุกวันนี้

สหรัฐฯ อีกแล้ว!! มือปืนบุกยิงในมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา เสียชีวิต 3 สาหัส 1 ส่วนมือปืนเสียชีวิตแล้วในที่เกิดเหตุ

(7 ธ.ค. 66) เมื่อวานนี้ ได้เกิดเหตุยิงในมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา มีผู้เสียชีวิต 3 คน สาหัสอีก 1 คน ส่วนมือปืนเสียชีวิตแล้วในที่เกิดเหตุ ด้านมหาวิทยาลัยทุกแห่งทั่วเนวาดาปิด ขณะที่สนามบินลาสเวกัสห้ามเครื่องบินขึ้นบิน แม้เหตุการณ์จะสงบแล้วก็ตาม

กรณีดังกล่าว ทางตำรวจยืนยัน มีผู้เสียชีวิต 3 คน เจ็บสาหัส 1 คน จากเหตุกราดยิงในมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา (UNLV) วิทยาเขตเมืองลาสเวกัสเมื่อวันพุธ (6 ธันวาคม) ตามเวลาท้องถิ่น 

ส่วนผู้ต้องสงสัยที่เป็นมือปืน ตำรวจยืนยันว่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดการเสียชีวิตของมือปืนและและตัวมือ และยังไม่ระบุชื่อ

ด้านมหาวิทยาลัย UNLV ที่เกิดเหตุ และสถาบันอุดมศึกษาทั่วรัฐเนวาดา ปิดเรียนตลอดบ่ายวานนี้ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ สนามบินนานาชาติแฮร์รี เรดในลาสเวกัส ประกาศระงับเครื่องบินขึ้นบินจากสนามบินแห่งนี้ ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม ตำรวจยืนยันเหตุการณ์สงบแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คนยังอยู่ในโรงพยาบาล

สำหรับรายละเอียดของเหตุกราดยิง เมื่อเวลาประมาณ 11.53 น. วันพุธ (6 ธันวาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 2.53 น. วันนี้ (7 ธันวาคม) ตามเวลาไทย ตำรวจได้ไปที่มหาวิทยาลัยเนวาดา วิทยาเขตลาสเวกัส 20 นาที หลังได้รับแจ้งเกิดเหตุยิงภายในมหาวิทยาลัย ขณะที่กำลังเกิดการยิงกระสุนหลายนัดใกล้กับอาคารชื่อ บีม ฮอลล์ ในมหาวิทยาลัยดังกล่าว ตำรวจเผชิญหน้ากับมือปืน สุดท้ายมือปืนเสียชีวิตในที่สุด

ก่อนหน้านั้น ทางมหาวิทยาลัยแจ้งนักศึกษาให้อพยพออกจากตึกบีม ฮอลล์ โดยใช้รหัสว่า ‘วิ่ง-ซ่อน-สู้’ (Run-Hide-Fight) เป็นรหัสที่ใช้ในสหรัฐฯ หมายถึงกำลังเกิดเหตุยิงอยู่

ตำรวจลาสเวกัสแถลงหลังเหตุสงบว่า ยังไม่ทราบแรงจูงใจของมือปืน ขณะที่ทาง คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุหลังจากเพิ่งเกิดเหตุว่า ทำเนียบขาวจับตาเหตุการณ์อยู่

‘สภาฯ สูงมะกัน’ โหวตคว่ำร่างงบฯ หนุน ‘ยูเครน-อิสราเอล’ แนะ!! โยกงบฯ ไปดูแลพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก จะดีกว่า

(7 ธ.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วุฒิสภาสหรัฐได้โหวตคว่ำร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินเพื่อมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงครั้งใหม่ให้แก่ประเทศยูเครนและอิสราเอล ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม หลังสมาชิกพรรครีพับลิกันเรียกร้องให้มีการนำเอางบประมาณดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับมาตรการเพื่อควบคุมการเข้าเมืองตามพรมแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโกที่รัดกุมยิ่งขึ้น

