Monday, 9 June 2025
ประเทศไทย

‘พิธา’ วิเคราะห์ผลงาน 100 วันแรก ‘รบ.เศรษฐา’ มีตั้งแต่ ‘คิดดีทำได้’ ไปจนถึง ‘คิดอย่างทำอย่าง’

(15 ธ.ค. 66) ที่อาคารอนาคตใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าววาระ 100 วัน วิเคราะห์ผลงานรัฐบาลเศรษฐา พร้อมชงข้อเสนอที่ต้องปรับปรุงสำหรับการทำงานของรัฐบาลสำหรับปี 2567 ข้างหน้า

พิธา ระบุว่า 100 วันแรกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ในการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษาสัญญาที่มีไว้ให้กับประชาชนก่อนที่จะมาเป็นรัฐบาล ในฐานะโรดแมปในการบริหาร ตามงาน และการสั่งงานของรัฐบาล และในฐานะการบริหารความคาดหวังและความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนจากต่างประเทศ ด้วยข้อจำกัดทั้งเรื่องเวลาและงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลทั่วโลกจึงจำเป็นจะต้องมีโรดแมปว่า 100 วันแรกจะมีการขับเคลื่อนอย่างไรได้บ้าง

สำหรับภาพใหญ่ พรรคก้าวไกลวิเคราะห์ผลงานของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ในช่วง 100 วันแรกด้วยระบบ ‘5 คิด’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นทั้งข้อดีและข้อด้อยของการทำงานที่ผ่านมา ประกอบด้วย...

1) “คิดดีทำได้” คือการบริหารผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ซึ่งต้องชื่นชมรัฐบาลและขอบคุณไปยังกระทรวงการต่างประเทศในการตั้งทีมเจรจา รวมถึงทีมเจรจาของทางรัฐสภาที่นำโดยอาจารย์วันนอร์ ที่ทำให้คนที่ถูกลักพาตัวไปได้รับการปล่อยตัว 23 คน การเยียวยาอนุมัติงบประมาณ 50,000 บาทต่อราย และการออกสินเชื่อเพื่อให้แรงงานไทยสามารถคืนถิ่นได้

แต่สิ่งที่อยากฝากรัฐบาลให้ทำต่อ คือการช่วยเหลือตัวประกันที่ยังอยู่กับฮามาสอีก 9 คน รวมถึงการอนุมัติเงินเยียวยาและการส่งต่อให้กับพี่น้องแรงงาน และหวังว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนี่จะเป็นการถอดบทเรียน ในกรณีที่เกิดความรุนแรงในพื้นที่อื่นของโลกอีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในการอพยพ การขนแรงงานกลับประเทศ การช่วยเหลือพี่น้องแรงงานในเรื่องเกี่ยวกับเงินทองค่าใช้จ่าย ก็หวังว่ารัฐบาลจะสามารถต่อยอดและทำเรื่องนี้ให้ดีขึ้นได้ในภายภาคหน้า

2) “คิดไปทำไป” โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งตนเข้าใจว่าในการทำนโยบายบางครั้งจำเป็นที่จะต้องมีความยืดหยุ่นและไม่สามารถที่จะคิดจบในครั้งเดียว เราเห็นด้วยกับความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและการพัฒนาเทคโนโลยี แต่งบประมาณที่ใช้จำนวนมากมายถึง 500,000 ล้านบาทไม่ควรที่จะกระทบพื้นที่ทางการคลังในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของบ้านเมือง

ที่ผ่านมา นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างน้อย 4 ครั้ง แสดงให้เห็นอาการของการคิดไปทำไป ก่อนเลือกตั้งมีการอธิบายว่าจะใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินโดยไม่ต้องมีการกู้ แต่พอเป็นรัฐบาลก็บอกว่าจะใช้งบประมาณนอกจากธนาคารออมสิน แต่หลังจากนั้นกฤษฎีกาก็บอกว่าผิด พ.ร.บ.ออมสิน ไม่สามารถใช้เงินจากธนาคารออมสินได้ ก็เลยเกิดการเปลี่ยนครั้งที่สองในเรื่องที่มาของเงิน จำเป็นต้องใช้เงินจากงบผูกพัน ซึ่งต่อมาธนาคารแห่งประเทศไทยก็บอกว่าผิด พ.ร.บ.เงินตรา ทำให้ต้องคิดไปทำไปในครั้งที่สาม เป็นการใช้งบประมาณบวกกับ พ.ร.บ.เงินกู้ แต่ก็มีการเปลี่ยนอีกเป็นครั้งที่สี่มาสู่การใช้เงินจาก พ.ร.บ.เงินกู้ 100% 

