Wednesday, 3 July 2024
พิธา

‘เศรษฐา’ รับ!! หนักใจผลโหวต ‘พิธา’ หลังคะแนนต่ำเกินคาด แต่ยืนยันขอหนุนเป็นนายกฯ สุดกำลัง รอ 8 พรรคเคาะเข็นต่อ

(14 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีข้อบังคับการประชุมไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ต้องมีการเปลี่ยนชื่ออื่นหรือไม่ ว่า ตนไม่ทราบข้อกฎหมายต้องถามฝ่ายกฎหมายดูก่อน ส่วนผลการโหวตก็มีความหนักใจ และไม่สบายใจ เพราะนึกว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ตนขอเข้าประชุมกับกรรมการบริหารพรรคก่อน

เมื่อถามว่า หากข้อบังคับมีการให้เสนอชื่อบุคคลอื่นขึ้นมาประกบ จะมีการเสนอชื่อคนของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบและยังไม่ได้คุยกับใครเลย

เมื่อถามว่าการโหวตครั้งนี้มีอุปสรรคมากมีการเสนอให้ปิดสวิตซ์ ส.ว.เพื่อให้การโหวตนายกฯราบรื่น นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้คุยมานานมากและสุดทางแล้ว คงคุยกันลำบาก คำว่าปิดสวิตซ์ก็ฟังดูไม่ดีเท่าไร แต่เห็นว่าคงลำบากเพราะโหวตครั้งที่ 1 ไปแล้ว คงต้องรอฟังความเห็นจากพรรคร่วม 8 พรรคไปก่อน

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาแข่งด้วยนายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะมีการเสนอชื่อตรงนี้หรือไม่ แต่หากดูตามคณิตศาสตร์ก็ลำบาก เพราะพรรคมีแค่ 40 กว่าเสียงเอง คิดว่าความเป็นไปได้คงลำบาก

เมื่อถามต่อว่า 8 พรรคร่วมจะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตพรรคก้าวไกลจนถึงที่สุดหมายความว่ากี่รอบ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบต้องรอดูก่อนเพราะคะแนนมารอบแรกต่ำไปหน่อย ขอปรึกษากับกรรมการบริหารพรรคก่อนว่าคิดอย่างไร ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนขึ้นหลังจากประชุม 8 พรรคร่วม

เมื่อถามย้ำว่า ควรเสนอชื่อนายพิธา โหวตนายกฯ ต่อหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า กล่าวย้ำว่าต้องขอไปคุยกันก่อน แต่เรายืนยันว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ ขอบคุณ 324 เสียง

เมื่อถามว่า มีแนวทางจะไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคขั่วรัฐบาลเดิมให้หนุนโหวตนายกฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเป็นยุทธศาสตร์ของ 8 พรรคร่วมที่จะคุยกันส่วนตนไม่ได้อยู่ในวงเจรจาคงต้องถามอีกครั้งก่อน

‘ต่าย ชุติมา’ เล่าถึงความรักครั้งเก่าสุดโรแมนติก อดีตคนรัก ‘จูบเท้า’ ด้วยความรักทะนุถนอม

ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนหรือทำอะไร ก็ถูกจับตามองอย่างหนัก สำหรับนักแสดงลูกหนึ่ง ‘ต่าย ชุติมา’ ที่ถูกโฟกัสความสัมพันธ์กับอดีตสามี ‘ทิม พิธา’ ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้มีโมเมนต์ครอบครัวสุดน่ารักร่วมกัน พร้อมหน้าลูกสาวสุดที่รัก ‘น้องพิพิม’ ทำให้แฟนๆ หลายคนต่างส่งเสียงเชียร์คู่ ‘ทิม-ต่าย’ กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง แม้ว่าทั้งคู่จะออกมายืนยันสถานะในตอนนี้ว่า เป็นเพียงพ่อแม่ที่ดีของลูกสาวเท่านั้น

ล่าสุดสาว ต่าย ชุติมา ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘ซานิเบาได้เบา’ ของ ‘ซานิ นิภาภรณ์’ งานนี้เปิดเรื่องราวรักครั้งเก่า แม้จะจบลงไม่สวย แต่ตอนนี้ทั้งคู่ก็สามารถเจอหน้า ทักทายกันได้ตามปกติ 

>>ช่วงที่ต้องทำหน้าที่แม่และภรรยาที่ดี จนหายหน้าไปจากวงการ เป็นอย่างไรบ้าง 

ต่าย : “10 ปีที่ผ่านมา กิจวัตรประจำวันคือ ทำอาหารเช้า ดูแลลูก ดูแลบ้าน เราต้องอยู่ในระบบระเบียบ เพราะเขาอยากให้เป็นอย่างนั้น กลับบ้านต้อง 6 โมงเย็น เราเคยคิดว่าน่าจะเกิดจากความหึงหวง เรื่องรับงาน พวกบทมองตากันก็ไม่ได้ ทำให้เรารับเล่นไม่ได้อีก คือเราเป็นคนตามใจแฟนไง เลยตัดสินใจไม่รับงานเลย”

>>เรียกว่ากับอดีตสามี ไม่มีทางรีเทิร์นเลย

ต่าย : “ไม่มี มั้ง (หัวเราะ) ถามว่ามีขอคืนดีไหม มีแนวแบบชวนไปเที่ยว ครอบครัวพร้อมหน้า แต่ไม่น่ามีอะไร”

