Sunday, 8 June 2025
รัสเซีย

'สายลับยุโรป' แฉ!! 'รัสเซีย' ซุ่มพัฒนาโดรนโจมตีระยะไกลในจีน 'ชาติตะวันตก' เต้น!! กดดันจีนยุติการสนับสนุนรัสเซียทุกมิติ

สำนักข่าว Reuters อ้างอิงแหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรองยุโรป เปิดเผยว่า รัสเซียกำลังใช้โรงงานจีนผลิตโดรนโจมตีระยะไกลรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับใช้ในสงครามยูเครน

โดย IEMZ Kupol บริษัทย่อยของ Almaz-Antey ผู้ผลิตอาวุธของรัฐบาลรัสเซียได้พัฒนา และ ทดสอบโดรนโจมตีรุ่นใหม่ล่าสุด Garpiya-3 (G-3) ที่ออกแบบ และ ผลิตในจีน อ้างอิงจากรายงานความคืบหน้าของโครงการจาก Kupol บริษัทผู้ผลิตถึงกระทรวงกลาโหมรัสเซียตั้งแต่ต้นปี 2024 ที่ผ่านมา

ข้อมูลเบื้องต้นในเอกสารของ Kupol ระบุว่า G-3 สามารถบินได้ไกลราว ๆ 2,000 กิโลเมตร สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 50 กิโลกรัม ซึ่งตัวอย่างโดรน G-3 จำนวน 2 ลำ และ โดรนโจมตีรุ่นอื่น ๆ อีก 7 ลำ ที่ผลิตจากโรงงานแห่งหนึ่งในจีนได้ถูกจัดส่งมายังเมืองอีเจฟสค์ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ IEMZ Kupol เพื่อ ทดสอบการบินในรัสเซียเรียบร้อยแล้ว พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากจีน แต่ไม่มีหลักฐานระบุได้ว่า "ผู้เชี่ยวชาญจากจีน" คนนั้นคือใคร 

นอกจากนี้ยังมีเอกสารอีกฉบับ ซึ่งเป็นใบแจ้งหนี้ที่ส่งไปยัง Kupol ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา จากซัปพลายเออร์จีน ที่ระบุให้ชำระหนี้เป็นเงินหยวน แต่ไม่ได้ลงวันที่จัดส่ง หรือแม้แต่ชื่อของบริษัทซัพพลายเออร์ แต่ก็ถือเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกว่ามีการจัดส่งยานไร้คนขับทั้งระบบจากจีนไปยังรัสเซีย 

เมื่อมีการสอบถามไปทางรัสเซีย ทั้ง Kupol หรือ บริษัทแม่อย่าง Almaz-Antey และกระทรวงกลาโหมรัสเซียต่างปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในข่าวที่ออกมา ส่วนกระทรวงการต่างประเทศจีนปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาโดรนรัสเซียในประเทศจีน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลปักกิ่งมีมาตรการควบคุมในการส่งออกโดรนหรือยานพาหนะไร้คนขับออกนอกประเทศอย่างเข้มงวด

ฟาเบียน ฮินซ์ นักวิจัยจากสถาบันการศึกษาเชิงกลยุทธ์ระหว่างประเทศแห่งลอนดอน ชี้ให้ตรวจสอบการส่งมอบยานพาหนะไร้คนขับจากจีนไปยังรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา เพื่อยืนยันข้อมูลชิ้นสำคัญจากหน่วยข่าวกรองนี้ ซึ่งจากเอกสารที่เปิดเผยได้ระบุ มีการส่งชิ้นส่วนอาวุธจากจีนไปรัสเซียจริง เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง หรือเป็นส่วนประกอบที่นำมาใช้ในระบบอาวุธ แต่ยังเห็นการส่งมอบระบบอาวุธทั้งชิ้นไปยังรัสเซีย แต่นั่นคือข้อมูลในเอกสารที่เปิดเผยได้เท่านั้น

ด้านสภาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว ก็แสดงความวิตกต่อรายงานจากสำนักข่าว Reuters ในประเด็นที่มีบริษัทจีนให้ความช่วยเหลือรัสเซียในโครงการพัฒนาอาวุธร้ายแรง แม้จะรู้ว่าเป็นชาติที่ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกา 

ถึงตอนนี้รัฐบาลจีนอาจจะยังไม่ตระหนักว่ามีธุรกรรมที่เชื่อมโยงระหว่างบริษัทจีนและรัสเซีย แต่รัฐบาลวอชิงตันย้ำว่า จีนมีหน้าที่รับผิดชอบว่าจะไม่มีบริษัทใด ๆ ของจีนให้ความช่วยเหลือ หรือเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธที่จะถูกส่งไปใช้ในกองทัพรัสเซีย 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษก็ออกมาเรียกร้องเช่นกัน ให้จีนยุติการสนับสนุนทั้งด้านการทูต และ วัตถุดิบที่จะนำไปใช้ในสงครามของรัสเซีย และหากข้อมูลโครงการพัฒนาโดรนของรัสเซียในจีนเป็นความจริง เท่ากับว่าบริษัทจีนกำลังสนับสนุนการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งขัดแย้งกับคำประกาศของรัฐบาลจีนก่อนหน้านี้ว่าจะไม่จัดหาอาวุธให้กับคู่ขัดแย้งในสงครามยูเครน

ทว่ากระทรวงการต่างประเทศจีนยังคงยืนกรานปฏิเสธความเกี่ยวข้องระหว่างบริษัทจีน และ กองทัพรัสเซีย โดยเน้นย้ำว่าจีนยังคงวางตัวเป็น กลางในสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน 

แต่ทั้งนี้ 'จีน - รัสเซีย' ไม่ได้มีข้อจำกัดทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งบริษัท Kupol ในรัสเซียนั้นผลิตโดรนรุ่น Garpiya-A1 ที่เป็นโดรนโจมตีระยะไกลโดยใช้ชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตในจีน แต่ด้วยภาวะสงครามคุกรุ่นระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ทำให้ทั้ง 2 ชาติต่างแข่งขันในการผลิตโดรนทหารที่เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงในสงครามครั้งนี้

เดวิด อัลไบรท์ อดีตผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติ ที่เฝ้าดูความร่วมมือของ จีน-รัสเซีย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทผู้ผลิตอาวุธรัสเซียจะใช้โรงงานในจีนเป็นฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก และ ยังสามารถเข้าถึงชิป และ เทคโนโลยีอาวุธขั้นสูงจากจีนได้

และจากรายงานของ Kupol กล่าวว่า G-3 เป็นโดรนรุ่นอัปเกรดของ Garpiya-A1 ได้รับการออกแบบใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญชาวจีน และในอีก 8 เดือนข้างหน้า อาจมีการสร้างยานไร้คนขับอีกรุ่นที่ชื่อว่า REM-1 ที่มีน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 400 กิโลกรัม ที่จะมีระบบใกล้เคียงกับ โดรน Reaper ของกองทัพสหรัฐฯ 

