Tuesday, 10 June 2025
จีน

‘Nio’ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บุกเจาะตลาดสมาร์ตโฟน มั่นใจ!! มีผู้ใช้เกินครึ่ง หลังตัดสินใจท้าชน ‘หัวเว่ย-iPHONE’

(21 ก.ย.66) นายวิลเลียม หลี่ ผู้ก่อตั้งและประธานนีโอ (Nio) บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า นีโอได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในวันนี้ และคาดว่าลูกค้าของบริษัทอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะซื้อสมาร์ตโฟนดังกล่าว

นายหลี่ระบุว่า ราคาโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ของนีโอมีราคาอยู่ที่ประมาณ 900 - 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีราคาถูกกว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นใกล้เคียงกันของแบรนด์หัวเว่ยอยู่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ

นายหลี่กล่าวเสริมว่า ในบรรดาผู้ใช้รถ EV ของนีโอนั้น มากกว่าครึ่งใช้งาน iPhone ขณะที่เหลือเลือกใช้โทรศัพท์แอนดรอยด์รุ่นเรือธงจากหัวเว่ย และแบรนด์อื่น ๆ

นายหลี่กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าผู้ใช้กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะยอมรับอุปกรณ์ใหม่นี้ เมื่อพวกเขาต้องการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ” โดยอ้างถึงประสิทธิภาพโดยรวมของโทรศัพท์มือถือและการเชื่อมต่อในรถยนต์

รายงานระบุว่า นีโอเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์แบรนด์แรกของจีนที่เปิดตัวสมาร์ตโฟนของตัวเอง โดยนายหลี่กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาสมาร์ตโฟนขึ้นมาภายในเวลาประมาณหนึ่งปี โดยบริษัทผลิตรถยนต์ EV หลายแห่งในจีนพยายามทำให้ความบันเทิงในรถและการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเป็นจุดขายสำหรับแบรนด์รถยนต์ของตน

ทั้งนี้ นีโอจะเริ่มจัดส่งสมาร์ตโฟนตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. โดยสามารถสั่งซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้

การค้า ‘ทุเรียน’ จีน-อาเซียน เติบโตฉลุย ยอดส่งออกไทยเกือบ 100% อยู่ที่นี่

(21 ก.ย. 66) สำนักงานซินหัว เผย ประมวลภาพห่วงโซ่อุตสาหกรรมการค้าขายราชาแห่งผลไม้อย่าง ‘ทุเรียน’ ระหว่างจีน, ไทย และเวียดนาม ตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลผลิตจากสวน บรรจุหีบห่อและขนส่ง จนถึงผ่านการตรวจสอบทางศุลกากร และวางจำหน่ายแก่ผู้บริโภคชาวจีน

ปัจจุบัน ทุเรียนกลายเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของความร่วมมือจีน-อาเซียน และศักยภาพตลาดขนาดมหึมาของจีน โดยทุเรียนที่จำหน่ายในจีนส่วนใหญ่ นำเข้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของไทย ระบุว่า จีนเป็นตลาดส่งออกทุเรียนไทยขนาดใหญ่ที่สุดในปี 2022 ครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 96 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด

รายงานระบุว่า การหมุนเวียนของสินค้าในตลาดระดับภูมิภาคนี้ ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง จากนโยบายปลอดภาษีศุลกากรและการเข้าถึงตลาด ภายใต้กรอบการทำงานของเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)

ตัวอย่างเช่น เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน นำเข้าผลไม้จากกลุ่มประเทศอาเซียน ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีนี้ สูงถึง 3.66 พันล้านหยวน (ราว 1.84 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 194 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยการนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นโดดเด่นที่สุดถึงร้อยละ 516 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘จีน’ เปิดทดลองเดินรถ บนถนนทางหลวงเอเชียสายใหม่  เชื่อมต่อการคมนาคม 3 ประเทศ ‘จีน-มองโกเลีย-รัสเซีย’

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, อุรุมชี รายงาน การทดลองเส้นทางขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อมต่อจีน มองโกเลีย และรัสเซีย บนทางหลวงเอเชีย สาย 4 (AH4) เริ่มต้นที่นครอุรุมชี เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ (22 ก.ย.) ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ขบวนรถบรรทุกของจีน มองโกเลีย และรัสเซีย จำนวน 9 คัน วิ่งออกจากศูนย์ขนส่งหลายรูปแบบในเขตด่านบกระหว่างประเทศอุรุมชี โดยรถบรรทุกจะออกจากจีนผ่านด่านบกถ่าเค่อสือเขิ่น วิ่งผ่านมองโกเลียและรัสเซีย ก่อนถึงเมืองโนโวซีบีรสค์ของรัสเซีย

เส้นทางวิ่งระยะทดลองทั้งหมดยาวราว 2,253 กิโลเมตร แบ่งเป็นในจีนราว 577 กิโลเมตร ในมองโกเลีย 758 กิโลเมตร และในรัสเซีย 918 กิโลเมตร โดยจะมีการจัดพิธีต้อนรับขบวนรถบรรทุกที่เมืองโนโวซีบีรสค์ ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสามของรัสเซีย ในวันที่ 28 ก.ย. ด้วย