>> ข่าวที่ผ่านมา อาจมองว่าเราไม่น่าคุยกันได้แล้ว แต่วันนี้กลับมาคุยกันได้
ต่าย :  “เราเป็นคนโกรธง่ายหายเร็วมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เล่าหรือวันนี้มานั่งเล่าอะไร คือเล่าด้วยความไม่รู้สึกอะไรแล้ว ถามว่าเขาเคยเห็นที่เราพูดออกไปแล้วโกรธ น้อยใจ แล้วเคยพูดบ้างไหม เขาไม่เคยพูด แต่ลึก ๆ เรารู้ เพราะรู้นิสัย”

>>โมเมนต์สุดโรแมนติก อดีตสามีคลั่งรักไม่แพ้กัน 

ต่าย : “เห็นเราคลั่งรักแบบนี้ แต่ตอนที่อยู่คนละประเทศ เราก็คุยกันวันละชั่วโมงเองนะ แต่ตื่นมาถ้ามีข้อความทิ้งไว้ว่าไปไหน ทำอะไร เราก็โอเค สิ่งที่เขาทำแล้วรู้สึกว่าโรแมนติก เป็นการ ‘จูบเท้า’ จูบด้วยความทะนุถนอมนะ ไม่ใช่แนว 18+ เราก็ลูบหัวกลับ เราชอบดูการ์ด แต่ก็ไม่รู้อีกว่าเขียนจากใจหรือเปล่า ประมาณเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า เวลาที่ฉันคิดถึงเธอ จะมีดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง ตอนนี้ดอกไม้มันคงเป็นสวนแล้ว เหมือนมีครั้งหนึ่ง ให้การ์ดปกเดียวกัน คนหนึ่งซื้ออังกฤษ อีกคนซื้อไทย แล้วมาแลกในวันเดียวกัน แบบใจตรงกัน อันนี้น่ารัก

ส่วนเรื่องแย่ ๆ เราลืมเก่งมาก แต่ก็มีคนบอกว่าแบบนี้มันคือควาย แบบกินหญ้าอะ ในตอนนั้นเขาก็พยายามทำให้ครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม ส่วนเราคือไม่ เพราะรู้สึกว่าสุดแล้ว ทุกวันนี้เราแบ่งกันเลี้ยงลูกชัดเจน ซึ่ง ต่าย เป็นคนเสนอเรื่องโมเมนต์พ่อแม่ลูก เพราะอยากทำให้ลูกตั้งนานแล้ว ซึ่งตอนแรกเขาอาจจะยังไม่พร้อม ถามว่าจะมีให้เห็นอีกไหม น่าจะเป็นวันสำคัญ ๆ เช่นวันเกิดลูก คนเชียร์ให้กลับมาเยอะมาก เยอะจนคนไม่กล้าเข้ามาอะ

แต่กว่าเราจะมูฟออนได้ก็ 3 ปีนะ คนที่เรียกว่าแฟนเลย มีคนเดียว คนคุยที่ผ่านมาก็ประมาณ 5 คน คนที่เป็นแฟน เพราะเขาทำให้เราลืมอดีตได้เลย อันนี้คือรู้สึกว่าใช่ หน้าตาก็สเปกอยู่นะ ขาวๆ ตี๋ๆ อ้วนผอมได้หมด”

‘อ.เดชา’ เชื่อ หาก ‘พิธา’ ยังฝืนดึงดันแบบนี้ต่อไป ผลที่ได้คือความทุกข์​น่าสยดสยอง​เกินจินตนาการ!!

(15 ก.ค. 66) นายเดชา ศิริภัทร เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Deycha Siripatra’ ระบุว่า…

“ได้อ่านโพสต์​ของคุณ​พิธา​ ลิ้มเจริญ​รัตน์​ แล้วเข้าใจและเห็นใจอย่างยิ่ง

การตั้งความหวังไว้สูงสุด​ พยายามฝ่าฟันไปจนจะเอื้อมมือถึง​ แต่ความหวังกลับพังครืน พังลงต่อหน้าตนเองและคนไทยทั้งประเทศ​ รวมถึงชาวโลกที่ติดตามดูการถ่ายทอดสด

ความทุกข์​ที่เกิดจากความผิดหวัง​ เพราะไปตั้งความหวังไว้นั้น​ เป็นบทเรียนธรรมะขั้นสูง หากนำมาเป็นบทเรียน​ แล้วนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป​ จะมีประโยชน์​มาก

แต่ถ้ายังไม่ยอมรับ​ แต่พยายามทำซ้ำแบบเดิมอีก ก็จะผิดหวังเหมือนเดิมอีกครั้ง

คราวนี้ความทุกข์​ที่เกิดขึ้นใหม่​ จะทับถมซ้ำเติมความทุกข์​เก่า​ ที่ยังไม่ทันจางหายไปใหน ลองจินตนาการดูว่าจะหนักหนาสาหัส​ขนาดใหน​ แค่คิดผมก็รู้สึกสยดสยองจนไม่กล้าคิดต่อ

แต่ถึงอย่างนั้น​ ผมก็เชื่อว่า​ คุณ​พิธา จะยังเดินหน้าต่อไปเพื่อทำซ้ำอย่างเดิม​ ไม่ยอมหยุด ผลที่ได้รับก็คงเป็นความผิดหวัง​ และความทุกข์​ที่น่าสยดสยอง​เกินจินตนาการนั่นเอง

โชคดีนะครับคุณ​พิธา ขอให้คุณ​สมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ​ อย่าให้สิ่งที่ผมคิด​ เกิดขึ้นจริงเลย”

‘หมอพรทิพย์’ เผย แกนนำก้าวไกลบอกไม่เห็นด้วย ด้อมส้มคุกคามครอบครัว ส.ว. แต่ไม่รู้จะจัดการยังไง