ทั้งนี้ ถ้าดูการเปลี่ยนครั้งที่สี่เทียบกับสิ่งที่ได้สัญญาก่อนเลือกตั้งไว้ ก็จะเห็นได้ถึงความแตกต่างกันอย่างชัดเจน นี่คือการคิดไปทำไป ซึ่งไม่ได้มีแค่เรื่องที่มาของงบประมาณเท่านั้น เรื่องของการใช้เทคโนโลยีก็เช่นกัน ก่อนเลือกตั้งบอกจะใช้ซุปเปอร์แอปและเทคโนโลยีบล็อกเชน ผ่านไปก็บอกจะใช้แอปฯ เป๋าตังและจะใช้บล็อกเชนเป็น Backup เป้าหมายจาก 56 ล้านคนก็เปลี่ยนมาเหลือ 50 ล้านคน จากที่จะเริ่มช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ก็เปลี่ยนไปเป็นเริ่มที่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้น

พิธา กล่าวต่อไปว่า ดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณสูง เป็นการไปเบียดบังงบประมาณส่วนที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ ในระยะยาวต่อได้ แต่รัฐบาลกลับไม่ได้คิดอย่างตกผลึกและมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้เกิดความสับสนในสังคมและในกลุ่มของตลาดทุนด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น สิ่งที่เราคาดหวังจากรัฐบาล คือการมี “แผนสอง” ในกรณีที่ดิจิทัลวอลเล็ตไม่สามารถทำได้หรือติดปัญหาในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ในปีหน้ารัฐบาลควรที่จะมีความชัดเจนและไม่มีการปรับเปลี่ยนอีกแล้วถ้ายังยืนยันจะทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่ถ้าไม่ได้เป็นดิจิทัลวอลเล็ตก็ควรจะเกาให้ถูกที่คันและเลือกที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนจากทางรัฐบาลเอง

“อย่าลืมว่าจีดีพีมาจากการบริโภค บวกการลงทุนภาคเอกชน บวกการลงทุนภาครัฐ บวกส่งออก ลบนำเข้า ไม่จำเป็นที่จะต้องกระตุ้นจากการบริโภคอย่างเดียว การลงทุนก็สำคัญ การบริหารการส่งออกในช่วงเศรษฐกิจโลกแบบนี้ก็สำคัญ เพราะฉะนั้น เรามีวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าสิ่งที่ทำอยู่ ในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ก็ควรที่จะมีแผนสองได้แล้ว” พิธากล่าว

3) “คิดสั้นไม่คิดยาว” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของประชาชนอย่างค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน หรือค่าเดินทางจากการขนส่งสาธารณะ สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปแล้วในระยะสั้นมีทั้งการลดค่าไฟลงมาอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงธันวาคม โดยใช้วิธีการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ แบกภาระหนี้ค่าเชื้อเพลิง ในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ก็มีมติของคณะกรรมการพลังงานออกมา เคาะค่าไฟอยู่ที่ 4.68 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป เพื่อที่จะชำระหนี้ที่แบกไว้ในอดีต ซึ่งนายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าสูงเกินไปและต้องการลดลงมาอยู่ที่ 4.20 บาท นี่แสดงให้เห็นว่าหลายครั้งที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในการประชุม ครม. แต่ไม่ได้มีการตามงานต่อ ว่าในการที่จะลดให้ได้ถึงราคาที่เป้าหมายนั้นต้องทำอย่างไรบ้างและข้าราชการต้องทำอย่างไรบ้าง อีกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหลือ 20 บาทตลอดสายสำหรับรถไฟสายสีม่วงและสายสีแดง โดยมีประชาชนที่ได้รับผลประโยชน์ประมาณ 80,000 คน หรือเพียง 5% ของผู้ใช้รถไฟฟ้าทั้งหมด

แต่สิ่งที่ควรจะเป็นและเราคาดหวังจากรัฐบาล ในส่วนของค่าพลังงาน ก็คือการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติระหว่างโรงงานไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมี ถ้าสามารถหาค่าเฉลี่ยหรือเอาก๊าซที่ถูกกว่าให้โรงไฟฟ้าใช้ผลิตให้กับประชาชน ก็จะสามารถลดค่าไฟลงได้ถึง 70 สตางค์ต่อหน่วย รวมถึงการเจรจากับผู้ประกอบการรายใหญ่ ในกรณีค่าพร้อมจ่ายที่เกิดขึ้นแม้ไม่มีการผลิตไฟ ที่ประชาชนยังจะต้องจ่ายค่าพร้อมจ่ายอยู่ประมาณ 15 สตางค์ต่อหน่วย ขณะเดียวกันปีหน้ารัฐบาลควรประกาศทบทวนการอนุญาตโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ในการผลิตกำลังไฟสำรองที่ไม่มีความจำเป็น และควรกระจายโอกาสในการผลิตพลังงานสะอาดผ่านโซลาร์เซลล์ให้มากขึ้น

