Monday, 9 June 2025
ประเทศไทย

‘นายกฯ เศรษฐา’ โชว์ซี้!! ได้เบอร์สายตรง ‘นายกฯ จีน’ พอใจเจรจานักลงทุนลุยไทย เชื่อเพิ่มมูลค่านับล้านล้าน

(19 ต.ค. 66) ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือทวิภาคีกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า ได้มีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง เรื่องการขนถ่ายสินค้าจากไทยไปจีนผ่านลาวที่พบว่ายังมีอุปสรรค คือ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากหนองคายไปลาว  ซึ่งตนได้บอกนายกฯ จีนว่า ควรจะมีการผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้การขนถ่ายสินค้าเป็นไปด้วยดี 

ซึ่งหากมีการสร้างสะพานดังกล่าวในช่วงจังหวัดหนองคาย ก็จะมีการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าด้วย พร้อมยืนยันว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติรถไฟรางคู่จากขอนแก่นไปหนองคาย เพื่อบรรเทาความแออัด ในการขนถ่ายสินค้า ระหว่างการสร้างรถไฟความเร็วสูง อีกทั้งยังได้แจ้งว่ารัฐบาลได้มีการอนุมัติการทำการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ทำให้ประเทศไทยในอนาคตจะไม่ใช่แค่เส้นทางผ่านการขนถ่ายสินค้าอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก เพราะหากโครงการนี้เกิดขึ้นจะเป็นโครงการเมกกะโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์ปัญหาความแออัดของการขนถ่ายสินค้าทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะลดระยะทางและลดความแออัดลงได้ 

ดังนั้นการมีแลนด์บริดจ์เชื่อมต่อระหว่างอันดามัน-อ่าวไทย จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งจะไม่ใช่การขนถ่ายสินค้าระหว่างจีนผ่านไปอินเดีย ไปตะวันออกกลางและแอฟริกาอย่างเดียว แต่จะสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนจีนว่า การสร้างโรงงานที่ประเทศไทย จะทำให้การขนถ่ายสินค้า ขนส่งกระจายไปทั่วโลกอย่างสบาย ซึ่งนายกฯ จีนได้ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการที่มาเสริมให้บีอาร์ไอมีศักยภาพและเชื่อมโยงกับทั่วโลกได้ สอดคล้องกับเจตนาของประเทศจีน

นายเศรษฐา กล่าวว่า เชื่อว่าการมาจีนครั้งนี้ รัฐบาลประสบความสำเร็จ และมั่นใจว่าหากเกิดแลนด์บริดจ์ รวมทั้งการลงทุนด้านรถไฟฟ้าอีวี ซึ่งขณะนี้มีเข้ามาแล้ว 4 เจ้า และจะได้เจรจาอีก 2 เจ้า จะสามารถสร้างเม็ดเงินกว่าล้านล้านบาท ซึ่งนับตัวเลขไม่ได้ เพราะประเทศจีนพัฒนาเยอะมาก และเป็นความโชคดีที่ไทยตั้งอยู่จุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ เรามีความเป็นกลาง มีความเป็นมิตร

"เมื่อวานนี้ผมรู้สึกว่ามีความผูกพันที่ดีมาก ๆ กับนายกฯ จีน ซึ่งท่านได้ให้เบอร์มือถือไว้ หากมีอะไรก็สามารถโทรพูดคุยได้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี โดยสองประเทศต้องพึ่งพากัน โดยเราต้องพึ่งจีนในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ ซึ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ในการแสดงดนตรีร้องเพลงไทย คือ เพลงลอยกระทง ซึ่งมีการฝึกกันนานมาก แสดงให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับเรา ทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยดีมาก" นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันถึงการนำเข้า-ส่งออกสินค้าการเกษตร ซึ่งจีนพร้อมสนับสนุนทุกมิติ โดยตนได้ขอให้การนำเข้าวัวของจีน เป็นนโยบายหลักของที่ไทยจะส่งออกวัวให้กับจีนที่เป็นตลาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกวัวจะต้องผ่านการตรวจสอบที่ประเทศลาว รัฐบาลไทยจึงขอให้มีการศูนย์ตรวจสอบที่ประเทศไทย ซึ่งจะทำตามกฎของประเทศจีนทุกอย่าง อาทิ การตรวจโรค การฉีดวัคซีน ซึ่งมีความสำคัญมาก จะทำให้การพัฒนาส่งออกวัวได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางราง หรือทางเรือ ไม่ต้องไปพึ่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนายกฯ จีนยืนยันให้ความสำคัญและจะพิจารณาข้อเสนอของไทย ขณะเดียวกัน ยังได้หารือเรื่องวีซ่าฟรี ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติให้คนจีนเข้าไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึง 29 ก.พ.67 แต่รัฐบาลมีความประสงค์จะขยายให้เป็นแบบระยะยาว ซึ่งทางจีนรับไปพิจารณา แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าน่าจะได้รับการตอบสนองที่ดี

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงการหารือกับนายกฯ จีน ถึงการแก้ปัญหาการจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่ยังติดปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ซึ่งนายกฯ จีนรับปากว่าจะไปช่วยดูให้ ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้พูดคุยกับกองทัพจีนด้วย โดยที่ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะได้พบกับ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน ก็จะได้มีการพูดคุยต่อเนื่อง ส่วนรายละเอียดขอให้ทาง รมว.กลาโหมได้ชี้แจง เพราะเป็นผลงานของนายสุทิน

28 ตุลาคม พ.ศ. 2539 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

วันนี้ เมื่อ 27 ปีที่แล้ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามี เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในหลวง รัชกาลที่ 9

วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ให้การถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามี เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 เนื่องในโอกาสปีกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของในหลวง รัชกาลที่ 9 นับเป็นครั้งที่ 2 ในการเสด็จเยือนประเทศไทย

ในครั้งนั้นทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังพระตำหนักสิริยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทอดพระเนตรการแสดงแสงสีเสียงที่วัดไชยวัฒนาราม ทอดพระเนตรขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคที่กรุงเทพฯ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ยังได้เสด็จไปยังโรงเรียนสตรีวิทยา ในขณะที่เจ้าชายฟิลิปเสด็จไปวางพวงมาลาที่สุสานทหารสัมพันธมิตร ที่จังหวัดกาญจนบุรีอีกด้วย

ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามี เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยทั้งสองพระองค์และเจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังบางปะอิน จ. อยุธยา และ จ.เชียงใหม่

'อ.พงษ์ภาณุ' เปิด 4 เหตุผล มาตรการแจกเงินดิจิทัลต้องรันต่อ อย่าพะวงเสียงวิจารณ์ ในจังหวะประเทศโตอืดมานาน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ...ถึงเวลาแล้วหรือยัง ใครได้ใครเสีย?' เมื่อวันที่ 29 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ขณะนี้น่าจะเป็นเวลาเหมาะสมที่รัฐบาลจะใช้มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) และการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย แม้จะสามารถทำได้ แต่ก็ล้วนไร้เหตุผลที่น่าเชื่อถือและอาจมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝง

ทั้งที่ในความเป็นจริง ตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังหดตัว คือ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ เพราะโดยปกติสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบจะเติบโตต่อปีประมาณ 1.5 เท่าของอัตราเติบโตของ GDP แต่หลายเดือนที่ผ่านมาสินเชื่อธนาคารพาณิชย์กลับติดลบแบบ YOY ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากลัวมาก ซึ่งผมหวังว่านักวิชาการและธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะหัดดูตัวเลขเหล่านี้บ้าง ยังจะเป็นประโยชน์กว่าไปลอกตำราฝรั่งมา

ฉะนั้น หากมองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าจะจำเป็นหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลทางเศรษฐกิจ การคลัง และรูปแบบของมาตรการเอง เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานาน นับจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 2540 ความขัดแย้งทางการเมืองเสื้อเหลืองเสื้อแดง การปฏิวัติรัฐประหาร รวมทั้งวิกฤตโควิดก็ทำให้ไทยได้รับผลกระทบมากว่าประเทศอื่น แม้ว่าวิกฤตจะผ่านไปแล้วเศรษฐกิจไทยก็ไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนโควิดได้เหมือนประเทศอื่น แนวโน้มระยะข้างหน้าก็ไม่สู้จะดีนัก เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจโลกที่กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง

สถานการณ์ช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ของไทยยังถือว่ามีอยู่ค่อนข้างมาก แม้ว่ารัฐบาลที่ผ่านมาจะสร้างหนี้สาธารณะไว้เป็นจำนวนมาก แต่ระดับหนี้สาธารณะที่ 62%ของ GDP ก็ถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีหนี้เกิน 100% ขึ้นไปทั้งนั้น ส่วนสภาพคล่องในตลาดการเงิน แม้ว่าจะตึงตัวขึ้นบ้างและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ยังถือว่าตลาดยังเปิดสำหรับการกู้ยืมโดยภาครัฐ ทั้งนี้คำนึงจาก Yield Curve ที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และเงินเฟ้อในประเทศที่เข้าใกล้ศูนย์เข้าไปทุกที

รูปแบบของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็มีความสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ของมาตรการ Fiscal Stimulus ที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 4 T ได้แก่ Timely / Targeted / Temporary และ Transparent มาตรการเงินดิจิทัลของรัฐบาลมีคุณสมบัติครบทั้ง 4 ประการ กล่าว คือ...

1) ทันการสามารถอัดฉีดการใช้จ่ายเงินเข้าภาคเศรษฐกิจจริงได้ทันที ต่างจากข้อเสนอให้ใช้การลงทุนภาครัฐ ที่อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 ปีกว่าจะบังเกิดผล 

2) มีเป้าหมายชัดเจน เพราะมุ่งให้เกิดการใช้จ่ายบริโภคกระจายไปทั่วประเทศและกระตุ้นการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น 

3) ชั่วคราว ใช้แล้วจบ ไม่ฝังอยู่ในโครงสร้างทางการคลัง และไม่เป็นภาระการคลังในระยะ และที่สำคัญที่สุด 

4) โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพราะระบบดิจิทัลจะสามารถแสดงข้อมูลแบบ Online และ Real time เพื่อให้ประชาชนเจ้าของเงินภาษีสามารถติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลไปพร้อมๆ กับองค์กรตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ

อ.พงษ์ภาณุ ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า "ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมแจกทุกคนเหมือนกันหมด อยากเรียนว่ามาตรการนี้ไม่ใช่เรื่องสังคมสงเคราะห์หรือสวัสดิการสังคม แต่เป็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ คนไทยทุกคนไม่ว่ารวยหรือจนก็ได้รับผลกระทบจากโควิดหรือสงครามเหมือนกันหมด และคนไทยทุกคนก็ควรมีโอกาสใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกัน รัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งทรัมป์และไบเดน ก็ได้จ่ายเช็คไปยังทุกครัวเรือนในจำนวนเท่ากันเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นจากโควิดได้อย่างรวดเร็ว"

เปิด 30 อันดับประเทศ 'ขนาดเศรษฐกิจใหญ่’ ที่สุดในโลก ประจำปี 2023

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) หรือจีดีพี ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้วัด ‘ขนาดเศรษฐกิจ’ ของประเทศ ปี 2023 โดย ‘สหรัฐอเมริกา’ ครองอันดับ 1 ส่วน ‘ประเทศจีน’ พี่ใหญ่แห่งเอเชีย รั้งอันดับที่ 2 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 30 อันดับประเทศ 'ขนาดเศรษฐกิจใหญ่’ ที่สุดในโลก ประจำปี 2023 มาไว้ให้ชมกัน แอบกระซิบว่า ประเทศไทยก็ติดอันดับด้วยนะ แต่จะลำดับที่เท่าไหร่…ไปดูกันเลย!!