(15 ก.ค. 66) พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กตอบโต้กรณีโลกออนไลน์ผุด #ธุรกิจสว ภายหลังนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล โหวตไม่ผ่านที่ประชุมร่วมรัฐสภา รอบแรก ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“ขอประณามขบวนการด้อมส้มและอวตารที่ไปราวีตามสื่อของสมาชิกวุฒิสภาและครอบครัว รวมทั้งผู้เห็นต่าง เดิมทีก็มีขบวนการเช่นนี้ในสื่อโซเชียลมานานแล้ว แต่หลังการโหวตนายก ก็มีขบวนการนี้เข้ากระหน่ำอย่างถี่ด้วยวาจาที่ก้าวร้าว ต่ำตม หลังเลือกตั้งถึงขนาดสร้างเฟซบุ๊กปลอมของหมอแล้วนำเอาโพสต์ที่ด่าก้าวไกลมาลงแบบที่เรียกได้ว่าเรียกแขก ในส่วนของการบูลลี่หมอมักใช้วิธีผ่านไป บล็อกได้ก็บล็อก ส่วนเฟซปลอมไม่สามารถจัดการใดๆ ได้ด้วยขบวนการของรัฐฯ มาวันนี้ขบวนการเลวร้ายนี้กำลังกระจายไปยัง ส.ว. และครอบครัวจำนวนมาก

ที่น่าสนใจคือการได้พูดคุยปัญหานี้กับตัวแทนของพรรคก้าวไกลที่ส่งมาคุยเพื่อให้โหวตให้พิธา เพราะหมอเชื่อว่าคนที่ทำคือด้อมส้ม และอวตารที่ War room ส่งมา คำตอบของตัวแทนพรรคคือเขาก็ไม่เห็นด้วย ไม่รู้จะจัดการอย่างไร

นี่หรือคือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ กลับใช้วิธีสกปรก รุกรานผู้เห็นต่าง ลามปามไปยังคนรอบข้าง ถ้าอยากเป็นนายกแต่ไม่ห้ามหรือไม่สามารถจัดการได้ ก็อย่าอาสามาทำงานให้ประชาชนเลย เพราะนี่คือการสร้างความแตกแยกมากกว่าการสร้างความเจริญ ถล่มมาเลยนะเพราะจะบันทึกไว้ดำเนินการ”

‘พิธา’ จอดป้าย ‘เพื่อไทย’ ไปต่อ ดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับบ้านแลกนายกฯ

ผลการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ออกมาตามโผและความคาดหมายของใครต่อใคร… รวมทั้ง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ณ คอลัมน์ ‘เลียบการเมือง’ แห่งนี้ ที่ต้องขอบอกว่าไม่ได้โม้… ได้ทำนายทายทักมานานแล้วว่า เสียงสนับสนุนจาก สมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.นั้นจะมีประมาณ 15 เสียงบวกลบ… เท่านั้น

สุดท้ายได้มา 13 เสียง เป็นท่านใดบ้าง คงไม่ต้องมาขานชื่อกันตรงนี้อีก… และพรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องมาอธิบายความว่า ส.ว.ถูกกดดันถูกสั่งการโน่นนี่นั่นกันให้มากความ เอาเป็นว่า ส.ว.ส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วย ไม่พร้อมที่จะสนับสนุนคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลให้มาบริหารประเทศ

บันทึกคะแนนโหวตเป็นทางการไว้สักนิด สมาชิกรัฐสภาลงมติโหวตทั้งสิ้น 705 คน เห็นชอบให้พิธาเป็นนายกฯ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 งดออกเสียง 199 พิธาสอบไม่ผ่าน… ด้วยคะแนนที่แม้กระทั่งคนชื่อ ‘นิด’ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยบอกว่า… ต่ำไปหน่อย

‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปวิเคราะห์แบบเหลียวหลังแลหน้าเป็นข้อๆ ตามสไตล์ในสาระสำคัญของสถานการณ์ดังนี้… 

1.) ความผิดพลาดจนไปไม่ถึงฝันของพิธาและพรรคก้าวไกลมัดรวมอยู่ตรงที่นโยบายสุดโต่งที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม… แต่เป็นความไม่เหมือนเดิมในเชิงลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการยืนกระต่ายขาเดียวที่จะต้องแก้แบบยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งแม้ ณ นาทีก่อนโหวต ‘พิธา’ หรือสมาชิกพรรคก้าวไกลก็ไม่ยอมลดเพดานหรือถอยแม้แต่ก้าวเกียว… และต้องยอมรับว่าการอภิปรายชี้แจงของพิธาและ ส.ส.พรรคก้าวไกลไม่สามารถหักล้างคำอภิปรายเรื่องมาตรา 112 ของ ส.ส.ชาดา ไทยเศรษฐ์, ส.ว.คำนูญ สิทธิสมาน และอีกหลายคนได้

2.) พรรคเพื่อไทยเขาอ่านเกมออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่าอย่างไรสูตรรัฐบาล 8 พรรคไปไม่ตลอดรอดฝั่ง เพียงแต่เขาติดกับดักคำว่า ‘พรรคฝ่ายประชาธิปไตย’ กลัวด้อมส้มและติ่งแดงจะถล่มหากรีบตีจากก็เลยลากมาถึงวันที่ คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว เสนอชื่อพิธา และให้สหายศรชัย… อดิศร เพียงเกษ อภิปรายสนับสนุนสองสามคำ… เท่านั้นเอง

