Thursday, 12 June 2025
จีน

130 ปี รำลึก ‘เหมา เจ๋อตง’ ความเงียบเหงา เพราะ ‘หนุ่ม-สาวจีน’ เหินห่าง ภายใต้ค่านิยม ‘นอนหายใจทิ้ง’ ที่กำลังท้าทายพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

วันที่ 26 ธันวาคม 2566 รัฐบาลปักกิ่งจีนได้เตรียมงานฉลองวันคล้ายวันเกิด ให้กับ 'เหมา เจ๋อตง' อดีตผู้นำ และนักปฏิวัติผู้ก่อตั้ง วางรากฐานระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และได้รับการขนานนามว่า ‘บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน’

เหมา เจ๋อตง เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2436 หากท่านประธานเหมา มีชีวิตถึงวันนี้ ก็จะมีอายุครบ 130 ปีพอดี  

โดยปกติ รัฐบาลจีนจะจัดงานรำลึก วันคล้ายวันเกิดให้แก่ เหมา เจ๋อตง เป็นประจำทุกปีอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งงานพิธีทางการที่จะจัดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง และ ที่บ้านเกิดของเขา ที่เมืองเฉาชาน ในมณฑลหูหนาน 

แต่ทว่าในปีนี้ รัฐบาลจีนตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบพิธีให้เรียบง่ายกว่าที่ผ่าน ๆ มา แม้แต่งานรำลึกที่บ้านเกิดของ เหมา เจ๋อตง ก็มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม โดยแหล่งข่าวในจีนเปิดเผยว่า ทางการจีนไม่ต้องการให้งานรำลึกของ เหมา เจ๋อตง โดดเด่นจนเกินไป เพื่อป้องกันการถูกโยงไปเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มแนวคิดฝ่ายขวา และ ฝ่ายซ้าย ที่โต้แย้งกันถึงปรัชญาแนวทางในระบอบสังคมนิยมของเหมา เจ๋อตง ที่ผ่านมาว่าถูกต้อง เหมาะสมกับจีนหรือไม่

โดยเฉพาะในยุคสมัยใหม่ ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคม และ เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปจากโลกเมื่อ 50 ปีก่อน ในช่วงที่ เหมา เจ๋อตง เชื่อมั่นว่าสามารถสร้างชาติจีนที่มั่งคั่ง เสมอภาค และ เท่าเทียมได้ด้วยการ ‘ปฏิวัติวัฒนธรรม’ หนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความแตกแยกในสังคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน 

แต่ทั้งนี้ เหมา เจ๋อตง มักถูกยกให้เป็นดั่งผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้วางรากฐานอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนที่สังคมจีนจะเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์โดย เติ้ง เสี่ยวผิง ด้วยการเปิดประเทศ และรับเอารูปแบบเศรษฐกิจระบบทุนนิยม มาผสมผสานเป็นระบอบสังคมนิยมใหม่ ที่ส่งเสริมการแข่งขันของภาคเอกชนในตลาดเสรีมากขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน 

แต่เมื่อมาถึงยุคของผู้นำ สี จิ้นผิง ผู้ที่ประกาศเจตนารมณ์ในการสืบทอดอุดมการณ์ของ เหมา เจ๋อตง และมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายอย่าง โดยเน้นนโยบายรวมศูนย์มากขึ้น บริหารงานผ่านระบบรัฐวิสาหกิจ มากกว่าภาคเอกชน เพื่อรัฐสามารถควบคุมได้ง่าย 

รวมถึงนโยบายตัดตอนกลุ่มนายทุนใหญ่ในภาคธุรกิจการเงิน เทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ และการศึกษาที่ผ่านมา ส่งผลต่อกระทบต่อการขยายตัวของธุรกิจเอกชนขนาดย่อยในประเทศอย่างมาก 

ทับถมด้วยเศรษฐกิจที่หยุดชะงักจากช่วงวิกฤติ Covid-19 และ ปัญหาฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ทำให้หนุ่ม-สาวจีนรุ่นใหม่รู้สึกสิ้นหวัง ขาดแรงจูงใจในการต่อสู้เพื่อก่อร่าง สร้างตัว ด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่น ซึ่งแตกต่างจากคนจีนรุ่นก่อน ๆ ในยุคสร้างชาติ 

จนเกิดวัฒนธรรมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกว่า ‘ถั่งผิง’ - นอนหายใจทิ้ง และ ‘ไป่ลั่น’ - ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เพราะคิดว่าการทำงานหนัก เพื่อสร้างฐานะ กลายเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อม

