Wednesday, 3 July 2024
พิธา

‘อดีตติ่งส้ม’ ฟาดแรง!! หลังตาสว่างที่เลือกพรรคผิด ถาม ‘พิธา’ ปมแก้ ม.112 ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่?

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘user9614268366121’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอฝากข้อความถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยในคลิประบุว่า…

“14 ล้านเสียงจริงๆ เหรอ? 14 ล้านเสียงจริงๆ เหรอคะ? คุณรู้ไหมคะ ว่าคุณกําลังทําให้คนที่เขาเลือกคุณมา เกลียดคุณมากขึ้นแค่ไหน ไม่ใช่เพราะใครเลยค่ะ เพราะคุณเอง เขาเสียความรู้สึกกับคุณมาก ๆ นะ เพราะเขาเลือกคุณมาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่เขาคิดว่าลุงตู่ทําไม่ได้ แล้วคุณบอกคุณทําได้ แต่คุณไม่เริ่มที่จะลงมือทําเลยด้วยซ้ำ พวกคุณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สส.ในพรรคคุณ ไม่เริ่มที่จะแก้ไขปัญหาเลยด้วยซ้ำ คุณสร้างความเกลียดชังให้กับคนที่เขาเคยรักคุณ คุณรู้ไหมคะว่าคุณเป็นคนทํา ไม่ใช่ใครเลยค่ะ คิดสักนิดค่ะคุณพิธา คุณเป็นคนที่มีความสามารถ คุณทําอะไรเพื่อประเทศชาตินี้ได้อีกมากเลย แล้วคุณก็รู้ว่าสิ่งที่คุณทํา และพวกของคุณกําลังโกหกอะไรอยู่ ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าสิ่งที่พวกคุณพูดมันเป็นเรื่องจริงสักอย่าง แต่พวกเรามีหลักฐานที่จะหักล้างได้ว่าพวกคุณพูดเท็จ และคนที่เขาเปลี่ยนทัศนคติจากการที่เคยไปร่วมชุมนุมกับคุณ และชอบคุณ ทําไมถึงหันมารักสถาบันฯ เพราะเราเห็น เรารู้ ไม่ใช่แค่ดิฉันที่เห็นและสํานึก ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันที่เคยเชื่อ เคยสนับสนุนเสื้อแดง นปช.มาก่อน แต่ก็รักสถาบันฯ มากขึ้น และมากขึ้นทุกวัน เพราะเราเห็น เรารู้ เรามีความสํานึก เรามีความเป็นมนุษย์ค่ะ”

“คุณรู้ไหมคะ ว่าคนที่เขาเกลียดคุณจริงๆ เขาไม่ได้แช่งแค่คุณนะ เขาแช่งไปถึงลูกคุณ ถึงครอบครัวของคุณด้วย แล้วลูกหลานของคุณในอนาคตจะต้องอยู่บนแผ่นดินไทยนี้อีกนานเลยค่ะ ลูกคุณน่ารักนะคุณพิธา น่ารักมาก คุณทําเพื่อใครอยู่ ในอนาคตคุณไม่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิตนะคะ คุณจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของคุณจะเจออะไรในอนาคตบ้าง หลานของคุณในอนาคตจะเจออะไรบ้าง คุณรู้ไหมคะ ว่าเวรกรรมที่คุณทําอยู่ มันเป็นกรรมพันธุ์ ที่มันจะติดตัวลูกของคุณและหลานของคุณไปอีกนานเลยค่ะ คิดดีๆ ค่ะคุณพิธา คิดดีๆ คุณก็รู้ ว่าความดีต้องชนะความเลวอยู่แล้ว คุณคิดว่าสิ่งที่คุณกําลังทํามันเป็นความดีแล้วเหรอคะ? ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องมาเจออะไรแบบนี้ เหตุผลที่เราหาได้คือ พวกคุณอิจฉา พวกคุณต้องการที่จะยึดอํานาจ เพราะอยากจะได้อํานาจนั้น พวกคุณทําเพื่อใครก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้คือมันไม่มีอะไรที่พวกคุณพูดมาเป็นความจริงเลย และไม่ใช่แค่พวกเรา คนเกือบทั้งโลกค่ะ แน่นอนมันย่อมเปอร์เซ็นต์มากกว่าคนที่ไม่ชอบ เราอยู่ในโลกที่มันอยู่บนความเป็นจริงคุณพิธา ถ้าคุณกําลังเชื่ออะไรที่มันผิดๆ อยู่”

