Monday, 9 June 2025
ประเทศไทย

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' ห่วง!! GDP ไทย Q3/66 โตต่ำ 1.5% แนะ!! ใช้คนให้ถูกกับงาน เพราะคนเก่งไม่กี่คนแบกประเทศไม่ได้

(21 พ.ย. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Ta Plus Sirikulpisut' ระบุว่า…

GDP Q3 ประเทศไทยที่เรารัก โต 1.5% ซึ่งต่ำมาก ๆ ครับ เรามาแกะตัวเลขกันว่าปัญหาอยู่ตรงไหนต้องแก้อะไรบ้าง

1.โครงสร้าง GDP ประกอบไปด้วย การบริโภคภาคเอกชน การบริโภคภาครัฐ การลงทุน และการส่งออก หักการนำเข้า เป็นความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค โดยเราควรติดตาม Capital flow ในส่วน Leakage and injection ด้วย

เราอยากให้ประเทศมีเศรษฐกิจเติบโต และกระจายไปอย่างทั่วถึงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน

2.ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ไม่ดี เราอยู่ในภาวะ Perfect strom ที่มีปัญหารุมมากมาย แต่ละประเทศก็แก้ไขต่างกัน แต่เรายังแก้ไขไม่ดีครับ ปัญหาที่โลกใบนี้เจอ คือ ของแพง จากราคาพลังงาน และอาหาร สาเหตุจากสงคราม รัสเซีย ยูเครน และ ฮามาสกับ อิสราเอล รวมถึงสงครามการค้าจีน สหรัฐ ยุโรป

นอกจากของแพง ดอกเบี้ยก็ขึ้นสูงทำให้การบริโภคและการลงทุนทำได้ไม่คล่องเหมือนภาวะปกติ
การลดปริมาณเงินของสหรัฐที่อัดฉีดเงินมายาวนานสิ้นสุดลง และกระทบตลาดหุ้น ตลาดทุน ของที่เคยแพงสินทรัพย์ ราคาหุ้น ก็ลดลงแรง

3.ประเทศไทยเรายังมีการบริโภคที่ดี โดยภาคบริการ การท่องเที่ยว ช่วยค้ำยัน อาหาร โรงแรม ให้เติบโตดี แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าก่อนโควิด แต่ก็เติบโตดีมาก

4.ภาคการผลิต เริ่มจากภาคเกษตร ราคาสินค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก มีบางหมวดที่ปรับขึ้นได้ แต่ผลิตภาพไม่ดี คือผลผลิตออกมาได้น้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนลงแรง ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรามุ่งอุดหนุนราคาเกษตรแต่ไม่ปรับผลิตภาพ (Productivity)

ภาคอุตสาหกรรม เน้นขายของในสต๊อกของใหม่ผลิตน้อยกลัวขายไม่ได้ และโดนสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาตี ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และอีกหลาย Cluster ใหญ่ ๆ ทำให้ขายในประเทศก็ยาก ส่งออกก็ยากแม้ค่าเงินบาทจะอ่อนลงมากแต่ก็ขายไม่ได้ ขนาดในประเทศยังขายได้ยาก จะไปสู้ต่างประเทศยิ่งยาก ต้นทุนสูง ไม่ได้ Economic of scale แถมสินค้าเรากำลังตกยุคไม่ได้เป็นที่ต้องการตลาดโลก

5.ภาคส่งออกเป็นปัญหามายาวนาน ยุคอดีต รมว. พาณิชย์ พยายามปั้นแล้วแต่ไม่ฟื้น กระทรวงเศรษฐกิจแต่ไม่ได้คนเก่งเศรษฐกิจมาทำงานให้ข้าราชการทำงานเป็นหลัก คนให้ทิศทางไม่ชัดก็ไปต่อยาก วันนี้ได้เสาหลักมาจากท่องเที่ยวมาช่วย แต่ยังห่างไกลมากต้องทำงานอีกเยอะ ทีมเศรษฐกิจต้องแข็งจริง ร่วมมือกับเอกชน ถ้าตลาดในประเทศโดนต่างชาติมาตีตลาด ในบ้านขายไม่ออกส่งออกก็ยาก เพราะต้นทุนเฉลี่ยไม่ได้ Scale เอาใจช่วยมากครับ

