Monday, 9 June 2025
จีน

'ผู้นำเวเนฯ' ยอมรับใช้สมาร์ตโฟน Huawei ได้อย่างสบายใจ เพราะ 'ชาวอเมริกัน' ดักฟังไม่ได้ ฟากยุโรปเริ่มแห่ซื้อใช้ตาม

ไม่นานมานี้ เพจ 'ลึกชัดกับผิงผิง' ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับสื่อจีนที่รายงานถึงเทคโนโลยี และความปลอดภัยของ 'หัวเว่ย' (Huawei) ผ่านมุมมองของผุ้นำเวเนซุเอล่า ว่า...

เมื่อเร็วๆ นี้ นายนิโกลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาเดินทางเยือนจีน ก่อนการเดินทาง ได้เข้าร่วมรายการ Con Maduro+ ที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์เวเนซุเอลา (VTV) 

ขณะกล่าวถึงเรื่องที่บริษัทหัวเว่ยของจีนได้ออกสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด Mate 60 Pro นายนิโกลัส มาดูโรกล่าวว่า แม้หลายปีมานี้ สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกดำเนินการคว่ำบาตรอย่างไร้เหตุผลต่อหัวเว่ย แต่หัวเว่ยยังคงประสบผลคืบหน้าอย่างมาก เทคโนโลยีของหัวเว่ยสามารถเทียบเท่าคู่แข่งของโลกจำนวนมาก กระทั่งมีความเหนือกว่าในบางอย่างด้วย 

นายมาดูโรยังเผยว่า “ผมมีมือถือหัวเว่ยเครื่องหนึ่ง ใช้ดีมาก ชาวต่างชาติไม่สามารถดังฟังได้เลย” (เขาใช้คำว่า 'gringos' ที่ตามภาษาสเปนมักจะหมายถึงชาวอเมริกัน) 

คำพูดของนายมาดูโรเกี่ยวกับหัวเว่ยนั้น เกิดจากการยืนยันด้านความปลอดภัยจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของเวเนซุเอลาเอง 

หลังจากสหรัฐอเมริกา ทุ่มเทกำลังทั่วประเทศในการปราบปรามบริษัทหัวเว่ย ทำให้หัวเว่ยไม่ได้รับชิประดับสูงที่ใช้ในการผลิตสมาร์ตโฟน 5G อัตราส่วนในตลาดโลกของหัวเว่ยร่วงจากอันดับ 1 อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทแอปเปิลพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคือ ผู้ที่ใช้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยนั้น หน่วยงานพิเศษของสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถดักฟังได้ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขากังวลเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายมาแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าทำไมชาวยุโรปก็พากันไปซื้อ Mate 60 Pro สมาร์ตโฟนระดับ 5G ที่หัวเหว่ยเปิดขายเมื่อเร็วๆ นี้ 

ทั้งนี้ รายงานข่าวของสื่อจีนระบุว่า ช่วง 7 วันแรก ยอดสั่งซื้อ Mate 60 Pro เกินกว่า 15 ล้านเครื่องแล้ว

'เมียนมา' เล็ง!! เสนอวีซ่าท่องเที่ยว 1 ปี ให้ 'ชาวจีน-อินเดีย' เที่ยวได้ทุกแห่ง เว้นพื้นที่ต้องห้าม หวังดึงเม็ดเงินกลับมา

(16 ก.ย.66) หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar ของทางการเมียนมารายงานว่า เร็วๆ นี้รัฐบาลจะประกาศโครงการนำร่องหนึ่งปีให้วีซ่าท่องเที่ยวขอได้ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียสามารถท่องเที่ยวในเมียนมาได้ทุกที่ยกเว้นพื้นที่ต้องห้ามด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เทียบกับปัจจุบันที่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวออนไลน์หรือไปที่สถานทูตเมียนมา

ทั้งนี้ หากมองรัฐบาลทหารเมียนมาที่ยังคงจัดการฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี 2564 โดยยอมรับว่า ยังควบคุมพื้นที่ไม่ได้ทั้งหมดนั้น ทำให้หลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย จึงแนะนำไม่ให้คนของตนมาเมียนมา เนื่องจากความขัดแย้งยังมีอยู่

ต่างจากจีนและอินเดียซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมา อีกทั้งยังมีสัมพันธ์กับเหล่านายพลนับตั้งแต่ก่อรัฐประหาร

ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงการท่องเที่ยวเมียนมากำลังทำงานเพื่อดึงดูดนักเดินทางจากรัสเซีย พันธมิตรหลักและประเทศผู้จัดหาอาวุธอีกรายด้วย

ไม่กี่วันก่อนสายการบินแห่งชาติเมียนมาเริ่มบนตรงไปยังเมืองโนโวซีบีสค์ของรัสเซีย รัฐบาลทหารเผยว่ากำลังจะอนุญาตให้ใช้บัตร Mir ของรัสเซียชำระเงินได้โดยตรง

เมียนมา หลังจากกองทัพปกครองประเทศมาหลายสิบปี จนกระทั่งเมียนมาได้เปิดประเทศเมื่อปี 2554 และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่พอเจอช่วงโควิดระบาดก็ต้องปิดประเทศ ซ้ำยังตามด้วยการรัฐประหาร และปราบปรามฝ่ายต่อต้าน จนทำให้นักท่องเที่ยวหายไป

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจเมียนมาตกต่ำอย่างหนัก ค่าเงินจ๊าดดิ่งมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลายเมืองหลักประสบปัญหาไฟฟ้าดับ เอทีเอ็มและเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหายาก

มาตรการนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลทหารเมียนมาคงต้องเร่งทำ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติและเม็ดเงินกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ 'ชาวจีน-อินเดีย' ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ 

‘บังกลาเทศ’ ทดลองวิ่งรถไฟสินค้าบนสะพานฝีมือ ‘จีน’ ตอกย้ำความสำเร็จโครงการ ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ธากา รายงานว่า บังกลาเทศประสบความสำเร็จในการทดลองเดินรถไฟสินค้าบนช่วงหนึ่งของทางรถไฟ ที่ก่อสร้างภายใต้แผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (BRI) และบนสะพานปัทมา ซึ่งเป็นสะพานขนาดใหญ่ที่สุดในบังกลาเทศที่ก่อสร้างโดยจีน

‘ซัยยิด อาเหม็ด’ ผู้อำนวยการโครงการทางรถไฟฟาริดปูร์ของการรถไฟบังกลาเทศ แถลงข่าวว่ารถไฟพร้อมตู้สินค้า 5 ตู้ บรรทุกก้อนหินหนัก 350 ตัน ทดลองวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากสถานีบังกาของเขตฟาริดปูร์ในช่วงเช้าวันเสาร์ (16 ก.ย.) ถึงสถานีมาวา และวิ่งกลับสถานีบังกา

เมื่อสัปดาห์ก่อน รัฐบาลบังกลาเทศเปิดตัวรถไฟโดยสารขบวนแรกสำหรับช่วงหนึ่งของทางรถไฟสายใหม่นี้ โดยทางรถไฟยาว 172 กิโลเมตรเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่สุดที่ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า เรลเวย์ กรุ๊ป ลิมิเต็ด (CREC) และรับทุนจากธนาคาร เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (China Exim Bank)

‘จีน’ ดำเนินการทดสอบ ‘อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า’ ด้วย ‘พลังงานความร้อนจากทะเล’ สำเร็จ

เมื่อวานนี้ (17 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรของจีนได้ดำเนินการทดสอบอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรในทะเลจีนใต้

รายงานระบุว่า อุปกรณ์ข้างต้น ขนาด 20 กิโลวัตต์ พัฒนาโดยสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาทางทะเลแห่งกว่างโจว ภายใต้การควบคุมโดยตรงของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน ได้ถูกเคลื่อนย้ายกลับสู่นครกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ

อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรนี้สามารถผลิตไฟฟ้าเป็นเวลานาน 4 ชั่วโมง 47 นาที สร้างผลผลิตไฟฟ้าสูงสุด 16.4 กิโลวัตต์ ระหว่างการทดสอบนอกชายฝั่งดังกล่าว

หนิงโป วิศวกรอาวุโสของสำนักฯ กล่าวว่าการทดสอบนอกชายฝั่งนี้ตรวจสอบความอยู่รอดของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรที่พัฒนา รวมถึงความสามารถใช้งานจริง ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาและใช้พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร นับจากการทดสอบบนบกสู่การใช้งานนอกชายฝั่ง