ร่างงบประมาณที่เป็นข้อเสนอของฝ่ายบริการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดังกล่าวแบ่งเป็นการมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงให้กับยูเครนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลยูเครน และยังมอบความช่วยเหลือให้กับอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอีก 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ร่างงบประมาณนี้ได้รับเสียงสนับสนุนในวุฒิสภาไป 49 ต่อ 51 เสียง น้อยกว่า 60 เสียงที่ต้องการเพื่อเปิดให้มีการอภิปรายร่างงบประมาณในสภา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพยายามของประธานาธิบดีไบเดนที่จะให้มีการมอบความช่วยเหลือครั้งใหม่ก่อนสิ้นปีนี้

สว.ของพรรครีพับลิกันทุกคนโหวตคว่ำร่างงบประมาณมอบความช่วยเหลือชุดใหม่แก่ยูเครนและอิสราเอล เช่นเดียวกับนายเบอร์นี แซนเดอร์ส สว.อิสระที่มักโหวตเห็นชอบกับพรรคเดโมแครตแต่ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณที่ว่านี้ โดยเขาเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการให้งบสนับสนุนยุทธวิธีทางทหารที่ไร้มนุษยธรรมของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ในขณะนี้

นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาสูงจากพรรคเดโมแครตก็ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณฉุกเฉินฉบับนี้เช่นกัน เพื่อที่เขาจะสามารถเสนอร่างงบประมาณดังกล่าวได้อีกครั้งในอนาคต โดยภายหลังการโหวต ชูเมอร์ได้กล่าวถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นหากยูเครนพ่ายแพ้สงคราม โดยกล่าวว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าตึงเครียดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปในระยะยาวตลอดช่วงศตวรรษที่ 21 และเสี่ยงที่จะทำให้ระบอบประชาธิปโตยของชาติตะวันตกอาจเสื่อมถอยลง

ขณะที่ฝ่ายพรรครีพับลิกันให้ความเห็นว่าการเพิ่มความรัดกุมให้กับนโยบายการเข้าเมืองและการควบคุมพรมแดนทางตอนใต้ของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ และถึงแม้ร่างงบประมาณฉุกเฉินฉบับดังกล่าวจะผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภา แต่มันจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ซึ่งสมาชิกของรีพับลิกันหลายคน รวมถึงนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาล่าง ไม่เห็นด้วยที่จะมอบความช่วยเหลือให้กับยูเครนเพิ่ม

‘รมว.พาณิชย์สหรัฐ’ เล็งกีดกัน ‘Huawei - SMIC’ ขั้นสุด อ้าง!! ความมั่นคงของชาติ หลัง Huawei ผลิตชิปล้ำหน้า

(12 ธ.ค.66) นางจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐกล่าวว่า สหรัฐจะดำเนินการอย่างเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ หลังจากถูกผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงพาณิชย์สหรัฐมีแผนจะจัดการกับความก้าวหน้าล่าสุดในเทคโนโลยีการผลิตชิปของจีนอย่างไร

“เมื่อใดก็ตามที่พบเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าเป็นกังวล เราก็จะตรวจสอบเรื่องนั้นอย่างจริงจัง” นางไรมอนโด กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันจันทร์ (11 พ.ย.) พร้อมเสริมว่าความคืบหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดของจีนนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับสหรัฐ

ความคิดเห็นของนางไรมอนโดมีขึ้นหลังจากที่หัวเว่ย เทคโนโลยีของจีน ประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงในการพัฒนาสมาร์ตโฟนที่ใช้โปรเซสเซอร์ขั้นสูง โดยหัวเว่ย ซึ่งถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ ได้ร่วมมือกับหุ้นส่วนอย่างบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน (SMIC) ซึ่งเป็นผู้ชิปชั้นนำของจีน ในการผลิตโปรเซสเซอร์ดังกล่าว โดยสมาร์ตโฟนหัวเว่ย Mate Pro 60 ที่วางจำหน่ายเมื่อเดือนส.ค. นับเป็นความท้าทายต่อสมาร์ตโฟนไอโฟน (iPhone) ของบริษัทแอปเปิ้ล และแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการผลิตของหัวเว่ยนั้นมีความก้าวหน้ามากกว่าที่คาดคิดไว้

