Monday, 9 June 2025
พรรคเพื่อไทย

‘เพื่อไทย’ แถลงแสดงความเสียใจ เหตุสะพานแขวนข้ามแม่น้ำที่อินเดียถล่ม

(31 ต.ค.65) เพจพรรคเพื่อไทย โพสต์ระบุว่า พรรคเพื่อไทยรู้สึกเศร้าและสะเทือนใจจากเหตุการณ์สะพานแขวนข้ามแม่น้ำถล่ม ที่รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 141 คน และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าสลดอีกเหตุการณ์หนึ่งในช่วงสัปดาห์นี้

พรรคและสมาชิกพรรคขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวและพี่น้องประชาชนชาวอินเดียในช่วงเวลาที่โศกเศร้าและยากลำบากนี้

พรรคเพื่อไทย
31 ตุลาคม 2565 


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0HdoY9fUG9PkhX9o6Edbm6QiHnqcTZtr5jGmjxCsdtw8YTq5A4FNwqVJJxoLcLKvdl&id=100044569743646

‘พิชัย’ อัด ‘ประยุทธ์’ ล้มเหลวแก้ราคาพลังงาน พร้อมจวก ‘ขายชาติ’ หลังจะปล่อยขายที่ต่างชาติ

(1 พ.ย. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคพท.ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้รับการตอกย้ำอีกครั้งจากการกระทำของพล.อ.ประยุทธ์เองที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้อที่ดินได้ง่าย จะทำให้ที่ดินราคาเพิ่มขึ้นสูง คนไทยส่วนใหญ่ประมาณ 80% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง จะเดือดร้อนและจะไม่มีปัญญาซื้อที่ดินเป็นของตัวเองได้ ทำให้ถูกโจมตีทั้งโซเชียลอย่างหนักว่าเป็นการขายชาติมากกว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ แต่เรื่องที่น่าจะเป็นปัญหาและที่ขาดความรู้ความเข้าใจ คือเรื่องพลังงาน โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ราคาพลังงานแพงขึ้นมาก ทั้งราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้มราคาไฟฟ้าที่มหาโหด

นายพิชัย กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะราคาไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นมากถึงหน่วยละ 4.72 บาท และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่ออีก ส่วนหนึ่งมาจากให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าที่เกินความจำเป็น ทำให้มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าสูงกว่า 50% ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมสำหรับโรงงานไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าเป็นจำนวนที่สูงเดือนละหลายพันล้านบาท ทั้งๆ ที่มีปริมาณการผลิตที่เกิน แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังจะออกใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 5,203 เมกกะวัตต์ ซึ่งจะยิ่งทำให้การผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตล้นอยู่แล้ว ล้นเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งในวงการพลังงานในระดับสูงแทบทุกระดับ ตามที่จะมีข่าวการเปลี่ยนประธานบอร์ด บมจ.ปตท.ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลาออก และจะลามไปเป็นการเปลี่ยน CEO ของ บมจ.ปตท.ด้วย รวมถึงการจะเปลี่ยนปลัดกระทรวงพลังงาน เพราะไม่ตามใจผู้มีอำนาจ หรือต้องการเอาใจนายทุนผู้มีอิทธิพลเท่านั้น หากเป็นจริงนี่ก็เป็นการขายชาติทางด้านพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง และไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างไร

'สุทิน' ถามสด ต่างชาติซื้อที่ดิน 1 ไร่แลก 40 ลบ. คุ้มหรือ? ชี้!! นโยบายนี้เอื้อนายทุน - ซ้ำเติมประชาชนในชาติ

(3 พ.ย. 65) สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน ตั้ง #กระทู้สดด้วยวาจา กรณีมติคณะรัฐมนตรีแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการได้มาที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ 

กระทู้สดด้วยวาจานี้ถามต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รองนายกรัฐมนตรีมาเป็นผู้ตอบกระทู้ 

สาระสำคัญคือ ชี้ชวนจูงใจให้ต่างชาตินำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่าคนละ 40 ล้านบาท เพื่อแลกกับการถือครองที่ดินได้คนละ 1 ไร่ โดยอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กรณีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และวิตกกังวลสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยโดยทั่ว

การส่งเสริมให้คนต่างชาติถือครองที่ดิน คือการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินในขณะที่คนไทยกำลังอ่อนแอ เพราะคนไทยกว่าร้อยละ 80 ยังไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินสูงมากไปกระจุกอยู่กับนายทุนคนละหลายแสนไร่ และยังจะซ้ำเติมด้วยต่างชาติเข้ามาถือครองอีก เรื่องนี้ชาวบ้านวิตกกันถึงขั้นว่าเป็นการ ‘ขายชาติ’ 