“คุณเป็นคนที่มีความสามารถ คุณน่าจะหาความรู้ได้ไม่ยาก และพวกเราที่เป็นคนไทย เป็นลูกของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมที่จะให้โอกาสคุณนะ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่ทำตัวแย่มาขนาดไหน หากกลับใจ กลับใจจริงๆ ด้วยความจริงใจ เราพร้อมเสมอ คนไทยพร้อมเสมอที่จะให้โอกาส เพราะนอกจากพวกเราคนไทยด้วยกันแล้ว ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้หรอกค่ะคุณพิธา ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้เหมือนคนไทยช่วยกันเอง แล้วตอนที่เราช่วยเหลือกัน เราไม่เคยที่จะแบ่งแยกสีด้วยซ้ำ คิดดีๆ ค่ะ คุณโชคดีมากขนาดไหนที่คุณเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทุกพระองค์แบบนี้ โชคดีมากๆ จริงๆ ค่ะ คิดดีๆ ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่นะคะคุณพิธา ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่ คิดดีๆ ให้นึกถึงลูกคุณ นึกถึงครอบครัวคุณ ฝากไว้แค่นี้ค่ะ”

‘นิด้าโพล’ ชี้!! ‘ก้าวไกล’ เดินเกมพลาด จนชวดตั้งรัฐบาล เพราะไม่ยอมยกเลิกบางนโยบาย-ประมาทเสนอ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(30 ก.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ความผิดพลาดของพรรคก้าวไกล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับข้อผิดพลาดของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อผิดพลาดของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.98 ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่ยอมยกเลิกบางนโยบาย เพื่อให้ได้การสนับสนุนเพิ่มขึ้น รองลงมา ร้อยละ 30.46 ระบุว่า พรรคก้าวไกล ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งนั้น ร้อยละ 27.56 ระบุว่า พรรคก้าวไกลสู้เกมการเมืองในสภาไม่ได้ ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พรรคก้าวไกลทำตัวปิดกั้นตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยมีพันธมิตรทางการเมือง ร้อยละ 10.23 ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่เข้าใจวัฒนธรรมและความเป็นจริงทางการเมืองแบบไทย ๆ

ร้อยละ 9.54 ระบุว่า พรรคก้าวไกลประมาทในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่พรรคเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) ร้อยละ 7.94 ระบุว่า พรรคก้าวไกลสร้างศัตรูทางการเมืองไว้มากในช่วงที่ผ่านมา ร้อยละ 7.86 ระบุว่า ปัญหาจากพฤติกรรมของแฟนคลับ พรรคก้าวไกลทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนในรัฐสภา ร้อยละ 7.56 ระบุว่า พรรคก้าวไกลฟังแฟนคลับของตนเองมากเกินไป ร้อยละ 6.11 ระบุว่า พรรคก้าวไกลหลงไปกับตัวเลข 14 ล้านเสียง และ 151 สส. มากเกินไป ร้อยละ 5.88 ระบุว่า กุนซือ นักวิชาการของพรรคก้าวไกลที่อยู่นอกพรรคฯ ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง หากพรรคก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้าน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.19 ระบุว่า จะมีการชุมนุมใหญ่แต่จะสามารถควบคุมได้ รองลงมา ร้อยละ 24.81 ระบุว่า จะมีการชุมนุมเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ ร้อยละ 23.66 ระบุว่า จะมีการชุมนุมใหญ่และไม่สามารถควบคุมได้ ร้อยละ 11.99 ระบุว่า จะไม่มีการชุมนุมใด ๆ ร้อยละ 2.90 ระบุว่า จะมีการชุมนุมเพียงเล็กน้อยแต่จะไม่สามารถควบคุมได้ และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีพรรคการเมืองใหม่ที่มีลักษณะบุคลากรและวิธีการดำเนินการทางการเมืองคล้ายกับพรรคก้าวไกลเกิดขึ้น แต่มีความประนีประนอมมากกว่า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.88 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 33.89 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 19.54 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย ร้อยละ 9.62 ระบุว่า เป็นไปไม่ค่อยได้ และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