ทั้งนี้ นางไรมอนโดกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นจากบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งกล่าวว่าชิปที่ SMIC ผลิตให้กับหัวเว่ยนั้น นับเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐที่มีต่อหัวเว่ยอย่างชัดเจน และสหรัฐควรดำเนินการตอบโต้อย่างเด็ดขาดด้วยการกีดกันทั้งสองบริษัทไม่ให้เข้าถึงซัพพลายเออร์ทั้งหมดในอเมริกาได้โดยสิ้นเชิง

‘Tesla’ เรียกคืนรถกว่า 2 ล้านคันในสหรัฐฯ หลังพบข้อบกพร่องของระบบ ‘Autopilot’

(14 ธ.ค.66) รอยเตอร์ รายงานว่า เทสลา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เรียกคืนรถยนต์เทสลามากกว่า 2 ล้านคัน หลังจากหน่วยงานความปลอดภัยทางหลวงของสหรัฐ (เอ็นเอชทีเอสเอ) พบว่าระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ หรือ ออโต้ไพลอต มีข้อบกพร่องบางส่วน

การเรียกคืนดังกล่าว มีผลกับเทสลาเกือบทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่เปิดตัวด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติ หรือ Auto pilot ในปี 2558 รายงานระบุด้วยว่า หน่วยงานความปลอดภัยทางหลวง ใช้เวลา 2 ปี ในการตรวจสอบเหตุเทสลาชนจำนวน 956 คัน เกิดขึ้นเมื่อใช้เทคโนโลยีออโตไพลอต

โดยเทสลาเตรียมจะเรียกคืนรถยนต์ 193,000 คันในแคนาดา หลังจากเรียกคืนรถยนต์ในสหรัฐ

“เทคโนโลยีอัตโนมัติถือเป็นคำมั่นสัญญาที่ดีในการปรับปรุงความปลอดภัยของต่อเมื่อใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบเท่านั้น” หน่วยงานความปลอดภัยทางหลวงระบุในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่าจะตรวจสอบซอฟต์แวร์ของเทสลาต่อไปเมื่อมีการอัปเดต

ขณะเดียวกันเทสลาไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของหน่วยงานความปลอดภัยทางหลวง แต่ตกลงที่จะเพิ่มคุณสมบัติใหม่เพื่อแก้ไขข้อกังวล รวมทั้งตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดใช้คุณสมบัติการขับขี่ด้วยตนเอง

การเรียกคืนครั้งนี้เกิดขึ้น หนึ่งสัปดาห์หลังจากอดีตพนักงานของ Tesla บอกกับ BBC ว่าเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีดังกล่าวไม่ปลอดภัย

‘พิพิธภัณฑ์มะกัน’ จ่อคืนโบราณวัตถุ 16 ชิ้น ให้ ‘ไทย-เขมร’ หลังพบเป็นของที่ถูกโจรกรรมมาอย่างผิดกฎหมาย

(16 ธ.ค.66) บีบีซี รายงานว่า สำนักงานอัยการในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The Met) ร่วมแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ว่ากำลังเตรียมการส่งคืนโบราณวัตถุ 16 ชิ้นให้กัมพูชาและไทย

หลังตรวจพบว่าโบราณวัตถุชุดนี้ถูกโจรกรรมมาอย่างผิดกฎหมายโดยนายดักลาส แลตช์ฟอร์ด พ่อค้างานศิลปะชาวอังกฤษ ซึ่งถูกตั้งข้อหาจัดตั้งเครือข่ายค้าโบราณวัตถุขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2562

ด้านอัยการระบุด้วยว่าการตัดสินใจส่งคืนเป็นความสมัครใจของพิพิธภัณฑ์ ขณะที่นางเอริน คีแกน เจ้าหน้าที่พิเศษประจำกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ กล่าวว่าโบราณวัตถุถูกขโมยไปอย่างไร้ยางอาย ในจำนวนนี้เป็นประติมากรรมเขมร 14 ชิ้นจะถูกส่งกลับไปยังกัมพูชา และอีก 2 ชิ้นจะถูกส่งให้ประเทศไทย