ในส่วนของค่าโดยสาร สิ่งที่สำคัญคือการคมนาคมสาธารณะไม่ได้มีแค่รถไฟ ถ้าเรามองภาพใหญ่คนส่วนใหญ่จำนวนมากยังใช้รถเมล์และเรือ การทำให้การขนส่งสาธารณะมีความสะดวก การพัฒนาระบบตั๋วร่วม ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่น่าจะคิดยาวเพื่อแก้ปัญหาให้คนกลับมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น แต่ถ้าจะมองในแง่ของรถไฟเพียงอย่างเดียว สิ่งที่รัฐบาลจะเกาแล้วถูกที่คันก็คือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีเขียว และแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากที่สุด

4) “คิดใหญ่ทำเล็ก” โดยเฉพาะนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญในการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการตั้งคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ การเคาะงบประมาณ 5,164 ล้านบาทสนับสนุน 11 อุตสาหกรรม การเสนอตั้ง THACCA (Thailand Creative Content Agency) การเสนอตั้งศูนย์บ่มเพาะอัพสกิล-รีสกิล สำหรับแรงงาน 20 ล้านคน โดยมีเป้าหมายปีแรกที่ 1 ล้านคน และการทำวินเทอร์เฟสติวัลและสงกรานต์ตลอดเดือนเมษายน

ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ในสิ่งที่ควรจะเป็นและเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้เคยสัญญาไว้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ คือการเพิ่มเสรีภาพในการสร้างคอนเทนต์สร้างสรรค์ เช่น การเสนอแก้ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การเพิ่มสิทธิเสรีภาพในกาสร้างสรรค์ผลงาน ที่รัฐบาลให้สัญญาไว้ว่าจะทำใน 100 วันแรกที่เป็นรัฐบาล การตั้ง THACCA ถ้าต้องการที่จะทำจริงๆ ต้องเรียนรู้จากสิ่งที่รัฐบาลเกาหลีทำกับ KOCCA นั่นคือการตั้งด้วย พ.ร.บ. ไม่ใช่แค่การพูดถึงว่าจะตั้งสถาบันส่งเสริมขึ้นมา รัฐบาลควรที่จะใช้เวลา 100 วันแรกที่ผ่านไปแล้วในการยื่น พ.ร.บ. ตั้ง THACCA เพื่อจะได้เห็นภาพได้ชัดว่าการบริหารจัดการสถาบันอันใหม่มีอำนาจรองรับ และสามารถทำให้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มองเห็นได้ว่า THACCA กับสิ่งที่มีอยู่เดิมในการบริหารจัดการเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

ทั้งนี้ การแก้กฎหมายอาจใช้เวลานาน แต่การเสนอเข้าไปก็จะทำให้เห็นถึงความตั้งใจของว่ารัฐบาล ว่าจะทำงานอย่างไรต่อไป อีกทั้งยังมีกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศในระดับกระทรวงที่สามารถเสนอลดขั้นตอนการขออนุญาตกองถ่ายหรือในการจัดเฟสติวัลได้ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีโดยอำนาจของ ครม. และอำนาจของรัฐมนตรี นี่ก็เป็น Quick Win ที่เราอยากเห็นจากการดำเนินงานของรัฐบาล รวมถึงการสนับสนุนการรวมตัวของแรงงานฟรีแลนซ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หรือกระทั่งสื่อมวลชน ที่ พ.ร.บ.แรงงาน ของพรรคก้าวไกลได้เสนอเข้าไปสู่สภาฯ แล้ว ถ้ามีการพิจารณาตรงนี้จะทำให้คนทำงานฟรีแลนซ์สามารถรวมตัวกันและเรียกร้องสวัสดิการ เพื่อให้มีแรงผลักดันในการสร้างผลงานที่สร้างสรรค์ต่อไป

เรื่องของ 11 อุตสาหกรรมที่รัฐบาลได้พูดไว้ เรื่องของอาหารเป็นหนึ่งในนั้น สิ่งที่เป็นควิกวิน (Quick Win) ที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสามารถทำได้เลยก็คือการแก้กฎกระทรวงให้เกิดสุราก้าวหน้า แก้แค่ว่าการผลิตแอลกอฮอล์นั้นไม่สามารถที่จะใช้กฎหมายในการกีดกันด้วยเงินทุน จำนวนผู้ผลิต หรือจำนวนแรงม้า ก็สามารถที่จะทำให้ผู้ประกอบการที่มีเรื่องราว ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญา สามารถที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลย

สุดท้ายสิ่งที่เกาหลีได้ทำในการสร้าง K-Wave คือการทำคูปองเปิดโลก 2,000 บาท ในการกระตุ้นอุปสงค์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี หนังสือ พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ ได้ทันที รวมถึงการเพิ่มรอบฉายของภาพยนตร์ไทย สามารถเพิ่มรอบฉาย 30% ของรอบฉายที่อยู่ในโรงหนังทั้งหมด สามารถเพิ่มทั้งในแง่อุปทานและอุปสงค์ของอุตสาหกรรมนี้ได้โดยเร็ว ภายใน 100 วันแรกเช่นเดียวกัน

5) “คิดอย่างทำอย่าง” เป็นเรื่องเกี่ยวกับนโยบายการเมือง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในการแก้รัฐธรรมนูญ คือการตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติ ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทำประชามติกี่รอบและคำถามจะเป็นอย่างไร และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจพอสมควร เพราะในการทำงานร่วมกันในฐานะฝ่ายค้านร่วมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลในอดีตที่ผ่านมา ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเราเห็นตรงกัน 90% ไม่ว่าจะเป็นที่มาของ สสร. หรือกระบวนการทำประชามติ แน่นอนว่าอาจจะมี 5-10% ที่อาจจะเห็นต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่พอพรรคเพื่อไทยเข้าสู่อำนาจกับขั้วตรงข้ามที่ไม่อยากเห็นการแก้รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ ก็เกิดความไม่ชัดเจน เกิดความคิดอย่างทำอย่างขึ้น

ในขณะที่สิ่งที่ควรจะเป็นนั้น ค่อนข้างชัดเจนว่าจากการศึกษาในรัฐสภาครั้งที่เเล้ว รวมถึงการพูดคุย ดีเบต ทำสัญญาประชาคมกับประชาชนในการหาเสียงที่ผ่านมา การทำประชามติควรที่จะมี 1+2 คำถาม คือจะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดย สสร. หรือไม่, สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ และ สสร. ควรมีอำนาจพิจารณาแก้ร่างรัฐธรรมนูญทุกหมวดหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความยุติธรรมการเข้าถึงอำนาจอย่างตรงไปตรงมา

พิธา กล่าวต่อไป ว่าสุดท้ายนี้ตนอยากเสนอความคาดหวังต่อรัฐบาลในปีหน้าที่สะท้อนมาจากประชาชน ในปีหน้าจะมีปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสังคมเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นเรื่องร้อนที่รัฐบาลต้องแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนในเมกะโปรเจกต์อย่างแลนด์บริดจ์ การปฏิรูปการศึกษา ปัญหาเรื่อง pm2.5 ปัญหาภัยแล้งที่ปีหน้าน่าจะหนักเป็นประวัติการณ์

1) เราต้องการเห็นโรดแมป 1 ปี ที่สะท้อนให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และแผนในการปฏิบัติคืออะไร โรดแมปที่ดีก็คือการมีแผนที่ชัดเจนในการทำงาน ให้ประชาชนสามารถติดตามได้ มีเป้าหมาย KPI ที่ชัดเจน

2) มีกระบวนการทำงานที่เป็นมืออาชีพในการผลักดัน จะมีเป้าหมายอย่างไรและจะมีกระบวนการไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างไร

3) การทำงานของรัฐบาลผสมที่ต้องทำงานให้เป็นเอกภาพมากกว่านี้

4) การศึกษาโครงการสำคัญๆ อย่างละเอียด เช่น เมกะโปรเจกต์อย่างแลนด์บริดจ์ ต้องมีความชัดเจนและมีระยะเวลาที่ชัดเจน

“หากทำได้ตามนี้ ก็มั่นใจว่าจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในปีหน้าสามารถเรียกความเชื่อมั่น และแสดงความมุ่งมั่นให้ประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาล ที่จะรักษาสัญญาที่มีไว้กับประชาชนในการหาเสียง รวมทั้งสามารถบริหารได้ดีขึ้น และสุดท้ายก็จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากทางประชาชนทั้งในประเทศและนอกประเทศได้ไม่มากก็น้อย” พิธากล่าว