‘แบมแบม’ ลั่น!! ภูมิใจที่ได้เกิดเป็น ‘คนไทย’ แม้ใครจะดูถูกยังไง ก็ไม่แคร์ เพราะประเทศเรามีดี

(30 ต.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก ‘Jo Montanee’ โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข นักเขียนและวิทยากรการเงิน ได้โพสต์คลิปช่วงหนึ่งในคอนเสิร์ต 2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52] in BANGKOK ของไอดอลหนุ่มชื่อดังอย่าง ‘แบมแบม’ ที่ได้เปิดใจว่าตนนั้นรักชาติ และภูมิใจแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย โดยระบุว่า ‘ประเทศไทยเป็นบ้านเกิดผมครับ…ไม่มีสักวันที่ผมไม่รู้สึกภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และถึงแม้เวลาไปต่างประเทศอาจจะมีการดูถูกกันบ้าง แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะประเทศไทยเรามีของดี และเป็นประเทศที่สวยงาม ที่เต็มไปด้วยความสุข และรอยยิ้ม เพราะฉะนั้นผมว่าโอเคนะครับ…’

ซึ่ง ‘คุณโจ’ ได้เขียนแคปชัน โดยระบุว่า “ดูแล้วน้ำตาซึม ตื้นตัน และภาคภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ที่สอน ‘แบมแบม’ มาดีเหลือเกินลูกน้องใช้โอกาสวันคอนเสิร์ต Solo ของตัวเองประกาศกลางเวทีอย่างสุดสตรองว่ารักและภาคภูมิในชาติ เชิดชูว่าชาติไทยเรามีดี ใครจะดูถูกอย่างไร น้องไม่แคร์

นี่คือคนรุ่นใหม่ที่สมกับเป็น #พลังแผ่นดิน จริง ๆ ให้คนรุ่นเก่าอย่างเราฝากฝังประเทศชาติไว้ได้แบบนอนตายตาหลับเลยค่ะ ภูมิใจแทนครอบครัวน้อง #แบมแบม ภูมิใจแทน #อากาเซ่ ที่เลือกรักคนถูกจริง ๆ

ไม่ว่าอาชีพการงานของน้องจะเติบโตไปมากแค่ไหน ป้าโจขออวยพรให้แบมแบม รักษาคุณงามความดีนี้ไว้นะลูก

และป้าขอให้หนูมีแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สุขภาพแข็งแรงยืนยาว ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มีแต่คนรักใคร่ทั้งโลก ได้พบเจอผู้คนที่ดี คอยโอบอุ้มช่วยเหลือตลอดอายุขัย และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองแผ่นดินไทย ปกปักรักษาหนูให้รอดพ้นคนพาลและภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด

UPDATE จากการอ่านคอมเมนต์นะคะ

หลายคนชมเชยว่าน้องน่ารักมาก พี่โจขอเพิ่มค่ะว่า น้องแบมแบมไม่ใช่แค่น่ารัก แต่น้องกล้าหาญด้วยค่ะ #ความกล้าหาญคือคุณสมบัติของยอดคน”

'พิธา' จ้อ!! เวทีคาร์เนกี้ฯ ด้อยค่ารัฐบาลหลังเลือกตั้ง แค่มติคนชั้นบน 1% ซัด!! 10 ปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหายของประเทศไทย

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กำลังอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกา ได้เข้าร่วมรับเชิญให้เป็นผู้บรรยายสถานการณ์ประเทศไทย โดยองค์กรกองทุนคาร์เนกี้เพื่อสันติภาพโลก (Carnegie Endowment for International Peace) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในหัวข้อ ‘What’s Next for Thailand’ (ก้าวต่อไปสำหรับประเทศไทย)

โดยนายพิธา ได้ตอบคำถามแรกเริ่มของพิธีกร ที่ขอให้พิธานิยามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยหลังการเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร ซึ่งนายพิธาระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งคือการสร้างฉันทมติร่วมของคน 1% ด้านบนสุด ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันยุติความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือง-เสื้อแดงที่ดำเนินมาตลอด 17 ปี โดยแลกกับการผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดการจัดแนวร่วมใหม่ระหว่างประชาชนที่อยู่ในส่วนล่างของทั้งสองข้าง จนกลายเป็นการแบ่งขั้วใหม่ในปัจจุบัน

นายพิธา ยังกล่าวต่อไปว่าผู้นำมีฐานของการใช้อำนาจได้สองอย่าง คืออำนาจ (authority) ความชอบธรรม (legitimacy) หรือมีทั้งสองอย่าง แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ชนะการเลือกตั้งแต่ได้โอกาสในการปกครอง ก็คือผู้ที่มีอำนาจแต่ไม่มีความชอบธรรมจากประชาชน ผู้ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกแล้วว่าอยากให้มีการทำตามสัญญาในนโยบายใด การใช้งบประมาณแบบใด การจัดลำดับความสำคัญสิ่งที่จะทำก่อน-หลังอย่างไร ซึ่งในฐานะฝ่ายค้าน ตนจะพยายามทำงานอย่างสร้างสรรค์โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มอบทางเลือกให้กับประชาชน โดยไม่ใช่การจ้องจะล้มรัฐบาลทุกวัน เพราะตนสามารถรอได้

พิธีกรได้ถามต่อถึงกรณีการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีการหารือถึงประเด็นเศรษฐกิจเป็นหลัก ในยามที่โลกกำลังเผชิญความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ แล้วนายพิธามองกรณีดังกล่าวว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกันหรือไม่

นายพิธา ระบุว่า โดยพื้นฐานประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียนในด้านขนาดเศรษฐกิจ แต่เป็นประเทศที่เติบโตต่ำที่สุดเป็นอันดับสองเช่นกัน สิบปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหาย เศรษฐกิจที่ดีอาจดีสำหรับ 1% แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เหลือ สำหรับวิกฤติเซมิคอนดักเตอร์ ตนเห็นว่ามาเลเซียมีโอกาสมากที่สุดในการได้ประโยชน์จากกรณีเซมิคอนดักเตอร์ ผู้ว่าการรัฐปีนังเคยให้ข้อมูลแก่ตนว่า 40% ของรายได้จากการลงทุนต่างชาติของมาเลเซีย มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมาเลเซียมีความได้เปรียบกว่าประเทศไทย ทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และภาษา ดังนั้น จึงเป็นการยากสำหรับประเทศไทยที่จะแข่งขัน แม้แต่ประเทศในอาเซียน ในการตักตวงประโยชน์จากวิกฤติห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ตนเสนอ คือ การหาสิ่งที่ ‘นิช’ กว่า สิ่งที่เป็นโอกาสให้กับประเทศไทยได้ก็คือซิลิคอนคาร์ไบด์ ที่เป็นอะไรที่เล็กเกินไปสำหรับสหรัฐอเมริกา อินเดีย หรือญี่ปุ่น แต่ใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทอีวี โซลาร์เซลล์ ฯลฯ ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราพอจะแข่งขันได้ เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมและงบประมาณที่ประเทศไทยมีอยู่ 