รายงานระบุอีกว่าโบราณวัตถุและงานศิลปะชุดนี้อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 9-14 ในสมัยเมืองพระนคร (Angkorian period) ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลทางพุทธศาสนาและฮินดูในพื้นที่ดังกล่าว

ตามการระบุของพิพิธภัณฑ์ยังพบว่างานศิลปะหลายสิบชิ้นที่ถูกขโมยไปโดยนายแลตช์ฟอร์ดซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2563 ระหว่างเผชิญการฟ้องร้องดำเนินคดี ได้รับการติดตามและกู้คืนโดยเจ้าหน้าที่สืบสวนของสหรัฐและสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

‘หญิงสหรัฐฯ’ ตั้งท้องลูก 2 คน จุดพีก!! อยู่คนละมดลูก ทำให้ทีมแพทย์ต้องทำงานหนัก 20 ชั่วโมงในวันคลอด

(24 ธ.ค.66) เคลซีย์ แฮทเชอร์ วัย 32 ปี ชาวสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเองตั้งครรภ์อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา และผลการตรวจก็ทำให้แพทย์ประจำตัวของเธอต้องช็อก

เพราะคุณแม่รายนี้มีลูกมาแล้ว 3 คน ใครๆ ก็คิดว่าท้องที่ 4 ของเธอคงจะเป็นเรื่องชิลๆ ที่รับมือง่าย แต่ใครจะคิดว่าการอัลตราซาวนด์ครั้งแรกของเธอจะพบสิ่งที่หายากหนึ่งในล้าน

ย้อนกลับไปตอนที่ เคลซีย์ อายุ 17 ปี เธอได้รับการวินิจฉัยว่ามีมดลูกแฝด (uterus didelphys) เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นได้ยากในผู้หญิงประมาณร้อยละ 0.3

และเพราะแบบนั้น เคลซีย์ จึงใส่ใจทุกการตั้งครรภ์ เนื่องจากคนที่มดลูดแฝดเสี่ยงแท้งได้ง่ายกว่าคนปกติการตรวจทำให้แพทย์พบว่า เคลซีย์ กำลังตั้งครรภ์ลูก 2 คน โดยเด็กอยู่กันคนละมดลูก

วันกำหนดคลอดกลายเป็นงานหินที่สุดของคุณแม่รายนี้และทีมแพทย์ เพราะกรณีของเธอเกิดขึ้นไม่บ่อยนักและมีความเสี่ยงสูง ทีมแพทย์ต้องทำงานกันนานถึง 20 ชั่วโมงเลยทีเดียว

เธอให้กำเนิดลูกสาว 2 คน ห่างกันคนละ 10 ชั่วโมง คนแรก คลอดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 19.45 น. คนที่สองคลอด วันที่ 20 ธันวาคม เวลา 06.10 น.

สำหรับ เคลซีย์ และครอบครัวของเธอ การตั้งครรภ์นี้น่าอัศจรรย์ พวกเขาต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า เธอมีลูกพร้อมกัน 2 คน และทั้งคู่เกิดกันคนละวัน

คุณแม่ลูก 5 กล่าวว่า “เราไม่เคยฝันถึงเรื่องบ้าระห่ำนี้เลย เราไม่สามารถวางแผนการตั้งครรภ์และการคลอดแบบนี้ได้ แต่การนำเด็กทารกหญิงสองคนที่มีสุขภาพแข็งแรงเข้ามาในโลกนี้อย่างปลอดภัยนั้นเป็นเป้าหมายเสมอ

มันดูเหมาะสมที่พวกเขาจะมีวันเกิดสองวันเกิด พวกเขาทั้งสองมี ‘บ้าน’ เป็นของตัวเอง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีเรื่องราวการเกิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง”