ดังนั้น หนุ่ม-สาว จีนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกเฉยชา และไม่ค่อยอินกับปรัชญาอุดมการณ์ของเหมา เจ๋อตง ส่งผลให้งานรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดอดีตผู้นำที่มักถูกยกย่อง เทิดทูนให้เป็น 'บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน' ก็ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อย ๆ

ประกอบกับภาพลักษณ์ของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบัน ถูกมองว่าซ้อนทับกับอัตลักษณ์ของ เหมา เจ๋อตง ในแง่การกระชับอำนาจทางการเมืองสูงสุดได้อย่างเบ็ดเสร็จ และการแก้รัฐธรรมนูญให้ผู้นำจีนสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่จำกัดสมัย ซึ่งอาจจะไม่ใช่แง่ดีนักในมุมมองของหนุ่ม-สาวจีนยุคใหม่ 

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่รัฐบาลจีน ตัดสินใจลดทอนงานรำลึกถึง เหมา เจ๋อตง ให้เรียบง่ายลง เพื่อหลีกเลี่ยงการจุดประเด็นที่ถกเถียงในสังคม แต่ยังคงไว้ซึ่งพิธีการที่สำคัญ ตามแบบฉบับคุณธรรมของชาวจีน ที่ต้องมีการรำลึกบรรพบุรุษ ที่อุทิศตนทำงานหนักเพื่อสร้างชาติ ดังเช่น ส่วนหนึ่งในบทความที่ สี จิ้นผิง เคยเขียนไว้ว่า...

"การรำลึกถึงสหาย เหมา เจ๋อตง ที่ดีที่สุดคือ การสืบทอดเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ ที่เขาและเหล่าสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ ได้ทุ่มเท ทำงานอย่างหนักเพื่อบ้านเมือง และเขียนประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ให้ได้” 

ในวันที่อุดมการณ์เหล่านั้น กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะทำเช่นไรต่อไป คงต้องติดตามดูกัน...

‘จีน’ ออกแผนส่งเสริมความเจริญร่วมกัน ผ่าน ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ หนุนสร้างความสมดุลในการพัฒนา-อุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

(27 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักข้อมูลระดับชาติของจีน รายงานว่า จีนได้ออกแผนการดำเนินงานว่าด้วยการสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่และดีขึ้น

แผนการข้างต้นร่วมออกโดยสำนักฯ และคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ มุ่งสนับสนุนการบูรณาการเชิงลึกของเทคโนโลยีดิจิทัลและภาคเศรษฐกิจจริง พร้อมกับแก้ไขปัญหาการพัฒนาอันไม่สมดุล และไม่เพียงพอผ่านวิธีการทางดิจิทัล

จีนควรมีความก้าวหน้าเชิงบวกในการอุดช่องโหว่ระหว่างภูมิภาค พื้นที่เมืองและชนบท กลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน ตลอดจนการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2025

ต่อจากนั้น จีนควรมีความก้าวหน้าอันเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2030 โดยมีชุดแนวปฏิบัติทางนวัตกรรมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก พร้อมใช้ซ้ำและส่งเสริมทั่วประเทศ

แผนการข้างต้นกำหนดการเตรียมการ 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาระดับภูมิภาคเชิงประสานผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล เดินหน้าการพัฒนาทางดิจิทัลในชนบท เพิ่มพูนความรู้ทางดิจิทัลของสาธารณชนเพื่อการจ้างงานที่ดีขึ้น และเกื้อหนุนการบริการทางสังคมอันครอบคลุมผ่านวิธีการทางดิจิทัล

‘บริษัทจีน’ ผลิต 'ลานจอดเฮลิคอปเตอร์' แบบเคลื่อนที่ได้ กางออกพร้อมใช้ใน 10 นาที แถมสะดวกต่อพื้นที่ที่ซับซ้อน

(27 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชวนชมการสาธิตกาง ‘ลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเคลื่อนที่ได้’ หรือโมบาย เฮลิแพด (Mobile Helipad) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองโดยเซนซา เอวิเอชัน (SENSHA Aviation) บริษัทในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน

ลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเคลื่อนที่ได้นี้รับรองการขึ้นบินและลงจอดแนวดิ่งของอากาศยานด้วยความคล่องตัวสูง ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่การขึ้นบนและลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน

‘โมบาย เฮลิแพด’ ซึ่งสามารถวิ่งสัญจรบนถนนหากอยู่ในสถานะพับเก็บ จะกลายเป็นลานกว้าง 9 เมตร ยาว 13 เมตร และมีพื้นที่ 117 ตารางเมตร เมื่อถูกกางออกมาภายในระยะเวลา 10 นาที

ทั้งนี้ ‘โมบาย เฮลิแพด’ ได้ผ่านการตรวจสอบรับรองผลทดสอบเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินและลงจอดแล้ว และจะเข้าสู่กระบวนการผลิตปริมาณมากอย่างเป็นทางการภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 การใช้งานหลักจะเป็นการลาดตระเวนในแนวหน้าและสภาพแวดล้อมซับซ้อนอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้การขึ้นบินและลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่พื้นดินหรือบนหลังคาเท่านั้น

‘จีน’ เดินหน้าปราบอาชญากรรม ‘แลกเปลี่ยนเงินตรา ตปท.’ ผิด กม. ทลายแล้วกว่า 200 คดี ภายใน 2 ปี พร้อมออก กม.ควบคุมเข้มข้น

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักบริหารเงินตราต่างประเทศแห่งรัฐของจีน ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานตุลาการทั่วประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบปรามคดีอาชญากรรมอันเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เช่น การดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย คิดเป็นจำนวนมากกว่า 200 คดี

รายงานระบุว่า สำนักบริหารฯ ได้จัดการกรณีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย การหลีกเลี่ยง การฉ้อโกง และการละเมิดข้อบังคับอื่นๆ มากกว่า 1,100 กรณี ซึ่งนำสู่การปรับเงินรวม 1.5 พันล้านหยวน (ราว 7.44 พันล้านบาท)

ด้านสำนักงานอัยการประชาชนสูงสุดของจีน ประกาศเตือนเกี่ยวกับข้อมูลการแลกเปลี่ยนกองทุนที่ผิดกฎหมายจำนวนมาก บนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ และแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด โดยสำนักงานฯ จะทำงานร่วมกับสำนักบริหารฯ เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือทางตุลาการ ในการรักษาระเบียบของตลาดเงินตราต่างประเทศ

‘Xiaomi’ ประกาศเปิดตัว ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ คันแรก ตั้งเป้า!! จะขึ้นเป็นท็อป 5 ผู้ผลิตชั้นนำของโลก

(28 ธ.ค. 66) ‘เสียวหมี่ อีวี’ ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือของเสียวหมี่ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรายใหญ่ในจีน ประกาศเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นครั้งแรกในวันนี้ กับรถซีดานรุ่น SU7 พร้อมประกาศเป้าหมายจะขึ้นเป็น 1 ใน 5 บริษัทรถยนต์อีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

รถอีวี เสียวหมี่ SU7 ซึ่งย่อมาจาก Speed Ultra เป็นรถยนต์ซีดาน 4 ประตูโดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกันคือ SU7, SU7 Pro และ SU7 Max รถทั้งหมดจะถูกผลิตโดยบริษัท ปักกิ่ง ออโตโมทีฟ อินดัสทรี โฮลดิง (BAIC) ซึ่งเป็นบริษัทของทางการจีนในโรงงานที่กรุงปักกิ่ง โดยมีกำลังการผลิต 2 แสนคันต่อปี

สำหรับรถรุ่น SU7 จะเป็นเครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว กำลังสูงสุด 220 แรงม้า และสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้แบตเตอรี่เทอนารี ลิเธียม ส่วนรุ่น SU7 Pro และ SU7 Max จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 495 แรงม้า (มอเตอร์หน้า 220 และมอเตอร์หลัง 275 แรงม้า) และสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

รายงานข่าวอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า รถอีวีคนแรกของเสียวหมี่รุ่นนี้คาดว่าจะมีราคาอยู่ระหว่าง 300,000 - 400,000 หยวน (ราว 1.5 - 2 ล้านบาท)

เล่ย จุน ผู้ก่อตั้งและปราะธานเจ้าหน้าที่บริหารของเสียวหมี่ กล่าวในการแถลงข่าววันนี้ว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการทดลองผลิตรถรุ่นดังกล่าว และคาดว่าจะพร้อมวางจำหน่ายได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

"ด้วยการทำงานอย่างหนักตลอด 15-20 ปีข้างหน้า เราจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมของจีน" เล่ย จุน กล่าว