‘เซวียนเติงเตี้ยน’ เจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมของจีน กล่าวว่าเส้นทางใหม่นี้เป็นช่องทางขนส่งทางถนนระหว่างประเทศที่เชื่อมต่อจีน มองโกเลีย และรัสเซีย ลำดับที่ 2 ต่อจากเส้นทางบนทางหลวงเอเชีย สาย 3 ซึ่งจะส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างเป็นระเบียบ การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการบูรณาการตลาดในภูมิภาค รวมถึงมีบทบาทนำร่องในการสร้างระเบียงเศรษฐกิจจีน-มองโกเลีย-รัสเซีย

อนึ่ง ซินเจียงตั้งอยู่ใจกลางทวีปยูเรเซีย ถือเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคหลักของแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม

ปัจจุบันจีนมีส่วนร่วมการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับ 21 ประเทศ และมีท่าด่านในจีน 68 แห่ง ที่เปิดบริการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ

จีนจัดหลักสูตรใหม่ให้เด็กประถม-ม.ต้น เรียน 'ทำอาหาร-ปลูกผัก-เลี้ยงสัตว์' ส่วนไทยวางแผนจะแจกแทบเล็ตนักเรียน เพื่อให้เข้าถึงเฟกนิวส์ได้ง่ายขึ้น

(25 ก.ย. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ธีร์ธารา กสิกรรมไร้สารพิษ' ได้โพสต์ข้อความ ว่า...

ขณะที่จีนวางแผนสอนให้เด็กมีทักษะในการดำรงชีวิต เอาตัวรอดได้ ช่วยเหลือครอบครัวได้ ไทยกำลังวางแผนจะแจกแทบเล็ตนักเรียน เพื่อให้เข้าถึงเฟกนิวส์ได้ง่ายขึ้น ผ่าง!

วิชาการจ๋าหลบไป !’ จีนจัดหลักสูตรใหม่ให้เด็กประถม - ม.ต้น เรียน ‘วิชาแรงงาน’ ทำอาหาร ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ งานนี้ทำเอาบรรดาผู้ปกครองแตกตื่นมึนตึ้บกันทั่วโซเชียล นับจากเดือน ก.ย.ปีนี้เป็นต้นไป เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นในจีน จะต้องหุงข้าวทำกับข้าวกับปลากินเองเป็น หัดทำสารพัดเมนูทั้งผัด เคี่ยว นึ่ง ต้ม ตุ๋น ทำงานบ้านเองได้ ทั้งยังต้องเรียนปลูกผัก เลี้ยงสัตว์

สืบเนื่องจากเมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการจีนประกาศหลักสูตรใหม่สำหรับการเรียนการสอนระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเพิ่ม ‘วิชาแรงงาน’ เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็ก ๆ โดยจัดให้มีการสอนทำอาหาร โภชนาการ ทำความสะอาดบ้าน ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และซ่อมแซมเครื่องใช้ไม้สอยอุปกรณ์ไฟฟ้า ตลอดจนฝึกความรับผิดชอบและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

ด้วยสภาพสังคมที่มีการแข่งขันสูง บรรดาผู้ปกครองจึงสนับสนุนให้ลูก ๆ สนใจเรื่องเรียนวิชาการเพียงอย่างเดียว ห้ามสนใจเรื่องอื่น เรียกว่า งานบ้านก็ไม่ได้จับ งานใช้แรงงานอื่น ๆ ก็ไม่ต้องแตะ ขอแค่ลูกตั้งใจเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ก็พอ ซึ่งการตีกรอบชีวิตการเรียนแบบนี้ ทำให้เด็ก ๆ ไม่เป็นอิสระต้องคอยพึ่งพิงคนอื่น ไม่มีทักษะในการดำรงชีวิตและอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคต

“เป็นเรื่องปกติที่ผู้ปกครองชาวจีนจะให้ความสำคัญกับการศึกษาที่เน้นความรู้วิชาการหรือภาคทฤษฎีมากกว่าทักษะขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต” สงปิ่งฉี (熊丙奇) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Education Research Institute) กล่าว พร้อมเสริมว่า การทำอาหาร เป็นทักษะพื้นฐานที่เด็กๆ ควรได้มีโอกาสเรียนรู้ ซึ่งการเรียนทำอาหารในวิชาแรงงานจะช่วยเสริมทักษะการใช้ชีวิตให้เด็ก ๆ ที่ถูกผู้ปกครองเลี้ยงดูแบบประคบประหงมไม่ให้แตะงานบ้านเพื่อใช้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการท่องอ่านตำราเรียนอย่างเดียว

หลักสูตรใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นต้นไป นักเรียนในระดับชั้นประถมและมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องเข้าเรียนวิชาแรงงานอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ โดยรายละเอียดของ การเรียนทำอาหาร มีดังนี้...

- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 ต้องเรียนรู้การเลือกผัก การล้างผักและการปอกผลไม้
- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3-4 ต้องเรียนรู้การหั่น การปรุงรส การต้ม การนึ่งและการทำออเดิร์ฟเย็น

- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ต้องเรียนรู้การทอด การผัด การเคี่ยว การตุ๋น และทำอาหารเมนูทั่ว ๆ ไป 2-3 เมนูได้ เช่น ซุป มะเขือเทศผัดไข่ ไข่ดาว ซึ่งจะต้องจัดเตรียมวัตถุดิบและดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดด้วยตนเอง

- นักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ต้องเรียนรู้การออกแบบมื้ออาหารทั้ง 3 มื้อ สำหรับครอบครัวของตนเอง โดยคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับสมาชิกในครอบครัว และต้องทำอาหารได้ 3-4 เมนู

ทั้งนี้ จีนมีการเรียนการสอนเนื้อหาที่เกี่ยวกับวิชาแรงงานกันอยู่ก่อนแล้ว แต่หลักสูตรใหม่นี้กำหนดให้มีการจัดตั้งวิชาแรงงานแยกออกจากวิชากิจกรรมโดยเฉพาะ เนื่องจากชั้นเรียนวิชาดังกล่าวมักถูกแทนที่ด้วยวิชาอื่น ๆ นอกจากนี้ เนื้อหาของหลักสูตรใหม่ยังมีความเข้มข้นยิ่งขึ้นอีกด้วย

หลังข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่ว จนติดฮอตเสิร์ชอันดับ 1 บนเวยปั๋ว จากข้อมูลนับถึงช่วงสุดสัปดาห์มีผู้อ่าน 780 ล้านครั้ง โดยผู้ปกครองที่เห็นด้วยกับหลักสูตรใหม่นี้ต่างสนับสนุนและตั้งตารอที่จะได้ชิมอาหารที่ลูก ๆ ทำ พร้อมคอมเมนต์ เช่น “ในอนาคตพ่อแม่คงไม่ต้องกลัวว่า ลูกจะอดอยากอีกแล้ว แถมยังประหยัดเงินซื้ออาหารนอกบ้านได้อีก” / “ช่วงแรกของชีวิตมีแม่ทำกับข้าวให้ บั้นปลายชีวิตมีลูกทำกับข้าวให้ ไม่คิดเลยว่า คนเกิดหลังปี 80 อย่างเราจะได้รับ ‘สวัสดิการ’ ที่ดีแบบนี้! มีความสุขสุดๆ ไปเลย” / “การเรียนทำอาหารไม่เพียงส่งเสริมพัฒนาการ แต่เด็ก ๆ ยังจะได้เรียนรู้ทักษะชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ…สนับสนุนสุดขีด!”

ส่วนผู้ปกครองที่ไม่เห็นด้วย ต่างมองว่าวิชานี้จะเพิ่มภาระให้พวกเขาเสียมากกว่า รวมทั้งการที่เด็กตัวเล็ก ๆ ต้องมาเรียนทำอาหารก็ดูจะเสี่ยงอันตรายเกินไป พร้อมคอมเมนต์ เช่น “จะขอบคุณมาก ถ้าวิชานี้เรียนแล้วจบในห้องเรียน อย่าให้ผู้ปกครองต้องมาถ่ายรูปภาคปฏิบัติที่บ้านแล้วส่งให้ครูเลยนะ” / “พูดได้เลยว่า ความทุกข์ของพ่อแม่ในแต่ละวันได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างแล้ว ดูแลตัวเองกันด้วยนะ”

วันนี้วันแรก!! รัฐบาลเริ่มใช้มาตรการ ‘วีซ่าฟรี’  อ้าแขนต้อนรับ นทท.จีน-คาซัคฯ กระตุ้นการท่องเที่ยว

วันนี้ (25 ก.ย. 66) จะเป็นวันแรกที่รัฐบาลได้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (วีซ่าฟรี) ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และนักท่องเที่ยวคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ จะเดินทางมายังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและมอบของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาโดยสายการบิน Thai Air Asia X (ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์) เที่ยวบิน XJ 761 เส้นทางเซี่ยงไฮ้-สุวรรณภูมิ ณ บริเวณประตูเทียบเครื่องบิน D4

ทั้งนี้เที่ยวบินที่ XJ761 วันที่ 25 กันยายน 2565 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด  341 คน โดยเป็นผู้โดยสารชาวจีน คิดเป็น 90 % และชาวต่างชาติ คิดเป็น 10 % โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง หรือ FIT 80% และ 20%

อย่างไรก็ตามมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA Exemption) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 โดยรัฐบาลได้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน ให้สามารถเข้ามาและพำนักในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยจะยกเว้นเป็นเวลา 5 เดือน เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงระดับประชาชน รวมทั้งมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถาน

มาตรการดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวคาซัคสถานที่จะเดินทางมาไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2566 ซึ่งจะสามารถเดินทางมาไทยได้โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (ไม่ต้องขอวีซ่าจึงไม่มีค่าธรรมเนียม) และเป็นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอันเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามนโยบายรัฐบาล

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวตลาดจีนถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของประเทศไทย โดยยังมีการฟื้นตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 และเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงทั้งด้านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ามาตรการยกเว้นการตรวจลงตราจะเป็นแรงส่งช่วยพลิกฟื้นการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่มีการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวนประมาณ 1,912,000 - 2,888,500 คน ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 41 - 62  สร้างรายได้เข้าประเทศ 92,583 - 140,313 ล้านบาท