‘Vasily Arkhipov’ ทหารเรือชาวโซเวียตแห่งวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ผู้ใช้สติยับยั้งสงครามนิวเคลียร์ และช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากวันสิ้นโลก

‘Vasily Arkhipov’ ผู้ที่ช่วยให้โลกใบนี้รอดพ้นจากสงครามนิวเคลียร์

‘มนุษย์’ หรือ ‘Homo sapiens’ ดำรงอยู่เผ่าพันธุ์บนโลกมาประมาณ 300,000 ปี หรือมากกว่า 109 ล้านวัน แต่วันที่อันตรายที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นวันที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์น่าจะเข้าใกล้ความหายนะยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ชนิดที่เรียกว่า ‘เกือบล้างโลก’ นั้น เกิดขึ้นเมื่อ 61 ปีที่แล้ว ในวันที่ 27 ตุลาคม 1962 และบุคคลที่น่าจะทำหน้าที่ช่วยโลกให้รอดพ้นจากหายนะมากกว่าใคร ๆ ก็คือ ‘Vasily Aleksandrovich Arkhipov’ นายทหารเรือโซเวียตผู้ที่มีชีวิตอย่างเงียบสงบและเรียบง่าย

Arkhipov เกิดในครอบครัวชาวนาในเมือง Staraya Kupavna ใกล้กับกรุงมอสโก เขาได้รับการศึกษาในโรงเรียนทหารเรือชั้นสูง ‘Pacific Higher’ และเข้าร่วมสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 โดยปฏิบัติหน้าที่บนเรือกวาดทุ่นระเบิด จากนั้นเขาไปเรียนที่โรงเรียนทหารเรือชั้นสูง ‘Azerbaijan’ และสำเร็จการศึกษาในปี 1947

รัศมีการยิงของขีปนาวุธสหภาพโซเวียตจากคิวบา

ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ชายผู้นี้เป็นผู้หยุดยั้งวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาไม่ให้กลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ อันที่จริงแล้ว Vasily Arkhipov น่าจะเป็น ‘บุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่’ เขาเป็นต้นเรือ (Executive officer) แห่งเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ B-59 ของโซเวียต (Hotel-class ballistic missile submarine K-19) ปฏิเสธที่จะเห็นชอบกับคำสั่งของกัปตันที่ให้ยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ใส่เรือรบสหรัฐฯ อันจะเป็นการจุดชนวนสิ่งที่อาจก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างมหาอำนาจได้

ในวันนั้น Arkhipov ต้นเรือประจำเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ B-59 ของสหภาพโซเวียตแล่นอยู่ในน่านน้ำสากลใกล้คิวบา ในช่วงที่ความตึงเครียดของวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาถึงจุดสูงสุด ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเครื่องบินสอดแนม U-2 ของสหรัฐฯ ถ่ายภาพหลักฐานการสร้างฐานขีปนาวุธขึ้นใหม่ในคิวบา ปรากฏว่า ที่ปรึกษาทางทหารโซเวียตกำลังช่วยสร้างฐานยิงดังกล่าว ซึ่งสามารถยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปยังแผ่นดินสหรัฐอเมริกาที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึง 100 ไมล์ได้อย่างง่ายดาย และสหรัฐฯ อาจไม่สามารถป้องกันได้

เรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ B-59 ของสหภาพโซเวียต

นั่นจึงนำไปสู่การเผชิญหน้าที่ร้ายแรงที่สุดของสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต เป็นเวลา 13 วันแห่งความเสี่ยงสูงระหว่าง 2 มหาอำนาจนิวเคลียร์ ที่ดูเหมือนกำลังจะกลายเป็นก้าวที่ย่างพลาด

เริ่มต้นจาก ‘John F. Kennedy’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น ออกคำสั่งในสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘การปิดล้อมคิวบา’ โดยตั้งกองเรือรบนอกชายฝั่งของเกาะ เพื่อป้องกันไม่ให้เรือสินค้าโซเวียต ซึ่งบรรทุกขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ไปยังคิวบา และเรียกร้องให้สหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธที่ติดตั้งในคิวบา