ทั้งนี้ พลังงานความร้อนจากมหาสมุทรใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างพื้นผิวและน้ำลึกมาผลิตไฟฟ้า ทำให้เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยหนิงกล่าวว่าจีนมีแหล่งสำรองพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรมากมาย แต่การวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ยังอยู่แต่ในห้องปฏิบัติการและการทดสอบบนบก

‘จีน’ ฉุน!! ‘รมว.ตปท.เยอรมนี’ เรียก ‘สี จิ้นผิง’ ว่า “จอมเผด็จการ” ชี้ เป็นความคิดที่ไร้สาระ-ละเมิดศักดิ์ศรี-ยั่วยุทางการเมืองชัดเจน

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 ‘จีน’ ตำหนิ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีอย่างดุเดือด หลังเรียกประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ เป็น ‘เผด็จการ’ โดยตราหน้าความคิดเห็นดังกล่าวว่าเป็น ‘การยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย’ ที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง

ปักกิ่งคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี แต่เยอรมนีเผยแพร่นโยบายใหม่ในเดือนกรกฎาคม ลดพึ่งพาและหันมาประชันขันแข่งกับจีนแน่วแน่กว่าเดิม หลังจากใช้เวลาถกเถียงกันภายในรัฐบาลมานานหลายปีเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่จะใช้กับจีน

แบร์บ็อค ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เยอรมนีใช้แนวทางสายแข็งกร้าวยิ่งขึ้นกับจีน แสดงความคิดเห็นเรียก สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการ ขณะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ

ในระหว่างให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสงครามยูเครน เธอบอกว่า “หากปูตินชนะในสงครามนี้ มันจะเป็นสัญญาณสำหรับพวกเผด็จการคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ อย่างเช่น สี จิ้นผิง อย่างเช่นประธานาธิบดีจีน หรือไม่? ดังนั้น เพราะฉะนั้น ยูเครนจำเป็นต้องชนะในสงครามนี้”

จีนเคลื่อนไหวตอบโต้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา บอกว่าพวกเขานั้น “ไม่พอใจอย่างมาก” และได้แสดงออกอย่างจริงจังไปถึงฝ่ายเยอรมนีผ่านช่องทางทางการทูตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

“ความคิดเห็นนี้ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง และล่วงละเมิดศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีนอย่างร้ายแรง และเป็นการยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย” เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวัน

คณะรัฐมนตรีเยอรมนีให้การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับจีน ซึ่งเป็นเอกสารความยาว 64 หน้า เมื่อเดือน ก.ค. โดยเน้นย้ำในแผนยุทธศาสตร์ว่า ต้องการรักษาความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนกับจีนต่อไป แต่ขณะเดียวกัน ต้องการลดการพึ่งพาจีนในภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ด้วยการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้หลากหลายขึ้น เพื่อเป้าหมายคือการลดความเสี่ยง มิใช่การตัดขาดจากห่วงโซ่เศรษฐกิจของจีนเสียทีเดียว

นโยบายใหม่เกี่ยวกับจีนของเยอรมนี เป็นการรักษาสมดุลระหว่าง 2 จุดยืนที่แตกต่างกันภายในรัฐบาลผสม โดยเรียกปักกิ่งเป็นทั้ง “คู่หู คู่แข่งขัน และคู่ปรับในเชิงระบบ”

แบร์บ็อค จากพรรคกรีนส์ ผลักดันให้ใช้แนวทางแข็งกร้าวกับจีน และให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ส่วน ‘โอลาฟ โชลซ์’ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จากพรรคโซเชียล เดโมแครต สนับสนุนให้ใช้ท่าทีที่เป็นมิตรทางการค้ามากกว่า

จีนสกัด DNA มนุษย์โบราณ เก่าแก่ 6,000 ปี ชี้!! เหมือนหลากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาเซียน

(19 ก.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผยผลการวิจัยทางโบราณคดีครั้งใหม่ ที่ได้เปิดเผยการสกัดดีเอ็นเอ (DNA) จากโครงกระดูกมนุษย์อายุ 6,000 ปี ซึ่งพบในเมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน

รายงานดังกล่าว เผยว่า คณะนักโบราณคดีปฏิบัติงานขุดค้นหลุมศพ ซึ่งพบจากซากโบราณหม่าอันของเมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน ที่ได้รับการขุดและจัดส่งมายังสถาบันโบราณคดี สังกัดสถาบันบัณฑิตสังคมศาสตร์จีน ได้ระบุตัวอย่างดีเอ็นเอมนุษย์โบราณจากโครงกระดูกมนุษย์เพศชายที่พบในหลุมศพหลุมหนึ่ง ว่ามาจากยุควัฒนธรรมหม่าเจียปัง (Majiabang Culture) ของยุคหินใหม่

ด้าน เหวินเซ่าชิง นักโบราณคดีที่เป็นผู้นำการวิจัย กล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mitochondrial DNA) ซึ่งพบในโบราณสถานแห่งอื่นทั้งในจีนและภูมิภาคต่าง ๆ พบว่าสารพันธุกรรมประเภทนี้เหมือนกับดีเอ็นเอที่พบในสถานที่แห่งอื่น ซึ่งรวมถึงเวียดนามตอนเหนือ (เมื่อ 4,000-2,000 ปีก่อน) ลาวตอนเหนือ (เมื่อ 3,000 ปีก่อน) อินโดนีเซีย (เมื่อ 2,000 ปีก่อน) ฟิลิปปินส์ (เมื่อ 1,800 ปีก่อน) และกว่างซีของจีน (เมื่อ 1,500 ปีก่อน)

เหวินระบุเพิ่มเติมว่า การค้นพบครั้งนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างการวิจัยดีเอ็นเอโบราณในพื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเผชิญอุปสรรคจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ที่ย่ำแย่

‘CATL’ เปิดตัวแบตเตอรี่ EV ชาร์จ 10 นาที วิ่งได้ 400 กม. คาด!! เริ่มวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรก ปี 2024

เมื่อไม่นานมานี้ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่จากจีนได้เปิดตัว ‘Shenxing’ แบตเตอรี่ 4C superfast charging LFP ก้อนแรกของโลกที่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรภายในเวลาชาร์จเพียงแค่ 10 นาที

โดยหากทำการชาร์จนเต็มนั้น Shenxing จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 700 กิโลเมตร ซึ่งทาง CATL นั้นก็คาดว่า Shenxing จะช่วยให้ผู้ใช้รถ EV หมดกังวลเกี่ยวกับเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์จแต่ละครั้งได้ และจะช่วยเปิดยุคใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ชาร์จได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิมขึ้นมา

แบตเตอรี่ Shenxing นั้นใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Super electronic network cathode และวัสดุแคโทด LFP ที่ตกผลึกในระดับนาโนเข้ามาช่วยให้แบตเตอรี่สามารถตอบสนองต่อการชาร์จที่รวดเร็วได้ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ครอบคลุมของ CATL ยังช่วยให้แบตเตอรี่ Shenxing มีคุณสมบัติที่สมดุลทั้งการชาร์จที่รวดเร็วและการขับขี่ในระยะไกล

และอีกหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจก็คือแบตเตอรี่ตัวใหม่ยังสามารถรักษาประสิทธิภาพในการชาร์จตั้งแต่ความจุ 0 – 80% ได้ภายใน 30 นาทีภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า -10 องศาเซลเซียส และสามารถรักษาประสิทธิภาพในการเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม.เอาไว้ได้ในอุณหภูมิต่ำ โดยในอุณหภูมิห้องนั้น Shenxing จะสามารถชาร์จตั้งแต่ 0 – 80% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที

สำหรับปัจจุบันทาง CATL ได้คาดการณ์ว่า Shenxing จะสามารถเริ่มทำการ Mass Produce ได้ภายในปลายปีนี้ และจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 ซึ่งทาง CATL นั้นก็มั่นใจว่าการเปิดตัวของ Shenxing นั้นจะเป็นอีกก้าวที่สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV และจะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าไปทั่วโลกได้อย่างครอบคลุม

‘ปูติน’ เตรียมเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง พบ ‘สี จิ้นผิง’ ตุลาฯ นี้ นับเป็นทริปนอกประเทศครั้งแรก หลังถูก ‘ไอซีซี’ ออกหมายจับ

(19 ก.ย. 66) ทางการรัสเซียประกาศแล้วว่าประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อพบปะพูดคุยกับประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ของจีน ซึ่งจะนับเป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกเท่าที่รับรู้ของปูติน หลังจากที่เขาถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ออกหมายจับในข้อกล่าวหา ‘ก่ออาชญากรรมสงคราม’ จากการเนรเทศเด็กๆ ชาวยูเครนไปรัสเซีย