3.) สถานการณ์ของพิธาและก้าวไกลหนักหนาสาหัส… สมมุติแม้จะดันทุรังจนได้โหวตหนที่สองก็จะไม่ผ่านอีกแต่โอกาสจะไม่ได้โหวตรอบสองมีสูงด้วยกฎกติกามารบาทตามข้อบังคับ… ไม่แต่เท่านั้นที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 19 ก.ค.อาจสั่งให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ กกต.ร้องขอมาก็ได้

4.) การดิ้นรนแก้เกมด้วยการยื่นร่างแก้ไขมาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.ไม่ให้มีสิทธิโหวตนายกฯ นอกจากจะไม่ทันกาลแล้ว โอกาสจะผ่านก็มีน้อยมาก แม้ ส.ว.จำนวนไม่น้อยเขาไม่ติดใจที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาไม่พร้อมปิดสวิตช์เพื่อให้พรรคก้าวไกลไปเป็นรัฐบาลแล้วแก้มาตรา 112

5.) เกมการเมืองเกือบทั้งหมดกำลังเคลื่อนไปอยู่ในมือพรรคเพื่อไทยที่ปีกหนึ่งเห็นว่าในการจัดตั้งควรจะอุ้มกระเตงพรรคก้าวไกลไปด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าขืนทำแบบนั้น ส.ว.ก็จะโหวตคว่ำอีก แต่อีกปีกหนึ่งไม่เห็นด้วย… ที่สุดแล้วเพื่อไทย อาจจะยอมทำ แม้จะถูกด่า ทั้งนี้เพื่อตัวเองจะได้มีความชอบธรรมในการสลัดทิ้งพรรคก้าวไกล… แล้วผสมพันธุ์ข้ามขั้วกับพรรคฝ่ายที่ถูกเรียกว่าอนุรักษ์นิยมหรือขั้วอำนาจเดิม

6.) ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดก็คือ ยังมีความพยายามเจรจาต่อรองให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อไปหรือไม่… ซึ่งประเด็นนี้ พรรคเพื่อไทย คิดหนัก เพราะเดิมพันกับคะแนนนิยมในสมัยหน้า...แต่บางกระแสกระซิบมาว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะยอมถ้าได้ยึดคุมกระทรวงสำคัญไว้ในมือ… และที่สำคัญคือ แลกกับดีลลับเรื่องทักษิณกลับบ้านที่จะต้องเรียบร้อยสมบูรณ์

7.) สถานการณ์การชุมนุมแสดงความไม่พอใจที่พิธาพลาดหวังจะมีอย่างต่อเนื่อง กึ่งๆ แฟลชม็อบ แต่ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าไม่หนักหนาสาหัสหรือรุนแรงมากนัก ขณะที่บรรดา ส.ว. หรือ ส.ส.ที่มีบทบาทโดดเด่นกรณีโหวตพิธาจะได้รับผลกระทบระดับหนึ่งจากเกมล่าแม่มดของด้อมส้ม

ลุ้น!! ‘ก้าวไกล’ เสนอชื่อพิธาอีกรอบ 19 ก.ค.นี้ แต่ผลคะแนน ‘คาด’ ยังไม่เปลี่ยนจากหนแรก

ฉากทัศน์การเมืองตอนนี้เป็นอย่างไร? ภายหลังผลโหวตนายกรัฐมนตรี ไม่เห็นชอบ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล

- ก้าวไกลเสนอชื่อพิธาอีกรอบ 19 ก.ค.นี้

- สถานการณ์ด้านคะแนนยังไม่น่าเปลี่ยน ไม่น่าจะแตกต่างจากเดิม

- พิธา ก้าวไกล ตอกย้ำ แก้ ม.112 เป็นพันธกิจที่ให้ไว้กับประชาชน

- แปลความว่าก้าวไกลเดินหน้าแก้ ม.112 แบบไม่ถอย

- ก้าวไกลแก้เกมรุกด้วยการเสนอแก้ รธน.มาตรา 272 ปลดล็อก ส.ว. ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ทันโหวตเลือกนายกฯครั้งสอง ครั้งสามแน่นอน ไม่มีประโยชน์อะไร

- ยิ่งจะเป็นการขยายแผลให้ ส.ว.กว้างเข้าไปอีก

- แก้ รธน.มาตรา 272 ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ต้องพึ่งเสียง ส.ว.1/3 หรือ 84 เสียง

- หา 64 เสียงยังไม่ได้ จะหา 84 เสียงมาปิดสวิตช์ตัวเองจากไหน

- สมัยเพื่อไทยขอแก้ ม.272 ก้าวไกลงดออกเสียง วันนี้จะขอแก้เอง หนุกหนาน

- เพื่อไทยเตรียมตัวแล้ว ถ้าพิธาไม่ผ่านรอบสอง เพื่อไทยจะเสนอคนของพรรค

- น่าสนใจ ชลน่านบอกว่า เมื่อพิธาไม่ผ่าน เป็นความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามเสนอแข่ง ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

- ประเด็นต้องพิเคราะห์ เพื่อไทยจะเอาใครเป็นนายกฯ

- ลดความเสี่ยงของอุ๊งอิ๊ง ในการพาพ่อกลับบ้าน น่าจะส่งเศรษฐา เป็นนายกฯ

- ตาโทนี่น่าจะเลื่อนกลับไทย จากเดิมบอกว่าจะมาก่อนวันเกิด 26 กรกฎาคม

- จับตาลุงป้อมจะต่อรองอะไรกับเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้ว ทิ้งก้าวไกล

- สูตรใหม่ จึงน่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ (ลุงตู่ลาออกเปิดทางให้แล้ว) ไทยสร้างไทย (เจ้หน่อยลาออกเปิดทางให้แล้ว) ประชาชาติ (ต้องเอาวันนอร์ประธานสภาไว้) ชาติไทยพัฒนา (พรรคกลางๆ)