ในวันที่ 27 ตุลาคม 1962 เรือดำน้ำ B-59 ของโซเวียตซึ่งดำอยู่ใต้น้ำมาหลายวัน ถูกไล่ต้อนโดยเรือพิฆาตสหรัฐฯ 11 ลำ และ ‘USS Randolph’ เรือบรรทุกเครื่องบิน โดยเรือรบของสหรัฐฯ ได้เริ่มทิ้งระเบิดน้ำลึกรอบ ๆ เรือดำน้ำ

จุดจบในกรณีนี้ ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของเรือดำน้ำและลูกเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโลกทั้งใบด้วย ด้วยพวกเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จึงขาดการติดต่อทางวิทยุกับมอสโก ตัวเรือถูกกระแทกด้วยแรงอัดจากการระเบิดของระเบิดน้ำลึก เครื่องปรับอากาศพังเสียหาย อุณหภูมิและระดับคาร์บอนไดออกไซด์ของเรือที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และข้อสรุปที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่ประจำเรือดำน้ำ B-59 ก็คือ ‘สงครามโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว’ แต่สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายสหรัฐฯ ไม่รู้ คือ เรือดำน้ำ B-59 มีอาวุธ คือ ‘ตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์’ ขนาด 10 กิโลตัน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรือได้รับอนุญาตจากมอสโกให้ยิงมันได้โดยไม่ต้องได้รับการยืนยัน

เรือรบสหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดน้ำลึกใกล้เรือดำน้ำ B-59 เพื่อพยายามบังคับให้มันขึ้นสู่ผิวน้ำ และนายทหารระดับสูงของเรือ 2 คน ตกลงตัดสินใจที่จะใช้ ‘ตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์’ ทำลายเรือรบสหรัฐฯ แต่ Arkhipov ต้นเรือปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับคำสั่งใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมเป็นเอกฉันท์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำเรือ 3 คน แม้ว่าเหตุผลทุกประการที่เชื่อได้ว่า เรือรบสหรัฐฯ กำลังพยายามจะจมพวกเขา

“พวกเราต่างพากันคิดว่า จุดจบมันก็คงแค่นี้แหละ” ‘Vadim Orov’ ลูกเรือของเรือดำน้ำ B-59 ให้สัมภาษณ์กับทาง ‘National Geographic’ ในปี 2016 “เรารู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในถังโลหะซึ่งมีคนใช้ค้อนทุบอยู่ตลอดเวลา”

แม้กระทั่ง ‘Valentin Savitsky’ กัปตันเรือ ซึ่งตามรายงานจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ บอกว่า เขาพูดออกมาว่า “เราจะต้องระเบิดพวกมันเดี๋ยวนี้!! ไม่งั้นเราจะตาย แต่เราจะจมพวกมันทั้งหมด เราจะไม่ยอมกลายเป็นความอับอายของกองทัพเรือแห่งสหภาพโซเวียต”

เรือดำน้ำ B-59 กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ มุ่งหน้าออกจากคิวบา และแล่นกลับไปยังสหภาพโซเวียต

โชคดีที่ไม่ใช่เพียงแค่ดุลยพินิจของกัปตันแต่เพียงผู้เดียว ในการยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ แต่เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำเรือดำน้ำทั้ง 3 คน ต้องเห็นด้วยทั้งหมด และ Vasily Arkhipov ต้นเรือวัย 36 ปี ได้ปฏิเสธที่จะให้ความยินยอม เขาโน้มน้าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรือดำน้ำอีก 2 คนว่า แท้จริงแล้วการทิ้งระเบิดน้ำลึกของเรือรบสหรัฐฯ เป็นการกระทำเพื่อส่งสัญญาณให้เรือดำน้ำ B-59 ขึ้นสู่ผิวน้ำ เพราะเรือรบของสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะติดต่อสื่อสารกับเรือดำน้ำโซเวียตได้