‘จีน’ มั่นใจ!! ‘การค้าต่างแดน-ส่วนแบ่งตลาดโลก’ ฟื้นตัวดี พร้อมดึงผู้ประกอบการ ร่วมมือรักษาเสถียรภาพ ศก.ต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว ,ปักกิ่ง รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ของจีน แถลงข่าวว่า ‘จีน’ มั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพโดยทั่วไป ของปริมาณการค้าระหว่างประเทศ และส่วนแบ่งในตลาดโลกในปีนี้

‘เหอ ย่าตง’ โฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า การค้าระหว่างประเทศของจีน ค่อนข้างมีความแข็งแกร่งในปีนี้ สามารถเอาชนะผลกระทบจากความต้องการภายนอกหดตัว แนวโน้มขาลงของราคา และฐานสูงของปีก่อน

สำหรับปี 2024 จีนอาจประสบกับความไม่แน่นอนจากภายนอก แต่มีปัจจัยเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยการเปิดกว้างของจีนจะยังคงสร้างผลประโยชน์ ขณะผลิตภัณฑ์ใหม่และธุรกิจรูปแบบใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ จะปลดปล่อยศักยภาพเพิ่มขึ้น

เหอ เสริมว่า จีนมั่นใจว่า จะสามารถรักษาทิศทางขาขึ้นของการฟื้นฟูการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้แรงสนับสนุนจากหลากหลายนโยบาย ที่มุ่งรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความพยายามร่วมจากผู้ประกอบการ

โฆษก ก.ต่างประเทศจีน ชี้!! ฟรีวีซ่าให้คนไทยยังอยู่ในขั้นหารือ คาด!! ยืนยันผลเร็วสุดไม่เกินสิ้นเดือนนี้หรือก่อนตรุษจีน 10 ก.พ.

(3 ม.ค. 67) เพจลุยจีน ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีจีนฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทย โดยระบุว่า…

#โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนยืนยันฟรีวีซ่าให้คนไทยยังอยู่ในขั้นหารือ😅😅😅

อ้าวววว ยังไม่คอนเฟิร์ม 100% นะครับว่าจะฟรีวีซ่าให้ นทท.ไทยที่ไปจีน 1 มี.ค. 67 นี้มั้ยตามที่ท่านนายกไทยให้ข่าวกับหลาย ๆ สำนักข่าววันนี้

หลังมีข่าวเป็นกระแสใหญ่โตช่วงเที่ยงวันนี้เรื่อง ไทย-จีนต่อไปนี้จะฟรีวีซ่าถาวรจากนายกเศรษฐา ข่าวดังกล่าวก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งชาวไทยและชาวจีน โดยเฉพาะที่จีนแฮชแทก #中泰永久相互免签 #จีนไทยต่อไปนี้จะฟรีวีซ่าถาวร ก็ขึ้นติด Top 5 ในโซเชียลจีนอย่างรวดเร็ว

ล่าสุดช่วงบ่ายทางนักข่าวจีนก็ไปยืนยันกับทางกระทรวงต่างประเทศของจีน ซึ่งทางโฆษก กต.จีน วังเหวินปิน 汪文斌 ก็ได้ให้ข่าวว่า "เบื้องต้น หัวหน้าคณะทำงานทั้งสองฝ่าย (ไทย, จีน) กำลังอยู่ในขั้นตอนการพูดคุยอย่างใกล้ชิด ซึ่งเราก็หวังว่านโยบายดังกล่าวจะประกาศใช้โดยเร็ว" 目前,相关主管部门正就具体事宜密切沟通,我们期待有关安排早日落地生效。

ซึ่งจากที่โฆษก กต.จีนแถลงมานี้ สรุปว่า
1. มีการหารือกันเรื่องฟรีวีซ่าไทย-จีนจริง แต่ยังไม่ฟันธงว่าจะเริ่ม 1 มี.ค. นี้มั้ย

2. ยังมีพวกรายละเอียดหลายอย่างถ้ามีการฟรีวีซ่าเกิดขึ้นต้องหารือ แน่นอนว่าเรื่องปัญหาและแนวทางแก้ไขต่าง ๆ ทางจีนคงต้องค่อนข้างระวังไว้ด้วย รวมถึงท่าทีจากมวลชนชาวจีนอันนี้ก็สำคัญ