- ส่วนประชาธิปัตย์ รอดูท่าทีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ถ้าขั้วเฉลิมชัยชนะ ก็ร่วมรัฐบาล ถ้าอภิสิทธิ์ชนะก็เป็นฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะขั้วไหน

ชำแหละเทคนิคทางการเมืองแบบมวลชน ฉบับ ‘ก้าวไกล’ หากยอมถอย ‘ม.112’ ก็จะไม่มี ‘ปีศาจ’ ไว้ปั่นความเกลียดชัง

(15 ก.ค. 66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Chaiyan Chaiyaporn’ โดยระบุว่า…

จาก ‘อาจารย์แก้วสรร’ ครับ

การเมืองของก้าวไกล 
เทคนิคของการใช้การเมืองแบบมวลชน คือ ต้องหาเป้าหมายสักอย่างหนึ่ง มาให้ผู้คนร่วมกันเกลียดชังว่า “เป็นต้นตอของความงี่เง่าเฮงซวยของบ้านเมือง”

เป้าหมายนี้ ต้องดูมีฤทธิ์เดช เ_ี้ยได้มากจริง เช่น ถ้าเป็นคอม ก็วาดเป้าหมายเป็นนายทุน เป็นนาซีก็วาดเป็นยิว เป็นชาตินิยมก็เป็นจักรวรรดิ์นิยม

การเมืองของก้าวไกลเดินมาทางนี้ แล้วเลือกเอาสถาบันฯ เป็นปีศาจของความเกลียดชัง ทำให้ดูขลัง จึงลากเป็นมรดก 2475

คนเราพอเกลียดร่วมกันมากๆ ก็เกิดเป็นพวกเป็นม็อบไปในที่สุด การเลิกไม่พูดไม่ชูแก้ ม.112 จะทำให้ขาดการชี้ปีศาจไปในทันที พลังก้าวไกลจะอ่อนยวบลงเลย ให้เขาเลิกไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นตัวตนของเขา

นี่คือเหตุผลที่ก้าวไกล ไม่มีวิสัยทัศน์ของอนาคตมาโชว์จริงๆ มีแต่ความเกลียดชังร่วมในกองทัพและสถาบันฯ แล้วแถมของชำร่วยทางปัจเจกชนนิยมให้กลุ่มต่างๆ เป็นพิเศษ ทั้งเพศพิเศษ ก_หรี่เสรี เลิกเครื่องแบบนักเรียนฯ

การเมืองวันนี้ เดิมทีระบาดด้วยโลภ จนเกิดนิสัยประชานิยมที่ก้าวไกลมาเติมใหม่

ใหม่จริงแต่ไม่ใช่ ‘ประชาธิปไตย’

แต่เป็น ‘โมหะ’

สองตัวนี้ถึงจุดหนึ่ง ‘โทสะ’ จะเกิดขึ้นในที่สุด

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ ชี้ ควรให้ระบบรัฐสภาจัดระเบียบโหวตนายกฯ ลั่น!! อยากเห็น 14 ล้านเสียงที่เลือก ‘ก้าวไกล’ ลงถนน

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก เป็นนักวิชาการทางกฎหมาย และพิธีกรรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับประเด็นทางบ้านเมือง สังคม ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คมชัดลึก’ ทางช่อง Nation online เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น รศ.ดร.เจษฎ์ได้กล่าวถึงความคิดเห็นต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยเมื่อถามว่า รศ.ดร.เจษฎ์ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับการเคลื่อนไหวของมวลชน หลังผลโหวตนายกรัฐมนตรีออกมาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านด่าน ส.ว.ในรอบแรก รศ.ดร.เจษฎ์ ตอบว่า…

“ผมคิดว่า มีความน่าใจ และผมอยากเห็นคนทั้ง 14 ล้านคนที่เลือกคุณพิธา ลงถนนเพื่อสนับสนุนพรรคก้าวไกล และผมก็อยากเห็นคนอีก 27-28 ล้านคน ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล มาลงถนนด้วยกัน”

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่อว่า หากบอกว่าประชาธิปไตยคือการเดินเข้าสภาฯ คือการไปเลือก คือการ ‘บังคับ’ ให้ ส.ว. ต้องลงมติให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งได้คะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง จากประชาชนที่มาเลือกตั้งกว่า 41-42 ล้านคน การที่ไปรวบรวมเอาคะแนนจากพรรคเพื่อไทยมาด้วย แล้วบอกว่าเป็นคะแนนของตัวเอง ตนก็ยังมีความแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าสิ่งนี้คือประชาธิปไตยแบบไหน การลงถนนก็ถือเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตย ก็ลงถนนได้ และหากจะเรียกร้องเสรีภาพ โดยอ้างว่าต้องการใช้เสรีภาพ การจะด่ากันก็ถือเป็นเสรีภาพนะ การฆ่ากันก็เป็นเสรีภาพ แต่หากพูดในแง่ของกรอบสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องพูดในแง่ของกฎหมาย ก็อาจทำให้เสรีภาพถูกตัดรอนด้วยเสรีภาพซึ่งกันและกันได้