แฟนคลับฟิน!! ‘พิธา-แอฟ ทักษอร’ โผล่ตัดผมร้านเดียวกัน ชาวเน็ตตาดี ส่องเสื้อที่เจ้าของร้านใส่เป็นตัวเดียวกันเป๊ะ

(30 ก.ค. 66) ทำชาวเน็ตมโนอีกรอบ หลังจากที่ปรากฏภาพ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไปตัดผมร้านชื่อดังที่คนบันเทิงชอบใช้บริการ โดยเป็นร้านเดียวกับ ‘แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ’ ซึ่งเจ้าของร้านตัดผมดังกล่าว ได้เผยภาพคู่กับทิม พิธา พร้อมข้อความว่า “เป็นเกียรตินะครับ” และก่อนหน้านี้ก็ได้โพสต์ภาพคู่ ‘แอฟ ทักษอร’ ระบุว่า “สวยมากครับ”

โดยชาวเน็ตพุ่งเป้าไปที่เสื้อเจ้าของร้านว่าเป็นตัวเดียวกันเป๊ะ!! ทำเอฟซีแห่ถามกันกระจายว่าทั้งคู่มาด้วยกันหรือไม่ งานนี้เอฟซีที่เชียร์ทั้งคู่ให้ลงเอยต่างก็ฟินไปตามๆ กัน

‘ทนายบอน’ แนะ!! นักศึกษาใหม่ มธ.ที่ฟังบรรยาย ‘พิธา’ ถ้าจะฟังที่พี่เค้าพูด ‘พอได้’ แต่อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำ

(5 ส.ค.66) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ‘ทนายบอน’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า...

[พิธา บรรยายนักศึกษาใหม่ มธ.] ฟังที่พี่เค้าพูดพอได้ แต่อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำครับ

พี่เค้าพูด ว่า เค้ายึดมั่นในประชาธิปไตย เสรีภาพ ที่พูดหล่อๆ ก็พอฟังได้

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าแต่ละคนนั้นใครเห็นต่างไม่ได้ต้องทัวร์ลง อ้างเสรีภาพไปข่มเหงรังแกคนเห็น ดังนั้น อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำครับ เราไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยแบบนั้น

พี่เค้าพูด ว่า “โลกต้องการคนรุ่นใหม่” ใช่ครับ

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าแต่ละคน ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกปั่นยุยง สร้างความแตกแยก ทำแต่สิ่งผิดกฎหมาย เราไม่ได้ต้องการคนรุ่นใหม่แบบนั้นครับ

พี่เค้าพูดว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ คือ เสรีภาพ ภราดรภาพ” ใช่ครับ

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าฟาดฟัน ทำลายล้าง สร้างความแตกแยก ทำให้คนเกลียดชังกัน ในขณะที่ภราดรภาพ คือ ความเป็นพี่เป็นน้องกัน กลมเกลียวกัน เราไม่ได้ต้องการสังคมแบบนั้นเพื่อสร้างประเทศครับ สิ่งที่พวกพี่เค้าทำห่างไกลสุดกู่กับคำว่าภราดรภาพ

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าสอน ให้ใช้เสรีภาพแบบมีความรับผิดชอบ ไม่ละเมิดสิทธิบุคคลอื่น ไอ้ที่เห็นการอ้างเสรีภาพไปรังแกถล่มคนอื่น ไอ้พวกนั้นไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าสอน ว่าประชาธิปไตย ไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง แต่ต้องเคารพเสียงข้างน้อย รับฟังความเห็นต่างได้ ไอ้ที่เห็นว่าพวกกูถูกอย่างเดียว คนอื่นผิดหมด ไอ้พวกนั้นไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา 

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าก็สอนเรื่องภราดรภาพนะ ว่าคือการกลมเกลียว เป็นพี่น้องกัน แต่ที่เห็น ภราดรภาพบ้านพวกพี่เค้า เผา ทำลายล้างทุกอย่าง สรุป ไม่รู้ไอ้พวกนั้นไปเรียนจากที่ไหนมา