6.การลงทุน และใช้จ่ายภาครัฐ สะดุดแรงช่วงเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาล Q3 จึงสะดุดแรงมากใครขายของภาครัฐนิ่งสงบ คาดว่า Q4 จะดีขึ้นเล็กน้อยแต่ต้องเร่ง งบประมาณรายจ่ายให้ไว ไม่งั้นจอด 

ปัญหาวันนี้เป็นที่โครงสร้างต้องใช้คนเก่งมาก ๆ มาช่วยกันทำงาน หากเป็น ครม. แบ่งโควตาไม่เน้นความสามารถปัญหานี้แก้ยากมาก เรียนด้วยความสัตย์จริงไม่ได้ว่าพรรคไหน หรือแขวะใคร วันนี้ต้องทำงานไว มี รมต. เก่งไม่กี่คนไม่สามารถแบกทีม แมนยู ให้ไปแชมเปียนส์ลีกได้ ควรจัดทีมให้เหมาะครับ

ต๊ะ พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์
บทความเชิงวิชาการส่วนตัว
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับต้นสังกัดข้าพเจ้า

‘นายกฯ’ รับ!! ไทย ‘เสียโอกาส-ตัวตน’ บนเวทีโลกกว่าทศวรรษ เชื่อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ จำเป็น!! ต่อการฟื้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

(23 พ.ย. 66) ที่เพลนารีฮอลล์ 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM หัวข้อ ‘FUTURE READY THAILAND เศรษฐกิจไทยในอนาคตแห่งความเปลี่ยนแปลง’ โดยก่อนปาฐกถานายกรัฐมนตรีได้พูดคุยและหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมากว่าทศวรรษไทยสูญเสียโอกาส และตัวตนในเวทีโลกในการออกไปค้าขายเพื่อให้ต่างชาติรู้จักประเทศไทย ด้วยปัญหาภายในประเทศ วันนี้รัฐบาลนี้ต้องการเอาศักดิ์ศรีของประเทศไทยกลับสู่เวทีโลกให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ ว่าไทยสามารถยืนยันบนเวทีโลกและต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้าน ในการดึงนักลงทุน และในแง่ของการทูตเชิงรุกได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เรามีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีนายกรัฐมนตรีมาจากพลเรือนและให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน มีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีที่ดีเพื่อเชิญชวนมาลงทุน ต่อยอดการแข่งขันและการลงทุน ซึ่ง 2 เดือนที่ผ่านมาไทยได้เซ็น MOU ไปหลายฉบับ ขณะที่ทูตพาณิชย์ต้องรู้จุดขาย ออกไป เป็น KPI ใหม่ที่ทูตต้องทำงานร่วมกับองค์กรรัฐ เพื่อเป็นการขยายการทำงานของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่วนเศรษฐกิจจะวิกฤตหรือไม่วิกฤติเป็นเรื่องที่ตนกำลังถกเถียงกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวในเรื่องของมาตรการการท่องเที่ยว และแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำที่อาจหมดกำลังใจในการใช้หนี้นอกระบบ ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ซึ่งรัฐบาลจะมีการแถลงข่าวใหญ่ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ เช่นเดียวกับหนี้ในระบบที่จะมีการแถลงในวันที่ 12 ธันวาคมนี้

“เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่าภายใน 4 ปี วันนี้ยืนตรงนี้ไม่อยากให้เป็นวาทกรรมเฉยๆ ว่าเราอยากจะเพิ่มรายได้เกษตรกร แต่อยากจะมีขั้นตอนในทุกภาคส่วนในหลายพืชผล ที่เราสามารถทำได้จริง หลังจากวาระของรัฐบาลชุดนี้จบลง เริ่มจากน้ำไม่ท่วมไม่แล้ง และเปิดตลาดใหม่ให้มีการค้าขายได้ ผมหวังว่ากลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เราจะมีการแถลงใหญ่และมีขั้นตอนที่ชัดเจน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า อุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาตั้งในไทยต้องการใช้น้ำอย่างมหาศาล หากเราไม่บริหารจัดการให้เพียงพอจะเป็นปัญหาได้ ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร เช่น ข้าว นอกจากนี้ยังมีปัญหา ถั่วเหลืองจีเอ็มโอ ยางที่มีปัญหาจากสภาพดิน รัฐบาลนี้พยายามปรับพืชผลเพิ่มผลผลิตให้สินค้าเกษตร เชื่อว่ามีเกษตรกรไทย10 ล้านคนที่สามารถทำงานได้อีก