ในขณะเดียวกัน สื่อรัสเซียเปิดเผยชื่อบริษัทจีน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาโดรนรัสเซียชื่อว่า  Redlepus TSK Vector Industrial ที่มีสำนักงานในเมืองเซินเจิ้น และยังมีเอกสารแสดงรายละเอียดการสร้างศูนย์วิจัยและผลิตโดรนรัสเซีย-จีนในเขตเศรษฐกิจพิเศษคัชการ์ ในมณฑลซินเจียงของจีน ที่จะสามารถผลิตโดรนได้ 800 ลำต่อปี แต่เอกสารลับไม่ได้บอกว่าศูนย์ที่คัชการ์จะเปิดได้เมื่อใด

อย่างไรก็ดี Redlepus TSK Vector ของจีนได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว หรือแม้แต่สำนักข่าว Reuters ก็ไม่สามารถยืนยันที่มาของข้อมูลนี้ที่อ้างอิงโดยสื่อรัสเซียเช่นกัน

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#6 ศักยภาพหนักๆ จาก ‘อาวุธเบา’ ที่เกรด NATO ยังชิดซ้าย

วันที่สองของงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ARMY-2024 (13 สิงหาคม) วันนี้ช่วงเช้าเป็นการเยี่ยมชมการแสดง การสาธิต และการทดสอบการยิงอาวุธเบาด้วยกระสุนจริงและกระสุนซ้อมยิง (ในกรณีของเครื่องยิงลูกระเบิด) ของบริษัท High-Precision Weapons holding ณ สนามยิงปืนซึ่งตั้งอยู่ภายในอนุสรณ์สถาน Patriot park เป็นสนามยิงปืนขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว่า 160 เฮกตาร์ (1.6 ตารางกิโลเมตร) ด้านหน้าเป็นอาคารนิทรรศการแสดงอาวุธขนาดเบาที่ผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ ภายใต้บริษัท High-Precision Weapons holding (ตามที่ได้เล่าไว้ใน EP.5) มีทั้งอาวุธ ปืนพก ปืนเล็กยาวจู่โจม ปืนซุ่มยิง ปืนกลเบา และเครื่องยิงลูกระเบิด ฯลฯ

อาวุธปืน Sniper ชนิดต่าง ๆ  มีทั้งใช้กระสุนรัสเซียขนาด 7.62x54R ม.ม. และกระสุน NATO ขนาด 7.62x51 ม.ม. (.308) 

ปืนกลมือ PP-2000 ขนาด 9x19 ม.ม. 

เครื่องยิงลูกระเบิด GM-94 ขนาด 43×30 ม.ม.

เครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติ AGS-30 ขนาด 30×29 ม.ม. อาวุธเบาชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ ภายใต้บริษัท High-Precision Weapons holding

แต่ก่อนผู้เขียนเข้าใจว่าอาวุธขนาดเบาที่ผลิตในสหพันธรัฐรัสเซียออกแบบและผลิตโดยบริษัท Kalashnikov Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนตระกูล AK แต่อันที่จริงแล้ว อาวุธเบาชนิดและแบรนด์อื่น ๆ นั้นถูกผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ ภายใต้บริษัท High-Precision Weapons holding หลังจากการแนะนำอาวุธปืนแบบต่าง ๆ แล้ว คณะก็ถูกพามายังสนามยิงปืนซึ่งอยู่ติดกัน และถูกจัดแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 5 คนเพื่อรับแจกแว่นตาและที่ครอบหูลดเสียงก่อนที่จะทดลองยิงอาวุธปืนชนิดต่าง ๆ 

ทดสอบปืนพก GSH-18 ขนาด 9x19 ม.ม. 5 นัด 
ระบบปฏิบัติการแบบเข็มพุ่งคล้ายปืน GLOCK แต่ไกหนักไปหน่อย
 

ทดสอบเครื่องยิงลูกระเบิด GM-94 ขนาด 43×30 ม.ม. 1 นัด
แต่เป็นกระสุนซ้อมยิงไม่มีระเบิด โดยยิงไปยังเป้าเหล็กสีน้ำเงิน (ยิงโดนครับ)

ทดสอบปืน Sniper OSV-96 ขนาด 12.7x108 ม.ม. 1 นัด

กระสุน 12.7 ม.ม. รัสเซีย (ขวา) และ NATO (ซ้าย) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากัน
แต่ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะกระสุนรัสเซียยาว 108 ม.ม. แต่ NATO ยาวเพียง 99 ม.ม. 

โดยเป้าคือ รถหุ้มเกราะที่ระยะ 800 เมตร

ยิงโดนครับ ก็...เป้าใหญ่ซะขนาดนั้น

ทดสอบปืนเล็กยาวจู่โจม ADS ขนาด 5.45x39 ม.ม. 5 นัด
ผู้ผลิตบอกว่า ปืนรุ่นนี้สามารถลงน้ำแล้วเอาขึ้นมายิงได้เลย

ทดสอบเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติ AGS-30 ขนาด 30×29 ม.ม. 3 นัด
แต่เป็นกระสุนซ้อมยิงไม่มีระเบิด

ความต่อเนื่องยาวนานของอุตสาหกรรมอาวุธปืนของสหพันธรัฐรัสเซียนับตั้งแต่จักรวรรดิรัสเซียยาวนานกว่า 200 ปี ผ่านการทำสงครามมากมายหลายครั้ง จึงทำให้พัฒนาการด้านการออกแบบและผลิตอาวุธปืนของรัสเซียมีความก้าวหน้ามาโดยตลอด แม้กระทั่งปืนเพื่อการกีฬาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศตะวันตกเลย

นอกจากนั้นแล้ว ปืนกีฬาที่ผลิตโดยรัสเซียสามารถชนะเลิศในการแข่งขันระดับโลกทั้งโอลิมปิกและ World Champion มากมายหลายครั้ง อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมของรัสเซีย (รวมทั้งเลียนแบบ) เป็นอาวุธปืนที่มียอดรวมการผลิตสูงที่สุดในโลก ด้วยประสิทธิภาพในเรื่องความแม่นยำ ความแข็งแรง ความทนทาน และระบบปฏิบัติการ 

แต่ก็น่าเสียดายที่อาวุธปืนที่ผู้เขียนได้ไปทดสอบ ยังไม่มีโอกาสเข้ามาใช้งานในบ้านเรา เพราะหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยยังคงเชื่อมั่นในอาวุธปืนของประเทศตะวันตกมากกว่า รวมทั้งการยึดติดกับคำว่า ‘มาตรฐาน NATO’ ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติการพิเศษของกองทัพรัสเซียในยูเครนแสดงให้เห็นถึงเศษซากและความเสียหายของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ชาติสมาชิก NATO ส่งไปสนับสนุนยูเครนมากมาย 

ดังนั้นสิ่งซึ่งกองทัพควรพิจารณาคือ การบริหารความสมดุลของการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากค่ายต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่าสูงสุดของอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นในการใช้งานเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

‘รัสเซีย’ ปักธงชัยเหนือ ‘เมืองวูห์เลดาร์’ ยึดฐานที่มั่นแหล่งพลังงานสำคัญ ‘ยูเครน’

(3 ต.ค. 67) ยูเครน เกินต้าน ยอมถอนกำลังออกจากวูห์เลดาร์ เมืองสำคัญทางตะวันออกในแคว้นโดเนตสค์ให้แก่กองทัพรัสเซียแล้วเมื่อวันพุธ (1 ต.ค 67) ที่ผ่านมา หลังจากที่สู้รบกันมานานหลายเดือน 