ขณะที่นักท่องเที่ยวคาซัคสถานในช่วง 5 เดือนดังกล่าวจะมีจำนวนประมาณ 129,485 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ประมาณ 7,930 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการ Quick Win ที่รัฐบาลใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะสั้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 10 กันยายน 2566 จำนวน 2,284,281 คน ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซียที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด

ทั้งนี้ถ้าไม่มีมาตรการในการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) จะมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,470,430 คน ซึ่งคิดเป็นอัตราการฟื้นตัวร้อยละ 31 สร้างรายได้ 174,358 ล้านบาท

แต่เมื่อมีการยกเว้นการตรวจลงตราจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการกระตุ้นตลาด ทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 4.04-4.4 ล้านคน และมุ่งสู่เป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ 257,500 ล้านบาทในปี 2566

เนื่องจากเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง (Ease of Traveling) นักท่องเที่ยวไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการขอตรวจลงตรา และเสียค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายขึ้น รวมถึงในช่วงวันที่ 1- 8 ตุลาคมนี้ที่จะเป็นช่วง Golden week ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว

ประกอบกับพันธมิตรด้านสายการบินมีความพร้อมจัดทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน ตลอดจนการเปิดเส้นทางการบินใหม่ อาทิ เฉิงตู - สมุย, ปักกิ่ง - เชียงใหม่, กวางโจว - เชียงใหม่, เซี่ยงไฮ้ - เชียงใหม่, เซี่ยงไฮ้ - ภูเก็ต, กวางโจว - ภูเก็ต, คุนหมิง - หาดใหญ่ ทั้งระยะของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรายังครอบคลุมถึงช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่และตรุษจีนที่จะช่วยส่งเสริมกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในช่วงต้นปี 2567 อีกด้วย

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT กล่าวว่าหลังจากรัฐบาลได้ประกาศมาตรการ Visa Free สนามบินสุวรรณภูมิคาดว่าจำนวนเที่ยวบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเพิ่มขึ้น

โดยคาดว่าในช่วง 7 วันแรกของมาตรการ คือ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2566 จะมีเที่ยวบินรวม 674 เที่ยวบิน (เฉลี่ย 96 เที่ยวบินต่อวัน) เป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 337 เที่ยวบิน

ในส่วนประมาณการผู้โดยสารคาดว่าจะมีผู้โดยสารจากเที่ยวบินจีนรวม 130,593 คน (เฉลี่ย 18,656 คนต่อวัน) แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้า 65,584 คน ขาออก 65,009 คน

สำหรับเที่ยวบินระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิ และสาธารณรัฐคาซัคสถาน คาดว่าในช่วง 7 วันแรกของมาตรการ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2566 มีเที่ยวบินรวม 6 เที่ยวบิน

แบ่งเป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 3 เที่ยวบิน เท่ากับช่วงก่อนมีมาตรการ แต่คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,338 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ขาละ 669 คน

การเตรียมความพร้อมของสนามบินสุวรรณภูมิ ในการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก นั้นได้มีการบูรณาการการบริหารจัดการในขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

กระบวนการผู้โดยสารขาเข้า คือ 
1.ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งปัจจุบันมีช่องตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ตม.) ขาเข้า 138 ช่องตรวจ (ช่องปกติ 118 ช่องตรวจ และช่อง Visa On Arrival อีก 20 ช่องตรวจ) และมีเครื่อง Auto Channel จำนวน 16 เครื่อง

สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 7,140 คนต่อชั่วโมง (กรณีที่มีการใช้งานทุกช่องตรวจ) ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน และมีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 1,550 ตารางเมตร ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิได้วางแนวทางดำเนินการกรณีเกิดความหนาแน่นบริเวณช่องตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า โดยประสานเจ้าหน้าที่ ตม.ให้นั่งเต็มทุกเคาน์เตอร์ในชั่วโมงหนาแน่น (ช่วงกลางวันระหว่างเวลา 11.00 - 16.00 น.) 

2.ขั้นตอนรับกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสายพานรับกระเป๋าขาเข้าสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ 4 สายพาน และสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ 18 สายพาน โดยหากเกิดความหนาแน่นบริเวณสายพานรับกระเป๋า สนามบินสุวรรณภูมิจะกำกับดูแลและติดตามเวลา First Bag และ Last Bag ของผู้ให้บริการภาคพื้นและสายการบิน

ปัจจุบันผู้รับสัมปทานผู้ให้บริการภาคพื้น (บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก ไฟลท์ เซอร์วิส จำกัด) สามารถทำได้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นจากช่วงปลายปี 2565

กระบวนการผู้โดยสารขาออก สนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการบริหารจัดการขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