3. นายกไทยก็ปากไวมาสปอยล์นักข่าวก่อน โดยไม่บอกว่า ‘กำลังหารือ’ กันอยู่

ซึ่งใด ๆ ยังไงคงต้องรอทางฝ่ายจีนออกมาประกาศชัดเจนเช่นกันว่าจะฟรีวีซ่าให้ นทท.ไทยจริง ๆ เมื่อไหร่ ซึ่งส่วนตัวแอดคิดว่าคงประกาศให้ฟรีวีซ่าพร้อมกับอีกหลาย ๆ ประเทศ เหมือนรอบแรก 6 ประเทศที่เค้าประกาศไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบยุโรป + มาเลฯ คาดว่าของไทยน่าจะเป็นกลุ่มประเทศล็อตที่ 2 ที่เค้าจะฟรีวีซ่าให้ 

คาดว่าเร็วที่สุดน่าจะคอนเฟิร์มภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้หรือก่อนตรุษจีน 10 กพ. นิดนึงนะ แบบดันยอด นทท. หลังตรุษจีนให้เข้าประเทศเค้าด้วย 

'เทสลา' ถูก BYD แซงหน้าคว้าแท่นผู้ผลิตรถอีวีรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังคงรักษาบัลลังก์แชมป์ยอดขายรถอีวีแบบรายปีอยู่

(3 ม.ค.67) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติสหรัฐฯ สูญเสียบัลลังก์ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรายใหญ่ที่สุดของโลกให้แก่ BYD บริษัทสัญชาติจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากตัวเลขยอดขายที่เผยแพร่ในวันอังคาร (2 ม.ค.)

ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสหรัฐฯ ที่บริหารงานโดยอภิมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ ส่งมอบรถยนต์ 484,507 คัน ในไตรมาส 4 ของปี 2023 อ้างอิงจากเอกสารของทางบริษัท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านั้นมากกว่า 11%

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่มากพอที่จะช่วยรักษาบัลลังก์ของเทสลา ในฐานะผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก เนื่องจากขณะเดียวกันทาง BYD คู่แข่งจากจีน ในวันจันทร์ (1 ม.ค.) รายงานว่ามียอดขาย 526,409 คัน ในช่วงเวลาเดียวกัน

ตัวเลขดังกล่าวเป็นการตอกย้ำความท้าทายต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่า ทางเทสลาจะต้องเผชิญในปีนี้ จากบรรดาคู่แข่งทั้งหลายที่กระตือรือร้นแสวงหาผลประโยชน์จากอุปสงค์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ของตลาดรถอีวี

หุ้นของเทสลาดิ่งลงทันทีหลังข่าวนี้ถูกแจ้งออกมา ก่อนฟื้นตัวขึ้นมาปิดลบไม่มากนัก

นอกเหนือจากเอาชนะเทสลา ในยอดขายรถไฟฟ้าล้วนแล้ว ทาง BYD ยังขายรถไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดอีกมากกว่า 400,000 คัน ในไตรมาส 4 และโดยรวมแล้ว พวกเขามียอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากกว่า 3 ล้านคันในปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เทสลายังคงรักษาบัลลังก์แชมป์ยอดขายรถอีวีในแง่ของรายปี โดยมีการส่งมอบรถยนต์มากกว่า 1.8 ล้านคันแก่ลูกค้าในช่วงต้นปีจนถึงเดือนธันวาคม ในขณะที่ตัวเลขยอดขายของ BYD ตลอดทั้งปี มีไม่ถึง 1.6 ล้านคัน

ย้อนอดีตคำทำนาย ‘จีน’ จะล่มสลายภายในปี 2011 คำพยากรณ์ที่คลาดเคลื่อนมาแล้ว 12 ปี

ในปี 2001 Gordon G. Chang นักเขียนอเมริกันเชื้อสายจีน ได้แต่งหนังสือชื่อ ‘The Coming Collapse of China’ ซึ่งทำนายว่า “จีนกำลังจะล่มสลายภายในปี 2011” Chang ผู้มีบิดาเป็นชาวจีนจากเมือง Rugao มณฑล Jiangsu ส่วนมารดาเป็นหญิงอเมริกาเชื้อสายสก๊อต เขาเกิดและเติบโตในมลรัฐ New Jersey จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cornell และศึกษาต่อจนได้รับปริญญาเอกด้านนิติศาสตร์จากโรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัย Cornell

ในปี 1976 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัย Cornell เขาได้ไปทำงานอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเป็นเวลาเกือบสองทศวรรษ โดยเขาทำงานเป็นหุ้นส่วนและที่ปรึกษาของ Baker & McKenzie และ Paul, Weiss, Rifkind, Wharton & Garrison LLP ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศอเมริกัน

ด้วยประสบการณ์อันยาวนานเกี่ยวกับประเทศจีน Chang จึงเป็นผู้บรรยายสรุปให้สภาข่าวกรองแห่งชาติ สำนักข่าวกรองกลาง กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ และเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา เขาเป็นอดีตผู้ร่วมให้ข้อมูลใน The Daily Beast งานเขียนของเขาเกี่ยวกับจีนและเกาหลีเหนือปรากฏใน The New York Times, The Wall Street Journal, International Herald Tribune, Commentary, National Review และ Barron's และอื่น ๆ อีกมากมาย และเขาได้ปรากฏตัวทาง CNN, Fox News, MSNBC, CNBC, PBS , Bloomberg Television และอื่น ๆ รวมถึงรายการ The Daily Show กับ Jon Stewart รวมทั้งได้บรรยายที่มหาวิทยาลัย Columbia, Cornell, Harvard, Penn, Princeton, Yale และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ

Chang เป็นบรรณาธิการร่วมของ 19FortyFive ซึ่งเป็นเว็บไซต์กิจการระหว่างประเทศออนไลน์ และทำหน้าที่ในคณะกรรมการที่ปรึกษาของ Global Taiwan Institute ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะนโยบายในกรุง Washington, D.C เขายังเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของการประชุมการดำเนินการทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative Political Action Conference : CPAC) ด้วย

>> ความคิดเห็นที่เกี่ยวกับจีนของ Chang

‘อิทธิพลของจีน’ Chang ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐอเมริกา-จีน และอื่น ๆ อีกมากมาย เขาเตือนว่า นักศึกษาชาวจีนที่เข้าเรียนในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ได้กลายเป็นแขนงสำคัญของลัทธิเผด็จการจีน และนักศึกษา อาจารย์ และนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนก็กลายเป็น ‘นักรวบรวมข่าวกรองในรูปแบบใหม่’ ของจีน

รายงานของ The Cornell Daily ซึ่ง Sun Chang ได้กล่าวหาว่า นักศึกษาจากจีนได้ทำการสืบค้นข้อมูลจากคณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ อย่างน่าสงสัย อีกทั้งยัง “พัวพันกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและคุกคามนักศึกษาคนอื่น ๆ และก่อกวนผู้วิพากษ์วิจารณ์จีน และกดดันมหาวิทยาลัยให้ระงับกิจกรรมต่าง ๆ ออกไป ข้อเรียกร้องของพวกเขาคือ การถอดการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเมืองออก อันเนื่องจากความกังวลว่าจะมีการละเมิดเสรีภาพทางวิชาการ” นอกจากนี้ Chang ยังกล่าวด้วยว่า จีนไม่ได้พยายามที่จะแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาภายใต้ระบบ ‘Westphalian’ แต่กลับพยายามที่จะล้มล้างคำสั่งนั้นโดยสิ้นเชิง

ซึ่งระบบ Westphalian หรือที่รู้จักกันในชื่ออธิปไตย Westphalian เป็นหลักการในกฎหมายระหว่างประเทศที่แต่ละรัฐมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของตนแต่เพียงผู้เดียว หลักการนี้พัฒนาขึ้นในยุโรปหลังสนธิสัญญา Westphalian ในปี 1648 โดยอิงตามทฤษฎีรัฐ (The state theory) ของ Jean Bodin และคำสอนเรื่องกฎธรรมชาติ (The natural law) ของ Hugo Grotius ซึ่งเป็นไปตามระบบระหว่างประเทศสมัยใหม่ของรัฐอธิปไตยและปรากฏอยู่ในกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งระบุว่า “ไม่มีสิ่งใด...ที่จะอนุญาตให้สหประชาชาติเข้าไปแทรกแซงในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วอยู่ภายในเขตอำนาจศาลภายในของรัฐใด ๆ ก็ตาม”

‘สงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ-จีนในด้านเทคโนโลยีเย็น’ ในหนังสือ The Great U.S.–China Tech War (2020) Chang อ้างว่า จีนและสหรัฐอเมริกามีส่วนร่วมในสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘สงครามเย็นในด้านเทคโนโลยีเย็น’ ซึ่งผู้ชนะจะสามารถเป็นใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ได้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จีนไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางเทคโนโลยี แต่ผู้นำจีนได้ทำให้ระบอบการปกครองของตนกลายเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี โดยที่บางคนพบว่า จีนเป็นผู้นำ โดยมีอเมริกาซึ่งกำลังล้าหลังในด้านที่สำคัญ Chang สนับสนุนการระดมสรรพกำลังเพื่อให้สหรัฐฯ กลับมาควบคุมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเช่นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น