ทั้งนี้ หลังการแถลงจบลง สื่อมวลชนได้ถามพิธาว่าให้คะแนนรัฐบาลใน 100 วันแรกผ่านหรือไม่ผ่าน ซึ่งพิธาระบุว่า ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง มีบางเรื่องที่ทำได้ดีแล้วก็ขอให้ทำต่อ บางเรื่องที่ทำแล้วยังมีข้อที่จะต้องพัฒนาปรับปรุงก็หวังว่ารัฐบาลจะรับฟังข้อเสนอของฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ และฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ ยังมีการถามถึงการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2567 ซึ่งพิธาระบุว่าตามที่มีสื่อมวลชนวิเคราะห์ออกมา ปีหน้ารัฐบาลมีความท้าทายทั้งในเรื่องการเติบโตของจีดีพี เรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่อยู่ในกฤษฎีกา การกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ทำรายได้รวมไม่ถึง 4 แสนล้านบาทตามเป้าหมาย ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวกลับมาแล้วถึง 27 ล้านคนแล้วก็ตาม การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ที่คาดไว้ว่าในระดับประเทศอื่นจะอยู่ที่ 60% แต่ประเทศไทยกลับมาแค่ 40% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านโยบายฟรีวีซ่ายังไม่เพียงพอ

คำตอบจึงขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาล ถ้าฟังประชาชนและฟังเพื่อนนักการเมืองบ้าง ว่ารัฐบาลควรจะต้องทำงานอย่างมีโรดแมป มีแผน 1 ปี และมีแผนปฏิบัติการได้แล้ว แต่ละไตรมาสจะทำอะไรบ้าง กฎหมายสำคัญที่จะต้องยื่นเข้าสู่สภาเพื่อให้รัฐบาลสามารถทำงานได้คืออะไรบ้าง

“ผมเห็นหลายครั้งว่ารัฐบาลเน้นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ปัญหาปากท้อง แต่ พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ที่จะสามารถยื่นเข้าไปก็ยังไม่เห็นภาพตรงนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำอะไรให้เป็นเรื่องของการแก้ทางโครงสร้างหรือการแก้ทางต้นตอได้ เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจหลายเรื่องไม่ได้มีแต่เพียงแค่เรื่องการขาดงบประมาณหรือขาดวิสัยทัศน์ แต่มีกฎหมายเก่าที่ไม่เอื้ออำนวย ตรงนี้ก็อยากเห็นความชัดเจนในหลายๆ ด้านในการทำงานปีหน้า” พิธากล่าว

‘พิพิธภัณฑ์มะกัน’ จ่อคืนโบราณวัตถุ 16 ชิ้น ให้ ‘ไทย-เขมร’ หลังพบเป็นของที่ถูกโจรกรรมมาอย่างผิดกฎหมาย

(16 ธ.ค.66) บีบีซี รายงานว่า สำนักงานอัยการในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The Met) ร่วมแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ว่ากำลังเตรียมการส่งคืนโบราณวัตถุ 16 ชิ้นให้กัมพูชาและไทย

หลังตรวจพบว่าโบราณวัตถุชุดนี้ถูกโจรกรรมมาอย่างผิดกฎหมายโดยนายดักลาส แลตช์ฟอร์ด พ่อค้างานศิลปะชาวอังกฤษ ซึ่งถูกตั้งข้อหาจัดตั้งเครือข่ายค้าโบราณวัตถุขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2562

ด้านอัยการระบุด้วยว่าการตัดสินใจส่งคืนเป็นความสมัครใจของพิพิธภัณฑ์ ขณะที่นางเอริน คีแกน เจ้าหน้าที่พิเศษประจำกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ กล่าวว่าโบราณวัตถุถูกขโมยไปอย่างไร้ยางอาย ในจำนวนนี้เป็นประติมากรรมเขมร 14 ชิ้นจะถูกส่งกลับไปยังกัมพูชา และอีก 2 ชิ้นจะถูกส่งให้ประเทศไทย

รายงานระบุอีกว่าโบราณวัตถุและงานศิลปะชุดนี้อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 9-14 ในสมัยเมืองพระนคร (Angkorian period) ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลทางพุทธศาสนาและฮินดูในพื้นที่ดังกล่าว

ตามการระบุของพิพิธภัณฑ์ยังพบว่างานศิลปะหลายสิบชิ้นที่ถูกขโมยไปโดยนายแลตช์ฟอร์ดซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2563 ระหว่างเผชิญการฟ้องร้องดำเนินคดี ได้รับการติดตามและกู้คืนโดยเจ้าหน้าที่สืบสวนของสหรัฐและสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

'รมว.ปุ้ย' ขานรับ Soft Power สั่ง สมอ. ออกประกาศมาตรฐานท่องเที่ยว 6 ด้าน ดันผู้ประกอบการฯ ช่วยกันกระตุ้นคุณภาพการให้บริการแก่ นทท.