นายเศรษฐา กล่าวยืนยันว่า เราต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะทำอย่างไรให้มีความโปร่งใสมีความชอบธรรมถูกต้องตามหลักนิติรัฐและมีที่มาที่ไป ซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลนี้ในการออก พ.ร.บ.เงินกู้

“ถ้าครม.เห็นด้วย คือตัวแทนของสส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน แสดงว่าพี่น้องประชาชนเห็นด้วย ถ้ากฤษฎีกาเห็นชอบก็ถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.ต้องผ่านสภาก็เป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องลงรายละเอียด ให้รัฐบาลตอบรายละเอียดทุกข้อให้ได้ ถ้ารัฐสภาผ่านความเห็นชอบ ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่มีความชอบธรรม ผ่านการตรวจสอบของทุกภาคส่วน ผมไม่อยากจะพูดต่อว่าดิจิทัลวอลเล็ตได้ประโยชน์อย่างไรบ้างเพราะพูดไปหลายเวทีแล้ว ขอให้ขั้นตอนดำเนินไปอาจจะช้าบ้าง แต่ถือว่าเป็นขั้นตอนที่มีความชอบธรรมโปร่งใส ตรวจสอบได้จากทุกภาคส่วน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เป็นหน้าที่ของเรารัฐบาลที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชนให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยืนยันว่าประเทศไทยเปิดแล้วพร้อมแล้วในการที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศมีภาคเอกชนที่แข็งแรงและพร้อมให้นักลงทุนมาลงทุนในประเทศ ผ่านนโยบายต่างๆ และเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของรัฐบาลที่จะช่วยยกระดับพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลยินดีรับคำแนะนำ ติชมจากทุกคน พยายามทำให้ถูกต้องและนำพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก

'พิธีกรดัง' ชี้!! อย่าด้อยค่าประเทศด้วยคะแนนวัดผลจากภาษาอังกฤษ จนดิสเครดิต 'ไทย' ทั้งที่ต่างชาติต่างยกให้เป็นที่สุดในหลายเรื่อง

(27 พ.ย.66) จากเฟซบุ๊ก 'KUL' โดย กุลวิชญ์ สำแดงเดช ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดรามาทักษะด้านภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ไว้ว่า...

ไทยด้อยพัฒนาหรือแค่ถูกวาทกรรมด้อยค่า

ด้อยพัฒนา เป็นสถานะของประเทศไทย ที่คนบางกลุ่มในประเทศมอบให้ เรามักจะได้ยินคำนี้ เมื่อมีข่าวที่ไม่ดีนักเกิดขึ้นกับประเทศไทย 

อาทิ ล่าสุด ทันทีที่มีรายงานจาก Seasia Stats อ้างอิงข้อมูลจาก EF English Proficiency Index เผยว่า ทักษะด้านภาษาอังกฤษไทยอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย 

ไทย ก็ถูกนิยามว่าด้อยพัฒนาทันที 

ทั้งที่ไม่มองกันเลยว่า ความสามารถด้านภาษาอังกฤษนั้น ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความพัฒนาของชาติ แต่อย่างใด 

ส่วนสำคัญที่ทำให้ไทย มีคะแนนแย่ เรื่องภาษาอังกฤษ เนื่องจากไทย ไม่ต้องพึ่งพาภาษาอังกฤษ มาแต่ไหน แต่ไร กล่าวคือ คนไทย สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยใช้ภาษาไทย เป็นหลัก 

และเป็นการดำรงอยู่อย่างมีความสุข ตามดัชนี UN ที่จัดให้ไทย เป็นประเทศกลุ่มบน ที่มีความสุขที่สุดในโลก (60/127 ประเทศ) 