‘การล่มสลายของจีน’ ในฐานะผู้เขียนหนังสือ ‘The Coming Collapse of China’ Chang ได้ทำนายเกี่ยวกับการล่มสลายของรัฐบาลจีนและการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใกล้จะเกิดขึ้นไว้มากมาย ซึ่งเจาะจงว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2011 โดย Chang ได้ระบุว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) เป็นต้นตอของปัญหาหลายประการของจีน รัฐบาลจีนจะล่มสลายซึ่งเขายืนยันว่าเป็นปี 2011 และเมื่อใกล้จะถึงปี 2011 เขาก็ยอมรับว่า การคาดการณ์ของเขาผิด พร้อมบอกว่า บอกเร็วไปเพียงปีเดียว และได้เขียนลงในนิตยสาร Foreign Policy เอาไว้ว่า “แทนที่จะเป็นปี 2011 พนันได้เลยว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยิ่งใหญ่จะล่มสลายในปี 2012” ด้วยเหตุนี้ ‘การล่มสลายของจีน’ จึงเป็น ‘10 คำทำนายที่แย่ที่สุดแห่งปี’ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศถึงสองครั้ง

ในคำนำ ‘The Coming Collapse of China’ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกของเขาที่ตีพิมพ์ในปี 2011 Chang ได้ทำนายสถานการณ์ไว้ดังต่อไปนี้ “จุดสิ้นสุดของรัฐจีนสมัยใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว สาธารณรัฐประชาชนมีเวลาห้าปีหรืออาจจะสิบปีก่อนที่จะล่มสลาย หนังสือเล่มนี้จะบอกว่าทำไม” จากการรับรู้ถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ และการไร้ความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการสร้างสังคมประชาธิปไตยแบบเปิด Chang ระบุว่า สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ซ่อนอยู่ของธนาคารของรัฐ ‘Big Four’ ของจีนมีแนวโน้มที่จะทำให้ระบบการเงินของจีนล่มสลายทั้งรัฐบาลจีนพร้อมกับชาวจีนทั้งประเทศ ซึ่งเขาคาดการณ์ไว้โดยเฉพาะว่า CCP จะล่มสลายภายในปี 2011

‘ข้อวิจารณ์ต่อหนังสือ The Coming Collapse of China’ Dexter Roberts จาก Bloomberg Businessweek บรรยายถึงหนังสือเล่มนี้ว่า “เป็นการมองโลกในแง่ร้ายในวงกว้าง” ในปี 2012 Julia Lovell จาก The Observer ระบุว่า แม้ว่าการที่จีนเข้าสู่องค์การการค้าโลกสามารถให้โอกาสแก่นักลงทุนชาวตะวันตกได้มากมาย แต่หนังสือของ Chang ก็รวบรวมหลักฐานไว้เพียงพอที่จะรองรับความคาดหวังดังกล่าว ในปี 2011 Patrick Tyler จาก The New York Times เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2011 ว่า “ดังที่ Chang ค้นพบ จีนเป็นชาติที่มีความขัดแย้ง อุตสาหกรรมของรัฐหลายแห่งแทบจะล้มละลาย ระบบธนาคารตั้งอยู่บนภูเขาแห่งหนี้เสียที่ไม่รู้จัก เกษตรกรรมยังเป็นแบบดั้งเดิม มลพิษอยู่นอกเหนือการควบคุม และการแทรกแซงและการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลกำลังทำลายธุรกิจใหม่จำนวนหนึ่ง...” Roland Boer นักวิชาการระบุถึงหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นตัวอย่างของแนวคิด ‘วันสิ้นโลกของจีน’ ต่อลัทธิทำลายล้างทางประวัติศาสตร์ Christopher Marquis และ Kunyuan Qiao นักวิชาการบอกว่า The Coming Collapse of China ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด และสรุปว่าการปกครองของ CCP ของจีนจะดำเนินต่อไปในอนาคต และ ปีเตอร์ ธาล ลาร์เซน เขียนในรอยเตอร์ว่าหนังสือเล่มนี้ "ปัจจุบันส่วนใหญ่เรียกว่าเป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการคาดการณ์อนาคตของประเทศอย่างเจาะจงมากเกินไป"