สื่อตะวันตกได้ยืนยันชัยชนะของรัสเซียเหนือเมืองวูห์เลดาร์ ด้วยภาพของกองกำลังรัสเซียที่ปักธงชาติบนยอดเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของเมืองที่เคยเป็นแหล่งเหมืองถ่านหิน และเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทางภาคตะวันออกของยูเครน 

แต่เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการสู้รบเพื่อชิงเมืองของทั้งสองฝ่ายนานกว่า 2 ปี จนตอนนี้ ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแต่เศษซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน และในที่สุดเมืองนี้ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 

ด้านกองทัพยูเครนออกมาแถลง ยอมรับความพ่ายแพ้ และประกาศถอนกำลังออกจากพื้นที่เมืองวูห์เลดาร์ เพื่อรักษาชีวิตทหาร และยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น

เมืองวูห์เลดาร์ ตั้งอยู่ในโดเนตสค์ แคว้นที่รัสเซียประกาศผนวกดินแดนไปเป็นของตนในปี 2022 แม้จะยังไม่ได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นเลยก็ตาม ซึ่งวูห์เลดาร์ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่พยายามต่อต้านการยึดครองของรัสเซียมาตลอด และกลายเป็นสนามรบที่มีการเผชิญหน้าปะทะกันหนักที่สุดจุดหนึ่งของทั้ง 2 ฝ่าย 

ความพิเศษของเมืองนี้ นอกจากจะเป็นเหมืองถ่านหิน แหล่งพลังงานที่สำคัญแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ มีเส้นทางรถไฟสู่ไครเมีย และภูมิภาคดองบาสทั้งหมด ที่ประกอบด้วยโดเนตสค์ และ ลูฮันสค์ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกรัสเซียผนวกดินแดนไปแล้ว

ดังนั้น การยึดครองเมืองวูห์เลดาร์ได้ จึงเป็นก้าวสำคัญของรัสเซียในมุ่งหน้าสู่การครอบครองแคว้นโดเนตสค์ในส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้ออย่างสาหัสเช่นกัน

แน่นอนว่า ความพ่ายแพ้ในวูห์เลดาร์สะเทือนกองทัพยูเครนไม่น้อย หลังจากที่เคยได้เอาคืนรัสเซียด้วยการบุกยึดพื้นที่ในเมืองคูสค์ ดินแดนของรัสเซียได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน ที่ทำให้โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนกล้าที่จะเดินหน้าขอใช้ขีปนาวุธของพันธมิตรตะวันตกโจมตีดินแดนรัสเซีย

แต่เมื่อวูห์เลดาร์ถูกตีแตกโดยรัสเซีย ทำให้ฝ่ายยูเครนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกครั้ง และต้องรวบรวมสรรพกำลังลงมาป้องกันไม่ให้กองทัพรัสเซียขยายเขตยึดครองรุกคืบเข้ามาทางด้านตะวันตกมากขึ้น และยังต้องรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ในวันที่ยูเครนได้สูญเสียเมืองสำคัญที่เป็นแหล่งผลิตถ่านหินให้แก่รัสเซียไปแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเลยสิ่งที่เซเลนสกี้เคยกล่าวผ่านสื่อสหรัฐฯ ว่า สงครามในยูเครนนั้นใกล้จบแล้ว สันติสุขจะกลับคืนสู่ยูเครนในไม่ช้า และสิ่งที่กองทัพยูเครนต้องเผชิญต่อจากนี้ อาจหนักกว่าที่คิด 

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#7 อาวุธหนักที่ไม่เป็นรองใครใน ‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’

หลังจากเยี่ยมชม การแสดง การสาธิต และการทดสอบการยิงอาวุธเบาด้วยกระสุนจริงและกระสุนซ้อมยิง ของบริษัท High-Precision Weapons holding ณ สนามยิงปืนซึ่งตั้งอยู่ภายในอนุสรณ์สถาน Patriot park ในช่วงเช้าและรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ช่วงบ่ายเป็นการเยี่ยมชมบูธนิทรรศการของบริษัท Almaz – Antey Air and Space Defence Corporation มีสำนักงานใหญ่ในกรุงมอสโก และเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศรายใหญ่ ในแง่ของยอดขายอาวุธยุทโธปกรณ์ในระหว่างปี 2013-2016 ครองอันดับ 11-14 อย่างต่อเนื่องจาก 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และก้าวขึ้นเป็นอันดับแปดของโลกเมื่อวัดจากรายได้ในปี 2017 ซึ่งในปีนั้นเอง Almaz-Antey มียอดขายอาวุธถึง 9.125 พันล้านดอลลาร์ 

ผลิตภัณฑ์ของ Almaz – Antey ได้แก่ ระบบป้องกันอากาศยาน, ศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่, ระบบนำทาง, ขีปนาวุธ, ขีปนาวุธต่อต้านขีปนาวุธ, ขีปนาวุธร่อน, เรดาร์, ระบบควบคุมอัตโนมัติ, ระบบนำทาง , ระบบจราจรทางอากาศ, สถานีอาวุธระยะไกล, ป้อมปืนอัตโนมัติ, กระสุนปืนใหญ่, อาวุธปืน และ อากาศยานไร้คนขับ ฯลฯ ทั้งยังผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับพลเรือน เช่น อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ระบบนำทาง ระบบจราจรทางอากาศ เรดาร์ตรวจอากาศและจราจรทางอากาศสำหรับการบินพลเรือน อุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน อุปกรณ์คมนาคม-ขนส่ง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ระบบรักษาความปลอดภัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ ระบบทำความสะอาดน้ำเสีย วาล์วระบายอากาศสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหาร ฯลฯ

Antey-2500 (S-300VM)

หนึ่งในระบบป้องกันภัยทางอากาศที่น่าสนของ Almaz – Antey ได้แก่ ระบบ ADMS 'Antey-2500' ซึ่งมีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายในระยะไกลและระดับความสูง โดยระบบนี้ใช้งานได้หลากหลายสำหรับการทำลายเป้าหมายทางอากาศพลศาสตร์และขีปนาวุธข้ามทวีปทุกประเภทที่มีพิสัยการยิงสูงสุดถึง 2,500 กม. ได้รับการออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับ :

- เครื่องบินรบทางยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ที่มีอยู่และคาดว่าจะมีในอนาคต (รวมถึงเครื่องบินล่องหน)
- ขีปนาวุธทางยุทธวิธี ขีปนาวุธพิสัยใกล้และระยะกลาง
- ขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ
- ระบบเตือนภัยและควบคุมล่วงหน้าทางอากาศ ระบบตรวจจับเป้าหมายและระบบควบคุมการยิง
- เครื่องรบกวนสัญญาณลอยฟ้า

ความสามารถในการโจมตีเป้าหมายทางอากาศ :
ระยะปฏิบัติการสูงสุด :
- เป้าหมายทางอากาศ 350 กม.
- ขีปนาวุธทางยุทธวิธี 40 กม. 
- ขีปนาวุธพิสัยใกล้30 กม.