“ถ้าเราใช้คำว่า ‘เสรีภาพ’ มาอ้างในการทำสิ่งต่างๆ อาจได้เกิดการฆ่ากันตายแน่นอน แต่ถ้าหากเรามาพูดในกรอบสิทธิ มันจึงมีหน้าที่เข้ามาด้วย แล้วเรามีหน้าที่อะไรล่ะ? เรามีหน้าที่ต่อประเทศชาติร่วมกัน ถูกไหมครับ ท่านจะเชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน หรือท่านจะไม่เชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ การที่ท่านเอาความชัง เอาความชอบส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง มันย่อมเป็นปัญหาแน่นอน การกดดันกัน และใช้วิธี ‘บังคับให้เลือก’ อย่างเช่น การบอกว่า พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14 ล้านเสียง แต่จะมามาบังคับให้ทุกคนเลือกตัวเองให้หมด เพราะตัวเองได้คะแนนเสียงมากที่สุด” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทย เคยได้คะแนนเสียง 377 เสียง แต่สุดท้ายพรรคไทยรักไทยกลับถูกกดดันให้ยุบสภาฯ และเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารในที่สุด

“มันดีไหม การปฏิวัติ รัฐประหาร มันไม่ดีหรอก มันไม่ควรทำ ไม่มีใครเห็นชอบหรอก แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อย่างในกรณีที่คุณอานนท์ นำภา บอกว่า หากพรรคก้าวไกล ถอยจากมาตรา 112 เมื่อไร ตนจะลุยพรรคก้าวไกลทันที และคนจำนวนหนึ่งก็เห็นด้วย ในขณะที่อีกจำนวนก็บอกว่า หากแตะมาตรา 112 เมื่อไร ก็จะลุยพรรคก้าวไกลเหมือนกัน และหากพรรคก้าวไกลก็ยังดึงดัน ยืนยันที่จะผลักดันให้แก้ไขมาตรา 112 เพราะมีเสียงสนับสนุน… หากสังคมยังอยู่กันแบบนี้ ผมว่าบ้านนี้ก็คงจะมีแต่การสู้กันตาย อาจเกิดสงครามการเมืองแบบสหรัฐอเมริกา หรือเหมือนฝรั่งเศสอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เราต้องถอยกลับมาที่ระบบรัฐสภา ระบบรัฐสภา คือการหาทางออกร่วมกัน และไม่ได้เป็นการบังคับกัน และตามที่ผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ระบบรัฐสภา ที่เอา ส.ส.มาลงมติให้ ส.ส. เป็นระบบสากลที่ทั่วโลกใช้ ตรงนี้ผมไม่เถียง แต่พอเป็นประเทศไทย ซึ่งมีการเกิดคำถามเพิ่มเติมมา แล้วประชาชนก็ไปลงมติ โดยเสียงข้างมากบอกให้มีคำถามเพิ่มเติม มันก็ต้องยอมรับว่านี่คือระบบของประเทศไทย” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากจะบอกว่าในตอนนั้นไม่สามารถที่จะออกมาผลักดันได้ ว่าให้เห็นต่างในเรื่องของคำถามเพิ่มเติม ให้เห็นต่างในเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อคนที่สนับสนุน สามารถพูดได้มากกว่า ตนมองว่า โดยรวมแล้วประชาชนที่ไปใช้สิทธิ เป็นคะแนนบริสุทธิ์มากกว่าด้วยซ้ำไป ประชาชนที่จะเอาแบบนี้ก็จะไปว่าแบบนั้น ประชาชนที่จะเอาแบบนั้นก็จะไปว่าแบบนี้ จนท้ายที่สุด ต้องนำกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา ว่าจะต้องมี ส.ว.มาลงมติด้วย ส่วนเหล่า ส.ว.จะฟังเสียงกดดันหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัว ส.ว.เอง หรือเสียงกดดันจะยิ่งทำให้เขาอยากที่จะลงมติอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้

“ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ หากใช้การลงถนนแล้วบอกว่า จะยกระดับ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะฆ่ากันตาย แล้วเอามาข่มขู่กัน ผมคิดว่าแบบนี้จะอยู่กันลำบาก และก็ไม่ใช่เพียงแค่ 14 ล้านคน เพราะหาก 14 ล้านคน สามารถลงถนนได้ อีก 27-28 ล้านคนก็ทำได้เช่นกัน มันก็กลายเป็นว่าเกิดการฆ่ากันตายทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วทำไปเพื่ออะไร? ทำเพื่อกลุ่มหนึ่งที่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ คนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าไม่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ เพียงแค่นี้ก็อาจทำให้บ้านเมืองพังได้” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

โดยสรุปแล้ว รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า สมควรให้ระบบรัฐสภามาจัดการในตัวของมันไป หากพรรคอันดับ 1 ไม่ได้ จะสลับอันดับ สลับขั้ว หรือเลือกแคนติเดตใหม่ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินกันต่อไปได้ ก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาพลังมวลชนจากท้องถนนมากดดัน

“อีกประเด็นหนึ่งคือ ใครจะชนะก็แล้วแต่ โปรดย่าลืมว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ปี 2535 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ได้ทรงเตือน พลตรีจําลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร ถ้าพวกท่านชนะ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ใครจะเป็นคนพ่ายแพ้ ผมมองว่าต้องมานั่งคิดในประเด็นนี้ด้วย จะรักใคร ชังใคร มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย

'ศิริกัญญา' ฟันธงโหวตนายกฯ รอบ 2 พิธาได้เสียงเพิ่มจาก ส.ว. ถาม!! ใครคือผู้ที่ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปเชิญ 'ชทพ.-ปชป.'