สำหรับตนแล้ว เป้าหมายที่สำคัญเฉพาะหน้าคือสันติภาพของเอเชีย คำถามก็คือประเทศไทยจะอยู่ที่ไหนในการเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับมหาอำนาจแต่เพียงเรื่องพันธมิตรด้านความมั่นคง การค้า และการเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัตน์ จึงถึงเวลาที่จะจัดสรรสถานะของประเทศไทยใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีวาระมากมายทีประเทศไทยสามารถร่วมมือกับโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ต่อต้านคอร์รัปชัน การค้า สิทธิแรงงาน ฯลฯ และจะต้องมีการจัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ให้ออกจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน

“สำหรับผมเมื่อประเทศไทยสามารถจัดการปัญหาภายในประเทศของเราได้แล้ว จะต้องทำงานกับอาเซียน โดยเริ่มที่ 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนเป็นขั้นต่ำ เพื่อเป้าหมายในการนำพาอาเซียนสู่การเป็นอำนาจกลาง ที่จะสามารถนำพาประโยชน์ร่วมกันได้ ประเทศไทยเป็นประเทศขนาดเล็ก หากไม่ทำงานร่วมกับประเทศอาเซียน เราก็จะยังคงเป็นแค่ประเทศหนึ่งในอาเซียนต่อไป ประเทศไทยจึงมีบทบาทที่จะต้องทำ ในการจัดการปัญหาในประเทศไทย แล้วค่อยก้าวขึ้นมาสู่การเป็นอำนาจกลางร่วมกับอาเซียน ที่จะมีบทบาทในการจัดสมดุลใหม่ให้กับโลกไม่มากก็น้อย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ยังกล่าวต่อไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ดูห่างไกลในความรู้สึกของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มันล้วนเกี่ยวข้องกับต้นทุนปุ๋ยที่สูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส วิกฤติในแดนเมียนมาและการโยกย้ายถิ่นฐานทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ถ้าประเทศไทยไม่มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ต่างประเทศเลย เราจะยังคงต้องจ่ายต้นทุนจากการไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับประโยชน์อะไรต่อไป และเราทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยกันในฐานะอาเซียน

ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องมีการทบทวน จัดสมดุลใหม่ จัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทำให้หลายประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของประเทศไทยเริ่มเหินห่างไป แต่ตอนนี้เป็นยุคที่เราสามารถกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหม่ได้อีกครั้ง ด้วยความระมัดระวังและท่าทีที่มีสมดุล และขึ้นอยู่กับหลักการมากกว่าข้างฝ่าย

‘อ.เสรี’ เผย!! เดือนธ.ค. ไม่หนาว แถมอุณหภูมิสูงขึ้นเกือบ 2 องศา เตือน!! แม่ค้าอย่าตุนเสื้อกันหนาวเยอะ ส่วนเม.ย. 67 ร้อนแล้งสุดๆ

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 66 รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศของไทยในช่วงปลายปีว่าจะไม่หนาว และปีหน้าจะร้อนแล้งที่สุด โดยให้คำอธิบายว่า…

“#ปลายปีจะไม่หนาวแต่ปีหน้าร้อนแล้งสุดสุด

>>ปลายฝน ฝนก็ตกโดยเฉพาะภาคใต้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ สำหรับน้ำท่วมรอการระบายเป็นเรื่องปกติครับ การคาดการณ์ปริมาณฝนในปีไม่ปกติ (เช่น ปีเอญนิญโญ) มีความคลาดเคลื่อนสูง เช่นปีนี้ การพยากรณ์รายฤดูกาล แบบจำลองโดยส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศฝนน้อย แต่ในข้อเท็จจริงปริมาณฝนเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม มีมากกว่าปกติประมาณ 30% และ 19% ตามลำดับโดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคอีสาน (อย่างไรก็ตามปริมาณฝนสะสมยังคงน้อยกว่าปกติน่ะครับ ยกเว้นภาคอีสาน) ดังนั้นการพยากรณ์ฝนปีนี้จึงพึ่งได้เฉพาะการคาดการณ์ล่วงหน้าเพียง 1 เดือนเท่านั้น เกษตรกร และชาวนาจึงต้องติดตามสถานการณ์ทุกเดือนน่ะครับ

>>แม้ว่าเดือนกันยายน และตุลาคมจะเกิดฝนตกหนัก และน้ำท่วมในบางพื้นที่เช่นภาคเหนือตอนบน และภาคอีสาน แต่เมื่อวิเคราะห์จากดรรชนีฝน SPEI พบว่าช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมา หลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออก ยังคงมีสถานฝนแล้ง ยกเว้นบริเวณชายขอบฝั่งตะวันตก และตะวันออกเฉียงเหนือริมแม่น้ำโขง

>>และเมื่อวิเคราะห์การกระจายของอุณหภูมิช่วงเดือนธันวาคม และเดือนเมษายนตั้งแต่ปี 2563-2567 พบว่าในเดือนธันวาคมจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทุกปี (ความหนาวเย็น) ยกเว้นปี 2566 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้นเกือบ 2oC นั่นหมายความว่าปีนี้เราจะไม่หนาว ในขณะเดียวกันอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนเมษายนปี 2567 ก็จะสูงกว่าปกติ 1.5oC เราก็จะร้อนสุด ๆ เหมือนกัน จากปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (โลกร้อน) และสภาพอากาศแปรปรวน (เอ็นนิญโญ) ดังนั้นปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้าเสื้อหนาวอาจจะขายไม่ค่อยดีน่ะครับ พ่อค้า แม่ค้า อย่าสั่งมาตุนเยอะน่ะครับ