ระดับความสูง สูงสุด :
- เป้าหมายทางอากาศ 30 กม.
- เป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธ 25 กม.
- ความเร็วสู่เป้าหมายกระสุนสูงสุด 4500 ม./วินาที
- พื้นที่ตัดเรดาร์ขั้นต่ำของเป้าหมาย 0.02 ตร.ม.
- ปริมาณของเป้าหมายที่โจมตีพร้อมกันขึ้นอยู่กับจำนวนเครื่องยิงภายในระบบ

S-400 'Triumph'

อีกระบบป้องกันภัยทางอากาศที่น่าสนของ Almaz – Antey ได้แก่ ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน S-400 พร้อมขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านอากาศยาน 48N6E3 (48N6E2), 40N6E, 9M96E2 และระบบควบคุม 30K6E มีขีดความสามารถในการทำลายเป้าหมายทางอากาศที่มีพิสัยการยิงทั้งหลายช่องทาง ระดับความสูง ความคล่องตัวและความแม่นยำสูง

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 เป็นระบบมาตรฐานสากลที่ใช้ทำลายเป้าหมายทางอากาศทุกประเภทและขีปนาวุธพิสัยไกลที่มีพิสัยการยิงสูงสุดถึง 3,000 - 3,500 กม. S-400 ADMS ออกแบบมาเพื่อทำลายวิธีการโจมตีทางอากาศที่มีอยู่และที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (รวมถึงเครื่องบินล่องหน) ได้แก่
- เครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบเตือนภัยและควบคุมทางอากาศ
- เครื่องบินลาดตระเวนที่ทำหน้าที่ทั้งในฐานะปัจเจกและเป็นส่วนหนึ่งของระบบค้นหาเป้าหมายและควบคุมการยิง
- เครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์
- ขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลาง
- วิธีการโจมตีทางอากาศอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมทางสงครามอิเล็กทรอนิกส์

ลักษณะเด่น
ช่วง (สูงสุด/นาที) :
- เป้าหมายทางอากาศ 380/2.5 กม.
- ต่อต้านเป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธ 60/5 กม.
ขีดจำกัดระดับความสูง (สูงสุด/ต่ำสุด) :
- เป้าหมายทางอากาศ 30/0.01 กม.
- ต่อต้านเป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธ 25/2 กม.
- ความเร็วสู่เป้าหมายสูงสุด 4,800 ม./วินาที

จำนวนเป้าหมาย/ขีปนาวุธนำวิถีที่ถูกโจมตีพร้อมกัน :
- SAM ในชุดเต็ม สูงถึง 80/160
- แยก ADMS (ฝ่าย) สูงถึง 10/20
ในปี 2017 หนังสือพิมพ์ The Economist ได้ให้คำอธิบายของระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ไว้ว่า “เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีการผลิตมา”

ซากเครื่องบิน B-52 Stratofortress ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งถูกยิงตกเหนือกรุงฮานอยในปี 1972

ระบบป้องกันภัยของสหพันธรัฐรัสเซียได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อครั้งสงครามเวียดนาม โดยยอดรวมอากาศยานของกองทัพสหรัฐฯ ทุกชนิดทุกเหล่าทัพ (บก-เรือ-อากาศ-นาวิกโยธิน) ประสบความสูญเสียรวมถึง 8,540 ลำ และอากาศยานของกองทัพเวียดนามใต้ประสบความสูญเสียอีก 1,018 ลำ ซึ่งอากาศยานส่วนใหญ่สูญเสียจากการรบ

‘รัสเซีย’ บล็อก!! ‘Discord’ ข้อหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ด้านการสื่อสาร งานเข้า!! ทหารหมีขาว เต็มๆ เพราะดันใช้สื่อสารกันเอง ในกองทัพ

(12 ต.ค. 67) รัสเซียสั่งบล็อกการใช้งาน Discord ด้วยเหตุผลว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านการสื่อสารของรัสเซีย ที่ต้องป้องกันการนำไปใช้ก่อการร้าย และยาเสพติด

รัสเซียบล็อกช่องทางโซเชียลของต่างชาติ เช่น Facebook, Twitter ตั้งแต่วันแรก ๆ ของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนช่วงต้นปี 2022 การบล็อก Discord หลังเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 3 ปีอาจเป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมเพิ่งมาบล็อกตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Washington Post รายงานว่าการบล็อก Discord ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อกองทัพรัสเซียเอง เพราะทหารในกองทัพรัสเซียสื่อสารกันด้วย Discord เนื่องจากเป็นช่องทางการส่งข้อความที่ปลอดภัย เข้ารหัส และยังไม่ถูกบล็อกการใช้งานในประเทศ ทางการรัสเซียเคยสัญญาว่าจะทำแอปแชตของตัวเอง แต่มาถึงปัจจุบันก็ยังไม่เกิดขึ้น

การบล็อก Discord ของรัสเซีย เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการบล็อกในตุรกี ซึ่งหน้าสถานะของ Discord ก็ยืนยันว่าถูกทั้งสองประเทศบล็อกจริง ๆ

‘เทศกาลวัฒนธรรมรัสเซีย’ เตรียมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ 3 พ.ย. นี้ ที่โรงละครอักษรา ฉลอง!! วันเอกภาพแห่งชาติ โชว์ระบำพื้นบ้าน เชื่อมสัมพันธ์ ‘รัสเซีย-ไทย’

(12 ต.ค. 67) เทศกาลทางด้านวัฒนธรรมของชาวรัสเซียจะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื่องในโอกาสวันเอกภาพแห่งชาติ ในงานนี้จะมีนักแสดงหนุ่มสาวจากคณะการแสดง ระบำพื้นบ้าน Katyusha ขึ้นทำการแสดงบนเวทีของโรงละครอักษรากรุงเทพฯโดยงานนี้จะมีการจัดแสดงระบำพื้นบ้าน การเต้นรำและการแสดงอื่น ๆ ตามความหลากหลายของวัฒนธรรม รัสเซียให้ผู้ชมได้รับชมในงานได้เตรียมชุดแต่งกายกว่า500ชุด เพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของประเทศรัสเซีย 

นอกจากนั้นเรายังมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซีย เข้าร่วมแสดงในงานนี้ด้วย ได้แก่คณะเต้นรำจาก Buryatia และ Yakutia โดยจะยิ่งเพิ่มความน่ารักสดใสให้กับเมืองหลวงของประเทศไทยผู้ชมงาน จะได้สัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมจากหลายภูมิภาคในประเทศรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐกาตาร์สถาน บัชคอร์โตสถาน ชูวาเชีย มอร์โดเวีย คาเรเลีย คัลมึกเกีย นอร์ทออสซีเชีย ดาเกสถาน และอื่น ๆ อีกมากมาย 

คณะระบำพื้นบ้าน Katyusha ได้จัดตั้งขึ้นมานานกว่า15ปีแล้วซึ่ง แต่เดิมมีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ให้แพร่หลายขึ้นในประเทศไทย และการจัดแสดงครั้งนี้เป็นปีแรกที่เราได้นำคณะนักเต้น ระบำพื้นบ้านของเราเข้าร่วมการแสดงร่วมกับคณะนักเต้นจาก ประเทศรัสเซีย โดยเราได้ศึกษาลักษณะการเต้นระบำพื้นบ้านที่เป็น ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของการเต้นรำจากดาเกสสถานเลสกินก้า และอาวาร์โดยในงานนี้เราจะจัดแสดงการเต้นรำที่มาจาก 15 ภูมิภาค แม้จะยังน้อยนักเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมการแสดงของชาวรัสเซียทั้งประเทศ ดังนั้นในปีหน้าเราจะมีการแสดงอีกครั้งเพื่อจัด แสดงการเต้นระบำจากภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศรัสเซีย

ผู้อำนวยการเยคาเทอรินน่า อเล็กเซเยวา ของคณะ Katyusha ได้ กล่าวไว้ เทศกาลทางด้านวัฒนธรรมของชาวรัสเซียจะจัดขึ้นในช่วง ก่อนสิ้นปี 2567 ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวระหว่างรัสเซีย-ไทย ซึ่งจะทำให้ทั้งสองชาติมีความสัมพันธ์ฉันมิตร และเชื่อมมรดกทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองชาติ การแสดงเต้นระบำครั้งนี้จะปลุกความสนใจของชาวไทยที่สนใจในวัฒนธรรมของชาวรัสเซีย 

อีกทั้งยังได้ความสามัคคีและ ความเข้าใจต่อความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมของโลก เราขอเรียนเชิญทุกท่านเพื่อรับชมและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอันยอดเยี่ยมนี้

เปิด!! สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ข้อตกลงความร่วมมือของ ‘รัสเซีย - เกาหลีเหนือ’

(20 ต.ค. 67) ข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย

เป็นข่าวสะเทือนวงการการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้ยื่นข้อตกลงทางทหารฉบับใหม่กับเกาหลีเหนือเพื่อขอการรับรองต่อรัฐสภารัสเซียโดยผลักดันให้มีการยอมรับอย่างเป็นทางการต่อข้อตกลงป้องกันร่วมกันที่เขาได้จัดทำกับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 เมื่อครั้งไปเยือนเกาหลีเหนือปูติน ซึ่งถือเป็นการเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 24 ปี ซึ่งข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนเอกสารการให้สัตยาบัน

แม้ว่าข้อตกลงนี้จะเรียกว่า ‘สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม’ ( ‘Treaty on Comprehensive Strategic Partnership’) แต่เงื่อนไขของสนธิสัญญานี้ที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารซึ่งกันและกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือนั้นโดยพื้นฐานแล้วถือเป็นสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารและการเมือง โดยข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและสถานการณ์โลกในปัจจุบันโดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ข้อตกลงยืนยันว่าทั้งสองประเทศมี ‘ความปรารถนาที่จะปกป้องความยุติธรรมระหว่างประเทศจากความทะเยอทะยานที่จะมีอำนาจเหนือผู้อื่นและความพยายามที่จะกำหนดระเบียบโลกขั้วเดียว’ และ ‘เพื่อสร้างระบบระหว่างประเทศหลายขั้วบนพื้นฐานของความร่วมมือโดยสุจริตของรัฐ การเคารพซึ่งกันและกันในผลประโยชน์ การแก้ไขปัญหาในระดับนานาชาติร่วมกัน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอารยธรรม อำนาจสูงสุดของกฎหมายระหว่างประเทศในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความพยายามร่วมกันเพื่อต่อต้านความท้าทายใดๆ ที่คุกคามการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ’

แม้ว่าสนธิสัญญามีเนื้อหาไม่มากเพียงแค่ 23 มาตราเท่านั้นแต่มีข้อกำหนดที่น่าสนใจประการหนึ่ง โดยระบุว่า ในกรณีที่มีภัยคุกคามจากการโจมตีโดยอำนาจที่สาม ผู้ลงนาม ‘จะตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการความร่วมมือตามคำขอของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และรับรองความร่วมมือในการกำจัดภัยคุกคามนั้น’ ส่วนอื่นระบุว่า ‘หากฝ่ายหนึ่งพบว่าตนเองอยู่ในภาวะสงครามอันเนื่องมาจากการโจมตีด้วยอาวุธโดยประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ฝ่ายนั้นทันทีด้วยวิธีการทั้งหมดที่มี’

ซึ่งระบุเอาไว้ในมาตรา 4 ของข้อตกลงระบุว่า หากรัสเซียหรือเกาหลีเหนือถูกโจมตีและเข้าสู่ภาวะสงคราม อีกฝ่ายจะให้ความช่วยเหลือทางทหารและความช่วยเหลืออื่น ๆ โดยใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ สนธิสัญญายังกำหนดให้ทั้งสองประเทศ “สร้างกลไกสำหรับกิจกรรมร่วมกันเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันประเทศเพื่อประโยชน์ในการป้องกันสงครามและรับรองสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ” และโต้ตอบกันเพื่อ “ร่วมกันเผชิญหน้ากับความท้าทายและภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดูแลสุขภาพและห่วงโซ่อุปทาน” รวมถึงการก่อการร้าย อาชญากรรมที่เป็นองค์กร การค้ามนุษย์ และการอพยพที่ผิดกฎหมาย

ในด้านเศรษฐกิจ ข้อตกลงหุ้นส่วนเรียกร้องให้มีการ ‘ขยายและพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้า เศรษฐกิจ การลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคนิค” ตั้งแต่ความพยายามในการเร่งความร่วมมือด้านการค้าและเทคโนโลยี และการส่งเสริม “การวิจัยร่วมกันในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงสาขาต่างๆ เช่น อวกาศ ชีววิทยา พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ’

ข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือจัดทำขึ้นเป็นพิเศษและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ เพราะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวที่อยู่นอกอดีตสหภาพโซเวียตที่รัสเซียได้ร่างข้อตกลงดังกล่าวด้วย (จนถึงขณะนี้มีเพียงเบลารุส ซึ่งเป็นพันธมิตรของรัฐสหภาพของรัสเซียและสมาชิกองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) เท่านั้นที่ได้รับการรับประกันความมั่นคงในลักษณะเดียวกัน) 

ในสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญมากระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีภาระผูกพันซึ่งกันและกัน โดยรัสเซียจะมีภาระผูกพันในการปกป้องพันธมิตรใหม่ของตนอย่างเกาหลีเหนือ หากมีการรุกรานเกิดขึ้น และในทางกลับกันเกาหลีเหนือจะมีภาระผูกพันที่จะให้การสนับสนุนเราทุกรูปแบบ รวมถึงการสนับสนุนทางทหาร หากมีการรุกรานรัสเซีย

ข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและช่วยลดความเสี่ยงของสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี 

ซึ่งปัจจุบันเราเห็นได้จากการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่ยั่วยุมากขึ้นของโซล ประกอบกับความพยายามที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการป้องกันของเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ้อมรบร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซี่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ได้

รัสเซียซึ่งเคยเป็นและยังคงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางการทหารชั้นนำของโลกและเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ นั่นหมายความว่า หากเกาหลีเหนือถูกโจมตีจากเกาหลีใต้ รัสเซียจะถูกร้องขอให้ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญานี้และเข้ามาช่วยเหลือเกาหลีเหนือต่อต้านเกาหลีใต้ (เพราะสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้) โซลและพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ จะต้องไม่เพียงแค่จัดการกับเกาหลีเหนือเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเกาหลีเหนือและรัสเซียด้วย 