แม้รัฐบาลในอดีตเคยทำ แต่ทำบนข้อจำกัดและความจำเป็น คือเมื่อปี 2542 และปี 2545 รัฐบาลไปกู้เงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ไอเอ็มเอฟกำหนด แต่ก็ออกกฎกระทรวงหรือมีมาตรการที่ระมัดระวัง รอบคอบและรัดกุม จนในที่สุดแล้วมีต่างชาติมาซื้อที่ดินเพียงแค่ประมาณ 7-8 ราย ก็ถือว่าเราไม่ได้เกิดการสูญเสียที่ดิน

แต่รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างว่าเพื่อความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ อันมาจากวิกฤต เสมือนรัฐบาลยอมรับว่า วันนี้รัฐบาลได้จนมุมทางเศรษฐกิจ และจำเป็นแล้วที่ต้องใช้มาตรการนี้ หมายความว่าการเงินการคลังเรากำลังลำบาก ต้องรอแต่เงินต่างชาติอย่างเดียวแล้วหรือ? 

และที่รัฐบาลอ้างว่ามีมาตรการนั้น มาตรการดังกล่าวก็หละหลวมมาก คือที่อ้างว่าเปิดการลงทุนเพื่อให้ได้ผู้เชี่ยวชาญ ได้เงินลงทุน ได้เทคโนโลยี แต่ดูไปดูมา รัฐบาลนี้แค่อยากได้เงินเขาเท่านั้น เพราะแต่ละกลุ่มที่รัฐบาลเลือกมาคือ เศรษฐี ผู้เกษียณอายุ ซึ่งนี่ตรงกันข้ามกันกับที่บอกว่าอยากได้ผู้เชี่ยวชาญ ได้เทคโนโลยีได้การลงทุนสร้างงาน และมากกว่านั้น 

สุทินย้ำว่า เงินลงทุนแค่ 40 ล้านบาทคือ โอนเงินข้ามประเทศมาก็ได้ที่ดินเลย คนไม่ต้องมา โรงงานไม่ต้องมา เทคโนโลยีไม่ต้องมา นี่คือไม่ได้เกิดงานที่แท้จริง ไม่ได้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่เอาเงินมา 40 ล้าน ครบ 3 ปีได้ดอกก็ถอนออกไป ตรงนี้อันตราย 

จึงเกิดข้อสงสัยถัดมาว่า จริงๆ แล้ว รัฐบาลเจตนาช่วยเหลือกลุ่มทุนที่วันที่ถือที่ดินไว้เต็มมือหรือไม่? บางรายมีที่ดินหลายแสนไร่ บางรายมีคอนโดมิเนียมนับหมื่นห้อง ซึ่งวันนี้ขายไม่ออก ตรงนี้เป็นแรงจูงใจหรือแรงผลักดันจากกลุ่มทุนหรือไม่ว่าให้ต่างชาติมาช่วยซื้อที่ดินซื้อบ้าน ดังนั้นจึงมีข้อสงสัยว่า รัฐบาลมีเจตนาหรือไม่เจตนาที่จะเอื้อกฎหมายนี้ให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มนายทุนใหญ่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนได้ประโยชน์คือทุนใหญ่ คนเสียประโยชน์คือชาวบ้าน 

วันนี้ พรรคเพื่อไทย จึงตั้งกระทู้ เพื่อถามนายกรัฐมนตรีว่า

1.) คณะรัฐมนตรีมีความจำเป็นหรือมีเหตุผลอะไรที่หนักหนาสาหัส ถึงขนาดต้องมีมติคณะรัฐมนตรีแบบนี้ออกมา

‘จิรายุ’ แซะ ‘พรรคร่วมฯ’ อย่าทะเลาะกันบ่อย อยากเห็น ‘ปรองดอง’ ทำนโยบายที่เคยโม้ไว้