>>ในขณะที่เริ่มเข้าสู่ฤดูการทำนาปรัง ฝนก็ตกได้น้ำ ราคาข้าวดีจูงใจให้ชาวนาทำนากันในหลายพื้นที่ ปริมาณน้ำต้นทุน (เฉพาะในลุ่มเจ้าพระยา) ประมาณ 62% (11,000 ล้านลูกบาศ์กเมตร) น้อยกว่าปี 2565 (78%, 14,000 ล้านลูกบาศ์กเมตร) โดยปีที่แล้วมีการจัดสรรน้ำกว่า 5,800 ล้านลูกบาศ์กเมตรทำนาปรังกว่า 7 ล้านไร่ ในลุ่มเจ้าพระยา แต่ปีนี้ ดูจากข้อมูลกระทรวงเกษตรฯ จะมีการจัดสรรน้ำให้ชาวนาเพียง 2,300 ล้านลูกบาศ์กเมตร ซึ่งจะมีพื้นที่ทำนาได้เพียงไม่เกิน 2 ล้านไร่ จาก 8 ล้านไร่ อะไรจะเกิดขึ้น ? พื้นที่นอกเขตชลประทานกว่า 80% โดยเฉพาะในภาคอีสาน ถ้าไม่มีน้ำต้นทุนของตัวเอง (บ่อ สระ ฝายขนาดเล็ก ระบบสูบน้ำเข้าแปลงนา) ประกอบกับอากาศร้อน และแล้งจัดปีหน้า อัตราการระเหยจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ปัญหาเรื่องไฟป่าในภาคเหนือ ฝุ่น PM2.5 และ คลื่นความร้อนในเมืองจะตามมา

>>แม้ว่าการพยากรณ์ฝนรายฤดูกาลอาจจะมีความคลาดเคลื่อน แต่ก็มีความจำเป็นต่อชาวนาในการเตรียมปัจจัยการผลิต เพราะต้นทุนการทำนาจะสูงหากไม่มีการวางแผน ข้อมูลล่าสุดจากแบบจำลองหลายชุดบ่งชี้ปริมาณฝนต้นฝนปี 2567 อาจจะน้อยกว่าปกติ ส่งนัยถึงการเข้าสู่ฤดูฝนที่ล่าช้าออกไป ปริมาณน้ำต้นทุนที่ต้องเตรียมไว้สำหรับช่วงต้นฤดูฝน ? พื้นที่นอกเขตชลประทานกว่า 80% จะต้องเตรียมการรับมือด้วยครับ และที่สำคัญเกษตรกร และชาวนาต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดน่ะครับ เพราะสภาพอากาศ คือชีวิตความเป็นอยู่ของทุกท่าน

Forecast Research Advisor, Climate Change and Disaster Futuretales LAB, MQDC”

‘อีสาน ๒๔๙๘’ ต้นกำเนิด ‘ฝนหลวง’ เพื่อปวงชน ความคิดสร้างสรรค์ที่คนรุ่นใหม่บางคน ไม่เคยมี

๑๔ พฤศจิกายนของทุกปี ถือเป็น ‘วันพระบิดาแห่งฝนหลวง’ ที่มักจะมีทีมงานสัมภเวสีออกมาดิ้น ปรักปรำ และด้อยค่า ‘ฝนหลวง’ เพื่อปวงชนของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยใส่ชุดความคิดที่ว่า “ในหลวงภูมิพลลอกความคิดเรื่องฝนหลวงมาจากฝรั่ง” ให้กับกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าคนรุ่นใหม่ เพื่อด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งชุดความคิดแบบนี้เมื่อใส่เข้าไปแล้วก็ไม่มีการพิสูจน์หรือหาข้อมูลเพิ่มเติม ได้แต่พร่ำบอกต่อกันไปราวกับนกแก้ว นกขุนทอง 

สรุปแล้วก็งงเหมือนกันว่า คนรุ่นใหม่บางคนทำไมถึงคิดกันได้เพียงเท่านี้? 

ถ้าจะเล่าเรื่องการเกิด ‘ฝนหลวง’ ก็อยากจะย้อนเชื่อมโยงไปกับการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรอีสานระหว่างวันที่ ๒-๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ที่เส้นทางเสด็จฯ ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้น จะต้องผ่านพื้นที่ทุรกันดารมากมาย ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงจุดหมาย

ระหว่างเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินฯ ในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งยี่ห้อเดลาเฮย์ ซีดานสีเขียว จากจังหวัดนครพนมไปจังหวัดกาฬสินธุ์ ผ่านจังหวัดสกลนครและเทือกเขาภูพาน พระองค์ได้พบความขัดแย้งกันของความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่พระองค์ต้องทรงแก้ไข 

เรื่องมีอยู่ว่าพระองค์ได้ทรงสอบถามราษฎรเกี่ยวกับความเสียหายทางการเกษตรที่คาดว่าน่าจะเกิดจากความแล้ง แต่กลับกันทรงพบว่า มันเกิดขึ้นจากน้ำท่วม ทั้ง ๆ ที่พื้นที่โดยรอบมีแต่ดินแดงและฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ส่วนพอถึงหน้าแล้งก็ไม่มีฝน ไม่มีน้ำที่สามารถจะใช้เพื่ออุปโภค บริโภค และเพื่อการเกษตรได้ ทั้งที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆเป็นกลุ่มก้อน สรุปคืออีสานมีทั้งน้ำท่วมและฝนแล้ง ไม่มีสิ่งที่จะแก้ไขได้...แต่พระองค์ไม่ทรงคิดอย่างนั้น

ด้วยความที่พระองค์ทรงเป็น ‘นวัตกร’ การแก้ปัญหาความขัดแย้งจนเป็นปัญหาปากท้องของราษฎรจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

ปัญหาแรกคือน้ำท่วม เพราะการท่วมเกิดขึ้นจากไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำ หรือพื้นที่ชะลอน้ำ เรื่องนี้ถูกแก้ด้วย ‘ฝายน้ำล้น’ และ ‘เขื่อน’ ขนาดเล็ก ๆ เพื่อชะลอและรองรับน้ำ ไม่ให้เกิดการชะล้างหน้าดินและสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร

ส่วนอีกเรื่องคือ ‘ฝน’ เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงขบคิดและนำมาต่อยอดเมื่อกลับจากการเสด็จฯ ภาคอีสานแทบจะในทันที 

“...แต่มาเงยดูท้องฟ้า มีเมฆ ทำไมมีเมฆอย่างนี้ ทำไมจะดึงเมฆนี่ลงมาให้ได้ ก็เคยได้ยินเรื่องการทำฝน ก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทำได้ มีหนังสือ เคยอ่านหนังสือทำได้...”