“ในเดือนตุลาคม เราตั้งตารอการเจรจาทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในกรุงปักกิ่ง” นายนิโคไล ปาทรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงของรัสเซีย กล่าวถึงแผนการเยือนดังกล่าว หลังการหารือกับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ที่กรุงมอสโก

นายปาทรูเชฟ กล่าวอีกว่า รัสเซียต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีน “รัสเซียมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์รัสเซีย-จีนให้ก้าวหน้า” พร้อมเสริมว่ามหาอำนาจทั้งสองเป็นหุ้นส่วนและมีความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างกัน

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินจะมาร่วมการประชุมความริเริ่มแถบและเส้นทางครั้งที่ 3 ที่กรุงปักกิ่ง ตามคำเชิญของประธานาธิบดีสี ที่มีขึ้นในระหว่างที่ผู้นำจีนเดินทางเยือนกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้าที่นายสีจะเดินทางเยือนมอสโกในครั้งนั้นเพียงไม่กี่วัน ศาลไอซีซี ได้ออกหมายจับปูติน กรณีการเนรเทศเด็กชาวยูเครนจำนวนหลายร้อยคนจากยูเครนไปรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รัสเซียปฏิเสธ

‘ญี่ปุ่น’ เผย ยอดนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น ใน ‘จีน’ ลดฮวบ 67% ผลกระทบการปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะสู่ทะเล

(20 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นับตั้งแต่ญี่ปุ่นเริ่มทยอยปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี ที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จนเกิดกระแสไม่พอใจและเกิดการต่อต้านการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยนั้น มีรายงานว่า การนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นของจีนในช่วงเดือนเดียวกันนั้น ลดฮวบลงไปถึง 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว จากการเปิดเผยของศุลกากรจีน

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและประมงของญี่ปุ่นระบุว่า จีนเป็นประเทศผู้นำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นรายใหญ่ที่สุด โดยในปีที่แล้วจีนได้นำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น มีมูลค่า 84,400 ล้านเยน (ราว 20,556 ล้านบาท)

ทั้งนี้ เริ่มเห็นจีนนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นลดลงมาตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นเตรียมการจะปล่อยน้ำบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ จนกระทั่งมีการปล่อยน้ำจริงๆ ในวันที่ 24 สิงหาคม ส่งผลให้ทางการจีนประกาศแบนนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นยืนยันว่าแผนการปล่อยน้ำดังกล่าวมีความปลอดภัย และยังได้รับการรับรองจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แล้วก็ตาม

จีนยังประท้วงคัดค้านการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะอย่างแข็งกร้าว ขณะที่มีการบิดเบือนข้อมูลเกิดขึ้น ที่นำไปสู่การก่อเหตุโจมตีโรงเรียนญี่ปุ่นในประเทศจีน และการโทรศัพท์ป่วนภาคธุรกิจในจังหวัดฟุกุชิมะของญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก จนทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกประกาศเตือนพลเมืองของตนเองที่เดินทางไปจีน ให้ระมัดระวังตัว และเลี่ยงการพูดภาษาญี่ปุ่นเสียงดังในที่สาธารณะ เพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของตนเอง

‘สี จิ้นผิง’ หนุน!! มหาวิทยาลัย บรรจุวิชาจับสายลับลงหลักสูตร เปลี่ยนนักศึกษา ร่วมแรงเป็นนักสืบ สกัดสปายจากต่างแดน

(20 ก.ย. 66) สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ได้ยกระดับโปรแกรมป้องกันการสอดแนมของต่างชาติ ที่รัฐบาลจีนมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ด้วยการสนับสนุนให้บรรจุวิชาการจับสายลับ ลงในหลักสูตรของหลายสถาบันชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อเทรนนักศึกษาจีน ให้ช่วยสอดส่อง และชี้ตัวบุคคลต้องสงสัยที่อาจแฝงตัวมาสืบราชการลับในจีนได้ 

อย่างที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ก็ได้มีการอบรมผ่านสื่อวิดีโอแก่นักศึกษา และบุคลากรของสถาบัน กระตุ้นให้ตระหนักถึงบทบาทในการเป็นแนวป้องกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากต่างชาติ 