สรุปสุดท้าย ที่พี่เค้าบอกว่าพวกพี่เค้า DNA เดียวกับธรรมศาสตร์ ผมว่าพี่เค้าสำคัญผิดไปเยอะ เฉพาะสิ่งที่พี่เค้าพูดหล่อๆ ก็พอจะใกล้เคียง แต่ที่พวกพี่เค้าทำ ห่างไกลสุดกู่ครับ

#ทนายบอน

‘คณะกรรมการไต่สวน’ ชงยกคำร้อง ‘พิธา’ ผิด ม.151 เหตุขณะยื่นสมัครไม่พบไอทีวี ประกอบกิจการ-มีรายได้

(14 ส.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณี นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ระบุเมื่อเร็วๆ นี้ว่า สำนวนการสอบสวน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกลกรณีรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 151 เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (6) เพราะเหตุมีชื่อถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 ได้ถูกส่งมายังชั้นสำนักงาน กกต.นั้น มีรายงานว่า ผลสอบที่คณะกรรมการไต่สวนดำเนินการสืบสวนไต่สวนเสร็จสิ้น ได้เสนอความเห็นว่า เห็นควรให้ยกคำร้อง ด้วยเหตุผลว่า การดำเนินการตามมาตรา 151 เป็นคดีอาญาที่ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ขณะเปิดสมัครรับเลือกตั้ง สส.66 วันที่ 4-7 เมษายน ไม่พบว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีการประกอบกิจการอยู่และมีรายได้จากการทำสื่อ

ทั้งนี้ คณะกรรมการไต่สวนได้สรุปสำนวนและเสนอรายงานไปยังเลขาธิการ กกต. ซึ่งได้มอบรองเลขาธิการ กกต.ให้ดำเนินการจ่ายสำนวนดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้อง และปัญหาหรือข้อโต้แย้งพิจารณา ตามที่ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด 2563 กำหนด ก่อนที่จะเสนอให้ กกต.วินิจฉัย

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเรื่องร้องเรียน ร้องคัดค้านของคณะอนุฯวินิจฉัยหลายกรณี เมื่อสอบสวนแล้วไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการไต่สวน โดยเมื่อคณะอนุฯวินิจฉัยได้รับสำนวนหากเห็นว่ามีประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน มีข้อสงสัยก็จะดำเนินสอบสวนเพิ่มเติม รวมทั้งการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ซึ่งในกรณีคาดว่า คณะอนุฯวินิจฉัยจะมีการสอบสวนเพิ่มเติม และแจ้งให้นายพิธาได้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี กกต.ยื่นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ขอให้วินิจฉัยสถานะ สส.ของนายพิธา จากเหตุเดียวกัน ก่อนที่จะสรุปสำนวนพร้อมความเห็นเสนอ กกต.พิจารณา เช่นที่เคยดำเนินการกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เมื่อครั้งถือหุ้นสื่อ บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด

สำหรับการดำเนินการตามมาตรา 151 นั้น หากที่สุด กกต.มีมติเห็นว่า ผู้สมัครรายนั้นรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังคงลงสมัคร ก็จะให้ทางเจ้าหน้าที่สำนักงาน ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนเมื่อดำเนินการสอบสวนแล้วเสร็จก็จะส่งเรื่องให้กับอัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งที่ผ่านมาในกรณีของนายธนาธร แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า นายธนาธรมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 แต่เมื่อ กกต.ดำเนินคดีอาญาอัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยมาตรา 151 นั้น กำหนดไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด

ดับฝัน ‘พิธา’ ฮึดสู้ ระทึก…มีลุง มีเรา…เดินหน้า ‘เศรษฐา’ อาการหนัก…‘ชัยเกษม’ มีลุ้น

กำลังจะปั่นต้นฉบับ ก็ได้รับทราบว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำให้สถานการณ์ไทม์ไลน์การเลือกนายกรัฐมนตรีชัดเจนขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญชี้เปรี้ยงมาแล้วว่าไม่รับเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นไว้ กรณีข้อบังคับการประชุมรัฐสภากับการโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์… เมื่อศาลไม่รับพิจารณาทุกอย่างก็ตกไป ผลพวงสำคัญก็คือ โอกาสการเสนอชื่อนายพิธาได้ถูกปิดฉากลงในชั้นนี้ แต่คำถามสำคัญคือถ้าพิธาจะไปยื่นเองเพราะมีส่วนได้เสีย จะเกิดอะไรขึ้น…