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกรประดิษฐ์ควายเหล็ก ที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯ และพระราชทานแนวความคิดนั้น พร้อมๆ กับที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นลงมือทำการค้นคว้าทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น และปฏิบัติการทดลองจริงในท้องฟ้า มิได้ทรงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ คือทรงหาทั้งคนช่วยคิด ช่วยทำและทรงค้นคว้าพร้อมทรงปฏิบัติเองด้วยเพื่อความรวดเร็ว  

สำหรับการสร้าง ‘ฝนเทียม’ ที่คนรุ่นใหม่ถูกหลอกว่าฝรั่งเขาคิดได้ ในหลวง ร.๙ ไปลอกเขามา เรื่องนี้คนเชื่อต้องมีอคติบังตาขนาดไหน? และต้องไม่ศึกษาหาความรู้เบอร์ไหน? ถึงหลงเชื่อได้ขนาดนั้น 

‘พระองค์ไม่ได้ทรงคิดทดลองสร้างฝนเทียมเป็นคนแรก’ อันนั้นถูกต้อง!! เพราะผู้คิดทดลอง คือ นาย วินเซนต์ เชฟเฟอร์ และ เออร์วิง ลองมัวร์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยใช้ส่วนประกอบหลักในการสร้างฝนเทียมคือสาร Silver Iodide ที่มีคุณสมบัติทำให้เมฆมีความเย็นเหนือจุดเยือกแข็ง ด้วยการโปรยสารนี้ลงมาจากเครื่องบินหรือปล่อยให้ลมหอบขึ้นไป จะทำให้ไอน้ำเกิดการควบแน่น และหนักมากพอจนตกลงมาเป็นฝน 

ดังนั้นหลักสำคัญของวิธีการนี้คือ ‘ปล่อยให้ลมหอบอนุภาคขึ้นไป’ หรือ ‘ปล่อยอนุภาคลงมา’ นั่นเอง ซึ่งว่ากันตามจริง มันคือ ‘เม็ดฝนตามยถากรรม’ ตามสารเคมีที่ใครก็ทดลองได้ ไม่ได้เป็นสิทธิบัตรทางความคิดอะไร ทั้งยังไม่เหมือนวิธีการทำ ‘ฝนหลวง’ แล้วจะเรียกว่าลอกได้อย่างไร?    

แน่นอนว่า ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักคิดค้นอย่างพระองค์ ทรงต้องทรงอ่านการผลการทดลองนี้เป็นแน่แท้ ตามที่พระองค์ได้พระราชทานแนวความคิดต่อ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ว่า “...เคยอ่านหนังสือ...ทำได้” 

กระนั้น พระองค์จึงทรงคิดค้นและต่อยอดเพื่อให้ ‘ฝน’ ของพระองค์ ‘ควบคุมได้’ ไม่ได้สักแต่เอาสารเคมีไปโปรยเพื่อให้เกิดฝนตามยถากรรม 

ก่อกวน - เลี้ยงให้อ้วน - โจมตี ๓ ขั้นตอนที่พระองค์ทรงทดลอง สู่เทคนิคที่เรียกว่า ‘Super Sandwich’ ลงรายละเอียด จนเกิดเป็น ‘ฝนเทียม’ ที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าการโปรยแค่สารเคมีอย่างเดียวอย่างที่ฝรั่งเขาทำกัน ซึ่งกระบวนการสร้าง ‘ฝน’ ของพระองค์ได้รับสิทธิบัตร ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕ เนื่องจากเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นตอนที่สูงขึ้น เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม 

ทั้งนี้ ‘ฝนหลวง’ ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้รับการยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์, องค์กรด้านวิทยาศาสตร์และอุตุนิยมวิทยาระดับโลก จนในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ‘ฝนหลวง’ ก็ได้รับสิทธิบัตรโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนในต่างประเทศ สำนักสิทธิบัตรยุโรป (EPO) ก็ขึ้นทะเบียน ‘ฝนหลวง’ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาตามหมายเลข ‘EP1491088’ อีกทั้งยังมีสิทธิบัตรอยู่ในประเทศอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้าแค่การโปรยสารเคมีบางอย่างลงบนเมฆแล้วเกิด ‘ฝนเทียม’ แต่ควบคุมไม่ได้ มีเม็ดฝนแล้วแต่บุญแต่กรรม ‘ฝนหลวง’ ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็คงไม่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ 

แน่นอนว่า คนรุ่นใหม่ที่อยากด้อยค่าสถาบันฯ ก็คงคิดแต่มุมที่พระองค์ทรงลอกฝรั่งมา ก็วนอยู่แค่นั้น และไม่ได้สำเหนียกรู้เลยว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องผ่านการค้นคว้า ทดลอง จนเกิดเป็นงาน ‘Original’ มันเป็นแบบไหน?

‘ฝนหลวง’ ไม่เพียงแค่ช่วยราษฎรชาวอีสาน แต่ยังช่วยราษฎรในภูมิภาคอื่น ๆ อีกด้วย การคิดค้น ต่อยอดด้วยความสร้างสรรค์ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านทรงทำให้ดูแล้ว เกิดผลจริงแล้ว พิสูจน์ได้ ไม่ใช่ ‘ฝนเทียม’ จากสาร Silver Iodide ที่กระจัดกระจายและไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างสรรค์และพิสูจน์อะไรไม่ได้สักอย่างเดียว

‘รศ.ดร.ดนุวัศ’ แนะ!! 6 หนทาง พลิกไทยโตยั่งยืน ยัน!! แนวคิดแจกเงินหมดคลัง ไม่ช่วยคนไทยรวย

จากรายการ CONTRIBUTOR EP.29 ออนแอร์ผ่านช่องทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 6 พ.ย.66 ได้เปิดเผยถึงแนวทางปฏิรูปประเทศไทยต่อจากนี้ ซึ่งจะมีผลลัพธ์อันดีต่อการเติมเงินลงไปในกระเป๋าคนไทยได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังส่งผลไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ผ่านมุมมองของ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่กล่าวไว้ว่า…

จากนี้ไป คือ ช่วงเวลา ‘วัดกึ๋น’ ผู้บริหารของประเทศไทย!!

หากต้องการสร้างเศรษฐไทยยุคใหม่ ที่มีทั้งความปลอดภัยให้แก่ระบบเศรษฐกิจ, การคลัง และสร้างรายได้แก่ประชาชนได้อย่างยั่งยืน ผู้นำของประเทศ จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนแนวทางเหล่านี้ให้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ดังนี้...