(17 ก.ค. 66) ที่อาคารไทยซัมมิท น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล คาดว่าการประชุมวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี และมีการหารือเรื่อง เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่สอง รวมถึงเรื่องการยกเลิกม.272 ที่พรรคก้าวไกลได้ยื่นไปก่อนหน้านี้ โดยขอเสียงสนับสนุนจาก 8 พรรคร่วม พร้อมทั้งไม่กังวลกับการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2

"เราได้ทำตามสิ่งที่ได้ให้สัญญากับประชาชนไว้ หากประชาชนยังไม่ถอยเราก็ยังไม่ถอย และคิดว่าจะมีการเสนอชื่อคุณพิธาอีกรอบนึงตามสมรภูมิที่เราได้แจ้งกับประชาชนไว้"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้เจรจาการดึงพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาล มีการระบุว่าได้รับการทาบทามจากพรรคก้าวไกล น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบเรื่องว่าใครคือ ผู้ที่ให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปเชิญ ซึ่งหากได้เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคชาติไทยพัฒนาก็จะได้จำนวนเสียงที่มากขึ้น
.
ส่วนเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนาระบุว่าไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่แก้ไขมาตรา 112 เป็นเงื่อนไขที่เป็นการเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยได้นายกรัฐมนตรีหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า หากเป็นเงื่อนไขมาตรา 112 ก็คงไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ที่มีก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้ง
.
เมื่อถามว่าการหารือระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในวันนี้จะราบรื่นหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า จะต้องราบรื่นและเป็นไปตามที่เราได้คาดหวังไว้
.
ซักว่ายังยืนยันในจำนวนเสียงส.ว.หรือไม่เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการทราบจำนวน ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เรื่องนี้เรามีการสื่อสารด้วยกันมาโดยตลอด ว่าทางพรรคก้าวไกลจะติดต่อท่านไหนและพรรคเพื่อไทยจะช่วยติดต่อคือส.ว.ท่านไหน รวมถึงมีการพูดคุยกันมาโดยตลอด ซึ่งการโหวตในรอบนี้จากที่มีการทำงานกันมาได้คะแนนเสียงเพิ่มเติมจากจำนวนส.ว.ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันนั้น

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า จริง ๆ แล้วเราไม่มีความกังวลใด ๆ เราสัญญากับประชาชนไว้ว่าจะสู้กับ 2 สมรภูมิ ซึ่งเราจะสู้อย่างเต็มที่เพื่อเสนอนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมคาดหวังว่าจากสิ่งที่เราได้ทำแคมเปญ จะทำให้ส.ว.เปลี่ยนใจมายืนเคียงข้างประชาชนก็คิดว่าเราจะได้คะแนนเสียงเพิ่ม ส่วนเรื่อง 2 สมรภูมิหากส.ว.ที่ต้องการปิดสวิตตัวเอง ในม.272 ซึ่งเป็นไปตามที่เราได้แจ้งกับประชาชนและสื่อมวลชนไว้ หากการต่อสู้ทั้ง 2 สมรภูมิไม่เป็นผลเราก็จะเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ถามว่าได้มีการกำหนดระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ไทม์ไลน์ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วต้องขึ้นอยู่กับประธานสภา ที่จะบรรจุวาระม.272 ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า ซึ่งตามระเบียบแล้วต้องเอาเข้าภายใน 15 วันอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะจบภายในสัปดาห์และทราบทิศทางต่อไปอย่างแน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคเพื่อไทยไม่พอใจกับการแก้ไขม.272 เหมือนเป็นการมัดมือชกพรรคเพื่อไทย จะมีการหารือในวันนี้ด้วยหรือไม่ ศิริกัญญากล่าวว่า ประเด็นม.272 จะเป็นประเด็นที่หารือกันในวันนี้เป็นการพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมยืนยันว่าการแก้ไขม.272 ไม่ได้เป็นการมัดมือชกใด ๆ และคิดว่าเราน่าจะทำภารกิจนี้ร่วมกันทั้ง 8 พรรค โดยยืนยันว่าหาแก้ไขม.272 ไม่สำเร็จพร้อมเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้กับประชาชน

เมื่อถามต่อว่าจะไม่เป็นการยืดเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญายืนยันว่า ไม่ได้เป็นการยืดเวลาอย่างแน่นอนซึ่งจะทราบผลในอาทิตย์หน้า หากผ่านสามารถดำเนินการวาระที่ 2 วาระที่ 3 แล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์ และไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นการยืดระยะเวลาไปไกล ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดตั้งรัฐบาลและนำคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณตน จากวันที่มีการเลือกตั้งใช้เวลาทั้งสิ้น 7 สัปดาห์ หากเราต้องการใช้เวลาแก้ไขม.272… 2-3 สัปดาห์ไม่ใช่การยืดเวลาอะไรอย่างใด

ซักว่ามีความมั่นใจ หรือไม่ว่าการแก้ไขม.272 จะเป็นทางออกของพรรคก้าวไกล ศิริกัญยากล่าวว่า เราเห็นใจส.ว.หลายท่านและเราก็ทราบว่า มีกระบวนการที่จะไม่ให้บุคคลเหล่านั้นมาโหวตให้กับนายพิธา ถูกขู่เอาชีวิตและเราเห็นใจและคิดว่านี่คือทางออกที่หลายฝ่ายสบายใจ รวมถึงส.ว.ด้วยที่อยากจะปิดสวิตช์ตัวเอง

ถามอีกว่ามีความเข้าใจในเรื่องสัดส่วนในการแก้ไขม. 272 ต้องใช้เสียงจากฝ่ายค้าน น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการโหวตที่อยู่ในขั้นที่ 3 ที่จะต้องใช้คะแนนเสียงจากฝ่ายค้าน ซึ่งเราได้มีการคำนวณแล้ว คิดว่าน่าจะผ่าน ถึงวาระที่สาม