ดังนั้น หากพวกเขายิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ จะเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุด ในที่สุดแล้วเรือดำน้ำ B-59 ต้องกลับขึ้นสู่ผิวน้ำและเดินทางมุ่งหน้าออกจากคิวบา เพื่อแล่นกลับไปยังสหภาพโซเวียต

นาวาอากาศตรี ‘Rudolf Anderson’ นักบิน U-2 ของสหรัฐฯ เป็นผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียวในวิกฤติครั้งนั้น

ความกล้าหาญด้วยความเยือกเย็นของ Arkhipov ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ในวันเดียวกันนั้นเอง นาวาอากาศตรี ‘Rudolf Anderson’ นักบิน U-2 ของสหรัฐฯ ก็ถูกยิงตกและเสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเหนือคิวบา Anderson เป็นผู้เสียชีวิตรายแรกและรายเดียวในวิกฤติอันเป็นเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ได้ หากประธานาธิบดี Kennedy ไม่ได้สรุปว่า ‘Nikita Sergeyevich Khrushchev’ นายกรัฐมนตรีโซเวียต ไม่ได้เป็นผู้ออกคำสั่งให้ยิงเครื่องบิน U-2 ของสหรัฐฯ

‘John F. Kennedy’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ ‘Nikita Khrushchev’ นายกรัฐมนตรีโซเวียต

การติดต่อพูดคุยอย่างใกล้ชิดครั้งนั้น ทำให้ผู้นำทั้ง 2 ต่างสงบสติอารมณ์ลง พวกเขาเปิดการเจรจาแบบ Backchannel ซึ่งท้ายที่สุด จึงนำไปสู่การถอนขีปนาวุธในคิวบาของสหภาพโซเวียต และการถอนขีปนาวุธของสหรัฐฯ ในตุรกีในเวลาต่อมาเพื่อเป็นการตอบแทน และถือเป็นการสิ้นสุดของการเข้าใกล้จุดจบของโลก ด้วยสงครามนิวเคลียร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาจนถึงทุกวันนี้

การกระทำของ Arkhipov สมควรได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ เพราะ Arkhipov ติดอยู่ในเรือดำน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยดีเซล ซึ่งอยู่ห่างจากมาตุภูมิหลายพันไมล์ เขาถูกแรงกระแทกจากระเบิดลึกซึ่งอาจทำให้ลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมดได้ หากเขายอมรับการตัดสินใจยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ ก็อาจจะทำให้กองเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ กลายเป็นจุล และคร่าชีวิตลูกเรืออเมริกันอีกหลายพันคน ซึ่งนั่นอาจทำให้ประธานาธิบดี Kennedy และนายกรัฐมนตรี Khrushchev ไม่สามารถถอยออกจากขอบเหวแห่งหายนะนี้ได้ และวันที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ มนุษยชาติ อาจเป็นวันสุดท้ายของพวกเราทุกคน

‘Elena’ ผู้เป็นลูกสาว และ ‘Sergei’ หลานชายของ Vasily Arkhipov กับรางวัล ‘The Future of Life Award’

สำหรับความกล้าหาญของเขา จึงทำให้ในปี 2017 Arkhipov เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัล ‘Future of Life’ จาก ‘Future of Life Institute’ (FLI) องค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเคมบริดจ์ โดย Arkhipov เสียชีวิตลงเมื่อปี 2008 ก่อนที่จะมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวการกระทำของเขา จนกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

ซึ่ง ‘Max Tegmark’ ประธาน FLI กล่าวในพิธีมอบรางวัลนี้ ว่า “Vasily Arkhipov อาจเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่”

ระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945

นับตั้งแต่การทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ก็ไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามอีกเลย แต่ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียทวีความรุนแรงขึ้นจากสงครามในยูเครน จนเริ่มมีการนำประเด็นการใช้อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมากล่าวถึง

มนุษยชาติจะต้องตระหนักรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของ ‘วันสิ้นโลก’ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากอาวุธเหล่านี้ให้ดี ดังเช่น ‘Vasily Arkhipov’ ผู้ซึ่งในช่วงเวลาของการตัดสินใจ ในความเป็นและความตายนั้น เขาตัดสินใจเลือกให้มนุษยชาติ มีชีวิตอยู่มากกว่าการสูญสลายไปจนหมดสิ้น