>> เรื่องแรก ‘ปฏิรูป’
สถานการณ์ของประเทศไทยในวันนี้ แค่ ‘เปลี่ยน’ หรือปรับ ไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะปัญหาต่าง ๆ บางทีต้องรื้อใหม่ตั้งแต่โครงสร้าง ซึ่งผมมองว่า ต่อจากนี้ประเทศไทยต้องใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ โดยการปฏิรูปนี้ต้องเข้าไปสะเทือนหลายโครงสร้างของประเทศ ทั้งการเมือง, เศรษฐกิจ, การศึกษา องค์กรด้านความมั่นคง และกฎระเบียบที่ย่อหย่อน ต้องเขย่ากันใหม่ตั้งแต่รากฐาน ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ดี แต่ไม่พอ อย่างเรื่องการศึกษา พูดมานาน ทั้งแนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่ การพัฒนาบุคลากรครูผู้สอน และรวมถึงการเท่าทันกับเทรนด์อาชีพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหล่านี้พูดกันมานาน แต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น นั่นก็เพราะมันไม่ง่าย เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องเยอะ กระทบคนเยอะ นี่จึงเป็นตัววัดฝีมือผู้บริหารประเทศที่ต้องทรงวิสัยทัศน์

>> เรื่องที่ 2 ‘ตระหนักใน 3 ทักษะเปลี่ยนโลก’
ในโลกยุคการศึกษา 4.0 มี 3 เรื่องใหญ่ ๆ ที่ภาคการศึกษาต้องทำ นั่นก็คือ 

1. ทักษะด้านดิจิทัล ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโค้ดดิ้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็เห็นว่าระบบการศึกษาไทยกำลังให้ความสำคัญอยู่ 

2. ทักษะในการเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ต้องเท่าทันโลก 

3. ทักษะด้านซอฟต์สกิล ซึ่งเป็นเรื่องของภาวะส่วนบุคคล ที่ต้องมีไหวพริบ ควบคุมอารมณ์ได้ดี มีทักษะในการอยู่ร่วมกันในสังคม เพื่อนำมาสู่การทำงานและสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือทำงานกันเป็นทีมได้ ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ World Economic Forum ให้ความสำคัญกับการอยู่ในโลกดิจิทัลอย่างมาก แต่โลกการศึกษาไทยอาจจะยังไม่ได้เน้น และเราต้องเร่งขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพราะผมมองว่ามันสำคัญมากกับการใช้ชีวิตในโลกยุคหลังจากนี้

>> เรื่องที่ 3 ‘โลกนอกกะลา’
การเปิดรับต่อองค์ความรู้นอกประเทศ เป็นสิ่งที่ยังเป็นปัญหาในสังคมไทย ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องฝากความหวังไว้ที่สื่อบ้านเรา ช่วยเปิดโลกให้คนไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในต่างประเทศ ทั้งการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม, การศึกษา และเรื่องอื่น ๆ ต้องเติมเข้ามาให้คนไทยได้รับรู้กันมากขึ้น เพราะในวันนี้คนไทยจำนวนไม่น้อย เริ่มคิดว่า พวกเขาคือ ศูนย์กลางของจักรวาล สิ่งที่เขารู้คือสิ่งที่เป็นบรรทัดฐาน และคิดว่าเรื่องราวแคบ ๆ ในประเทศ คือ คำตอบที่ถูกต้อง …ผมเคยถามคำถามหนึ่งกับนักศึกษาว่า รู้ไหมนายกฯ คนก่อนของเยอรมนี (อังเกลา แมร์เคิล) อยู่ในตำแหน่งกี่ปี ไม่มีใครตอบได้ …เขาอยู่ในตำแหน่ง 16 ปีครับ แต่บ้านเราพอมีนายกฯ ที่อยู่ในตำแหน่ง 8 ปีก็โวยวายกันแล้ว เป็นต้น

>> เรื่องที่ 4 ‘หยุดสร้างผลงานเพื่อเรียกคะแนนเสียง’
ด้วยหนทางในการต่อสู้ทางการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศ พรรคการเมืองโดยมากก็มักจะสร้างผลงานระยะสั้นออกมา เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเข้าไปปฏิรูปโครงสร้างบางอย่างที่แม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็มักจะใช้เวลานาน แต่ผมอยากให้เห็นภาพแบบนี้ว่า เรื่องโครงสร้างพื้นฐานบ้านเรา ที่กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้รัฐบาลที่อยู่ต่อเนื่องนาน ๆ อาจจะไม่ได้เห็นก็ได้ เฉกเช่นเดียวกันกับระบบคมนาคมขนส่งในยุโรป, อังกฤษ, อเมริกา กว่าจะทำได้ก็เป็น 100 ปี หรือ ชินคันเซ็น ในญี่ปุ่นก็สร้างมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลลัพธ์ของมันคือ เมื่อระบบโครงสร้างที่ดีเกิดขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจไหลตามมาโดยอัตโนมัติ เหมือนที่ญี่ปุ่น สถานีรถไฟใหญ่ ๆ อยู่ตรงไหน ความเจริญจะอยู่ตรงนั้น เกิดห้าง, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ร้านขายของ และอีกมากมายที่มีเม็ดเงินมหาศาลเกิดการหมุนเวียนในพื้นที่ ฉะนั้นนโยบายที่มาจากแรงผลักดันทางการเมือง เพียงเพื่อล่าคะแนนเสียงจากประชาชนในช่วงเลือกตั้ง ไม่ยั่งยืน!! 