(4 พ.ย. 65) ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ฝ่ายค้านได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล ฉะนั้น จึงขอฝากเตือนไปยังรัฐมนตรีหลายคนอย่าคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงนอนหลับ เพราะฝ่ายค้านทำงานตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อรวบรวมข้อมูล ซึ่งแน่นอนว่าจะนำไปสู่การเปิดเผยในสภาและเวทีนอกสภา ทั้งนี้ การตรวจสอบไม่ใช่แค่การอภิปราย ไม่ใช่แค่การใช้วาจาในสภาเท่านั้น มีการจับจริงเกิดขึ้นมาแล้วในหลายเรื่อง โดยมี 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้ยื่นเรื่องกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไป 5 สำนวน ตนไปร้องไม่ได้มีกระดาษแค่ 4 แผ่น แต่ตนไปร้องเป็นหนังสือ เอกสาร พยานหลักฐานสำคัญ 4,000 กว่าหน้า จึงขอฝากรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ท่านผู้นำประเทศอย่าได้นิ่งนอนใจ นอกจากนี้จะมีสำนวนสำคัญอีก 2-3 สำนวนส่งเข้าคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ที่ตนเป็นประธานอยู่

“ขอเตือนไปยังรัฐบาลอย่าลักหลับในช่วง 4 เดือนสุดท้าย ไม่ว่าท่านจะวางแผนยุบสภาหรือไม่ หรือแม้กระทั่งที่ท่านบอกว่าจะครบวาระในวันที่ 23 มีนาคม ซึ่งผมไม่สบายใจอย่างยิ่งที่เมื่อวานนี้ (3 พฤศจิกายน) มีสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลพูดต่อกรรมาธิการว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยุบสภาภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยไม่รออยู่ครบวาระ ซึ่งผมก็บอกว่า ผมไม่รู้ ผมไม่เชื่อ เพราะผมเคยเจอพล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่เคยไปจับเข่าคุยกับเขา ซึ่งสมาชิกฝ่ายรัฐบาลคนนั้น ก็ยังยืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์อยู่ไม่ครบวาระ เนื่องจากมีเงื่อนไข 180 วัน เพราะหากยุบสภาก่อน ก็จะต้องไปใช้อีกกฎหมายหนึ่ง แต่ถ้ายุบวันที่ 23 มีนาคม ก็จะครบตามที่กฎหมายบังคับคือ 180 วัน ไม่ว่า ท่านจะยุบเร็วหรือยุบช้า เรื่องของท่าน แต่เรื่องของฝ่ายค้านคือการติดตามตรวจสอบในทุกวินาทีจนกว่าท่านจะยุบสภาหรือท่านจะอยู่ครบวาระก็ตาม” นายจิรายุ กล่าว

‘พิชัย’ ชี้!! ผูกขาดโรงกลั่น ทำราคาน้ำมันพุ่ง แนะ!! จำกัดการผูกขาดให้น้อย เพิ่มโอกาสคนรุ่นใหม่

(8 พ.ย. 65) เมื่อเ วลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า น่าเสียดายที่สุราเสรีไม่ผ่านการโหวตในสภา โดยแพ้ไปเพียง 2 เสียงเท่านั้น หากผ่านได้จะทำให้จำกัดการผูกขาดสุราในประเทศ เกิดการกระจายรายได้ให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งพรรคไทยรักไทยเคยคิดเรื่องนี้แล้วตั้งแต่ปี 2546 จึงหวังว่าในอนาคตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สุราเสรีจะเกิดขึ้นได้จริง 

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีปัญหาการผูกขาดอย่างมาก ขนาดองค์กรระหว่างประเทศยังจัดอันดับประเทศไทยในลำดับท้าย ๆ ที่จัดการการผูกขาดได้ย่ำแย่ จึงต้องหาทางจำกัดการผูกขาดในทุกด้าน เพื่อให้โอกาสคนรุ่นใหม่สามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาได้ ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นเมื่อมีการแข่งขันที่แท้จริง 

นายพิชัย กล่าวต่อว่า อยากให้มีการจำกัดการผูกขาดผลิตน้ำมันและกลั่นน้ำมันในประเทศไทย เพราะมีปัญหามาตลอด เพราะโรงกลั่น 6 โรงใน 7 โรงกลั่น เป็นของ บมจ.ปตท. ซึ่งคุมปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นแล้วเกือบทั้งหมด ทำให้มีปัญหาราคาโครงสร้างราคาน้ำมัน ดังนี้ 

1.) ราคาหน้าโรงกลั่นจะต้องเท่ากับสิงคโปร์โดยไม่บวกค่าขนส่ง ราคาขายในประเทศจะต้องเท่ากับราคาส่งออก เพราะบริษัทในเครือ บมจ.ปตท. ขยายการกลั่นเพื่อการส่งออก แสดงว่าราคาส่งออกก็กำไรอยู่แล้ว 

2.) ค่าการตลาดควรจะถูกจำกัดที่ลิตรละ 1.40 บาท ตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ อย่าปล่อยให้ราคาค่าการตลาดพุ่งสูงแบบไม่สมเหตุผล 