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

3 มกราคม ค.ศ. 1959 ‘รัฐอะแลสกา’ ถูกยกให้เข้าเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหมุดหมายที่หลายคนอยากมา

‘อะแลสกา’ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซียเมื่อในอดีต เป็นดินแดนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ กระทั่งราวปี ค.ศ. 1867 อะแลสกาก็ได้กลายไปเป็นของสหรัฐอเมริกา ในเวลานั้นชาวอเมริกันเอง ต่างพากันแปลกใจที่รัฐบาลใช้เงินซื้อพื้นที่ที่ไกลแสนไกล แถมยังร้างไร้ผู้คน หนำซ้ำยังมีแต่ก้อนน้ำแข็ง

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป อะแลสกากลายเป็นดินแดนแห่งความหวัง เริ่มมีการค้นพบทองคำ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติมากมาย พื้นที่แห่งนี้ค่อย ๆ ถูกยกระดับจากทางการสหรัฐฯ กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1959 (หรือราวปี พ.ศ. 2502) อะแลสกาก็ถูกยกสถานะให้กลายเป็น ‘รัฐที่ 49’ ของประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

เสน่ห์ของรัฐอะแลสกา คือความเป็นอเมริกาที่ไม่ใช่อเมริกา ด้วยพื้นเพของผู้คนดั้งเดิมในพื้นที่นั้นเป็นชาวเอเชียที่มาตั้งรกรากอยู่เมื่อกว่า 10,000 ปีก่อน จึงทำให้ผู้คนที่นี่มีลักษณะที่ต่างจากชาวอเมริกันออกไป มากไปกว่านั้น คือพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล (เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา) ที่นี่จึงเต็มไปด้วยธรรมชาติอันหลากหลาย เป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักเดินทางทั่วโลกที่อยากมาเยือนให้ได้สักครั้ง

‘SpaceX’ ลุยส่ง ‘ดาวเทียม’ ชุดแรกขึ้นวงโคจร หวังส่งสัญญาณโทรศัพท์มาสู่สมาร์ทโฟนโดยตรง

(4 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ ‘SpaceX’ ส่งดาวเทียมชุดแรกขึ้นสู่วงโคจร เพื่อเตรียมส่งสัญญาณโทรศัพท์สู่สมาร์ทโฟนโดยตรง โดยมีเนื้อหาดังนี้…

T-Mobile บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ ประกาศว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX ได้ส่งดาวเทียม 6 ดวง ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งเป็นดาวเทียมชุดแรกที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณโทรศัพท์ตรงสู่พื้นโลกไปที่อุปกรณ์สมาร์ทโฟน

เป้าหมายคือการเชื่อมต่อผู้ใช้งานแบบ Direct to Cell (D2C) ให้ได้ทุกที่ในโลก แม้อยู่ในจุดที่ไม่มีสัญญาณ โดยนอกจาก T-Mobile แล้ว SpaceX ยังร่วมทดสอบบริการนี้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์อีก 6 ราย ใน 6 ประเทศ ได้แก่ Optus (ออสเตรเลีย), Rogers (แคนาดา), One NZ (นิวซีแลนด์), KDDI (ญี่ปุ่น), Salt (สวิตเซอร์แลนด์) และ Entel (ชิลี)

D2C ในช่วงแรกจะทดสอบด้วยการส่งข้อความตัวหนังสือก่อน จากนั้นจึงขยายมาทดสอบบริการคุยเสียง และการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ด้าน ‘Elon Musk’ CEO ของ SpaceX ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน X ของเขาว่า การส่งลำแสงจากดาวเทียมแต่ละครั้งรองรับข้อมูลประมาณ 7Mb ทำให้เป็นทางออกที่ดีในพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่ยังห่างไกลจากการเป็นคู่แข่งผู้ให้บริการเครือข่ายภาคพื้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top