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สงครามระหว่างเปียงยางและโซลมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเนื่องมาจากการยั่วยุของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้มาอย่างยาวนาน ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือจึงถือเป็น "ก้าวหนึ่งสู่การรักษาเสถียรภาพและการรักษาสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ" เนื่องจากสร้างสมดุลทางทหารซึ่งจะช่วยแก้ไข "ความไม่สมดุลของกองกำลังทหาร" ที่เพิ่มมากขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้และพันธมิตร 

ในสายตาของเกาหลีเหนือสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) กำลังกลายเป็นมหาอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง สามารถผลิตอาวุธสมัยใหม่ทุกประเภท ตั้งแต่อาวุธขนาดเล็กไปจนถึงเรือดำน้ำและเครื่องบินขับไล่ ปล่อยดาวเทียมตรวจการณ์ของตนเอง แต่สิ่งเดียวที่เกาหลีใต้ไม่มีคืออาวุธนิวเคลียร์ แต่การได้มาซึ่งอาวุธดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องของการตัดสินใจทางการเมืองและอาจใช้เวลาไม่มากนัก ศักยภาพทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของเกาหลีเหนือเพียงลำพังไม่อาจแข่งขันกับเพื่อนบ้านที่ติดอาวุธครบครันและเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ทรงพลังที่สุดในโลก ร่วมกับญี่ปุ่นได้ ซึ่งหากเกาหลีเหนือยืนหยัดต่อสู้กับภัยคุกคามเหล่านี้เพียงลำพัง ก็มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการรุกรานของเกาหลีใต้และพันธมิตร

ในขณะเดียวกันในฝั่งของรัสเซียข้อตกลงดังกล่าวสามารถสร้างความชอบธรรมให้แก่เกาหลีเหนือในการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และทหารเพื่อทำสงครามกับยูเครนอย่างเปิดเผยและต้องคิดถึงการสนับสนุนจากพันธมิตรของรัสเซีย ซึ่งจะเป็นการสร้างความกังวลใจให้กับยูเครนและพันธมิตรนาโต้ในความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนในปัจจุบัน 

ดังนั้นข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียจึงเป็นข้อตกลงที่เราควรให้ความสำคัญ และจับตามองว่าจะช่วยป้องปรามและลดความขัดแย้งในพื้นที่สำคัญของโลกได้หรือไม่

‘สหรัฐ’ ออกจดหมายเปิดผนึกขู่ ‘เกาหลีเหนือ’ หลังข่าวกรองแจ้งอาจแอบส่งทหารช่วย ‘รัสเซีย’

(22 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘หรรสาระ By Jeans Aroonrat’ ได้โพสต์ถึงสถานการณ์การรบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่อาจจะมีการส่งทหารจากเกาหลีเหนือเข้าไปเพิ่มเติม ความว่า 

หลังจากที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนได้ออกมาโวยวายหนักว่าพบทหารเกาหลีเหนือ แฝงตัวอยู่ในกองทัพรัสเซียนับหมื่นนาย ที่สอดคล้องกับรายงานของหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ที่ยืนยันว่า รัฐบาลคิม จอง-อุน ได้ส่งหน่วยรบพิเศษเฟสแรกกว่า 1,200 นายไปฝึกรบที่รัสเซียเรียบร้อยแล้ว 

และมีการประเมินคร่าวๆว่า เกาหลีเหนือเตรียมที่จะส่งทหารไปเสริมให้กองทัพรัสเซียในเฟสต่อๆไป ไม่น้อยกว่า 10,000 นาย อีกทั้งยังมีคลิปวิดีโอ ที่มีการตั้งแถวแจกเครื่องแบบทหารรัสเซียให้กับกองทหารจากเกาหลีเหนือผ่านสื่อท้องถิ่นอีกด้วย

สายเกาหลีใต้ยังรายงานอีกด้วยว่า ตอนนี้มีทหารเกาหลีเหนือ ซ้อมรบปะปนอยู่ในค่ายทหารรัสเซียหลายแห่งในเมืองทางภาคตะวันออกไกล อาทิ วลาดีวอสตอค, อัสซูริสค์, คาบารอฟสค์ และ บลาโกเวชเชนสค์ พร้อมออกปฏิบัติการรบด่านหน้าเมื่อใดก็ได้

นอกจากนี้ยังมีการออกบัตรประจำตัวปลอมให้กับทหารเกาหลีเหนือ เพื่อจะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า พลทหารหน้าตาโอ้ปป้าแดนเหนือเหล่านี้ เป็นพลเมืองรัสเซียของแทร่ ไม่ใช่ทหารต่างด้าวของสหายคิม

เมื่อมีคนมาฟ้องเข้าหู พร้อมแจงหลักฐานประกอบ ก็ร้อนถึงทำเนียบขาว ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของ NATO ที่จะอยู่เฉยไม่ได้ คณะกรรมาธิการสำนักหน่วยข่าวกรองจึงร่างจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่ออกสื่อถึง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เพื่อรายงานข้อมูลทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย ที่ได้รับเรื่องจาก เซเลนสกี้ และสายลับเกาหลีใต้ให้รับทราบทั่วกัน 

เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐ และพันธมิตร NATO เตรียมรับมือกับการสนับสนุนด้านกำลังทหารของเกาหลีเหนือโดยทันที หากข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองของทั้ง 2 ชาติที่รายงานมาเป็นความจริง

และเมื่อใดก็ตามที่พบว่า มีทหารเกาหลีเหนือใช้อาวุธโจมตียูเครนจากพรมแดนรัสเซีย หรือบุกรุกข้ามฝั่งมายังยูเครน จะถือว่าเป็นการล้ำเส้น ที่สหรัฐอเมริกา และ NATO จะต้องตอบโต้เพื่อยับยั้งการขยายวงของสงครามที่จะรุนแรง บานปลายมากขึ้น 

แต่ทั้งนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว แต่เนื้อหาเหมือนการส่งสารเตือนไปยังเกาหลีเหนือ จะได้รับการตอบสนองจากบ้านคิมหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างมีการวางแผนไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ที่วลาดิมีร์ ปูติน มาเยือนเกาหลีเหนือเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน ก็มีข่าวทั้งการส่งอาวุธ และ ทหารพร้อมรบจากเกาหลีเหนือไปรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

รวมถึงความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ การขู่โจมตีกันด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ หรือการส่งโดรนรุกล้ำชายแดน และวันนี้เกาหลีใต้ได้ออกมาแฉ แผนการส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังรัสเซียอย่างละเอียด ที่แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งของสงครามยูเครน ได้ขยายวงมายังเอเชียเรียบร้อยแล้ว

หลายฝ่ายจึงหวั่นเกรงว่า การส่งทหารเกาหลีเหนือไปรัสเซีย อาจเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่สงครามใหญ่ ที่ใกล้เคียงกับสงครามโลกได้เหมือนกัน ยกเว้นว่าหากมีทหารโอ้ปป้าโสมแดงถูกจับ จะพูดภาษารัสเซียได้ ร้องเพลงชาติรัสเซียเป็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จับตาประชุมกลุ่ม BRICS ร่วมประเทศพันธมิตร 34 ประเทศ กลุ่มมหาอำนาจใหม่ท่ามกลางความขัดแย้งสองซีกโลกในทุกมิติ