วางเรื่องนี้ไว้ก่อน…

คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยแถลงเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ว่าน่าจะได้โหวตนายกรัฐมนตรี วันที่ 18 หรือ 21 ส.ค. และพรรคเพื่อไทยยืนยันเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน ขณะที่ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคมั่นใจว่า… ม้วนเดียวจบ

ม้วนเดียวจบหรือม้วนเดียวจอดก็ไม่รู้… รู้แต่ว่าแต่สายข่าวของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ 5 สายลงมติ 3 ต่อ 2 สายว่า… เศรษฐาจะสอบไม่ผ่านคะแนน 375 เสียง… เหตุผลก็เรื่องเดิมๆ ที่รู้ๆ กันคือ กรณีการซื้อขายที่ดิน กรณีการเสียภาษีของบริษัทแสนสิริ ที่คุณเศรษฐาเคยบริหารนั่นแหละ… อ๋อ เรื่องสะพานข้ามคลอง ตั้งด่านเก็บค่าตั๋วอะไรนั่นด้วย… รวมทั้งกรณีแนวคิดการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เคยพูดเอาไว้ด้วย… 

จะว่าไปแม้จะกระบวนท่าลีลาเยอะจนถูกเหน็บแนมว่าเป็น ‘เพื่อไทยการแสดง’ ก็ตาม แต่มองอีกมุมก็น่าเห็นใจพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะอ้าปากพูดอะไร ขยับตัวอธิบายเรื่องอะไรก็ถูกกองทัพด้อมส้มของจริง และด้อมส้มใส่เสื้อแดงดักคอดักทางถล่มซ้ายถล่มขวาแทบโงหัวไม่ขึ้น…

ขนาด ‘สหายใหญ่’ ภูมิธรรม เวชยชัย แม่ทัพใหญ่ที่มีทั้งสายบุ๋นสายบู๊อยู่ในตัวก็งัดวิชาออกมารับมือแทบไม่ทัน… นอกจากสารภาพว่าการจัดตั้งรัฐบาลสูตรสลายขั้วหนนี้ พรรคเพื่อไทยยอมเสียต้นทุนทางการเมืองมากมายมหาศาล เพื่ออนาคตที่ดีของบ้านเมืองจะเกิดสมัครสมานสามัคคีเลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย…

อยากจะเรียน ‘บิ๊กอ้วน ภูมิธรรม’ ว่าเดินหน้าทำไปเถอะ ขอให้มีศรัทธาที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์จริงๆ อย่ามีวาระซ่อนเร้นทำให้เป็นรูปธรรม  อย่าเอาเรื่องนายห้างดูไบมาเกี่ยวข้อง รับรองคนเชียร์อื้อ!!

วันนี้… รู้สึก ‘เล็ก เลียบด่วน’ ออกความเห็นมากไปนิด… กลับมาที่ทิศทางข่าวจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งก็ยังสรุปว่า โอกาสของเสี่ยนิด เศรษฐา มีน้อย… โอกาสที่จะตกเป็นของชัยเกษม นิติสิริ มีสูงหากสุขภาพสู้ไหว หาไม่แล้วเกมมันจะไหลไปที่พรรคอันดับ 3 เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีระกูล นาทีนี้พร้อมแล้วที่จะรับส้มหล่น…

อย่างไรก็ตาม… เชื่อกันว่าระดับเพื่อไทยคงไม่ปล่อยให้โอกาสทองผ่านเลยไปอย่างแน่นอน… หน้าฉากก็ทำวับๆ แวมๆ โหวตก่อนแบ่ง หรือแบ่งก่อนโหวต แต่นาทีนี้ก็คงส่งสัญญาณทางลึกกันแล้วว่าพรรคไหนได้กี่เก้าอี้ กระทรวงไหนที่เพื่อไทยขอสงวนสิทธิ์ ส่วนหลักการที่ปล่อยออกมาว่าไม่ให้พรรคการเมืองในรัฐบาลชุดนี้อยู่ที่กระทรวงเดิมนั้น ล่าสุดทราบว่าไม่ติดยึดแแล้ว… ทำให้พรรคภูมิใจไทยที่ยังตั้งมั่นที่จะคุมกระทรวงสาธารณสุข การท่องเที่ยวและการกีฬา คลายเครียดขึ้นมาบ้าง… ส่วนกระทรวงคมนาคมนั้นดูเหมือนจะทำใจแล้วว่า พรรคเพื่อไทยไม่ยอมปล่อยแน่…