1.ขั้นตอนการเช็กอินซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเคาน์เตอร์เช็กอิน แบบเดิม 302 เคาน์เตอร์ (ใช้เวลาเฉลี่ย 3 นาทีต่อคน) และมีเครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) จำนวน 196 เครื่อง และเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) จำนวน 50 เครื่อง (ใช้เวลาเฉลี่ย 1 นาทีต่อคน) และกำหนดแนวทางการลดปัญหาความหนาแน่น โดยการทำ Early Check-in พร้อมประสานสายการบินให้นั่งเคาน์เตอร์ให้เต็ม และประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารใช้ CUSS และ CUBD

2. บริการจุดตรวจค้น ซึ่งปัจจุบันมีจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศจำนวน 3 โซน เครื่องเอ็กซเรย์ 25 เครื่อง และมีการติดตั้งระบบ Automatic Return Tray System (ARTS) ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจค้นไม่เกิน 7 นาทีต่อคน วางแนวทางลดความหนาแน่น โดยเกลี่ยแถวในโซนจุดตรวจค้นที่หนาแน่น

3. ขั้นตอนการตรวจลงตรา ซึ่งปัจจุบันมีช่องตรวจหนังสือเดินทาง ตม.ขาออก 69 ช่องตรวจ และเครื่อง Auto Channel 16 เครื่อง ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน มีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 2,199 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4,149 คนต่อชั่วโมง

โดยได้วางแนวทางลดความหนาแน่นบริเวณ ตม.ขาออก โดยประสานเจ้าหน้าที่ ตม.ให้นั่งเต็มทุกเคาน์เตอร์ในชั่วโมงหนาแน่น (ช่วงเช้าระหว่างเวลา 06.00 - 07.00 น. ช่วงกลางวันระหว่างเวลา 14.00 - 15.00 น. และช่วงกลางคืนระหว่างเวลา 21.00 - 23.00 น.)

‘จีน’ นำร่องใช้รถไฟใต้ดิน ‘ขนส่งพัสดุด่วน’ ในปักกิ่ง หวังช่วยระบายพัสดุเร็วขึ้น พร้อมลดการจราจรติดขัด

(25 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.) ที่ผ่านมา รถไฟใต้ดินหลายสายในกรุงปักกิ่งของจีนได้เริ่มเข้าร่วมโครงการนำร่องด้านการขนส่งพัสดุด่วนในช่วงที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความแออัดของการจราจรบนท้องถนนรวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

ข้อมูลจากหวังซูหลิง เจ้าหน้าที่สถาบันการคมนาคมแห่งปักกิ่งระบุว่า เครือข่ายการขนส่งทางรางในย่านเมืองของปักกิ่ง ขยายตัวกว้างขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีรถไฟวิ่งให้บริการรวม 27 เส้นทาง ครอบคลุมเป็นระยะทางรวม 807 กิโลเมตร

หวังกล่าวว่ามหานครแห่งนี้ต้องจัดการกับพัสดุด่วนราว 15 ล้านชิ้นต่อวัน และส่วนใหญ่จัดส่งผ่านการขนส่งทางถนนในเมือง โครงการนำร่องข้างต้นจึงเป็นการใช้ประโยชน์จากกำลังการขนส่งส่วนเกินของระบบรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารไม่มาก พร้อมคาดว่าจะสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดพร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป

โจวหยวน เจ้าหน้าที่คณะกรรมาธิการการคมนาคมประจำเทศบาลกรุงปักกิ่งให้ข้อมูลว่า เพื่อรับรองว่าการปฏิบัติงานของเส้นทางรถไฟขนส่งพัสดุด่วนนำร่องนั้นจะเป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นระบบระเบียบ คณะกรรมาธิการฯ จึงกำหนดว่าสินค้าที่ขนส่งนั้นจะต้องไม่อยู่ในรายการสิ่งของต้องห้ามบนรถไฟใต้ดินของปักกิ่ง และจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัย

ทั้งนี้ โจวกล่าวว่าหลายบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้ออกแบบกล่องส่งพัสดุด่วนแบบใช้ซ้ำได้ ซึ่งมีขนาดสอดคล้องกับระบบการขนส่งทางรางในเมือง ทั้งยังพัฒนารถเข็นพัสดุที่สามารถอำนวยความสะดวกและรับรองความปลอดภัยได้โดยเฉพาะขึ้นอีกด้วย

เครื่องดื่ม ‘ชาสกัดเย็น-ชาลาเต้-ชาชีส’ กำลังฮิตในจีน คาด!! มูลค่าตลาดจ่อทะลุ 9.87 แสนล้านบาท ปี 2025

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางอุตสาหกรรมที่เผยแพร่ร่วมกันโดยสมาคมร้านสาขาและแฟรนไชส์แห่งประเทศจีน (China Chain Store & Franchise Association) และเหม่ยถวน (Meituan) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน เปิดเผยว่ามูลค่าทางตลาดของเครื่องดื่มชารูปแบบใหม่ของจีนมีแนวโน้มจะทะลุ 2 แสนล้านหยวน (ราว 9.87 แสนล้านบาท) ในปี 2025 โดยคาดว่ามูลค่าของตลาดในปี 2023 จะสูงแตะ 1.49 แสนล้านหยวน (ราว 7.38 แสนล้านบาท)