(24 ต.ค. 67) ในสัปดาห์นี้กำลังมีการประชุมใหญ่ในสองซีกโลกที่สะท้อนให้เห็นถึง 'การแบ่งขั้ว' ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นในยุคปัจจุบัน กับการประชุม BRICS และ IMF-World Bank

ฝั่ง 'สหรัฐ' เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่ทยอยเรียกความสนใจไปแล้วตั้งแต่การออกรายงานหนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก มาจนถึงการออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดเดือน ต.ค. ที่เตือนเรื่องความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้าซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนในฝั่ง 'รัสเซีย' จะเปิดบ้านในเมืองคาซาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ 'บริกส์' (BRICS) ที่มีสมาชิกดั้งเดิม 4+1 ประเทศคือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ และผู้นำ/ผู้แทนจาก 34 ประเทศเข้าร่วมระหว่างวันที่ 22 - 24 ต.ค. โดยมีไฮไลต์ที่การเข้าร่วมประชุมครั้งแรกของเหล่า 'สมาชิกใหม่' 5 ประเทศ และการสะท้อนนัยยะทางการเมืองครั้งสำคัญของรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน

อัสลี อัยดินทัสบาส ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศจากตุรกี กล่าวกับสถาบันคลังสมองบรูกกิงส์ในสหรัฐว่า ภายหลังสงครามในฉนวนกาซา (ซึ่งสหรัฐส่งอาวุธไปให้กับอิสราเอล) รัสเซียและจีนได้ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกต่อต้านตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยความผิดหวังจากการกระทำสองมาตรฐานของตะวันตก รวมถึงความไม่พอใจจากคว่ำบาตรและบีบบังคับทางเศรษฐกิจของตะวันตก 

"เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มประเทศตรงกลางจะแปรพักตร์จากอิทธิพลของสหรัฐไปซบจีนแทน แต่ประเทศเหล่านี้กำลังเปิดใจให้จีนและรัสเซียมากขึ้น เพื่อให้โลกมีอิสระและกระจายขั้วอำนาจมากขึ้น"

>>> จับตาสมาชิกใหม่ BRICS+

ขณะที่ซีเอ็นบีซีรายงานว่า รัสเซียพยายามใช้วาทกรรมการรวมกลุ่มของประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา เพื่อต่อกรท้าทายระเบียบโลกใหม่กับซีกโลกเหนือที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งจะเป็นวาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ตัวปูตินเองได้เปรยเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า การขยายสมาชิกกลุ่มบริกส์เป็น 'ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงอำนาจที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มและบทบาทในกิจการระหว่างประเทศ' พร้อมส่งสัญญาณว่าเขาตั้งใจที่จะนำเสนอรูปแบบการรวมกลุ่มที่เรียกว่า 'BRICS+' (บริกส์พลัส) เพื่อท้าทายตะวันตกทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ

ปูตินจะใช้วันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดผู้นำบริกส์ 10 ประเทศ จัดการประชุมคู่ขนาน BRICS and Outreach หรือ BRICS Plus ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกาเกือบ 40 ประเทศเข้าร่วม และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของกลุ่มในการขยายความสัมพันธ์กับประเทศในซีกโลกใต้

"ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และในอนาคตอันใกล้นี้ เศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นกลไกหลักในการเพิ่ม GDP โลก และเศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกมากขึ้น" ปูตินกล่าวในการประชุมภาคธุรกิจกลุ่มบริกส์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

นอกจากผู้นำของกลุ่มประเทศก่อตั้ง 5 ประเทศ ยกเว้นเพียงบราซิลที่ส่งผู้แทนมาร่วมประชุมเนื่องจากประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ประสบอุบัติเหตุ ผู้นำของ 5 ประเทศสมาชิกใหม่ต่างมาร่วมประชุมบริกส์อย่างคึกคัก อาทิ ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) อิหร่าน อียิปต์ และเอธิโอเปีย ส่วนซาอุดีอาระเบียส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมแทน 

นอกจากนี้ยังมีผู้นำประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกเข้าร่วมด้วย อาทิ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และแม้แต่อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ส่วน 3 ประเทศที่แสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ไปแล้ว ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และตุรกีนั้นมีรายงานว่าประธานาธิบดีเรย์เซบ เตย์ยิป เออร์ดวน ของตุรกี รัฐมนตรีเศรษฐกิจของมาเลเซีย ราฟิซี รัมลี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ จะเข้าร่วมการประชุมด้วย

ทิโมธี แอช นักวิชาการในโครงการรัสเซียและยูเรเซียของสถาบันชัทแธมเฮ้าส์ในลอนดอน กล่าวว่าในฉากหลังนั้น ปูตินกำลังคาดหวังถึงชัยชนะด้านการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่เหนือยูเครนและตะวันตก โดยพยายามส่งสารว่า แม้จะมีสงครามและถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก แต่รัสเซียก็ยังคงมีพันธมิตรระหว่างประเทศจำนวนมากที่เต็มใจจะคบค้าและค้าขายด้วยกับรัสเซีย

ทั้งนี้หลังจากที่สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเปิดฉากขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในเดือนก.พ. 2565 รัสเซีย ปูติน และบรรดาแกนนำในรัฐบาลต่างก็ถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และบรรดาประเทศพันธมิตร เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรต่างออกมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจพลังงาน ธนาคาร และกลาโหมของรัสเซีย ท่ามกลางแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ คว่ำบาตรรัสเซียตามมาหลังจากนั้น 

ไม่เพียงแต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเท่านั้น ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในกรุงเฮกได้อนุมัติการออกหมายจับปูตินในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อปี 2566 ทำให้ผู้นำรัสเซียไม่สามารถเดินทางไปประเทศที่มีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศได้ และเคยต้องงดการไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำประเทศบริกส์ครั้งก่อนที่แอฟริกาใต้มาแล้ว และงดเข้าร่วมแม้แต่การประชุมจี20 ในปีที่แล้วที่ประเทศอินเดีย แม้จะไม่มีข้อตกลงกับ ICC ก็ตาม 

"การประชุมสุดยอดที่คาซานมีความสำคัญทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปฏิบัติต่อระบอบการปกครองของปูติน" แองเจลา สเตส่วนนต์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายูเรเซีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าวกับสถาบันบรูกกิงส์ "การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่า รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ยังมีพันธมิตรที่สำคัญ เช่น อินเดีย จีน และประเทศตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญๆ"

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ตอกย้ำให้เห็นภาพนี้ด้วยการจับมือกับปูตินอย่างแน่นแฟ้นในงานและส่งสารอย่างชัดเจนถึงการรวมกลุ่มครั้งนี้ว่า ความร่วมมือในกลุ่มบริกส์เป็น "เวทีสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและร่วมมือกันระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในโลกวันนี้ เป็น “พลังหลักในการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้ถึงโลกหลากขั้วอย่างเท่าเทียมและเป็นระเบียบ รวมถึงโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและอดกลั้น”

ยูเครน ช็อก!! นักบินเสียชีวิต หลัง F-16 ลำแรกถูกสอยร่วง อ้างไม่เกี่ยวโดนรัสเซียยิง แต่เครื่องยนต์พังจากเศษอาวุธ