‘การปรับปรุงแก้ไข’ ในปี 2010 Chang ได้เขียนไว้ใน The Christian Science Monitor ว่า ‘จีนอาจจะล่มสลายในไม่ช้า’ โดยคาดการณ์ถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ วันที่ 21 พฤษภาคม 2016 The National Interest ได้ตีพิมพ์อีกบทความหนึ่งของ Chang เรื่อง ‘การปฏิวัติที่กำลังมาของจีน’ ในนั้น เขาอ้างว่า ชนชั้นปกครองในจีนกำลังแตกแยก และไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้ Chang อ้างว่า จะนำไปสู่การปฏิวัติซึ่งจะโค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เขาไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัดว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนต่อหนังสือ ‘The Coming Collapse of China’ ของ Gordon G. Chang มุมมองของ Chang ต่อจีนนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากแนวคิดของเหล่าบรรดานักวิชาการและสื่อตะวันตกเลย แม้ตัว Chang เองจะมีบิดาเป็นชาวจีน แต่ Chang เกิดและเติบโตในสหรัฐฯจึงได้รับแนวคิดแบบอเมริกันไว้เต็ม ๆ สิ่งซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถดำรงอำนาจไว้ได้จนทุกวันนี้ เกิดจากความพยายามและความสามารถในการรับมือกับความเจริญก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลักการสำคัญง่าย ๆ คือ ‘การทำให้ประชาชนชาวจีนทุกคนอิ่มท้องอยู่เสมอ’ อันเป็นผลมาจากความอดอยากและขาดแคลนของจีนมายาวนานตั้งแต่ก่อนพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามามีอำนาจ และในช่วงแรก ๆ ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองด้วย แม้ในปัจจุบันพลเมืองจีนจำนวนมากก็ยังคงระลึกนึกถึงความอดอยากและขาดแคลนในอดีตได้เป็นอย่างดี เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวจนลุล่วงไปได้ และยังคงยึดหลัก ‘การทำให้ประชาชนชาวจีนทุกคนอิ่มท้องอยู่เสมอ’ เมื่อชาวจีนทุกคนท้องอิ่ม ไม่อดอยากหิวโหยแล้ว ปัญหาสำคัญที่จะเป็นภัยร้ายแรงต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ย่อมจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งรัฐบาลจีนสามารถสร้างความรู้สึกชาตินิยม

และสามารถรักษากระแสความรู้สึกชาติยมได้อย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการดำรงคงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งสิ้น

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘แบรนด์จีน’ เฮ!! ยอดขาย ‘EV’ ดีที่สุดในอิสราเอล ครองสัดส่วนถึงร้อยละ 60.98 ในปี 2023

(3 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สมาคมผู้นำเข้ายานยนต์แห่งอิสราเอล รายงานว่ารถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ขนาดเล็กมาก รุ่นอัตโต 3 (Atto 3) ผลิตโดยบีวายดี (BYD) ผู้ผลิตยานยนต์ของจีน เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดในอิสราเอลในปี 2023

ซึ่งทาง สมาคมฯ เปิดเผยว่า รถยนต์รุ่นดังกล่าวซึ่งเข้าสู่ตลาดอิสราเอลเมื่อช่วงปลายปี 2022 มียอดจำหน่าย 14,244 คันในปี 2023

อีกทั้ง จี๋ลี่ ออโต กรุ๊ป (Geely Auto Group) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนอีกราย มียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ รุ่นจีโอเมทรี ซี (Geometry C) รวม 7,129 คันในช่วงเดียวกัน ซึ่งครองอันดับสองด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในอิสราเอล

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายดีเป็นอันดับสาม ได้แก่ เทสลา รุ่นโมเดล วาย (Tesla Model Y) ตามด้วย เทสลา รุ่นโมเดล 3 (Tesla Model 3)

ข้อมูลระบุว่า แบรนด์จีนครองสัดส่วนร้อยละ 60.98 ของยอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าของอิสราเอลในปี 2023 โดยมียอดจำหน่าย 29,402 คัน มากกว่าตัวเลข 13,294 คันในปี 2022 กว่าสองเท่า

สำหรับยอดจำหน่ายยานยนต์เชื้อเพลิงน้ำมัน เชอรี ออโตโมบิล (Chery Automobile) ผู้ผลิตยานยนต์ของจีน ซึ่งเข้าสู่ตลาดอิสราเอลช่วงปลายปี 2022 ครองอันดับ 6 ด้วยยอดจำหน่าย 11,162 คันในปี 2023


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top