อ๋อ สำหรับกระทรวงพลังงานที่โผเดิมจะยกให้พรรครวมไทยสร้างชาติกำกับดูแลนั้น… ล่าสุดทราบว่าพรรคเพื่อไทยโยกมาเป็นของตัวเอง แต่คนแดนไกลไม่ขัดข้องที่จะให้เจ้าสัวพลังงาน… ส่งคนมานั่งว่าการ… 

มีลุง… มีเรา… มีเจ้าสัว… มีเจ้ามือ…

ทราบแล้วเปลี่ยน!!

‘กกต.’ โต้เดือด ‘พิธา’ กรณีไต่สวนอาญา ม.151 ชี้!! ยังไม่แล้วเสร็จ ปัด ‘กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ’

(16 ส.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าว ว่า ตามที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่า “คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 ตามข้อกล่าวหาว่า รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการ เมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ...” จากกรณีที่เป็นข่าวว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. โดยเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ กกต.จึงได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อพิจารณาว่าฝ่าฝืนมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 (พรป.สส.) หรือไม่ประการใดนั้น

กกต.ชี้แจงว่า ในการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 3 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. กล่าวหาว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น อันเป็นกิจการสื่อมวลชน เชื่อว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แต่คำร้องดังกล่าวยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต. จึงมีมติสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวทั้งหมดไว้พิจารณา 

แต่เมื่อ กกต.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า รายละเอียดที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำร้อง มีเหตุอันควรเชื่อว่านายพิธา อาจจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง สส. โดยมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ว่า นายพิธา กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด ขณะนี้การดำเนินการสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้นและได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยอยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนไต่สวนเป็นไปตามลำดับชั้นตามระเบียบและกฎหมาย หลังจากนั้น จะได้นำเสนอข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและความเห็นต่อ กกต. ให้เป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

โดยเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2566 กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทำให้นายพิธา มีสมาชิกภาพเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่ปรากฏว่า กกต. ได้พิจารณามีข้อเท็จจริงและมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ เชื่อได้ว่านายพิธา อาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีจำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธาฯ ต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (6) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็น เสนอต่อ กกต.ให้พิจารณาสั่งการต่อไป

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น สส. ของ นายพิธา อาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต. ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันต่อไป

กกต. ขอชี้แจงว่าคณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน ดังนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจอันเป็นความเห็นเบื้องต้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้วจะนำเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาในลำดับสุดท้าย

การพิจารณาเสนอความเห็นว่า นายพิธา กระทำความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. หรือไม่ กกต. จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับนายพิธา หรือไม่ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น

สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ สส. ของนายพิธาฯ มีเหตุต้องสิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นระบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้อำนาจดังกล่าวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาพยานหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง กกต.ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้คดีที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในทางหนึ่งทางใดตามที่ กกต.ต้องการ

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวล ชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น สส. ของนายพิธา เฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร ดังนั้น กระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ต่อ นายพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้นหรือมีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต.จึงไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือจงใจที่จะทำให้นายพิธา ต้องได้รับโทษตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชน อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากระบวนการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วย การเลือกตั้ง สส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน 

'ช่อ' โยนบาป 'พท.' ขวางตั้งรัฐบาล เหตุไม่เอา ภท.  ทั้งที่ความเป็นจริง 'พิธา' เคยพูดเองว่าไม่เอา ภท.