‘เพื่อไทย’ โวย!! รัฐนิ่ง ทำท่องเที่ยวเชียงใหม่ซบ แนะ!! ต้องหานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่มาเพิ่ม

(10 พ.ย. 65) นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เวลานี้แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยจะลดลง และสามารถเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้ แต่พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังมีปริมาณน้อยมาก เพราะนักท่องเที่ยวต่างประเทศรวมทั้งจีน ยังไม่เดินทางออกมาท่องเที่ยวมากนัก ส่งผลกระทบกับรายได้การท่องเที่ยวที่ลดลงตามไปด้วย ดังนั้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวจึงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเท่าที่ควร งบประมาณที่จัดสรรให้ก็มีน้อยมาก

นายจักรพล กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่าการท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์ที่สำคัญสำหรับประเทศไทย แต่กลับทอดทิ้งไม่หากลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ในโลกยังมีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่อยากมาเที่ยวไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโอเชียเนียร์ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย กลุ่มตะวันออกกลาง ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศควรบูรณาการทำงานร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปโปรโมทการท่องเที่ยวของไทยกับกลุ่มประเทศใหม่ ๆ แต่ทั้งสองกระทรวงกลับนิ่งเฉย

รองโฆษกพท.จี้นายกฯ แสดงภาวะผู้นำ สั่ง 'อนุทิน' เพิกถอนประกาศสธ.กัญชาเสรี

รองโฆษกสาวเพื่อไทย โหน สมาคมแพทย์นิติเวชฯ จี้นายกฯ แสดงภาวะผู้นำสั่ง 'อนุทิน' เพิกถอนประกาศสธ.กัญชาเสรี ที่นำมาใช้เกินเลยจากการแพทย์ หวั่นเด็ก-เยาวชนพลัดหลงเข้าสู่วงจรยาเสพติด

(11 พ.ย. 65) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทย พรรคร่วมฝ่ายค้านและประชาชน ขอแสดงความขอบคุณ ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ที่ร่วมกันกับพรรคร่วมฝ่ายค้านไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ขอให้ศาลฯ มีคำสั่งเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีการออกประกาศฉบับดังกล่าว และให้กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามประกาศ สธ.ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ดังเดิม การที่นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย จับมือกับพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ๆ ต่อสู้ เพื่อต่อต้านคัดค้านกัญชาเสรีที่มีการนำมาใช้เกินเลยไปจากทางการแพทย์ เป็นสิ่งที่สร้างความถูกต้องให้กับผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดกัญชาเสรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

‘ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย’ ลงพื้นที่ ‘บางรัก’ รับฟังปัญหาพี่น้องผู้ประกอบการ พบปัญหารายได้ไม่พบรายจ่ายเป็นปัญหาหลัก พูดคุยกับ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธ์’ ผู้ว่าฯ กทม.เรื่องแนวทางการพัฒนาเมืองใหญ่และเศรษฐกิจซบเซาในเมืองใหญ่ โดยเล็งกระตุ้นเศรษฐกิจย่านบางรักให้กลับมาฟื้

จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางรัก สาทร ปทุมวัน และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าวันนี้ได้ลงพื้นที่เขตบางรัก พร้อมด้วย พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย เพื่อรับฟังปัญหาและขอความเห็นของประชาชนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยพบว่าผู้ประกอบการจำนวนมากประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำเป็นเวลานาน การค้าขายฝืดเคือง รายได้ไม่พอรายจ่าย ยิ่งระยะหลังข้าวของแพง ค่าครองชีพพุ่ง ยิ่งทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบาก ชักหน้าไม่ถึงหลัง และยังมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผู้บริหารประเทศที่มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เหมือนในอดีตที่เคยบริหารประเทศจนประสบความสำเร็จ ประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจหมุนเวียนดี เข้ามาบริหารแทนผู้บริหารในปัจจุบัน

‘ธีรรัตน์’ ขอบคุณโพลเชียร์ ‘อุ๊งอิ๊ง-พท.’ เป็นรัฐบาล ขอประชาชนอดทนรอ อีกไม่นานจะได้ออกจากหลุมดำ