>> เรื่องที่ 5 ‘สร้างคนต้นน้ำ-ปลายน้ำ’
ประเทศไทยต้องยกระดับขึ้นไปทั้งแผง ต้องผสานพลังขนานใหญ่จากทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน โดยเฉพาะกับบุคลากร ที่ต้องสร้างกันตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ’ แบบเข้มแข็ง เริ่มที่ระบบการศึกษาที่ต้องสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัลโลก ตลาดงาน รวมถึงสถาบันครอบครัวก็ต้องเข้มแข็งด้วย ขณะเดียวกันในส่วนของ ‘ปลายน้ำ’ ก็ต้องส่งเสริมให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หรือ SMEs เหล่านี้ต้องสอดคล้องไปด้วยกัน ตลาดงานได้คนเก่ง สร้างการเติบโตทางธุรกิจ แล้วภาษีก็จะไหลวนคืนสู่ประเทศ แต่วันนี้ทุกภาคที่ว่ามายังแยกเป็นส่วน ๆ ไม่ทำงานประสานพลังกัน เราต้องยกระดับหลากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทำงานร่วมมือกัน ก้าวขึ้นไปพร้อมกันแบบยกแผง

>> เรื่องที่ 6 ‘แจกเท่าไร คนไทยก็ไม่รวย’
วิธีง่าย ๆ ในการทำให้คนที่เงินในกระเป๋ามากขึ้น ก็คือ แจกเงิน เพิ่มรายได้ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำได้ทันที ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แต่โจทย์นี้มันไม่ง่าย หากต้องการให้เงินในบัญชีคนไทยงอกเงยได้อย่างยั่งยืน ซึ่งก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องชี้วัดเชิงนโยบายว่าผู้บริหารประเทศมีความแหลมคมแค่ไหน กลับกันคนไทยจะมีเงินในกระเป๋าได้มากขึ้นจริง ๆ ต้องมาจากความสามารถในการทำงานที่มากขึ้น แล้วรายได้ที่ความมั่นคงอย่างยั่งยืนจะมากตาม ฉะนั้นแจกเงินหมดคลังไป คนไทยก็ไม่รวย

เหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญ ที่ผู้นำของประเทศ, รัฐบาล และทุกหน่วยงานที่จะมีบทบาทต่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย คงจะรอช้าไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่า แนวคิด ‘ปฏิรูป’ นี้มันไม่ง่าย แต่ถ้าไม่ทำตอนนี้ โอกาสที่จะเติมเงินใส่กระเป๋าคนไทย และสร้างสรรค์เศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้กว่าที่เป็นอยู่อย่างยั่งยืน ก็คงจะไม่ง่ายด้วยเช่นกัน และการสร้างแค่นโยบายเชิงประชานิยม จนทำให้คนในประเทศเสพติดจนเป็นนิสัย ก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาอีกด้วย

'กูรูอีสาน' โชว์ภาพรวม ศก.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 'เกษตรฯ-การลงทุน-นวัตกรรม' เฟื่องฟูไม่แพ้ถิ่นใด

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 11 พ.ย.66 ได้พูดคุยกับ คุณสุรวัช อริยฐากูร ผู้จัดการศูนย์ธุรกิจสินเชื่อ ธ.ก.ส. และที่ปรึกษาองค์กรภาคเอกชน ถึงประเด็น 'ภาพรวมของเศรษฐกิจในภาคอีสานในปัจจุบัน' โดยมีเนื้อหาดังนี้...

หากพูดถึงอีสาน สิ่งที่เราจะนึกถึง คือ วิถีชีวิตของคนถิ่นที่มีการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ซึ่งส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความหวือหวา โดยคนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลัก เช่น การปลูกข้าว ปลูกยางพารา ปลูกมันสำปะหลัง ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจในภาคอีสานต้องพึ่งพาด้านเกษตรกรรมอยู่เป็นจำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม การเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคอีสาน ก็ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อย่างในภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตชัด จะประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมแป้งมัน, มันสำปะหลัง 

ขณะที่ภาคเกษตรกรรมที่โดดเด่น คือ การเพาะปลูกข้าว ที่มีการส่งออกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมแปรรูปต่างๆ 

ในด้านการปศุสัตว์ที่หล่อเลี้ยงภูมิภาคนี้ ก็จะเป็นหมวดของการขยายฟาร์มเลี้ยงสุกร เลี้ยงไก่ เป็นต้น 

ทั้งนี้ ถ้าจัดลำดับสัดส่วนสินค้าที่เป็นยุทธศาสตร์หลักๆ ของภาคอีสาน ได้แก่ ข้าว, มันสำปะหลัง, ยางพารา และข้าวโพด ถือเป็นพระเอก ส่วนปศุสัตว์ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ก็จะเป็นการทำฟาร์มสุกรขุน 

นอกจากนี้อุตสาหกรรมโคนมก็ถือว่าเป็นสิ่งได้รับความนิยม โดยมีกลุ่มเกษตรกรการเกษตร คอยส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้ออยู่แล้วหันมาเลี้ยงโคนม หลังจากแถบวังน้ำเขียวเริ่มเข้ามาซื้อน้ำนมดิบมากขึ้น 

ส่วนธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจในภาคอีสานอีกด้านหนึ่ง คือ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) เนื่องจากภาคอีสาน มีพื้นที่ทำการเกษตรจำนวนมาก อีกยังเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มของแสงสูงเหมาะสมกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบัน บีโอไอ ได้มีนโยบายสนับสนุนกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จึงทำให้เกิดโซลาร์ฟาร์มขายคืนพลังงานให้กับการไฟฟ้า กลายเป็นธุรกิจใหม่พลังงานสะอาดตาม BCG โมเดลในผืนถิ่นนี้

ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคอีสานก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยสอดคล้องกับลูกหลานคนอีสานที่ย้ายถิ่นฐานกลับมาอยู่ใกล้ครอบครัว ทำให้บ้านจัดสรรได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในอำเภอรองในจังหวัดใหญ่ๆ เนื่องจากเมืองเริ่มขยายตัว

ส่วนภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ใน 6 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มิถุนายน) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 8 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ยโสธร, ศรีสะเกษ, อำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นอยู่ในความรับผิดชอบของ 'บีโอไอโคราช' นั้น พบว่า มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน จำนวน 38 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 36 และมีมูลค่าเงินลงทุน 15,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 373

เห็นภาพรวมเศรษฐกิจคร่าวๆ ในดินแดนแห่งนี้ ที่อาจจะยังไม่ถึงขั้นลงรายละเอียดเชิงลึกเป็นรายจังหวัดไปแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า การให้ความสำคัญในอีสานของภาครัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่วยทลายภาพอีสานแล้ง แล้วทดแทนด้วยความเจริญผนวกกับโอกาสที่เริ่มค่อยๆ เติมเข้ามามากขึ้นได้พอสมควรเลยจริง ๆ...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top