เครื่องดื่มชารูปแบบใหม่ อาทิ ชาสกัดเย็น ชาลาเต้ ชาผลไม้ และชาชีส มักใช้วัตถุดิบสดใหม่ ปรุงด้วยสูตรที่เป็นนวัตกรรมใหม่และใช้เทคโนโลยีเป็นตัวหนุน พร้อมมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่

รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดชากลุ่มนี้ โดยชี้ว่าเมื่อนับถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2023 จีนมีร้านชารูปแบบใหม่ประมาณ 515,000 แห่ง เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 36 จากจำนวนเมื่อช่วงสิ้นปี 2020

ทั้งนี้ ข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ รวมถึงบริษัทเหม่ยถวนเตี่ยนผิง (Meituan Dianping) เผยว่าในเดือนมิถุนายน 2023 ร้านชารูปแบบใหม่ครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 57.7 ของร้านเครื่องดื่มทั่วประเทศ

'มวยไทย' บุก 'กว่างโจว' กระแสตอบรับล้นหลาม แถมจีนช่วยกระพือ สร้างซอฟต์พาวเวอร์สู่นานาชาติ

(25 ก.ย.66) การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF), สถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว, คณะกรรมการกีฬามวย, สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย และสหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ร่วมกันจัดกิจกรรมโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีน ระหว่างวันที่ 22-24 กันยายนที่ผ่านมา ที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน

เพื่อเป็นการส่งเสริมกีฬามวยไทย ซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทยให้เผยแพร่ไปสู่ระดับนานาชาติ และกำหนดมาตรฐานมวยไทย One Standard Muaythai (OSM) โดยมี ดร.เช้า วาทโยธา และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ เมฆสวรรค์ 2 ครูมวยไทยนานาชาติชื่อดัง รวมถึง ปิ่นเพชร บัญชาเมฆ นักมวยไทยเชื้อสายปกาเกอะญอจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมคณะเปิดคลินิกสอนทักษะมวยไทยให้กับผู้เข้ารับการอบรมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ซึ่งได้รับการตอบรับจากชมรม และสมาคมมวยไทยของประเทศจีน ในการส่งนักกีฬามวยไทยเข้ารับการอบรมอย่างล้นหลาม

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับการกีฬา และนันทนาการบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมพัฒนากีฬา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างชื่อเสียง และเกียรติภูมิของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมกีฬา การท่องเที่ยวเชิงกีฬาเพื่อสร้างคุณค่า และมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ดังนั้นสมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทยที่มีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินกิจกรรมกีฬามวยอาชีพในการส่งเสริม และเผยแพร่กีฬามวยไทยอาชีพให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยทั้งในรูปแบบสินค้า และบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมมวยไทย สร้างรายได้ให้บุคลากรมวยไทย จึงจัดโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีนขึ้นเพื่อนำกีฬามวยไทยไปเผยแพร่ และยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน แบ่งกิจกรรม เป็น 2 ส่วน 1.กิจกรรมเทรนนิ่ง ที่ Sport Hall จัด 2 วัน และ 2.กิจกรรมการแสดงศิลปะมวยไทยและศิลปวัฒนธรรม ที่ห้างสรรพสินค้า Wanda Mall เป็นการเผยแพร่มวยไทย การไหว้ครู มวยโบราณ แม่ไม้มวยไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค การสอนพื้นฐานมวยไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมการกีฬามวยไทย ให้ชาวต่างชาติภายในงานได้มีการรับรู้ กิจกรรมฝึกสอนมวยไทยขั้นพื้นฐาน

ซึ่งถือเป็น One Standard มาตรฐานหนึ่งเดียวของมวยไทย ไปเผยแพร่องค์ความรู้สู่นานาชาติ บรรยากาศภายในงานมีชาวจีนทั่วไป รวมทั้งเยาวชนให้ความสนใจเรียนรู้หลักสูตร และศิลปะแม่ไม้มวยไทยกันอย่างเป็นจำนวนมาก โดยเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ชาวจีน และเยาวชนจาก South China Normal University ให้ความสนใจร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

โครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีน ยังเป็นการประชาสัมพันธ์กีฬามวยไทย ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม อันเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้นในประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ทางการฑูตด้วยการเผยแพร่กีฬามวยไทย ศิลปวัฒนธรรมไทย

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยสู่ประเทศจีนอย่างครบวงจร และสามารถต่อยอดสินค้ามวยไทยได้อย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบสินค้า และบริการด้านมวยไทยอย่างเป็นรูปธรรม เกิดความร่วมมือ และประสานงานกับองค์กรเครือข่ายกีฬามวยไทยทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย โดยกิจกรรมตลอด 3 วัน มีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อออนไลน์ซึ่งมีผู้ติดตามชมกว่า 7.5 ล้านคน รวมไปถึงมีรายการโทรทัศน์ ของมณฑลกวางตุ้ง มาถ่ายทำรายการเพื่อนำภาพศิลปะมวยไทยไปออกอากาศ จากการนำกิจกรรมครั้งนี้

นางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว เปิดเผยว่า สำหรับงานมวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ที่มาจัดที่นครกว่างโจว ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ทั้ง 3 วัน มีผู้ชมชาวจีนมาเข้าชม ทั้งร่วมในการฝึกทักษะมวยไทยกับเรา รวมถึงมาชมการแสดง และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะมวยไทย

กิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นและดึงดูดคนในเมืองกว่างโจว และเมืองใกล้เคียง มาร่วมชมและร่วมกิจกรรมกันเป็นจำนวนมาก ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ทำให้มวยไทยกลับมามีพื้นที่ด้านกีฬาอีกครั้งในเมืองกว่างโจวหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมวยไทยในนครกว่างโจวมีสถานที่ฝึกซ้อม มีโรงยิมเนเซียมมวยไทยมากมาย

"เราจะเห็นได้ว่า คนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับองค์ความรู้ที่แท้จริง และลึกซึ้งด้านกีฬามวยไทย ซึ่งกีฬามวยไทยเป็นตัวเชื่อมที่ดีที่ผู้คนชาวจีน และชาติต่างๆ จะฝึกฝน เรียนรู้ร่วมกันได้ ถือว่าประสบความสำเร็จน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง" กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าว

ดร.ปัญญา หาญลำยวง คณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีน ระหว่างวันที่ 22-24 กันยายน เรามีวัตถุประสงค์เพื่อให้มวยไทยได้เผยแพร่ทั่วทุกมุมโลกโดยให้มีขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศไทย ที่สำคัญที่สุดการทำให้มวยไทยสร้างรายได้เข้าประเทศ เรื่องของแม่ไม้มวยไทย ศิลปะมวยไทย พร้อมทั้งนำเอาศิลปะของการแสดงของประเทศไทยแต่ละภาคมาโชว์

"ขณะนี้ทั่วโลกโดยเฉพาะเมืองกว่างโจว ประเทศจีน ให้ความสนใจกับกิจกรรมมวยไทย การแสดงพื้นบ้าน และสินค้าจากประเทศไทยอย่างมาก ต้องถือว่าเราประสบความสำเร็จอย่างสูงในการนำมวยไทยมาเผยแพร่ ที่นครกว่างโจว เชื่อว่าในอนาคตมวยไทยจะแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญคือเป็นเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์จะสร้างรายได้เข้าประเทศไทยจำนวนมาก ขณะเดียวกันสถานกงศุล ณ นครกว่างโจว ได้ร่วมบันทึกวิดีโอนำไปเผยแพร่ทั่วประเทศจีน และส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อส่งต่อไปยังทุกๆ ชาติทั่วโลก ขอชื่นชมทุกฝ่าย ทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกันผลักดันมวยไทยไปทั่วโลก และหวังว่าจะได้เห็นมวยไทยมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก"

สำหรับครั้งต่อไปประเทศไทย จะเดินทางไปจัดโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทย ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566

‘เพจ อ.สมเกียรติ’ ชี้!! กรณีแต้มจีนขึ้นพรวดศึกเทควันโด เอเชียนเกมส์ คาดเกิดจากระบบรวน เชื่อ จีนไม่กล้าเสียหน้าต่อหน้าคนทั้งโลกแน่นอน

(26 ก.ย. 66) จากกรณีการแข่งขันเทควันโด รอบชิงชนะเลิศ ประเภทหญิง 49 กิโลกรัม ในมหกรรมการ กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 หางโจว 2022 ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นการพบกันระหว่างทีมชาติไทย ‘เทนนิส พาณิภัค’ และเจ้าภาพทีมชาติจีน ซึ่งเกิดดรามาขึ้นเมื่อมีปัญหาระบบคะแนนขัดข้อง ทำให้ผลคะแนน 0-6 แต้มจากฝั่งจีนเพิ่มขึ้นไม่หยุดเป็น 0-23 จนเกิดการประท้วงเรื่องคะแนนขึ้นลั่นสนาม ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เจ้าภาพอย่างจีนอย่างหนักหน่วง และชาวเน็ตได้มีการตั้งข้อสังเกตกันต่างๆ นานา ว่าเกิดจากระบบของเครื่องคิดคะแนนขัดข้อง หรือมีการเล่นตุกติกอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?

ล่าสุด เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา’ ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดรามาดังกล่าว โดยระบุว่า…

“ยินดีกับน้องเทนนิสที่คว้าเหรียญทองมาได้ ภายใต้สถานการณ์แปลกๆ นะครับ เข้าใจว่าทุกคนมีอารมณ์กับเรื่องที่แต้มวิ่งได้แม้แต่ตอนที่คนแข่งยืนเฉยๆ แต่ในภาพใหญ่อยากให้ดูไปก่อนว่า กีฬาประเภทอื่นที่จีนเข้าชิงเหรียญทอง มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ อีกไหม

ถ้าไม่มีอยากให้ลองยกประโยชน์ความสงสัย (Benefit of doubt) ให้ทางการจีนว่า เป็นเพราะอุปกรณ์รวนหรือไม่ คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มัน Error กันได้ และตามความเห็นของนักปิงปองมือหนึ่งคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ท่านหนึ่ง ที่ได้แสดงความคิดไว้ โดยการวิเคราะห์ว่า หากจีนตั้งใจจะโกงจริงๆ เขาน่าจะขยับแต้มเนียนๆ 2-3 แต้ม มากกว่าอยู่ๆ ปล่อยแต้มพุ่งกระฉูดแบบนี้ ต้องพึ่งพากันอีกยาวครับ และคนจีนรวมถึงรัฐบาลจีน ก็เสียหน้าเก่งพอๆ กับคนไทย เป็นประเภทเสียเงินไม่เท่าไหร่ เสียหน้ายอมไม่ได้ทั้งคู่ครับ”