เมื่อ F-16 ของยูเครน...ถูกรัสเซียยิงตก

นับแต่การสู้รบในปฏิบัติการพิเศษทางทหารของสหพันธรัฐรัสเซียกับสาธารณรัฐยูเครนเกิดขึ้นมานานกว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสงครามระหว่างกองทัพของสหพันธรัฐรัสเซียและกองทัพของสาธารณรัฐยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรรวมถึงชาติสมาชิกองค์การ NATO จึงทำให้กองทัพของสาธารณรัฐยูเครนสามารถคงสภาพการรบอยู่ได้จนทุกวันนี้

อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรสมาชิกองค์การ NATO นั้นมากมายมหาศาลตั้งแต่อาวุธเบาเช่นปืนเล็กยาว ปืนกล ขีปนาวุธนานาชนิด ปืนใหญ่ รถถัง รถหุ้มเกราะ สารพัดชนิดกระทั่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 (จนอาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังสำรองของประเทศเหล่านั้นแทบจะหมดเกลี้ยง) ตามข้อมูลในสื่อนานาชาติ ยูเครนจะได้รับ F-16 รวม 111 ลำ (แต่สื่อบางแหล่งระบุว่า 79 ลำ) โดยมาจากเบลเยียม 30 ลำ เดนมาร์ก    19 ลำ เนเธอร์แลนด์ 24 ลำ นอร์เวย์ 6 ลำ และกรีซ 32 ลำ โดยเครื่องบินเหล่านี้บางส่วนจะถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงตามความจำเป็นก่อนจะส่งต่อไปให้กับยูเครน โดยสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการฝึกนักบิน F-16 ของยูเครนในสหรัฐฯ และมีการฝึกนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง F-16 ของยูเครนในเดนมาร์กและโรมาเนีย เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ทั้งหมดที่ เดนมาร์ก กรีซ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และเบลเยียม มอบกับให้ยูเครนจะเป็นรุ่น F-16AM (ที่นั่งเดี่ยว) / F-16BM (ที่นั่งคู่) Block 15 Mid-Life Update (MLU) รุ่นเหล่านี้คล้ายคลึงกับ F-16C/D Block 30/50/52 

ณ เดือนสิงหาคม 2024 ยูเครนได้รับเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 จำนวน 10 ลำ และนักบินยูเครน 6 คนได้ผ่านการฝึกอบรมการบิน F-16 แล้ว ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2024 ยูเครนจะมีเครื่องบิน F-16 จำนวน 20 ลำ เครื่องบินที่เหลือจะถูกทยอยส่งมอบให้กับยูเครนเป็นชุด ๆ ตลอดปี 2025 นอกจากนั้นแล้ว 6 มิถุนายน 2024 ตามรายงานของ Le Figaro ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้ประกาศการโอนเครื่องบินรบ Mirage 2000-5F จำนวนหนึ่งให้กับยูเครนอีกด้วย

นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish)

ต้นเดือนสิงหาคม 2024 เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ลำแรกเดินทางมาถึงยูเครน ทำให้ชาวยูเครนรู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาความรู้สึกดังกล่าวในหมู่ชาวยูเครนกลายเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่เมื่อต้องสูญเสีย F-16 ไปหนึ่งลำพร้อมกับชีวิตของนักบิน เมื่อ นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish) นักบิน F-16 คนแรกของยูเครนถูกยิงตกในบริเวณจัตุรัสกลางเมืองเชเปตีฟกา แคว้นคเมลนิตสกีของยูเครน ขณะปฏิบัติการต่อต้านการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกองทัพรัสเซียต่อยูเครน

Volodymyr Zelenskyy ประธานาธิบดียูเครน กับ Mette Frederiksen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
 บนเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ที่จะมอบให้ยูเครน

โดยยูเครนอ้างว่า ก่อนถูกยิงตก ผู้ฝูง Moonfish สามารถสกัดขีปนาวุธได้ 3 ลูก และโดรนอีก 1 ลำ ก่อนที่จะถูกยิงตก โดยนักบินผู้นี้เคยเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบปะกับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สำหรับภารกิจขอรับการสนับสนุนให้พวกเขาส่ง F-16 ไปช่วยยูเครน ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวถูกปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับรัฐบาลยูเครน เพราะการที่ F-16 ตกในเวลาไม่นานหลังจากได้รับเครื่องบินลำดังกล่าว หมายความว่า ปัญหาดังกล่าว "มีความละเอียดอ่อนมากเป็นสองเท่า หรืออาจจะมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งไม่มีใครออกมาแถลงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการเลย"

เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ของยูเครน

ทั้งนี้ฟากฝั่งยูเครนพยายามให้ข่าวว่า ผู้ฝูง Moonfish ถูกยิงตก อันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดของหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศแบบ Patriot หรือ F-16 บินผ่านกลุ่มเศษซากที่เกิดจากการสกัดกั้นและทำลายขีปนาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ แต่เศษซากของขีปนาวุธที่ถูกทำลายเหล่านี้อาจทำให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเครื่องบินได้รับความเสียหาย จนทำให้ F-16 ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ทำให้นักบินเสียชีวิตก่อนที่จะดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ โดยวันดังกล่าว กองกำลังของรัสเซียยิงขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากไปทั่วประเทศยูเครน ซึ่งกองทัพอากาศยูเครนบอกว่า ส่วนใหญ่ถูกสกัดเอาไว้ได้ โดย ในแถลงการณ์ระบุว่า กองกำลังรัสเซียยิงขีปนาวุธ 5 ลูกและโดรน Shahed 74 ลำไปที่เป้าหมายในยูเครน ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสามารถหยุดขีปนาวุธ 2 ลูกและโดรน 60 ลำได้ และคาดว่าโดรนอีก 14 ลำตกลงมาก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง Buk-M3 ของรัสเซีย

แต่กองทัพรัสเซียระบุว่า F-16 ถูกยิงตกด้วยระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง (Viking) Buk-M3 ของรัสเซีย ด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบนี้ในปัจจุบันเป็นวิธีการปฏิบัติมาตรฐานในการป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพรัสเซีย มีระยะการตรวจจับเป้าหมายสูงถึง 120 กม. ในภาค 90° สถานีตรวจจับเป้าหมาย (STS) “มองเห็น” ที่ 200 กม. เมื่อใช้สถานีเรดาร์สแตนด์บายภาคพื้นดิน 1L119 ส่วนระบบป้องกันทางอากาศระยะกลาง จะมีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายที่อยู่หลังแนวข้าศึกได้ลึกถึง 360 กม. ทำให้สามารถทำลายการโจมตีทางอากาศและการลาดตระเวนของกองทัพอากาศยูเครนในภาพรวมทั้งหมด ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารตั้งแต่วันแรกของการรบ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 (พัฒนาโดยสถาบันวิจัยวิศวกรรมเครื่องมือ V.V. Tikhomirov) ดำเนินการโดยโรงงานเครื่องจักรกล Ulyanovsk ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท Almaz-Antey วิสาหกิจของรัฐบาลรัสเซีย โดย Buk-M3 สามารถทำลายเครื่องบิน 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ และขีปนาวุธปฏิบัติการทางยุทธวิธีแบบ Tochka -U, UAV แบบ Bayraktar TB2 และขีปนาวุธ HIMARS MLRS อีกเป็นจำนวนมาก"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top