ที่สำคัญ ถ้ามองในเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งใช้นิยามคำว่าการพัฒนา ได้จริง ๆ ปรากฏว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ดีพอสมควร

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญที่สุดของโลก เมื่อเดือนตุลาคม 2564 พบว่า ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 27 ของโลก มูลค่า 534.758 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ในอาเซียน เป็นรองแค่อินโดนีเซีย

ส่วนความใหญ่โตของ GDP ไทย อยู่ในอันดับที่ 27-28 ของโลก ใบนี้ ที่มีประเทศมากมายกว่า 200 ประเทศ 

มากันที่เรื่องขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทย ยังอยู่ในกลุ่มบนของตาราง (30/64 เขตเศรษฐกิจ) ตามการจัดอันดับของ IMD World Competitiveness Center

เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ (ไม่รวมทองคำ) มากที่สุด 20 อันดับของโลก โดยใช้ข้อมูลอ้างอิง ณ ตุลาคม 2565 จาก IMF พบว่า ประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ (ไม่รวมทองคำ) อยู่ที่อันดับ 16 ของโลก

World Gold Council จัดอันดับ อันดับประเทศ/สถาบันที่มีทองคำสำรองมากที่สุด โดยใช้ข้อมูลอ้างอิง ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2565 พบว่า ประเทศไทยมีทองคำอยู่ที่อันดับ 21 ของโลก มากสุดในอาเซียน

John hopkin จัดอันดับให้การสาธารณสุขไทย เข้มแข็งที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก

ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเราได้บ้าง 

คำตอบคือ เราคือประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นประเทศ ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย 

และไม่ใช่ประเทศที่ด้อยพัฒนา ขนาดที่หลายคนตีตรา 

ถ้าลองมองดี ๆ ประเทศไทย มีคนมากมาย ที่มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี เราเห็นคนไทยนับหนึ่งสร้างเนื้อสร้างตัวจนชีวิตสุขสบาย เห็นคนหนีร้อนจากประเทศเพื่อนบ้าน มาพึ่งเย็นนับหมื่นนับแสนชีวิต จนเปิดร้าน สร้างตัวได้

ที่สุดแล้ว ต้องตั้งคำถามว่า ประเทศไทยเราด้อยพัฒนา หรือความเป็นจริงแล้ว บางคนต่างหาก ที่พยายามใช้วาทกรรมด้อยค่าประเทศไทย #KUL

เปิดงบ 'Soft Power' 5,146 ล้านบาท 11 สาขา ได้งบเท่าไรกันบ้าง?

(1 พ.ย. 66) คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เห็นชอบกรอบงบประมาณ 5,164 ล้านบาท ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทย 11 ด้าน เตรียมปิดถนนราชดำเนิน จัด World Water Festival มหาสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการที่แต่ละโครงการ กิจกรรม และอุตสาหกรรมซอฟต์เพาเวอร์ไทยทั้ง 11 ด้านได้เสนอ รวม 5,164 ล้านบาท ได้แก่ อุตสาหกรรมเฟสติวัล 1,009 ล้านบาท

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 711 ล้านบาท, สาขาอาหาร มี 3 โครงการใหญ่ เช่น 1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย, เชฟชุมชน และเชฟชาแนล 1,000 ล้านบาท, สาขาศิลปะไทย จำนวน 5 โครงงาน อาทิ เปิดหอศิลป์บริเวณถนนรัชดาภิเษก จัดตั้งสภาศิลปะแห่งประเทศไทย จัดกองทุนสนับสนุนศิลปะการแสดงร่วมสมัย รวมงบประมาณ 380 ล้านบาท, สาขาออกแบบ ส่งเสริมไทยแลนด์แบรนด์ 310 ล้านบาท, สาขากีฬา เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพมวยไทย กิจกรรมมวยไทย ทั้งในและต่างประเทศ 500 ล้านบาท

สาขาดนตรี ส่งเสริมศิลปินไทยสู่ระดับโลก 144 ล้านบาท, สาขาหนังสือ ให้หนังสือไทยออกสู่หนังสือนานาชาติ 69 ล้านบาท, สาขาภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ การจัดเทศกาลเอกซ์โปรในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์ ผลักดันสู่ออสการ์ 545 ล้านบาท