(18 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้เข้าประเทศ ถือเป็น Soft Power ด้านหนึ่งของประเทศไทย โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2566 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว สะสมรวมกว่า 1.045 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 613,030 ล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 432,194 ล้านบาท ตนจึงเร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานที่ตอบโจทย์และรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกที่เน้นคุณภาพ 

โดย สมอ. เตรียมประกาศมาตรฐาน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 6 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ, วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ภายในเดือนธันวาคมนี้ หากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทาง จะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการ และนำไปสู่การกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. เตรียมประกาศมาตรฐาน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 6 เรื่อง ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบการจัดการต่างๆ ภายในหน่วยงาน และเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจที่ผู้ประกอบการนำไปใช้ได้โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับ ได้แก่...

1) มาตรฐานการเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม โดยพนักงานและไกด์นำเที่ยวต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ สามารถจัดเตรียมข้อมูลในการท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง รวมถึงมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว 

2) มาตรฐานการดำเนินงานเกี่ยวกับชายหาด เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ดูแล ผู้ประกอบการริมชายหาด และผู้ใช้บริการ โดยต้องมีการสร้างอาคาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยว มีการเตรียมการด้านสุขภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว มีการดูแลความสะอาดของชายหาด รวมถึงมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น  

3) มาตรฐานโรงแรมย้อนยุค เป็นมาตรฐานสำหรับเจ้าของกิจการโรงแรม นำไปใช้เป็นแนวทางในการให้บริการนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมย้อนยุค โดยเน้นที่ความเข้ากันของอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ และรูปแบบการให้บริการของโรงแรมที่ตรงตามยุคสมัยนั้นๆ 

4) มาตรฐานร้านอาหารแบบดั้งเดิม เป็นมาตรฐานการให้บริการด้านอาหารในรูปแบบดั้งเดิม ได้แก่ รูปลักษณ์ภายนอก การผสมผสานทางวัฒนธรรม และการให้บริการที่สอดคล้องกับรูปแบบของร้าน เช่น การจัดสถานที่ อุปกรณ์ การจัดโต๊ะอาหาร การออกแบบรายการอาหาร เป็นต้น รวมทั้งต้องมีการรักษาความสะอาดของอาหาร อุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความปลอดภัยด้วย 

5) มาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เป็นมาตรฐานการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการรักษาทางการแพทย์ สำหรับผู้อำนวยความสะดวกและผู้ให้บริการสามารถใช้เป็นแนวทางในการให้บริการอย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามความคาดหวังของนักท่องเที่ยว โดยผู้ให้บริการต้องมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ และมีความรู้ด้านการเดินทางและดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงเวลาการรักษา เพื่อให้การบริการมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว 

6) มาตรฐานการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสาธารณะประโยชน์โดยหน่วยงานคุ้มครองพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ เป็นมาตรฐานสำหรับอุทยานหรือหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว โดยเน้นการอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ และสร้างความพึงพอใจแก่นักท่องเที่ยว เป็นแนวทางในการจัดเตรียมกิจกรรม ข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเหมาะสม และมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีการจัดการขยะต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวอย่างถูกต้องด้วย ซึ่งมาตรฐานทั้ง 6 เรื่องนี้ จะประกาศใช้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ผู้ประกอบการสามารถนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย และเป็นแรงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกได้ต่อไป

‘เทรซี เอมิน’ ศิลปินดังอังกฤษ ขอบคุณประเทศไทย หลัง ‘โรงพยาบาล-โรงแรม’ ดูแลอย่างดี ขณะล้มป่วย

(18 ธ.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เทรซี เอมิน ศิลปินชื่อดังของอังกฤษ อยู่ระหว่างพักผ่อนใน จ.ภูเก็ต ของไทย แต่แล้วก็เกิดอาการเจ็บป่วย โดยเจ้าตัวโพสต์ผ่านอินสตาแกรมเมื่อวันอาทิตย์ (17 ธ.ค.66) ว่า เธอรู้สึกเหมือน ‘ใช้เก้าชีวิตของตนเองไปอีกหนึ่งชีวิต’ เธอไม่สบายอย่างมาก และขอขอบคุณโรงพยาบาล และโรงแรมหรูที่เธอเข้าพักบนเกาะภูเก็ต

“ไม่ใช่มะเร็งแต่เป็นอาการแทรกซ้อนที่ลำไส้เล็กจากการติดเชื้อ และแผลเป็นบนเนื้อเยื่อรวมถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินยิ่งทำให้อาการเลวร้ายเป็นล้านเท่า จนลำไส้เล็กฉันเกือบระเบิด โชคดีที่ฉันอยู่ในประเทศไทย ระหว่างทางกลับจากออสเตรเลีย ฉันจึงเข้าโรงพยาบาลที่ดีมากสองสามวัน ตอนนี้กำลังพักฟื้นในที่พักหรู”