(14 พ.ย. 65) น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นิด้าโพลเผยแพร่สำรวจประชาชนภาคกลางเมื่อวันที่ 13 พ.ย. และภาคเหนือเมื่อวันที่ 6 พ.ย. พบว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ และยังเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับหนึ่งในการเลือก ส.ส.แบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ไว้ใจเลือกพรรคเพื่อไทยให้เป็นพรรคในใจของพี่น้องประชาชน และขอขอบคุณแทน น.ส.แพทองธาร ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ประกาศตัวเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ก็ยังได้รับเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนท่วมท้นมากขนาดนี้ เป็นการตอกย้ำว่าพี่น้องประชาชนให้การสนับสนุนแนวทาง นโยบาย และผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกับที่ได้รับความไว้วางใจเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อมนายกอบจ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 25 ก.ย. และการเลือกตั้งซ่อมนายก อบจ.กาฬสินธุ์วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา จนได้รับคะแนนเสียงชนะขาดแบบแลนด์สไลด์ 

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า ทั้งหมดถือเป็นกำลังใจให้กับพรรคเพื่อไทยเป็นเสมือนธงนำทางให้พรรคมุ่งมั่นทำงานต่อไป เราจะแปรเปลี่ยนเสียงสนับสนุนที่พี่น้องประชาชนมอบให้ เป็นภารกิจในการคิดค้นนโยบาย เพื่อสร้างรายได้ สร้างชีวิตใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความทุกข์ระทมที่พี่น้องประชาชนต้องพบเจอมาตลอด 8 ปีให้กลายเป็นความหวัง เพื่อให้เป้าหมายในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ถือว่าเป็นชัยชนะของพี่น้องประชาชน

‘ชลน่าน’ คุย ‘สมาคมประมง’ วาง 4 นโยบายแก้ปัญหา เพื่อฟื้นคืนอาชีพ-อุตสาหกรรมประมงไทย

‘ชลน่าน’ หารือ ‘สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย’ วาง 4 นโยบายแก้ไขปัญหาประมง เพื่อฟื้นอาชีพและอุตสาหกรรมประมงไทยอย่างต่อเนื่อง ทวงคืนอันดับโลกประมงไทย

(14 พ.ย. 65) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะนโยบายเกษตรพรรคเพื่อไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรคและคณะ พูดคุยหารือและรับมอบข้อเสนอจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยในการแก้ปัญหาประมงอย่างครบวงจร โดยมีนายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนชาวประมงทั่วประเทศเข้ามอบหนังสือดังกล่าว นพ.ชลน่าน กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นไปที่รับฟังปัญหาของสมาคมประมงฯ ที่สำนักงาน และทีมเพื่อไทยไปฟังปัญหาจากชาวประมง ทั้งในเขตจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และหลายจังหวัดในภาคใต้ก่อนหน้านี้แล้วส่วนหนึ่ง รวมถึงในวันนี้สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ก็ได้มาพูดคุยและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นความร่วมมือกันอย่างจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาประมงของประเทศที่ค้างคามานานหลายปี 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบัน สหภาพยุโรปจะได้ปลดใบเหลืองแก่ประมงไทยไปแล้ว แต่นโยบายมาตรการและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่บริหารจัดการภาคประมงก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนคลายลงไป แม้พรรคเพื่อไทยจะเคยนำเสนอประเด็นนี้ไปยังรัฐบาลแต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมาอย่างจริงจัง ความเดือดร้อนของพี่น้องประมงก็ยังคงอยู่ วันนี้จึงเป็นโอกาสดี ที่ได้พูดคุยและตกผลึกแนวนโยบายและมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้พรรคเพื่อไทย ได้รวบรวมผลิตเป็นพิมพ์เขียวนโยบายแก้ไขปัญหาของพี่น้องประมงในการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึง

“ปัญหา IUU Fishing ของภาครัฐ ที่เร่งรัดแก้ไขดำเนินการอย่างเร่งรีบตั้งแต่ปี 2558 สร้างปมปัญหาต่อเนื่องให้พี่น้องประมง เพราะในวันที่แก้ไขปัญหานั้นพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยฟังคำทักท้วงและคำแนะนำของพี่น้องประมงและผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสบริหารประเทศ เราจะพลิกฟื้นอาชีพประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ด้วยการรื้อกฎหมายที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ แก้ไขหลักเกณฑ์ให้บังคับใช้อย่างเหมาะสม ยุติธรรม และหากอุปสรรคถูกทำลายและการส่งเสริมถูกต้องเหมาะสมก็เชื่อว่า ประเทศไทยจะกลับมาทวงตำแหน่งประมงลำดับต้นๆ ของโลก สร้างรายได้ให้ชาวประมงอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง” นพ.ชลน่าน กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top