สาขาแฟชั่น พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ และส่งเสริมการแสดงสินค้าในต่างประเทศ 268 ล้านบาท และสาขาเกมพัฒนาหลักสูตร การส่งเสริมผู้ประกอบการ ส่งเสริมกองทุนและสร้างสนามกีฬาอีสปอร์ตแห่งชาติ  374 ล้านบาท

จากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหารือกับสำนักงบประมาณ ซึ่งโครงการบางส่วน อาจมีงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐอยู่แล้ว หรือบางสาขาตั้งงบประมาณน้อยกว่าที่จะต้องใช้ จึงอาจต้องมีการทบทวนให้เสร็จสิ้นภายใน 14 ธันวาคมนี้ ก่อนส่งให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

เปิด 5 ชาติ เดินทางเข้าไทยสูงสุด (ช่วงวันที่ 1 ม.ค.-3 ธ.ค.66)

สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 3 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ทั้งสิ้น 25,081,212 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1,067,513 ล้านบาท

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย รัสเซีย 

‘ยูเนสโก’ ประกาศขึ้นทะเบียน ‘ประเพณีสงกรานต์ไทย’ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

(6 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก จัดการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

โดยมีวาระการพิจารณา ‘ประเพณีสงกรานต์ประเทศไทย’ ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

โดยรัฐบาลมอบหมายให้ นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ชี้!! ฤๅไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดจริงๆ แล้วเรื่องนี้ ‘แบงก์ชาติ’ จะมี ‘คำอธิบาย-แก้ตัว’ ใด?

(9 ธ.ค.66) ทีมข่าว THE STATES TIMES  ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในประเด็น 'ฤๅไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflaion) จริงๆ' โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว แต่ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI) ของเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศเมื่อ 7 ธันวาคม ได้ติดลบ 0.44% แบบ Year on Year ซึ่งถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเมื่อประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาด (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเป็นอย่างมากให้กับประเทศที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด

หลายท่านอาจจะคิดว่าระดับราคาสินค้าและบริการลดลงเป็นผลดีต่อประชาชน แต่ในทางเศรษฐศาสตร์การเงินแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าภาวะเงินเฟ้อเสียอีก ระดับราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะทำให้ครัวเรือนและธุรกิจชะลอการจับจ่ายใช้สอยเนื่องด้วยคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงต่อไปเรื่อยๆ ภาระหนี้ (Debt Burden) จะสูงขึ้น เพราะมูลหนี้ที่แท้จริงรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) สูงขึ้น และอาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ได้ ขณะนี้หนี้ของประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยก็อาจถือว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในโลก

ภาวะเงินฝืดไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วแก้ไขได้ยากกว่าเงินเฟ้อ อย่างประเทศญี่ปุ่น ตอนเข้าสู่ภาวะเงินฝืดราวปี 1990 หลังฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตก ต้องใช้เวลาแก้ไขนานกว่า 25 ปีจึงเริ่มที่จะเห็นสัญญาณหลุดพ้นในปัจจุบัน ด้วยการดำเนินนโยบายการเงินที่ตรึงดอกเบี้ยไว้ต่ำ ไม่ขึ้นตามธนาคารกลางอื่น และปล่อยให้ค่าเงินเยนอ่อนลงอย่างมาก 

ประเทศสหรัฐฯ และยุโรป ก็เคยประสบปัญหาเงินฝืดจนต้องลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ เท่านั้นยังไม่พอต้องใช้มาตรการ Quantitative Easing (QE) พิมพ์เงินอัดฉีดเข้าระบบ จีนก็ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดมาสักระยะแล้วหลังจากฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์แตกและมีบริษัทขนาดใหญ่ล้มละลายไปหลายบริษัท

ผมได้เคยเตือนมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้วว่า ประเทศไทยอาจเดินตามจีนเข้าสู่ Deflation แต่กลับตกใจที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดมาโดยตลอด ตั้งแต่ปีที่แล้วที่ Delay การขึ้นดอกเบี้ยด้วยความเกรงใจรัฐบาลก่อนที่แต่งตั้งผู้ว่าการฯ เข้ามา จนทำให้ประเทศไทยมีเงินเฟ้อสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และหลุดกรอบ Inflation Targeting ไปกว่าเท่าตัว 