เอมิน วัย 60 ปี คนดังจากขบวนการศิลปินอังกฤษรุ่นใหม่ ช่วงปลายทศวรรษ 1980-1990 ต้องต่อสู้กับมะเร็งและได้รับการผ่าตัดใหญ่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ในอดีต ศิลปินผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเทอร์เนอร์ เคยถูกมองว่า เป็นเด็กเลวในทศวรรษ 1990 สร้างผลงานแนวแหกกฎกุลสตรีอังกฤษ 

ผลงานศิลปะจัดวาง My Bed เตียงที่ยังไม่จัดรายล้อมไปด้วยข้าวของรก ๆ ส่วนตัว เช่น ขวดวอดก้าเปล่า ซองบุหรี่ และถุงยางอนามัย เรียกเสียงฮือฮาในอังกฤษทันทีที่เปิดตัวในปี 2542

'ทุนอินเดีย' ทุ่ม 4.5 พันล้าน ซื้อ RD แฟรนไชส์ KFC ในไทย มั่นใจ!! ตลาดบริโภคสัตว์ปีกในไทย 'แข็งแกร่ง-เติบโต'

(19 ธ.ค.66) RD หรือ Restaurants Development หนึ่งในผู้บริหารแฟรนไชส์ของ KFC ในประเทศไทย ซึ่งมีสาขา 274 สาขา ประกาศผนึกพันธมิตรใหม่ Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited หรือ DIL หวังช่วยสปีดสาขา

โดย RD ระบุว่า กลุ่มบริษัท DIL ในประเทศอินเดียเป็นกลุ่มบริหารจัดการขนาดใหญ่ในสายธุรกิจ QSR/LSR ให้กับแบรนด์ระดับโลก อย่าง KFC, Pizza Hut, Costa Coffee และกลุ่มธุรกิจในเครือ โดยมีเครือข่ายสาขามากกว่า 1,350 แห่งทั่วโลก ในความร่วมมือนี้ Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited (DIL) เซ็นสัญญาลงทุนในบริษัท RD เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจ QSR ในประเทศไทย

หลังจากนับตั้งแต่ปี 2559 ซึ่ง RD เริ่มเข้ามาเป็นแฟรนไชส์ร้าน KFC จำนวน 127 สาขา ภายในระยะเวลา 7 ปี RD สามารถขยายร้าน KFC ได้ถึง 274 สาขาในเดือนกันยายน 2566

ทั้งนี้ RD ย้ำว่า การทำธุรกรรมดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การอนุมัติตามกฎระเบียบและการอนุมัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2567

“พันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง DIL และ RD ต่างมีจุดมุ่งหมายในการขยายเครือข่ายสาขาในประเทศไทยผ่านความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท ยกระดับประสบการณ์ที่ดีของลูกค้ารวมไปถึงชุมชนต่าง ๆ”

ทั้งนี้ รอยเตอร์ รายงานว่า ข้อตกลงดังกล่าว มีมูลค่า 128.9 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4,500 ล้านบาท และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2567 โดยการเข้าซื้อนี้ ได้ดำเนินการผ่านหน่วยงานในดูไบ ที่ถือหุ้นอยู่ 51% ในขณะที่บริษัท เทมาเส็ก เป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ

แถลงการณ์ของ DIL ระบุว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสัตว์ปีกที่แข็งแกร่ง ในด้านการบริโภคเนื้อสัตว์ และเชื่อว่ามีโอกาสสำหรับตลาดที่จะเติบโต การซื้อกิจการครั้งนี้ จะเพิ่มสาขา KFC ในอินเดีย เนปาล และ ไนจีเรีย รวม 500 แห่ง และยังดำเนินธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) อื่นๆ ในอินเดีย เช่น Pizza Hut และ Costa Coffee

สำหรับ Restaurants Development มีพนักงานในเครือมากกว่า 4,500 คน 

ชวนเช็กชื่อเก่าจังหวัดในประเทศไทย จังหวัดไหน เคยชื่ออะไรมาก่อน?