เมื่อถามว่าเหตุใดพรรคก้าวไกลจึงไม่ถอยการแก้ไขมาตรา 112 แทนที่จะมาเดินหน้าแก้ไขม. 272 น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่เราได้สัญญากับประชาชน ผ่านการหาเสียงเลือกตั้ง และแล้วเราก็คิดว่าการแก้ไขม.112 เป็นเพียงข้ออ้าง ที่จะไม่โหวตให้กับพรรคก้าวไกล ถึงแม้ว่าเราจะยอมถอย และเสียสัจจะที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน ก็ไม่ได้เป็นข้ออ้างที่ทำให้ส.ว. จะไม่โหวตให้กับเราเพราะเรื่องการแก้ไขม.112 อย่างแน่นอน ดังนั้นเราขอเลือกที่จะไม่เสียสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชน

ถามว่าไม่กังวลเรื่องการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ยาวใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่าไม่ถึงขั้นนั้นและไม่ได้ใช้ระยะเวลาเป็นปีอย่างมากแค่ 3 สัปดาห์และอยู่ในวิสัยที่เราสามารถจัดการได้อย่างแน่นอนซึ่งนิด้าโพลได้มีการเผยแพร่อย่างชัดเจนว่าประชาชนอยากให้ทำการโหวตให้กับนายพิธาไปเรื่อยๆ

‘แสนดี’ ขอโทษ ‘พรรคก้าวไกล-ผู้สนับสนุน’ จากใจจริง เผย ยังไม่เข้าใจการเมืองไทยมากพอ ย้ำ ต่อไปจะไตร่ตรองให้ดี

(18 ก.ค. 66) นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ ‘แสนดี’ บุตรชายของนายชัชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงเพิ่มเติม จากกรณีที่โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล อย่างดุเดือดนั้น ล่าสุดพบว่า นายแสนปิติ ได้ลบภาพออกจากอินสตาแกรมส่วนตัวทั้งหมด และโพสต์ข้อความระบุว่า…

“เพื่อต่อยอดจากคำขอโทษก่อนหน้านี้ของผม

สิ่งที่ผมทำนั้นไม่สามารถให้อภัยได้และไม่เหมาะสม ผมขอโทษสำหรับการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพและหยาบคาย เพื่ออธิบายให้กลุ่มคนบางกลุ่ม

ผมยอมรับว่าการกระทำของผมทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างนับไม่ถ้วน และก่อให้เกิดความเกลียดชัง ผมยอมรับว่าสิ่งที่เขียนไปในวันนี้ได้ทำร้ายผู้คนอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ในฐานะบุคคลสาธารณะ

ผมตระหนักดีว่าผมได้ทำให้ทุกคนผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำลงไป และมันขึ้นอยู่กับผมที่จะทำให้ดีขึ้นในฐานะปัจเจกบุคคล

ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างเต็มที่ว่าผมได้รับสิทธิพิเศษและชนชั้นนำอย่างมาก ผมไม่มีประสบการณ์และไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับการเมืองไทยหรือการเมืองไทยพอ ไม่เหมาะสมและไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผมจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี แต่ผมไม่มีคุณสมบัติ (Qualified)

ผมจะใช้เวลาในการไตร่ตรองการกระทำและความประพฤติของตัวเอง ในช่วงเวลานี้ ผมจะทบทวนตัวเองถึงวิธีที่ผมจะใช้ประสบการณ์นี้เพื่อเติบโต และเป็นผู้ใหญ่ในฐานะคนหนุ่มสาว ประสบการณ์ของผมแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างมาก ผมได้รับผลประโยชน์และสิทธิพิเศษบางอย่างที่ลดทอนและกีดกันผู้คนและคนหลายกลุ่มชุมชน

ผมได้ประโยชน์และใช้ประโยชน์จากภูมิหลังของตัวเอง เพื่อความก้าวหน้าในสังคม สิ่งนี้บ่งบอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำและความเหลื่อมล้ำที่แพร่หลายในประเทศไทย ผมรู้ว่า พรรคก้าวไกล และฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยอื่นๆ กำลังทำเพื่อคนเหล่านี้ และแม้ว่าผมจะคิดเห็นต่างกัน แต่ผมก็เคารพความคิดเห็นของพวกเขา

ตลอดวันที่ผ่านมา ผมได้อ่านความคิดเห็นที่ทำร้ายจิตใจเกี่ยวกับรูปร่างภายนอก (Physical Stature) ความฉลาด และภูมิหลังของผม

ในขณะที่ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นของตัวเอง ผมยอมรับว่านี่คือผลของการกระทำของผมเอง และผมก็ยอมรับสิ่งนี้ ผมต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจต่อผู้อื่น ผมยอมรับว่าผมไม่ได้เก่งด้านนี้ แต่ในอนาคต หวังว่าจะใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะดังกล่าวเพื่อให้เป็นคนที่รอบรู้และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

มีบางความคิดเห็นที่เกินเลยมากเกินไป จนถึงขั้นเป็นความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ ผมจะไม่ขอยุ่งกับพวกเขา ผมขอพูดว่า “ความเกลียดรังแต่จะทำให้เกิดความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น ถ้าให้นึกย้อนถึงตัวผมในฐานะคนๆ หนึ่ง หวังว่าทุกคนคงจะคิดเหมือนกันกัน ว่าเราสามารถปฏิบัติต่อคนอื่นให้ได้ดีขึ้นและอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่างได้อย่างไร”

รักมาก

แสนดี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top