แต่พอมาปีนี้กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำลงแรงจนหลุดกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน โดยเฉพาะการประชุม กนง. 2-3 ครั้งที่ผ่านมา การหยุดขึ้นดอกเบี้ยครั้งหลังดูเหมือนจะเป็นการยอมรับความผิดพลาด แต่ก็ไม่วายโทษรัฐบาลว่า ความไม่แน่นอนของมาตรการ Digital Wallet ทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าเป็นอย่างมาก 

การที่ CPI ติดลบ 2 เดือนติดต่อกันครั้งนี้ ก็เชื่อว่าคงจะไม่ยอมรับผิด แล้วก็คงจะโทษคนอื่นตามฟอร์ม ว่ามีการออกมาตรการบรรเทาค่าครองชีพให้ประชาชน

อยากขอให้สำนึกว่าหน้าที่หลักของธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมาพร้อมกับความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อเป้าหมาย

'รมว.ท่องเที่ยว' เผย!! จีนเริ่มกลับมาเที่ยว สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าไทยทะลุ 1 แสนคน ชี้!! แรงหนุนจาก 'คอนเสิร์ต เจย์ โจว' ส่วนภาพรวม นทท.แตะ 25.7 ล้านคนแล้ว

(13 ธ.ค.66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา เผยในสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 1 จำนวน 100,704 คน หรือเพิ่มขึ้น 23,861 คน จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากการจัดคอนเสิร์ต เจย์ โจว ที่ดึงดูดแฟนคลับจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน อีกทั้งการมีวันหยุดต่อเนื่องในรัฐสลังงอร์ของมาเลเซีย ส่งผลให้ในภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 655,653 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 31.05 ร้อยละ 22.98 ร้อยละ 9.25 และร้อยละ 7.51 ตามลำดับ ในขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียปรับตัวลดลง ร้อยละ 0.64

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าสื่อไต้หวันได้นำเสนอข่าวการปฏิเสธการรักษานักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่ถูกรถชนระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย จนเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวรายดังกล่าวเสียชีวิต ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ TAC และตำรวจท่องเที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานงานกับญาติผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ยังได้เร่งการหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อจัดหาประกันภัยอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยว และแนวทางการป้องกันเหตุดังกล่าวต่อไป

สำหรับประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 11 ธ.ค. 66 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งสัปดาห์ (4 ธ.ค. - 10 ธ.ค. 66) จำนวนทั้งสิ้น 655,653 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 61,619 คน คิดเป็นร้อยละ 10.37 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 93,665 คน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 25,736,865 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1,098,082 ล้านบาท โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดจำนวน 100,704 คน รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย (94,513 คน) รัสเซีย (42,166 คน) เกาหลีใต้ (40,572 คน) และอินเดีย (39,053 คน)

‘พยากรณ์อากาศประเทศไทย’ แย้ม!! ลมหนาวระลอกใหม่กำลังมา คาด!! 21-22 ธ.ค.อีสานเย็นลง 5-10 องศา ส่วน กทม.แตะ 19 องศา

(15 ธ.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘พยากรณ์อากาศประเทศไทย’ ได้โพสต์ข้อความให้เตรียมรับลมหนาว ระบุว่า…

สิ่งที่ทุกท่านรอคอยจะมาถึงแล้ว! เตรียมรับลมหนาวจริงจัง! พีคสุด 21-22 ธ.ค.! อีสานจะเย็นลง 5-10 องศา! กรุงเทพฯ ต่ำสุด 19-20 องศา!

17 ธ.ค. อีสานมีเย็นลงจางๆ, 18 ธ.ค. อีสานเย็นลงชัดเจน, 19 ธ.ค. ลมเย็นจางลงไปหน่อย, 20 ธ.ค. ลมหนาวจริงจังครอบคลุมอีสาน, 21 ธ.ค. ลมหนาวจริงจังทักทายบริเวณกว้าง, 22 ธ.ค. ลมหนาวจริงจังครอบคลุมครึ่งบนของประเทศ!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top