ประเทศไทยมีทั้งหมด 77 จังหวัด (รวมกรุงเทพฯ) แต่ละจังหวัดต่างก็มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ซึ่งก็เป็นชื่อที่เราคุ้นหูกันดี แต่ก่อนจะกลายมาเป็นชื่อในปัจจุบัน แต่ละจังหวัดก็มี ‘ชื่อเก่า’ ไว้เรียกขานมาก่อน 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว แต่ละจังหวัดเคยชื่อว่าอะไรบ้าง มาดูกัน…

‘ท่านอ้น’ โพสต์ภาพกิจกรรมที่ได้ทำในไทย พร้อมเผยความในใจ ‘Thailand I Miss You’

(21 ธ.ค.66) ภายหลังจากที่ ‘ท่านอ้น วัชเรศร วิวัขรวงศ์’ ได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกา ไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผ่านมาได้ 3 วัน ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นภาพกิจกรรมในประเทศไทย ตลอดจนบรรยากาศที่ท่านอ้นได้ไปเยี่ยมเยียน เช่น ขณะที่กำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือ มีศาลพระภูมิ ผัดไทย บิงซูร้านดัง และพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน พร้อมระบุว่า “Thailand I miss you”

โดยได้มีประชาชนคนไทยเข้าไปคอมเมนต์ส่งความคิดถึงเช่นเดียวกัน

ส่อง 23 ประเทศที่มีอิทธิพลด้านมรดกวัฒนธรรมแห่งทวีปเอเชีย

ในทวีปเอเชีย มีหลายประเทศที่เป็นหมุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และหนึ่งในนั้นคือ ‘ประเทศไทย’ เนื่องด้วยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาหาร สถาปัตยกรรม และสถานที่ท่องเที่ยว ที่เมื่อต่างชาติได้มาเยือนแล้วก็จะติดใจ 

นอกจากนี้ยังมีหลายสถานที่ในไทยและวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้หลายอย่างที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘มรดกโลก’ ด้วย นั่นจึงทำให้ประเทศไทย ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก

วันนี้ THE STATES TIMES ขอพาไปดู เปิด 23 ประเทศที่มีอิทธิพลด้านมรดกวัฒนธรรมแห่งทวีปเอเชีย จะมีประเทศใดติดอันดับบ้าง มาดูกัน…

24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 ประเทศไทย ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคม

รัฐบาลไทยโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ออกประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดานานาอารยประเทศ ดังนั้นปี พ.ศ. 2483 จึงมีเพียง 9 เดือน

ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย ในสมัยโบราณมาเราถือว่า วันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ อันต้องด้วยในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเหมันตฤดูเป็นการเริ่มต้นปี และในสมัยโบราณนั้น วันขึ้นปีใหม่ ได้นับถือคติของพราหมณ์ คือใช้วันที่ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเป็นเช่นนั้นตลอดมา จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2432 แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เมษายน ทั้งนี้ก็เนื่องจากทางราชการได้นิยมใช้หลักทางสุริยคติ แต่ก็ยังคล้องต้องตามคติพราหมณ์อยู่นั่นเอง เพราะเดือน 5 ก็ตรงกับเดือนเมษายนเรื่อยมา

ต่อมาทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติปฏิทิน พ.ศ.2483 และพระราชบัญญัตินั้นเริ่มใช้ได้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลจึงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ดังนั้นในปี พ.ศ.2483 จึงมีเพียง 9 เดือนเท่านั้น คือเดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินของนานาประเทศ มีหนังสือประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของ ไทยอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และการใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก 

ทั้งนี้ประเทศไทยจึงถือเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่ นั้นจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าวันที่ 1 มกราคม จะถือปฏิบัติเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงถือว่า วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยด้วยเช่นเดียวกัน

‘ไทย’ เดินหน้ายกระดับมาตรการดูแล ’นักท่องเที่ยว‘ ส่งท้ายปี หวังทำให้ประเทศกลายเป็นหมุดหมายที่ ‘ปลอดภัย-เป็นมิตร’

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาลไทย เปิดเผยว่าไทยกำลังยกระดับมาตรการต่างๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกแก่การเดินทาง เพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะคึกคักเพิ่มขึ้นในช่วงส่งท้ายปี

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย รายงานว่าไทยจะเน้นย้ำการเสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัย การบริการคมนาคมขนส่ง และการตระหนักรู้ความปลอดภัย ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ 12 แห่ง

ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ซึ่งมุ่งทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันปลอดภัยและเป็นมิตร เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอันต้องการความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ช่วงวันที่ 22 ธ.ค.66 จนถึง 1 ม.ค.67 จะรวมอยู่ที่ 1.18 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะอยู่ที่ 4.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ นายชัย วัชรงค์ กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยจะอยู่ที่ 3.4-3.5 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปีนี้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนในปี 2024 จำนวน 8.2 ล้านคน

อนึ่ง นักท่องเที่ยวชาวจีนครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 28 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนไทยรวมเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 อันเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ โดยการท่องเที่ยวมีส่วนส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยราวร้อยละ 12


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top