ด้านมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง มีการจัดงานเลี้ยงในสวน ที่มีธีมงานเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง  

ส่วนมหาวิทยาลัยเป่ยหาง ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านการบิน และอวกาศชั้นนำของจีน ได้พัฒนาเกมที่ชื่อว่า ‘Who's The Spy’ ให้นักศึกษาทดลองเล่นเพื่อจับสังเกต คนที่มีพฤติกรรมเป็นสายลับโดยเฉพาะ 

แคมเปญเสริมหลักสูตรไล่ล่าหาสายลับนี้ ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติจีน ซึ่งนอกจากหลักสูตรฝึกอบรมในสถาบันชั้นนำแล้ว ยังจับมือร่วมกับ WeChat แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดังของจีน ในการเผยแพร่เนื้อหาวิธีการจับตา สอดส่องบุคคลต้องสงสัยแก่ประชาชนทั่วไป เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลจีนยังตั้งรางวัลนำจับแก่ผู้ที่สามารถชี้ตัวสายลับต่างชาติได้อย่างถูกตัวสูงถึง 5 แสนหยวน (ประมาณ 2.25 ล้านบาท) 

ทั้งนี้ การเร่งเผยแพร่หลักสูตรจับสายลับ เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายต่อต้านการสอดแนมของสี จิ้นผิง โดยผู้นำจีน ได้กล่าวในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสกัดการสอดแนมในจีนให้ได้ และยกให้เป็นวาระเร่งด่วน เทียบเท่ากับการเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติ โดยต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่อง เป็นหู เป็นตาให้กับรัฐบาล

จากแคมเปญที่เอาจริง เอาจริงกับการจับสายลับของรัฐบาลจีน ทำให้สื่อต่างชาติอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผู้นำจีนถึงหวาดระแวงกับการสอดแนมจากต่างชาติมากถึงขนาดต้องเทรนนักศึกษา และประชาชน มาช่วยจับสายลับกับทั้งประเทศ 

และยังเปรียบเทียบแคมเปญจับสายลับของสี จิ้นผิง กับ การสร้างกองกำลัง Red Guard ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมของอดีตผู้นำ ‘เหมา เจ๋อตุง’ ที่มีการไล่ล่า ลงโทษกลุ่มคนชั้นสูง ที่ไม่จงรักภักดีต่อระบอบสังคมนิยมจีน จนได้ชื่อว่าเป็นยุคที่มีความรุนแรงในสังคมมากที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน 

โดยความเห็นของ ‘ชีนา เกรทเทน’ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส - ออสติน มองว่า การสนับสนุนให้ประชาชนจ้องจับผิดซึ่งกันและกัน จะส่งผลเสียต่อการดูแลความเรียบร้อยโดยรวมของรัฐบาลจีน และจะนำมาซึ่งการแจ้งความเท็จ แจ้งความพร่ำเพรื่อ ซ้ำซ้อน กลายเป็นการเพิ่มงานให้แก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ต้องมาสะสาง แยกแยะข้อมูลจำนวนมากเกินความจำเป็น 

และยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อนักลงทุนชาวต่างชาติ ที่ต้องระวังการสอดแนมรอบตัว สร้างความหวาดระแวงระหว่างชาวต่างชาติ และชาวจีน ที่อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความลังเลในการพัฒนาธุรกิจบนแผ่นดินจีนได้ 

แต่ฟาก ‘เฉิน อี้ซิน’ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแสดงความเห็นว่า ความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งแก่นแท้ของความมั่นคงทางการเมืองคือความมั่นคงของระบอบการปกครอง 

จึงเห็นได้ว่า ผู้นำจีน ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพ และความมั่นคงภายในประเทศอย่างมาก และได้ประกาศภารกิจในการกวาดล้างภัยคุกคามจากต่างชาติ มีการขยายกรอบกฎหมายต่อต้านการสอดแนมใหม่ และกวาดล้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญจีนที่ทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของต่างชาติเป็นจำนวนมาก 

ดังนั้น คงไม่มีอะไรหยุดยั้งแคมเปญปั้นนักเรียนเป็นนักสืบของสี จิ้นผิงได้ ตราบใดที่รัฐบาลจีน และ ชาติตะวันตก ยังแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ความหวาดระแวงต่อกันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top