(20 ส.ค. 66) มีรายงานว่า ขณะนี้มีข้อความและคำพูดของ น.ส. พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล แชร์ว่อนเน็ต หลังไปออกรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ระบุถึงย้อนไปถึงเหตุการณ์ ครั้งที่ ‘พรรคก้าวไกล’ จัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เป็นเพราะพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องให้ พรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมรัฐบาล ท้้งที่หากได้ 71 เสียงของพรรคภูมิใจไทย จะได้เสียง เกิน 376 เสียงเป็นนายกฯ ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่ง สว. พร้อมระบุว่า ถ้าเรื่องที่ตัวเองพูดไม่จริง ก็บอกมาว่าไม่จริง

ขณะที่ข้อเท็จจริงช่วงนั้น ผู้ที่ไม่เอาพรรคภูมิใจไทย ร่วมรัฐบาล ก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทุกแขนงเมื่อวันที่ 15 พ.ค. หลังวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. มั่นใจเสียงของ 8 พรรคเดิม ก่อนจะเพิ่มเป็น 312 เสียง เพราะเชื่อว่าในขณะนั้นจะได้เสียงสนับสนุนเป็นนายกฯได้ ก่อนถูกรัฐสภาโหวตคว่ำในเวลาต่อมา

‘พีช พชร’ กับท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนใส่ ‘พิธา’ หลังเปิดธุรกิจใหม่วันแรก ทำชาวเน็ตเอ็นดูมาก

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 66) ทำธุรกิจประสบความสำเร็จไปหลายอย่างแล้ว สำหรับ ‘พีช พชร จิราธิวัฒน์’ ล่าสุดเปิดตัวธุรกิจใหม่ร่วมเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร Khao-So-i ข้าวโซอิ หรือก็คือร้านข้าวซอย โดยยกข้าวซอยของขึ้นชื่อทางภาคเหนือมาไว้ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยวันแรกมีคนดังมาร่วมแสดงความยินดีหลายราย หนึ่งในนั้นคือ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่ง ‘ทิม พิธา’ ได้โพสต์รีวิวไว้ในติ๊กต็อกส่วนตัว ระบุว่า…

“เมื่อวานได้ไปทานข้าวซอยที่ร้าน Khao-So-i ข้าวโซอิ ที่มาเปิดสาขาใหม่ที่กรุงเทพฯ เมนูสร้างสรรค์และอร่อยมาก ๆ ครับ อาหารไทยที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ใส่ความสร้างสรรค์ไปเพิ่ม จะไปได้ไกลกว่านี้อีกมากครับ”

โดยในคลิปดังกล่าว มีช่วงที่ ‘พีช พชร’ ได้เดินมาพูดคุยกับ ‘ทิม พิธา’ ซึ่งเจ้าตัวมีอาการสำรวมและนอบน้อม ทำชาวเน็ตต่างพากันเอ็นดู เข้าไปเมนต์แซวกันกระจายเลยทีเดียว

‘หมอวรงค์’ ชี้!! ไม่แปลกใจ หลัง ‘พิธา’ ติดอันดับนิตยสาร TIME 2023 เพราะ ‘เซเลนสกี’ ก็เคยติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล เมื่อ 2022 มาแล้ว

(15 ก.ย. 66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

‘เซเลนสกี’ ติดบุคคลแห่งปี 2022 โดยนิตยสาร TIME ไม่แปลกที่ ‘พิธา’ จะติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของ TIME ปี 2023

ถ้ายิ่งดูย้อนกลับไป เราจะพบว่า ธนาธรก็เคยติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของ TIME ในปี 2019 ที่สำคัญ ‘รุ้ง ปนัสยา’ ก็เคยติด ติด 1 ใน 100 ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลของ BBC ในปี 2020 (ยิ่งลักษณ์ก็เคยติดของ 
ฟอร์บในปี 2011/2012)

การล่าอาณานิคมยุคใหม่ของโลกตะวันตก ไม่จำเป็นต้องส่งกองเรือเหมือนร้อยๆ ปีที่ผ่านมา หรือส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปให้เสียชีวิต

แต่โลกยุค Social Media วันนี้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม สร้างคำว่าประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม เสมอภาค และสร้างคนขึ้นมา โดยใช้สื่อยุคใหม่คอยสนับสนุน จบเพียงแค่นี้ครับ

โชคดีที่ประเทศไทยของเรา มีชาวบ้านบางระจัน กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี เรามีคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้พวกตะวันตกคงคาดไม่ถึง

#ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
#สภาราชประชาสมาสัย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top