“นักกีฬาไทยผ่านอาเซียนเกมส์เขมรกันมาแล้ว… ไม่มีใครทำนักกีฬาเราตกใจกับอะไรได้แล้วล่ะครับ 😄” ทางเฟซบุ๊ก สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา สรุปทิ้งท้าย

สื่อจีนชื่นชม 'ป๊อปปี้' ผู้ประกาศ Top News หลังแต่งชุดไทย ร่วมพิธีเปิดเอเชียนเกมส์

(26 ก.ย.66) กลายเป็นที่ฮือฮาและพูดถึงกันเป็นอย่างมาก เมื่อ พรสวรรค์ จารุพันธ์ หรือ ‘ป๊อปปี้’ ผู้ประกาศข่าว Top News โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘พรสวรรค์ จารุพันธ์-Poppy-Phonsawan Jarupan’ ระบุว่า เก็บตกบรรยากาศ #พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2022 ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ปธน.สี จิ้นผิง และภริยาเผิง ลี่หยวน เป็นประธานในพิธี ซึ่งมีโชว์การแสดงแสง สี เสียง ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปีนี้งดใช้พลุไฟ (จากคาร์บอนที่สร้างมลพิษ และฝุ่น PM 2.5) แต่ใช้พลุแบบดิจิทัล ผ่านเทคโนโลยี AR

ส่วนทัพนักกีฬาไทย เดินขบวนเข้าสนามลำดับที่ 38 โดยมี ‘ธันยพร พฤกษากร นักกีฬายิงปืน’ และ ‘วีระพล จงจอหอ นักกีฬามวยสากล’ ถือธงไตรรงค์ นำนักกีฬาไทยเข้าสู่สนาม

พอสัมผัสภายในงานแล้ว ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เลยค่ะ ที่สำคัญ ใน #สนามหางโจวโอลิมปิกสปอร์ตเอ็กโปเซนเตอร์ กว่าจะเข้าไปถึงได้…ต้องผ่าน Security หลายด่าน ขึ้นลงรถบัสอีกหลายต่อกว่าจะถึงสนาม และห้ามนำของเหลว เจล สเปรย์และทุกอย่างที่เป็นแอลกอฮอล์ ของมีคม รวมถึงทุกอย่างที่เป็นด้ามๆ (เช่น ร่ม ธงชาติพันไม้ฯ) อาหาร ขนม และทุกอย่างที่เป็นบลูทูธ ห้ามนำเข้าไปในสนามโดยเด็ดขาด เหตุผลด้านความปลอดภัย

ล่าสุดวันนี้ พรสวรรค์ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความอีกว่า #ชุดไทย Hot มากกกกก ป๊อปปี้ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนและสื่อต่างชาติ เป็นจำนวนมาก หลังจบพิธีเปิดค่ะ...เก็บตกพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2022…

ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก ‘Street Hero V3’ โพสต์ภาพของ พรสวรรค์ หรือ ‘ป๊อปปี๊’ พร้อมระบุข้อความว่า “น้องป๊อบปี้ นักข่าว Top News เป็นที่สนใจของสื่อจีนเมื่อแต่งชุดไทยเข้าร่วมพิธีเปิดเอเชียนเกมส์” ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันเข้ามาชื่นชมและแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ซึ่งโดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 66 นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย พลเรือตรีหวัง เจิ้ง ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ให้เกียรติเชิญ ผู้บริหารสถานีข่าว Top News นำโดยคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และคุณชยธร ธนวรเจต ร่วมในงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ซึ่งปีนี้ครบรอบ 96 ปี ที่ตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม ที่ห้องแกรนบอลรูม ณ โรงแรมเชียงกรีล่า

นอกจากนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้ให้เกียรติสถานีข่าว Top News ให้เป็นตัวแทนสื่อของไทยเพียงคนเดียว คือน้องป๊อบปี้ พรสวรรค์ จารุพันธ์ ผู้ประกาศข่าว Top News เข้าร่วมโครงการ China Asia Pacific Press Center 2023 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเวลา 4 เดือน

โดยโครงการนี้มีนักข่าวมากกว่า 70 คนจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วม และโปรแกรมที่น้องป๊อปปี้ไปเข้าร่วมมีนักข่าว 16 คนจาก 12 ประเทศ เป็นการบรรยายเกี่ยวกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของจีน, การทูต, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ให้การฝึกอบรมด้านสื่อสารมวลชนและการฝึกงานด้านสื่อของจีน, จัดสัมมนาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสถาบันคลังความคิดและองค์กรด้านสื่อ, จัดการเยี่ยมชมตามมณฑลต่างๆ และครอบคลุมถึงเหตุการณ์สำคัญในประเทศจีนด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top